ผมว่าหลายคนอาจจะเคยสงสัยกันว่าทำไมญี่ปุ่นที่มีความเจ๋งทางด้านเทคโนโลยีมากมาย แต่กลับไม่มีบริษัทด้านเทคโนโลยีระดับโลก? ก็ต้องบอกว่าคำตอบส่วนหนึ่งอยู่ที่เรื่องราวของ NEC PC-98 คอมพิวเตอร์ที่ครองตลาดญี่ปุ่นยาวนานถึง 15 ปี ก่อนจะดับสูญไปจากการแข่งขันที่เข้มข้น
ย้อนกลับไปช่วงต้นทศวรรษ 1970 วงการคอมพิวเตอร์ทั่วโลกได้เห็นการผลิตไมโครโปรเซสเซอร์รุ่นแรกๆ จาก Intel, Motorola และ Zilog ซึ่งเปิดโอกาสให้คนทั่วไปสร้างคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กได้เอง
ตอนนั้นคอมพิวเตอร์ในสายตาคนทั่วไปยังเป็นเครื่องยักษ์ขนาดเท่าห้องทั้งห้อง อุปกรณ์ของนักประดิษฐ์สมัครเล่นจึงได้ชื่อว่า “ไมโครคอมพิวเตอร์” เพื่อบ่งบอกถึงขนาดที่เล็กลงอย่างมาก
Takayoshi Shiina วัย 26 ปี อดีตพนักงาน DEC ตัดสินใจลาออกมาก่อตั้งบริษัท Sord Computer Corporation ในปี 1970 เริ่มจากเขียนซอฟต์แวร์ให้คอมพิวเตอร์นำเข้า ก่อนจะผลิตคอมพิวเตอร์ของตัวเองในปี 1974 ถือเป็นอีกหนึ่งผู้บุกเบิกคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในญี่ปุ่น
ตลาดคอมพิวเตอร์ญี่ปุ่นมีความท้าทายพิเศษคือเรื่องภาษา บริษัทอเมริกันส่วนใหญ่ไม่กล้าเข้าตลาดญี่ปุ่นเพราะต้องจัดการตัวอักษรคันจิที่ซับซ้อน
คันจิแต่ละตัวต้องใช้หน่วยความจำถึง 2 ไบต์ (ภาษาอังกฤษใช้แค่ 1 ไบต์) และต้องรองรับตัวอักษรกว่า 6,000 ตัว เทียบกับภาษาอังกฤษที่มีแค่ 200 ตัว จึงจำเป็นต้องพัฒนาทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์พิเศษ
ขณะที่บริษัทอเมริกันสนใจแต่ตลาดบ้านเกิดที่ใหญ่กว่าญี่ปุ่นถึง 4 เท่า สถานการณ์นี้จึงเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตญี่ปุ่นได้สร้างอาณาจักรของตัวเอง
ตอนนั้นตลาดคอมพิวเตอร์ญี่ปุ่นถูกครอบงำโดยยักษ์ใหญ่ 4 ราย คือ Fujitsu, Hitachi, NEC และ IBM Japan ซึ่งรวมกันแล้วมีส่วนแบ่งตลาดคอมพิวเตอร์เมนเฟรมถึง 85%
แต่ที่น่าประหลาดใจคือ NEC ซึ่งเป็นบริษัทที่มีส่วนแบ่งน้อยที่สุดในกลุ่มนี้ กลับกลายเป็นผู้จุดชนวนการปฏิวัติคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในญี่ปุ่น
จุดเริ่มต้นมาจากแผนกวงจรรวมของ NEC ที่ทำข้อตกลงกับ Intel เพื่อผลิตชิป 8080 แต่แผนกขายกลับประสบปัญหาเพราะแม้แต่พนักงานขายเองก็ยังไม่เข้าใจเทคโนโลยีนี้ดีพอ
ทีมขายเล็กๆ จึงคิดโครงการ TK-80 เป็นชุดประกอบคอมพิวเตอร์บอร์ดเดี่ยวเพื่อการศึกษา คล้าย Apple I แต่ไม่ต้องใช้อุปกรณ์เสริม มีแค่ LED 8 ดวงและปุ่มกด 20 ปุ่มติดบนบอร์ดเท่านั้น
แผนก IC เรียกโครงการนี้ว่า “งานอดิเรก” ตอนรายงานผู้บริหาร เพื่อหลีกเลี่ยงการควบคุมจากแผนกคอมพิวเตอร์ ที่กลัวว่าการนำผลิตภัณฑ์ดิบๆ ออกมาใช้ชื่อ NEC จะทำให้ภาพลักษณ์บริษัทเสียหาย
ทีม IC คาดว่าจะขาย TK-80 ได้แค่ 200 เครื่อง แต่ผลลัพธ์กลับเหนือความคาดหมาย เมื่อทั้งวิศวกร เจ้าของธุรกิจ และนักประดิษฐ์สมัครเล่นต่างให้ความสนใจ ทำให้ขายได้ถึง 25,000 เครื่องในเวลาเพียง 2 ปี
NEC ตั้งศูนย์สนับสนุนชื่อ “Bit-Inn” บนชั้น 7 ของอาคารในย่านอากิฮาบาระ ซึ่งกลายเป็นศูนย์รวมของคนรักคอมพิวเตอร์ชาวญี่ปุ่นอย่างรวดเร็ว และยังเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ผลิตรายอื่นๆ เช่น Hitachi เริ่มผลิตคอมพิวเตอร์ของตัวเองบ้าง
ปี 1978 ตลาดไมโครคอมพิวเตอร์ญี่ปุ่นขายได้ประมาณ 9,143 เครื่อง โดยเกือบครึ่งเป็นชุดประกอบสำหรับนักประดิษฐ์สมัครเล่น ทีมพัฒนาของ NEC อุทิศเวลาวันหยุดมาทำงานที่ Bit-Inn ให้คำปรึกษาและเรียนรู้จากลูกค้า
พวกเขาพบว่าผู้ใช้พยายามประยุกต์ใช้ TK-80 ในงานหลากหลาย ทั้งแพทย์อยากใช้บันทึกค่ารักษา เกษตรกรอยากจดบันทึกการขายข้าว และนักดาราศาสตร์อยากคำนวณสุริยุปราคา แต่ TK-80 มีข้อจำกัดมากเกินไป
จากบทเรียนที่ได้รับ แผนก IC ของ NEC ตัดสินใจเริ่มต้นใหม่ในปี 1978 ด้วยการพัฒนา PC-8001 คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเต็มรูปแบบที่มาพร้อมจอสี และไดรฟ์ดิสก์เก็ต ราคาประมาณ 4,160 ดอลลาร์ในมูลค่าปัจจุบัน
PC-8001 ใช้ภาษา Microsoft BASIC ซึ่งเป็นการตัดสินใจกล้าหาญมาก เพราะตอนนั้น Microsoft เป็นแค่บริษัทเล็กๆ มีพนักงานเพียง 10 คน แต่ Kazuya Watanabe หัวหน้าทีมพัฒนายืนยันเพราะเห็นว่า Microsoft BASIC กำลังบูมในตลาดอเมริกา
การเปิดตัว PC-8001 เป็นการเสี่ยงครั้งใหญ่ของ NEC เพราะผู้บริหารหลายคนยังมองว่าเป็นแค่ของเล่นไม่น่าไว้วางใจ แต่เมื่อวางจำหน่ายในเดือนกันยายน 1979 กลับประสบความสำเร็จเกินคาด จนต้องใช้เวลาถึงครึ่งปีในการผลิตให้ทันคำสั่งซื้อ
ระหว่างปี 1980-1982 NEC ครองส่วนแบ่งตลาดถึง 40-44% ขายได้ประมาณ 250,000 เครื่อง ส่วนใหญ่ผ่านร้าน “NEC Microcomputer Shop” ของตัวเอง การมีจุดขายครอบคลุมเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ยอดขายของพวกเขาพุ่งกระฉูด
ในขณะที่ NEC กำลังมาแรงในญี่ปุ่น IBM ก็ไม่นิ่งนอนใจ พวกเขาเห็นความสำเร็จของ Apple II และตระหนักถึงภัยคุกคาม จึงเริ่มโครงการลับพัฒนา IBM PC
Frank Cary ซีอีโอของ IBM ย้ายทีมไปที่ Boca Raton ในฟลอริดา เพื่อหลีกเลี่ยงระบบราชการของบริษัท ทีม IBM PC ใช้ชิ้นส่วนสำเร็จรูปจำนวนมาก มีเพียง BIOS เท่านั้นที่เป็นลิขสิทธิ์ของ IBM ส่วนไมโครโปรเซสเซอร์ใช้ของ Intel และระบบปฏิบัติการใช้ของ Microsoft
IBM PC ประสบความสำเร็จอย่างมากในตลาดตะวันตก แต่มีข้อจำกัดในญี่ปุ่นเพราะไม่รองรับภาษาคันจิ IBM จึงต้องพัฒนา PC-5550 สำหรับตลาดญี่ปุ่นโดยเฉพาะ ซึ่งไม่สามารถใช้ซอฟต์แวร์ร่วมกับ PC ทั่วไปได้
สถานการณ์นี้เปิดโอกาสให้ NEC ต่อยอดความได้เปรียบ ความสำเร็จของ PC-8001 และการเติบโตของตลาด IBM PC ทำให้แผนกคอมพิวเตอร์ของ NEC ตัดสินใจพัฒนา PC 16 บิตของตัวเอง
แผนก IC ของ NEC ไม่พอใจที่ความสำเร็จถูกแย่งชิงไป จึงพัฒนา PC-100 ในเดือนตุลาคม 1983 ซึ่งรัน MS-DOS และมีกราฟิกที่เจ๋งมาก แต่ราคาสูงเกินไปและใช้ซอฟต์แวร์เก่าไม่ได้ จึงล้มเหลวในที่สุด
ในขณะเดียวกัน ทีม NEC ชุดใหม่เริ่มพัฒนา PC 16 บิต โดย Watanabe ต้องการให้ใช้ซอฟต์แวร์ของ PC-8001 ได้ ซึ่งเป็นงานยากมาก แต่คุ้มค่าเพราะช่วยให้ลูกค้าใช้ซอฟต์แวร์เดิมได้ ซึ่งกลายเป็นจุดขายสำคัญ
NEC ติดต่อ Bill Gates เพื่อขอเวอร์ชันภาษาญี่ปุ่นของ MS-DOS แต่ทีม Microsoft ดูเหมือนจะยุ่งเกินไปกับตลาดอเมริกา NEC จึงซื้อลิขสิทธิ์มาพัฒนาเอง แม้จะไม่ต่างจาก MS-DOS มากนัก แต่ก็ไม่สามารถใช้ซอฟต์แวร์ MS-DOS ทั่วไปได้
ในเดือนตุลาคม 1982 NEC เปิดตัว PC-9801 ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก ในปีแรกสามารถครองส่วนแบ่งตลาด PC 16 บิตได้ถึง 80%
คู่แข่งที่แข็งแกร่งที่สุดของ NEC คือ Fujitsu ซึ่งมักผลิตเครื่องที่มีสเปคที่ดีกว่า แต่ล้าหลังด้านการตลาด Fujitsu เปิดตัว FM-8 PC ในเดือนพฤษภาคม 1981 แต่ขาดแอปพลิเคชันจาก third party ทำให้ขายไม่ดี
ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน 1982 Fujitsu เปิดตัว FM-7 และ FM-11 ซึ่งใช้ BASIC เฉพาะของ Fujitsu ที่ไม่สามารถใช้กับโปรแกรมของ FM-8 ได้ สะท้อนความขัดแย้งภายในองค์กรคล้ายกับที่ NEC เคยประสบ
NEC ตอกย้ำความได้เปรียบด้วยการขยายเครือข่าย Bit-Inn ให้เป็นร้านค้าปลีกที่มีวิศวกรคอยให้คำแนะนำลูกค้าโดยตรง ภายในปี 1985 NEC มีจุดขาย 134 แห่ง เทียบกับ Fujitsu ที่มีเพียง 80 แห่ง
NEC ยังประสบความสำเร็จในการสร้างฐานแอปพลิเคชันที่แข็งแกร่ง ด้วยการเปิดให้บริษัทซอฟต์แวร์ญี่ปุ่นเข้าถึงเอกสารและคอมพิวเตอร์ฟรี ภายในปี 1987 ซอฟต์แวร์สำหรับ PC-98 มีมากกว่าของ Fujitsu ถึง 10 เท่า
ซอฟต์แวร์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือโปรแกรมประมวลผลคำ Ichitaro และโปรแกรมสเปรดชีต Lotus 1-2-3 โดยเฉพาะ Ichitaro ที่มีความสามารถพิเศษในการแปลงตัวอักษรคานะเป็นคันจิ
ผลลัพธ์คือ NEC สามารถครองตลาด PC 16 บิตเกือบทั้งหมดในญี่ปุ่นภายในปี 1983 มาตรฐาน PC-98 แม้จะไม่สามารถใช้งานร่วมกับ IBM ได้ แต่กลับกลายเป็นผู้นำในญี่ปุ่น
ในปี 1985 Toshiba ท้าทาย PC-98 ด้วยแล็ปท็อป T1100 และตามมาด้วย DynaBook J-3100 สำหรับตลาดญี่ปุ่นในปี 1986 NEC ตอบโต้ด้วย PC-98LT ซึ่งเบากว่าและถูกกว่า แต่ใช้ซอฟต์แวร์ PC-98 แบบตั้งโต๊ะไม่ได้ ทำให้ไม่ประสบความสำเร็จ
NEC เรียนรู้ว่าผู้ใช้ให้ความสำคัญกับความเข้ากันได้มากกว่าเรื่องของการพกพา จึงเปิดตัว PC-98LV ในปี 1988 และ PC-98Note ในปี 1990 ซึ่งใช้งานร่วมกับ PC-98 ได้เต็มที่ ช่วยให้ต้านทานการรุกคืบของ Toshiba ได้
Seiko Epson ซึ่งเคยเป็นผู้บุกเบิกคอมพิวเตอร์ญี่ปุ่นกับรุ่นอย่าง Seiko 5700 ตั้งแต่ปี 1977 ได้เปลี่ยนกลยุทธ์มาผลิตเครื่องเลียนแบบ PC-98 นำไปสู่การฟ้องร้องจาก NEC แต่ทั้งสองบริษัทตกลงกันนอกศาลได้
เครื่องเลียนแบบของ Epson มีราคาถูกกว่าและช่วยให้พวกเขาแย่งส่วนแบ่งตลาดได้บ้าง ในปี 1991 Epson ขึ้นเป็นผู้ผลิต PC รายใหญ่อันดับ 2 ด้วยส่วนแบ่ง 8.5% ในขณะที่ NEC ยังนำตลาดด้วยส่วนแบ่งการตลาด 51% ทำให้มาตรฐาน PC-98 มีส่วนแบ่งรวมเกือบ 60%
แต่มีการพัฒนาสำคัญสองประการที่ได้เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของ NEC PC-98 ไปอย่างสิ้นเชิง:
ประการแรก Intel พัฒนาโปรเซสเซอร์ที่มีประสิทธิภาพเพียงพอสำหรับประมวลผลภาษาญี่ปุ่นได้ในที่สุด เริ่มจาก Intel 386 ในปี 1987 และ Intel 486 ในปี 1990
ประการที่สอง IBM Japan พัฒนา DOS/V ซึ่งเป็นเวอร์ชันภาษาญี่ปุ่นของ MS-DOS ที่ใช้กับการ์ด VGA มาตรฐานได้เลย ทำให้บริษัทต่างชาติสามารถนำ PC เข้าสู่ตลาดญี่ปุ่นได้โดยไม่ต้องดัดแปลงฮาร์ดแวร์อะไรที่มันซับซ้อนอีกต่อไป
ในเดือนตุลาคม 1992 Compaq เข้าสู่ตลาดญี่ปุ่นด้วยคอมพิวเตอร์ราคา 128,000 เยน ซึ่งเป็นราคาเพียงครึ่งหนึ่งของ PC-98 รุ่นถูกที่สุด Dell ตามมาในเดือนมกราคม 1993 สิ่งนี้จุดชนวนสงครามราคาที่ทำให้ตลาด PC ญี่ปุ่นขยายตัวถึง 50% ระหว่างปี 1992-1994
แต่จุดพลิกเกมจริงๆ คือการเปิดตัว Windows 3.1J ที่ทำให้แอปพลิเคชัน Windows ทำงานบนระบบใดๆ ที่ใช้ DOS ได้ ทำให้คู่แข่งมองว่ามาตรฐาน PC-98 ไม่มีข้อได้เปรียบอีกต่อไป
ผู้ผลิคอมพิวเตอร์รายใหญ่ของญี่ปุ่นเริ่มหันไปใช้ DOS/V ทั้ง Toshiba, Hitachi และที่สำคัญคือ Fujitsu คู่แข่งคู่ปรับของ NEC ในปี 1995 Fujitsu จัดหนักด้วยการลดราคา PC จนขาดทุน 200-500 ดอลลาร์ต่อเครื่อง แต่สามารถขายได้เกือบล้านเครื่อง เพิ่มส่วนแบ่งตลาดเป็น 17.5% ขณะที่ NEC ลดลงเหลือ 41.2%
NEC พยายามตามให้ทันสงครามราคา ทั้งจ้างผู้ผลิตจากไต้หวัน ย้ายการออกแบบไปฮ่องกง และซื้อกิจการ Packard Bell แต่ก็ไม่สามารถต้านกระแส Windows ได้ ในปี 1997 พวกเขาจึงยอมแพ้:
- มีนาคม 1997: พวกเขาเริ่มขายเครื่อง DOS/V เป็นของตัวเอง
- ตุลาคม 1997: พวกเขาเปิดตัว PC-98NX ซึ่งเป็นการยุติสถาปัตยกรรม PC-98 ดั้งเดิม
การที่ญี่ปุ่นแยกตัวออกจากมาตรฐาน PC ของโลกเกือบ 15 ปี ส่งผลกระทบระยะยาวหลายประการ ทั้งทำให้ซอฟต์แวร์ญี่ปุ่นถูกพัฒนาเฉพาะในประเทศ และทำให้บริษัทซอฟต์แวร์ญี่ปุ่นขยายไปต่างประเทศได้ยาก
ปัจจุบัน PC-98 ยังคงมีชีวิตในรูปแบบของโปรแกรมจำลองสำหรับเล่นเกมวิดีโอเก่าๆ และยังเป็นที่ถวิลหาของกลุ่มผู้ใช้รุ่นแรกๆ
เรื่องราวของ NEC PC-98 เป็นบทเรียนเกี่ยวกับการผูกขาดตลาดและการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ความสำเร็จในการสร้างมาตรฐานเฉพาะกลับกลายเป็นจุดอ่อนเมื่อต้องปรับตัวตามกระแสโลก
การยึดติดกับความสำเร็จในอดีตและการพึ่งพารายได้จากการผูกขาดมากเกินไป ทำให้บริษัทปรับตัวไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลง นี่คือบทเรียนสำคัญสำหรับธุรกิจเทคโนโลยีทั่วโลก รวมถึงไทยด้วย เราต้องหาจุดสมดุลระหว่างการตอบสนองความต้องการเฉพาะของตลาดท้องถิ่น กับการเปิดรับและปรับตัวตามมาตรฐานสากล
ความเทพของ NEC PC-98 ในยุคนั้นไม่อาจปฏิเสธได้ แต่การยึดติดกับความสำเร็จโดยไม่พร้อมปรับตัว ทำให้พวกเขาพลาดโอกาสในการสร้างมาตรฐานระดับโลก
ในยุคที่โลกเชื่อมต่อกันมากขึ้นทุกวัน การปิดกั้นตัวเองไว้ในมุมเล็กๆ ของตลาดไม่ใช่ทางรอด แม้จะเป็นที่หนึ่งในตลาดนั้นก็ตาม เพราะในที่สุดแล้ว การเปลี่ยนแปลงย่อมมาถึงเสมอ และธุรกิจที่ปรับตัวไม่ทันก็พร้อมจะดับสูญไปจากความทรงจำของผู้บริโภค
เรื่องราวของ PC-98 จึงเป็นทั้งแรงบันดาลใจในความสำเร็จจากความกล้าคิดนอกกรอบ และสิ่งเตือนใจถึงอันตรายของความสำเร็จที่ทำให้เราประมาทจนถึงขั้นคิดเพ้อฝันว่ามันจะมั่นคงตลอดไปนั่นเองครับผม