Geek Story EP317 : ทำไม iPhone 9 ถึงหายไป? ปริศนาที่ถูกลบออกจากประวัติศาสตร์ Apple

ปี 2017 นับเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญทั้งสำหรับ iPhone และวงการสมาร์ทโฟนโดยรวม เป็นการเปิดศักราชใหม่ที่ส่งผลมาจนถึงปัจจุบัน ในปีนั้น Apple ได้เปิดตัว iPhone รุ่นที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นการปฏิวัติวงการครั้งสุดท้ายอย่างแท้จริง เป็น iPhone รุ่นที่สร้างความตื่นเต้นและสนใจให้กับผู้คนทั่วโลก

หากดูจากเทรนด์การค้นหาของ Google ในปี 2017 คนส่วนใหญ่ค้นหา iPhone 8 ไม่ใช่เพราะตัวเครื่องเอง แต่เพราะต่อจาก iPhone 7 พวกเขาคาดหวังว่าจะต้องมี iPhone 8 แล้วตามด้วย iPhone 9 ไม่มีใครคาดคิดว่า Apple จะข้ามไปที่เลข 10 เลย

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/ytfh8vta

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/4fxwjhf8

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/2ntdr8n5

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/t7rIHFEqsdI

เดิมพันอนาคตของชาติ? งานวิจัยเทคโนโลยี ChatGPT กับผลกระทบต่อระบบการศึกษาในเวียดนาม

เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยว่าเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่าง ChatGPT จะมีผลกระทบมหาศาลต่อการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะในด้านการศึกษา คล้ายกับที่เคยเกิดขึ้นกับโซเชียลมีเดีย อินเทอร์เน็ต หรือสมาร์ทโฟน ที่ในที่สุดแล้วทุกคนต้องปรับตัวและใช้มัน

เด็กๆ ในยุคนี้จะเติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีเหล่านี้อย่างเลี่ยงไม่ได้ ถ้าประเทศใดสามารถปรับตัวให้เด็กๆ ใช้เทคโนโลยีอย่าง ChatGPT มาช่วยในระบบการศึกษาได้ก่อน ก็จะได้เปรียบในระยะยาวอย่างแน่นอน

พอดีผมได้ไปเจอข้อมูลผลการศึกษาจาก Hanoi National University of Education ของเวียดนามในเรื่อง “The Impact of ChatGPT on Vietnamese Education” (อ้างอิงอยู่ท้ายบทความ) ซึ่งเผยให้เห็นว่า ChatGPT สามารถพลิกโฉมระบบการศึกษาของเวียดนามได้อย่างไร และบทเรียนนี้ก็น่าจะนำมาประยุกต์ใช้กับไทยได้เช่นกัน

ความจริงที่เราต้องยอมรับคือ เทคโนโลยี AI จะเปลี่ยนแปลงอาชีพต่างๆ อย่างสิ้นเชิง หลายอาชีพจะหายไป ขณะที่จะมีอาชีพใหม่ๆ เกิดขึ้น คนที่ใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ได้เก่งกว่าจะมีความได้เปรียบในเรื่องหน้าที่การงาน

ChatGPT และเทคโนโลยี AI อื่นๆ สามารถใช้ได้ในทุกมิติของชีวิต ทั้งการทำงาน การเรียน และชีวิตประจำวัน อย่างส่วนตัวผมเองก็ใช้เครื่องมือเหล่านี้มากในชีวิตประจำวัน มันช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตและทำให้มีเวลามากขึ้นอย่างน่าทึ่ง

การศึกษามีความสำคัญอย่างยิ่งในทุกประเทศ โดยเฉพาะในเวียดนามที่กำลังเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ขณะที่ไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุ การปฏิรูปการศึกษาจึงมีความสำคัญมากในการพัฒนากำลังคนให้มีทักษะและความรู้เพื่อรับมือกับความท้าทายในโลกยุคใหม่

ChatGPT เป็นโมเดลภาษาขั้นสูงที่พัฒนาโดย OpenAI ใช้เทคโนโลยี Machine Learning และถูกเทรนด้วยข้อมูลจำนวนมหาศาล ทำให้สามารถประมวลผลรูปแบบของภาษาได้อย่างยอดเยี่ยม

มันสามารถเข้าใจและสร้างข้อความในรูปแบบที่มนุษย์ทำได้ มีความเข้าใจบริบท หลักไวยากรณ์ และการเรียบเรียงประโยคได้อย่างน่าทึ่ง ความสามารถอันหลากหลายนี้ทำให้ ChatGPT ได้รับความสนใจและถูกนำไปประยุกต์ใช้อย่างกว้างขวาง

ศักยภาพของ ChatGPT ในด้านการศึกษานั้นมโหฬารมาก มันสามารถช่วยเหลือทั้งครูและนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง ด้วยความสามารถในการตอบคำถาม สร้างเนื้อหา และจัดการประสบการณ์การเรียนรู้แบบที่ทุกคนสามารถกำหนดเองได้

นี่คือแนวทางใหม่ในการปฏิรูปการศึกษาเลยทีเดียว ChatGPT มีศักยภาพที่จะปฏิวัติวิธีการสอนแบบดั้งเดิม และสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการที่แตกต่างกันของนักเรียนแต่ละคน ซึ่งถือเป็นการเข้าถึงการเรียนรู้แบบเฉพาะบุคคลที่มีประสิทธิภาพได้อย่างมาก

งานวิจัยนี้ได้ทำการสำรวจการประยุกต์ใช้ ChatGPT กับการศึกษาของเวียดนาม โดยเน้นไปที่บทบาทของมันต่อครู นักเรียน และผู้กำหนดนโยบาย ที่เกี่ยวข้องกับระบบการศึกษา

ทีมนักวิจัยได้ประเมินความสามารถของ ChatGPT อย่างละเอียดบนชุดข้อมูลการสอบวัดผลการศึกษาระดับชาติของประเทศเวียดนาม ในวิชาต่างๆ เช่น คณิตศาสตร์ วรรณคดี ภาษาอังกฤษ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ เป็นต้น

ผลการวิจัยแสดงให้เห็นถึงความน่าสนใจอย่างยิ่งในการผนวกเอา ChatGPT เข้าสู่รูปแบบการศึกษาออนไลน์ของเวียดนาม ซึ่งพวกเขามองเห็นอย่างชัดเจนว่ามันจะกลายเป็นเทรนด์ในอนาคตอย่างแน่นอน

ตอนนี้สถาบันการศึกษา หน่วยงานภาครัฐ และองค์กรเอกชนในเวียดนามเริ่มใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเหล่านี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้แล้ว ซึ่งถือว่ามีวิสัยทัศน์ที่เจ๋งมาก ๆ

มีโครงการที่น่าสนใจมากมายในเวียดนาม ตัวอย่างแรกคือการสร้างตู้คีออสช่วยสอนแบบเสมือนจริงด้วย AI ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างบริษัทด้าน AI กับสถาบันการศึกษา

ตู้คีออสเหล่านี้ใช้เทคโนโลยีอย่าง ChatGPT เพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์กับนักเรียน ตอบคำถาม และให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลการเรียน เป็นนวัตกรรมที่สร้างความตื่นเต้นให้กับวงการการศึกษาอย่างมาก

อีกตัวอย่างหนึ่งคือแอปพลิเคชันในการเรียนรู้ภาษา ซึ่ง ChatGPT ช่วยได้มากในการเรียนรู้ภาษาใหม่ๆ เป็นเครื่องมือที่มีศักยภาพสูงมากในอนาคต

นอกจากนี้ยังมีการสร้าง Content และเนื้อหาการสอน ซึ่ง ChatGPT สามารถลดระยะเวลาในการทำงานของครูผู้สอนได้อย่างมาก คล้ายกับหลายอาชีพที่ต้องทำ Content หากใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ได้ดี ก็จะลดเวลาและทรัพยากรไปได้มากโข

ในห้องเรียน ครูสามารถใช้ ChatGPT เป็นผู้ช่วยเสมือนเพื่อตอบคำถามเฉพาะสำหรับนักเรียนแต่ละคนได้ ซึ่งบางครั้งครูก็ไม่ได้รู้ไปทุกเรื่อง แต่เทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยให้นักเรียนได้รับคำอธิบายและได้ข้อสรุปแบบรวบรัดทันที

มันเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยตนเองและเติมเต็มช่องว่างที่เกิดขึ้น เพราะบางครั้งเราอยากรู้อะไรมากกว่าที่เนื้อหาในห้องเรียนสอนอยู่ AI จะช่วยขยายขอบเขตการเรียนรู้ให้กว้างขึ้น

การให้คะแนน การทำข้อสอบ รวมถึงการทำแบบทดสอบต่างๆ ของนักเรียนก็สามารถให้ ChatGPT ช่วยประเมินคำตอบและให้ผลลัพธ์ออกมาได้ทันที ทำให้ครูมีเวลาเพิ่มมากขึ้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับครูที่มีภาระงานล้นมืออยู่แล้วในปัจจุบัน หากครูสามารถมุ่งเน้นไปที่การสอนที่ต้องใช้ทักษะระดับสูงจริงๆ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อนักเรียนอย่างมหาศาล

การสร้างเกมที่มีปฏิสัมพันธ์กับนักเรียนโดยใช้ ChatGPT สามารถสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่น่าดึงดูดใจได้ บางทีการเรียนมันน่าเบื่อมาก ไม่ใช่เพราะมันยาก แต่เพราะเนื้อหาและวิธีการสอนที่ไม่น่าสนใจ

การใช้เกมเข้ามาช่วยจะทำให้รูปแบบการสอนมีชีวิตชีวา ดึงดูดความสนใจของนักเรียน เพิ่มแรงจูงใจและการมีส่วนร่วมได้มากขึ้น เป็นวิธีที่เจ๋งมากในการทำให้การเรียนรู้สนุกและมีประสิทธิภาพ

จุดเด่นอีกอย่างของ ChatGPT คือการเข้าถึงได้ง่าย ทุกคนสามารถใช้งานได้เพียงแค่มีอินเทอร์เน็ต ซึ่งปัจจุบันทั้งไทยและเวียดนามต่างก็มีโครงสร้างพื้นฐานด้านอินเทอร์เน็ตที่ครอบคลุมเกือบทั่วประเทศแล้ว

นี่เป็นการช่วยลดช่องว่างสำหรับนักเรียนในพื้นที่ห่างไกล หรือนักเรียนที่มีความบกพร่อง เช่น ปัญหาสายตา การได้ยิน หรือทักษะการเรียนรู้ ChatGPT สามารถแปลงข้อความเป็นเสียง หรือเสียงเป็นข้อความได้

เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยให้ประสบการณ์การเรียนรู้ครอบคลุมและเข้าถึงได้มากยิ่งขึ้นสำหรับนักเรียนทุกคน ทำให้ทุกคนมีโอกาสเติบโตทางการศึกษาได้อย่างเท่าเทียมกันมากขึ้น

แม้จะมีประโยชน์มากมาย แต่การใช้ ChatGPT ในการศึกษาก็มีความท้าทายหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องความถูกต้องและความน่าเชื่อถือของข้อมูล บางครั้งเราต้องมีการตรวจสอบซ้ำ

เทคโนโลยีใหม่ๆ แม้จะฉลาดขึ้นเรื่อยๆ และมีระบบให้ผู้ใช้ตรวจสอบข้อมูลและให้ฟีดแบคได้ แต่เนื่องจาก AI เพิ่งเริ่มต้น ความน่าเชื่อถือจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องระวัง

แม้จะมีความสามารถยอดเยี่ยม แต่ก็มีโอกาสที่จะเกิดข้อผิดพลาดและทำให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องแพร่กระจายไปสู่นักเรียนได้ ซึ่งอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้

นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูล แม้หลายบริษัทจะมีนโยบายคุ้มครองข้อมูลแล้ว แต่เราก็ไม่สามารถการันตีได้ว่าข้อมูลจะไม่รั่วไหล จึงต้องมีนโยบายที่เข้มงวดในการจัดการข้อมูลส่วนตัวของนักเรียน

อีกประเด็นสำคัญคือบทบาทของ AI กับครูที่เป็นมนุษย์ การผสานรวม ChatGPT เข้ากับระบบการศึกษาต้องมีความสมดุล แม้ AI จะมีประโยชน์มาก แต่ก็ไม่สามารถแทนที่มนุษย์ได้ทุกอย่างในการศึกษา

การพึ่งพา AI มากเกินไปอาจนำไปสู่ความเสี่ยงต่างๆ เช่น การลดปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียน ซึ่งเป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกที่ AI ไม่สามารถทดแทนได้ หรือการจำกัดความคิดสร้างสรรค์เมื่อนักเรียนพึ่งพาข้อมูลสำเร็จรูปจาก AI มากเกินไป

โดยสรุปแล้ว ChatGPT มีศักยภาพสูงมากในการปฏิรูประบบการเรียนรู้และการศึกษา ไม่เพียงแต่ในเวียดนาม แต่รวมถึงประเทศไทยและทั่วโลกด้วย

เทคโนโลยีเหล่านี้สามารถมอบประสบการณ์การเรียนรู้เฉพาะบุคคล ตอบสนองความต้องการและรูปแบบการเรียนรู้ของแต่ละคนได้ ส่งเสริมทักษะสำคัญอย่างการแก้ปัญหาได้หากนำไปใช้อย่างถูกวิธี

นอกจากนี้ ยังสนับสนุนให้ครูสามารถพัฒนาเนื้อหา ช่วยให้คะแนน ตอบคำถามนักเรียน เสริมพลังให้กับผู้สอนได้อย่างดีเยี่ยม และที่สำคัญมากคือ การช่วยลดความเหลื่อมล้ำในระบบการศึกษา

สำหรับประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทยและเวียดนาม การนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาประยุกต์ใช้ก่อนอาจสร้างความได้เปรียบในอนาคต เด็กๆ จะสามารถเรียนรู้การใช้งานเทคโนโลยีเหล่านี้ได้อย่างคล่องแคล่ว เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในการประกอบอาชีพในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ เพราะไม่ว่าเราจะพร้อมหรือไม่ เทคโนโลยี AI ก็จะเข้ามามีบทบาทในทุกมิติของชีวิตเรา รวมถึงการศึกษาด้วย การปรับตัวก่อนจะทำให้เราได้เปรียบและสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้อย่างเต็มที่ได้นั่นเองครับผม

References :
https://www.researchgate.net/publication/372832368_The_Impact_of_ChatGPT_on_Vietnamese_Education

“สิงห์” ผนึกกำลัง “วัน แชมเปียนชิพ” ถ่ายทอด 195 ประเทศทั่วโลก ตอกย้ำสร้างแบรนด์ระดับโลก

“สิงห์” เดินหน้าผนึกพันธมิตร สนับสนุนรายการกีฬายอดนิยม คนดูสูงสุดอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ประกาศความร่วมมือ “วัน แชมเปียนชิพ” ต่อยอด Global Brand ผ่านองค์กรศิลปะการต่อสู้ที่มีคนดูครอบคลุม 195 ประเทศ และติด 1 ใน 5 คอนเทนต์ที่มีผู้ติดตามมากที่สุดของโลก 

คุณวรวุฒิ ภิรมย์ภักดี กรรมการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด และรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด ผู้อยู่เบื้องหลังการเจรจาความร่วมมือกับพันธมิตรกีฬาระดับโลกมากมาย เผยว่า “นับเป็นก้าวสำคัญอีกครั้งที่ ‘สิงห์’ เป็นออฟฟิเชียล พาร์ทเนอร์กับ ‘วัน แชมเปียนชิพ’ องค์กรศิลปะการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดหนึ่งในรายการที่เผยแพร่ไปยังผู้ชมกว่า 195 ประเทศทั่วโลก

เช่นเดียวกับ “สิงห์” ที่เป็นแบรนด์ของคนไทยที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก ในคุณภาพของผลิตภัณฑ์มาตลอดกว่า 90 ปี เราเชื่อว่าการร่วมมือกันครั้งนี้ จะต่อยอดความแข็งแกร่งแบรนด์สิงห์ในตลาดโลก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทวีปเอเชีย และยุโรป นอกจากนี้ยังสามารถทำให้ศิลปะการต่อสู้ โดยเฉพาะมวยไทยได้เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น เช่นเดียวกับการสร้างนักกีฬามวยไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับโลกเพิ่มมากขึ้น

ล่าสุด สิงห์ เดินหน้าเป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการกับรายการกีฬา “วัน แชมเปียนชิพ” ที่นำเสนอศิลปะการต่อสู้หลากหลายรูปแบบทั้งมวยไทยการต่อสู้แบบผสมผสาน (MMA) คิกบ็อกซิ่ง ฯลฯ

จนได้รับความนิยม โดยติดอันดับ 1 ใน 5 กีฬาต่อสู้ที่มีมูลค่าทางธุรกิจสูงสุดของโลก และมียอดเอนเกจเมนต์สูง รวมถึงยอดการรับชมหรือยอดวิวรวมกันหลักหมื่นล้านวิว ส่วนในไทยยังรั้งผู้นำด้วยเรตติ้งสูงสุดมายาวนาน จากการถ่ายทอดสดทางช่อง 7HD สูงเป็นในช่วงนาทีทองหรือซูเปอร์ไพร์มไทม์ โดยมียอดผู้ชมเฉลี่ยถึง 13.6 ล้านคนต่อวัน 

ที่ผ่านมา สิงห์ เป็นแบรนด์เครื่องดื่มแบรนด์แรก ๆ ของประเทศไทยที่ได้ให้การสนับสนุน F1 ที่เปรียบเสมือนการเปิดประตูโอกาสของสิงห์ในการทำ Sport Marketing กับพาร์ตเนอร์ระดับโลกแบบเต็มตัวกับทีม Infiniti Red Bull Racing, Scuderia Ferrari, Alfa Romeo F1 Team, Stake F1 Team KICK Saubar

และยังเป็นพาร์ตเนอร์กับรายการกีฬาใหญ่ระดับโลกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ อย่างเชลซี และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, การแข่งขันจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก หรือ MotoGP, การแข่งขันกอล์ฟรายการเก่าแก่ที่สุดรายการหนึ่งของโลกอย่าง ดิ โอเพ่น เป็นต้น

ทั้งนี้ สิงห์ได้ประเดิมการเป็นออฟฟิเชียล พาร์ทเนอร์ และผู้บริโภคได้เห็นแบรนด์ในศึกใหญ่ ONE170 ไฟต์การต่อสู้แรกของปีที่ไทย ซึ่งมีดาวดัง “ตะวันฉาย VS ซุปเปอร์บอน” ขึ้นชกเมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ณ อิมแพ็ค อารีนา เมืองทองธานี  

มูลนิธิรามาธิบดีฯ สนับสนุนการศึกษาแพทย์ไทย ระดมทุนผ่านแรงสนับสนุนจากผู้บริจาค เปิดอาคารกายวิภาคคลินิก ผสานเทคโนโลยีการสอนทันสมัยเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ใหม่

มูลนิธิรามาธิบดี ในพระบรมราชูปถัมภ์สมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ผลักดันศักยภาพของการศึกษาแพทย์ไทยผ่านการสนับสนุนอาคารกายวิภาคคลินิก (Clinical Anatomy Building) ของสถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

ซึ่งได้รับการสนับสนุนในการสร้างอาคาร และเครื่องมือทางการแพทย์จากผู้บริจาค ซึ่งเป็นพลังแห่งน้ำใจที่ช่วยส่งเสริมการศึกษาและการแพทย์ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น พร้อมเปิดให้บริการด้านกายวิภาคศาสตร์อย่างครบวงจร ครอบคลุมตั้งแต่กระบวนการรับบริจาคร่างกาย การรักษาสภาพร่างอาจารย์ใหญ่ และการนำร่างอาจารย์ใหญ่มาใช้เพื่อการศึกษาวิจัยในกลุ่มนักศึกษาแพทย์ แพทย์เฉพาะทาง และแพทย์นวัตกร

ควบคู่กับการศึกษาด้วยเทคโนโลยีการเรียนการสอนที่ล้ำสมัย เพื่อยกระดับประสิทธิภาพของการศึกษาแพทย์ และเตรียมความพร้อมให้บุคลากรทางการแพทย์ก้าวเข้าสู่ระบบสาธารณสุขในยุคดิจิทัล 

‘อาจารย์ใหญ่’ คือผู้ที่อุทิศร่างกายเพื่อเป็นสื่อการเรียนรู้ทางการแพทย์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญด้านการศึกษาที่ช่วยให้นักศึกษาแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์เข้าใจถึงโครงสร้างร่างกายของมนุษย์ได้อย่างลึกซึ้ง

พร้อมเสริมสร้างทักษะด้านกายวิภาคศาสตร์ก่อนรักษาผู้ป่วยจริง เพื่อเพิ่มความเชี่ยวชาญในกระบวนการรักษาและลดโอกาสการเกิดข้อผิดพลาดทางการแพทย์ และอาจารย์ใหญ่ยังมีบทบาทด้านการวิจัยเพื่อยกระดับการรักษาพยาบาล ผ่านการพัฒนาเทคนิคการรักษารูปแบบใหม่ ตลอดจนการทดลองนวัตกรรมทางการแพทย์ เพื่อนำผลลัพธ์ทางการศึกษามาต่อยอดเป็นแนวทางในการรักษาผู้ป่วยต่อไปในอนาคต

อ.ดร. เบญริตา จิตอารี อาจารย์สาขาพรีคลินิก โรงเรียนแพทย์รามาธิบดี กล่าวว่า “อาจารย์ใหญ่เปรียบเสมือน ‘ผู้ให้’ ที่สร้างอนาคตใหม่ทางการแพทย์ได้อย่างไม่สิ้นสุด สำหรับนักศึกษาแพทย์การเข้าใจโครงสร้าง ความสัมพันธ์ และความเชื่อมโยงของแต่ละอวัยวะภายในของมนุษย์ผ่านการศึกษาจากร่างอาจารย์ใหญ่ถือเป็นพื้นฐานสำคัญของวิชาชีพแพทย์ ในวิชามหกายวิภาคศาสตร์ (Gross Anatomy)

นักศึกษาแพทย์จะได้ศึกษาจากร่างอาจารย์ใหญ่ควบคู่กับการเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยีทันสมัย เพื่อบ่มเพาะองค์ความรู้สู่การต่อยอดการรักษาผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป”

อาคารกายวิภาคคลินิกเป็นศูนย์กลางการให้บริการด้านกายวิภาคศาสตร์อย่างครบวงจรแห่งแรกของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ตั้งอยู่ที่สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์

มีบทบาทหน้าที่ครอบคลุมใน 4 มิติ ได้แก่ ด้านการรับบริจาคร่างกายและดูแลร่างอาจารย์ใหญ่จนเสร็จสิ้นพิธีกรรมทางศาสนา ด้านการรักษา-คงสภาพและจัดเก็บร่างอาจารย์ใหญ่ ด้านการบริหารการนำร่างอาจารย์ใหญ่มาใช้เพื่อการศึกษาให้เกิดประโยชน์สูงสุด และด้านการผลิตสื่อการเรียน
การสอนที่มีคุณภาพ

ภายในห้องเรียนของอาคารกายวิภาคคลินิกนำเทคโนโลยีการสอนและอุปกรณ์ผ่าตัดทันสมัยเข้ามาช่วยในการศึกษา เพื่อลดความจำเป็นในการใช้ร่างอาจารย์ใหญ่ ในขณะที่ยังสามารถมอบประสบการณ์ที่ใกล้เคียงกับการผ่าตัดจริงในรูปแบบสามมิติ โดยเฉพาะเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือนหรือ Virtual Reality (VR) ที่ช่วยให้สามารถเรียนรู้โครงสร้างร่างกายมนุษย์ได้อย่างละเอียดยิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับการศึกษาจากบทเรียนและรูปภาพสองมิติเพียงอย่างเดียว

โดยเนื้อหาที่อยู่ภายในระบบนี้ถูกสร้างขึ้นจากข้อมูลจริงของอาจารย์ใหญ่ จัดทำโดยสถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ และถือเป็นแห่งแรกในไทยที่ผลิตเนื้อหาลักษณะนี้ขึ้นเอง รวมถึงมีเครื่องจำลองระบบภาพกายวิภาคเสมือนจริง (Anatomage Table) ที่เอื้อให้สามารถเข้าถึงการเรียนรู้และทบทวนบทเรียนได้ทุกเวลา

โดยอาคารแห่งนี้จะมีนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 2 (ชั้น Pre-clinic) เข้ามาเรียนเฉลี่ยปีละ 220 คน สำหรับแพทย์เฉพาะทางมีห้องผ่าตัดไฮบริด (Hybrid Operating Room) รองรับเทคโนโลยีการวินิจฉัยขั้นสูง ช่วยให้สามารถทำหัตถการที่ซับซ้อนได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น

นอกจากบทบาทของอาจารย์ใหญ่ในด้านการเป็นสื่อการเรียนรู้ที่สำคัญ ร่างอาจารย์ใหญ่ยังถูกนำมาใช้เพื่อทดลองและฝึกฝนการใช้นวัตกรรมการแพทย์ล้ำสมัย รวมทั้งสำหรับการฝึกฝนและพัฒนากระกวนการทำหัตถการต่างๆ ทางการแพทย์ เช่น การผ่าตัดเฉพาะทาง

ช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์เกิดความชำนาญการก่อนนำไปใช้จริงกับผู้ป่วย เพื่อให้สามารถใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย 

ปัจจุบัน อาคารกายวิภาคคลินิกได้รับร่างอาจารย์ใหญ่เฉลี่ยเพียง 15 ร่างต่อเดือน จากจำนวนผู้แจ้งความประสงค์บริจาคร่างกายประมาณ 300 คนต่อเดือน ขณะที่จำนวนร่างอาจารย์ใหญ่ที่ถูกนำมาใช้เพื่อการศึกษาอยู่ที่ประมาณ 200 ร่างต่อปี ซึ่งยังไม่เพียงพอต่อความต้องการในการเรียนการสอนและการวิจัยทางการแพทย์ เนื่องจากเทคโนโลยียังไม่สามารถทดแทนการศึกษาจากอาจารย์ใหญ่ได้ทั้งหมด

“กายวิภาคศาสตร์คลินิก โรงเรียนแพทย์รามาธิบดี ศึกษาและปรับเปลี่ยนสูตรของสารที่ใช้คงสภาพอาจารย์ใหญ่อยู่เสมอให้สามารถรักษาสภาพเพื่อให้คงคุณภาพของเนื้อเยื่อที่ใกล้เคียงคนที่ยังมีชีวิตและใช้ในการศึกษาได้ในระยะเวลายาวนานที่สุด

รวมทั้งเพื่อให้มีการใช้ร่างอาจารย์ใหญ่ให้เกิดประโยชน์สูงที่สุดก่อนจัดงานพระราชทานเพลิงศพผู้อุทิศร่างกายเพื่อการศึกษา ซึ่งเป็นพิธีที่จัดขึ้นเพื่อแสดงถึงความกตัญญูต่ออาจารย์ใหญ่ที่มอบองค์ความรู้ให้กับนักศึกษา

นอกจากนี้ ยังตั้งใจเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการบริจาคร่างกาย เพื่อให้กลุ่มคนรุ่นใหม่เปิดใจกับการบริจาคร่างกายมากขึ้น” อ.ดร. เบญริตา จิตอารี กล่าวปิดท้าย

มูลนิธิรามาธิบดีฯ มุ่งมั่นสนับสนุนพันธกิจด้านการผลิตบุคลากรทางการแพทย์ที่มีศักยภาพอย่างต่อเนื่อง การมอบงบประมาณสนับสนุนอาคารกายวิภาคคลินิก (Clinical Anatomy Building) ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของการปลดล็อกโอกาสทางการศึกษาเพื่อเสริมสร้างความเชี่ยวชาญด้านทักษะทางการแพทย์

พร้อมพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ทางกายวิภาคศาสตร์ นำไปสู่การยกระดับวงการแพทย์ไทยในอนาคต ร่วมบริจาคร่างกายเพื่อการศึกษาและวิจัยทางการแพทย์ ได้ที่ อาคารกายวิภาคทางคลินิก สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์

และผู้ที่สนใจบริจาคเงินเพื่อสนับสนุนการสร้างบุคลากรทางการแพทย์รุ่นใหม่ที่มีคุณภาพ ขอเชิญร่วมบริจาคเงินสมทบทุนให้กับโครงการจัดซื้อเครื่องมือแพทย์ เพื่อสถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ และ โครงการเพื่อผู้ป่วยยากไร้ ได้ที่ มูลนิธิรามาธิบดีฯ www.ramafoundation.or.th 

#คำว่าให้ไม่สิ้นสุด
#ความสุขจากการให้ไม่สิ้นสุด

คาวบอยและนักฆ่า กับการรุกฆาตตลาด Ecommerce ในอินเดียโดย Jeff Bezos

ความน่าสนใจของตลาดอินเดียคือ Jeff Bezos พลาดโอกาสทองในการเข้าไปลงทุนแต่เนิ่นๆ ทั้งที่ Amazon เคยเปิดศูนย์พัฒนาซอฟต์แวร์ต่างประเทศแห่งแรกที่บังกาลอร์มาก่อน

หลังจาก Amazon ฟื้นตัวจากการดิ่งลงเหวของฟองสบู่ดอทคอม พวกเขากลับมุ่งหน้าไปประเทศจีน โดยแทบไม่ชายตามองอินเดียทั้งที่มีศักยภาพมหาศาล

เหตุการณ์นี้ทำให้พนักงานรุ่นบุกเบิกของ Amazon ในอินเดียหลายคนตัดสินใจลาออกไปสร้างบริษัทของตัวเอง

ในปี 2007 วิศวกรสองคนคือ Sachin Bansal และ Binny Bansal เพื่อนร่วมชั้นจาก Indian Institute of Technology (IIT) ในนิวเดลี ได้ลาออกจาก Amazon เพื่อก่อตั้งธุรกิจที่ชื่อ Flipkart

พวกเขาเลียนแบบ Jeff Bezos ที่สร้าง Amazon จากจุดเริ่มต้นเป็นร้านขายหนังสือออนไลน์ ก่อนจะขยายไปขายสินค้าแทบทุกชนิดในโลก

Armit Agarwal ผู้บริหารที่เคยช่วยก่อตั้งศูนย์พัฒนาซอฟต์แวร์ต่างประเทศและจบการศึกษาจาก IIT เช่นกัน ถูกดึงตัวกลับไปทำงานที่สำนักงานใหญ่ของ Amazon ในซีแอตเทิลในฐานะที่ปรึกษาเทคนิคให้ Bezos

Agarwal เป็นคนผลักดันและเขียนแผนธุรกิจเสนอให้ Amazon บุกตลาดบ้านเกิดของเขา ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่เศรษฐกิจเติบโตเร็วที่สุดในโลก

ในเวลานั้น ยักษ์ใหญ่อย่าง IBM และ Microsoft ได้ลุยตลาดอินเดียไปแล้วและกำลังกอบโกยรายได้มหาศาลจากตลาดแห่งนี้

แต่อุปสรรคที่ทำให้ Bezos ลังเลคือกฎหมายอินเดียที่ซับซ้อนและปกป้องร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม โดยมีข้อห้ามไม่ให้บริษัทต่างชาติเป็นเจ้าของหรือดำเนินธุรกิจค้าปลีกโดยตรงในอินเดีย

บทเรียนสำคัญที่ Amazon ได้รับจากประเทศจีนคือ ตลาดเอเชียไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนในตลาดบ้านเกิด

Amazon รุกจีนในปี 2004 ด้วยการซื้อสตาร์ทอัพร้านขายหนังสือ Joyo.com ราคาประมาณ 75 ล้านดอลลาร์ พวกเขาเชื่อว่าใช้แนวทางเดียวกับที่เคยประสบความสำเร็จในที่อื่นได้

แต่พวกเขาประเมินผิดถนัด คู่แข่งอย่าง Alibaba มีนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ปัญหา ecommerce ในจีนได้ดีกว่ามาก

Alibaba มีทั้งรูปแบบ Mall มี Taobao และระบบชำระเงินอย่าง Alipay ในขณะที่ยุคนั้น Amazon ยังคงรับเงินสดจากผู้ซื้อตอนจัดส่งสินค้า

Alibaba และคู่แข่งอย่าง JD.com รองรับรสนิยมการออกแบบของผู้ใช้ชาวจีนได้อย่างลงตัว

ส่วน Amazon.cn ดูเหมือนเป็นการโคลนแพลตฟอร์มจากอเมริกามาใช้ทั่วโลก พนักงาน Amazon ในจีนแทบไม่มีอำนาจตัดสินใจ ต้องรอความช่วยเหลือจากสำนักงานใหญ่ในซีแอตเทิล ทำให้ตอบสนองต่อตลาดไม่ทันการณ์

Amazon ล้มเหลวในการปรับตัวเข้ากับอินเทอร์เน็ตจีน ผู้ขายชาวจีนคุ้นเคยกับการจ่ายค่าคอมมิชชั่น 2-5% ของยอดขายให้ Alibaba

แต่ผู้บริหาร Amazon ไม่เชื่อในรูปแบบนี้ จึงเรียกเก็บ 10-15% จากยอดขาย ซึ่งสูงลิ่วสำหรับตลาดจีน

ที่สำคัญคือเรื่องความสัมพันธ์กับพรรคคอมมิวนิสต์จีน Amazon ไม่สนใจสานสัมพันธ์ แม้แต่ Jeff Bezos เองก็ไม่สนใจทำความเข้าใจกลไกรัฐบาลจีน ต่างจาก Elon Musk ที่ปลูกฝังความสัมพันธ์กับผู้นำจีนเพื่อตั้งโรงงาน Tesla Gigafactory ในเซี่ยงไฮ้

ระหว่างปี 2011-2016 ส่วนแบ่งตลาดของ Amazon ในจีนลดฮวบจาก 15% เหลือไม่ถึง 1% มีการประเมินว่า Amazon สูญเสียเงินพันล้านดอลลาร์นับตั้งแต่ซื้อกิจการ Joyo

บทเรียนที่โหดที่สุดของ Amazon ในจีนคือ พวกเขาไม่กล้าพอจะเผชิญการแข่งขันที่เดือดพล่าน และทำตัวเป็นผู้ตามที่กลายเป็นลูกไล่มากจนเกินไป

ความเคลื่อนไหวสำคัญแรกของ Amazon ในการรุกตลาดอินเดียคือ พยายามดึงศิษย์เก่าสองคนกลับมา

หลังจากสร้างผลงานกระฉ่อนในตลาดอินเดียได้สี่ปี Binny Bansal และ Sachin Bansal สร้าง Flipkart ให้เป็นแบรนด์เป็นที่ยอมรับในประเทศ ขายทั้งหนังสือ โทรศัพท์มือถือ ซีดี และดีวีดี

Amit Agarwal ไปพบอดีตพนักงานที่โรงแรม ITC Maurya หรูหราใจกลางกรุงเดลี เพื่อเจรจาซื้อกิจการ ทาง Bansal ขอเงินพันล้านดอลลาร์ แต่ Agarwal เห็นว่าตัวเลขมันเว่อร์เกินไป การเจรจาจึงล้มเหลว

ทางเลือกเดียวที่เหลือของ Amazon คือลุยเอง ในปี 2012 ทีมวิศวกรของ Amazon India เพียงไม่กี่สิบคนทำงานบนชั้น 8 ของตึก “World Trade Center” อาคารกระจกทรงโค้งทางตอนเหนือของบังกาลอร์

ตอนแรกพวกเขางงว่าจะเริ่มต้นอย่างไร เพราะกฎการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศของอินเดียเป็นกำแพงกั้นไม่ให้เปิดเว็บสโตร์มาตรฐานแบบ Amazon

พวกเขาจึงเลี่ยงบาลีด้วยการเปิดเว็บไซต์เปรียบเทียบราคาสินค้าในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2012 ชื่อ Junglee.com ด้วยการลงรายการสินค้า เปรียบเทียบราคา แล้วลิงก์ไปยังเว็บไซต์อื่น

Amazon สามารถรวบรวมข้อมูลและคิดค่าธรรมเนียมโดยไม่ทำอะไรผิดกฎหมายอินเดีย

หลังประสบความสำเร็จกับเว็บไซต์เปรียบเทียบราคา Agarwal สั่งจัดเต็มทันที โดยดำเนิน Amazon India เป็นตลาดกลางให้พ่อค้าแม่ค้ามาขายของกัน โดยไม่มีสินค้าคงคลังของตัวเองเหมือนในอเมริกา

Amazon.in เปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 5 มิถุนายน 2013 ภายในไม่กี่สัปดาห์ Amazon India ขยายจากหนังสือและดีวีดีไปยังสมาร์ทโฟน กล้องดิจิทัล ผลิตภัณฑ์เสริมความงาม อุปกรณ์ในครัวเรือน และแท็บเล็ต Kindle Fire

ไม่กี่เดือนหลังเปิดตัว ฤดูใบไม้ร่วงปี 2013 Agarwal และทีมงานอินเดียกลับมาที่สำนักงานใหญ่ในซีแอตเทิลเพื่อนำเสนอโรดแมปประจำปีแก่ Bezos และทีมบริหารระดับสูง

ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่การเดิมพันของ Amazon ในจีนกำลังเละไม่เป็นท่า Bezos จึงไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยในอินเดีย ในช่วงถาม-ตอบ เขาพูดเป็นคนสุดท้าย โดยกล่าวว่า

“พวกคุณกำลังจะล้มเหลว” เขาบอกทีมงานอินเดียอย่างตรงไปตรงมา “ฉันไม่ต้องการนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ในอินเดีย ฉันต้องการคาวบอย”

และยังให้นโยบายสุดโหดว่า “อย่ามาหาฉันพร้อมกับแผนที่คิดว่าฉันจะลงทุนในระดับหนึ่งเพียงเท่านั้น” “บอกฉันว่าเราจะชนะได้อย่างไร แล้วมาบอกฉันว่าต้องจ่ายเท่าไหร่”

นั่นทำให้ Agarwal อึ้งไปชั่วขณะ และเมื่อกลับมาอินเดีย เขาพร้อมให้ลูกทีมจัดหนักตามคำสั่งของพี่ใหญ่อย่าง Bezos ทันที

มีการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมใหม่ใน Amazon India แทบจะในทันที บางครั้งผู้บริหารแต่งตัวด้วยชุดคาวบอยในการประชุม และผลักดัน Amazon India อย่างเข้มข้นขึ้น

Amazon กลายเป็นหนึ่งในผู้ลงโฆษณารายใหญ่ที่สุดของอินเดีย โปรโมต Amazon.in บนหน้าแรกของหนังสือพิมพ์อย่าง Times of India และสร้างแคมเปญโฆษณาติดหูระหว่างเกมคริกเก็ต Indian Premier League เป้าหมายใหม่ของทีมอินเดียคือเติบโตรวดเร็วจนทำให้ Bezos ต้องมาที่อินเดีย

Amazon ดำเนินการที่แตกต่างในอินเดีย เนื่องจากไม่มีโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เช่น ถนนทางหลวงและเครือข่ายบัตรเครดิต ผู้บริหารจึงคิดค้นกลยุทธ์โลจิสติกส์และการชำระเงินโดดเด่นสำหรับอินเดียโดยเฉพาะ เช่น จ้างคนส่งจักรยานและรับชำระเงินที่ปลายทาง

โดยปกติบริษัทจะใช้โค้ดแพลตฟอร์ม Amazon เดียวกันทั่วโลก และส่วนใหญ่จะแก้ไขที่สำนักงานใหญ่ที่ซีแอตเทิล แต่ในอินเดียวิศวกรสามารถแก้โค้ดใหม่และสร้างแอปบนสมาร์ทโฟนที่ใช้หน่วยความจำน้อยกว่า

เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่ในอินเดียเข้าถึงไซต์บนโทรศัพท์และผ่านเครือข่ายไร้สายที่ห่วยแตกมาก ทีม Amazon India จึงต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมท้องถิ่น

เพื่อให้ดำเนินการคล่องตัวมากขึ้น ทุกแผนกรายงานตรงไปยัง Agarwal แทนที่จะรายงานไปยังเพื่อนร่วมงานในซีแอตเทิล และทุกอย่างต้องทำเพื่อตลาดอินเดียเท่านั้น

เมื่อเข้าสู่ปี 2015 Amazon และ Flipkart สู้กันอย่างดุเดือด พวกเขาทำดีลพิเศษกับผู้ผลิตสมาร์ทโฟน เสนอส่วนลดมากมายในช่วงวันหยุด และสร้างโกดังไปทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว

ทั้ง Amazon และ Flipkart สร้างเครือข่ายบริการจัดส่งโดยใช้ทั้งรถตู้ รถจักรยานยนต์ จักรยาน หรือแม้กระทั่งเรือของตัวเองเพื่อเข้าถึงพื้นที่ห่างไกลที่สุดของประเทศ

ภายในฤดูร้อนปี 2016 Amazon เปิดตัวการรับประกันการจัดส่งแบบ Prime การันตีสองวันภายในประเทศ และได้พุ่งทะยานขึ้นมาเป็นผู้นำตลาด มียอดขายแซงหน้า Flipkart ได้สำเร็จ ทำให้ Flipkart ต้องเลิกจ้างพนักงานจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงหมายปองธุรกิจ ecommerce ในตลาดใหญ่อย่างอินเดีย ในปีต่อมา Flipkart ระดมทุนเพิ่มได้อีก 1.4 พันล้านดอลลาร์ จาก Tencent, eBay และ Microsoft

ภายในปี 2017 ทั้ง Amazon และ Flipkart ต่างสูญเสียอย่างหนัก สูญเงินกว่าพันล้านดอลลาร์ต่อปีในศึกแดงเดือดวงการ ecommerce อินเดีย

Walmart ยักษ์ใหญ่ด้านค้าปลีก ภายใต้การนำของ CEO Doug McMillion กำลังมองหาการลงทุนในธุรกิจ ecommerce ระดับโลกอีกครั้ง และพยายามหยุดยั้งความก้าวหน้าของ Amazon ทั่วโลก

ในตอนนั้นนักลงทุนและกรรมการของ Flipkart ได้แบ่งกลยุทธ์ที่แตกต่างกัน 3 แบบ คือ ขายให้ Amazon, ขายให้ Walmart หรืออยู่อย่างอิสระต่อไป

แต่มีข้อกังวลจากนักลงทุนว่า หากขายกิจการให้ Amazon จะโดนตรวจสอบจากหน่วยงานรัฐบาลอินเดียเรื่องการผูกขาด ส่วนการเจรจากับ Walmart ดูเหมือนพวกเขาต้องการให้ Flipkart เป็นอิสระต่อไปได้

หลังจากกระบวนการที่ยืดเยื้อนานถึงหกเดือน ในที่สุดคณะกรรมการ Flipkart ก็ตกลงขายหุ้นให้ Walmart นักลงทุนส่วนใหญ่เริ่มเบื่อหน่ายกับ Flipkart ต้องการขายหุ้นและถอนทุนคืนให้ได้โดยเร็วที่สุด

ในเดือนพฤษภาคม 2018 สื่อเริ่มทยอยลงข่าวว่า Walmart จะจ่ายเงิน 16 พันล้านดอลลาร์เพื่อซื้อหุ้น 77% ใน Flipkart โดย Doug McMillion CEO ของ Walmart ได้ไปเยือนอินเดียหลังประกาศข้อตกลง และบอกกับพนักงาน Flipkart ว่า

“เราตั้งใจมอบอำนาจให้พวกคุณและปล่อยให้ดำเนินการต่อไปอย่างอิสระ ความเร็วเป็นสิ่งสำคัญ และความเด็ดขาดมีความสำคัญอย่างยิ่ง”

Sachin และ Binny Bansal ต่างกลายเป็นมหาเศรษฐีและได้รับการเทิดทูนว่าเป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์อินเดีย

ภายใน Amazon India แม้จะต้องเจอคู่ต่อกรสำคัญอย่าง Walmart แต่พวกเขามั่นใจมากว่า Walmart จะพบว่าเส้นทางข้างหน้าไม่ง่าย ซึ่งไม่ต่างจากถนนทางหลวงอินเดียที่รกร้าง

“หากมีสิ่งหนึ่งที่เราทุกคนรู้ก็คือ Walmart ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังซื้ออะไรอยู่” ผู้บริหาร Amazon India กล่าว

“จริงๆ มันต้องใช้เวลาเจ็ดหรือแปดปีในการใช้ชีวิตที่นี่และทำงานในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ก่อนที่คุณจะเข้าใจอย่างแท้จริงว่าความวุ่นวายในการดำเนินธุรกิจในประเทศแห่งนี้มีความลึกลับซับซ้อนมากเพียงใด”