Geek Talk EP72 : โลกกำลังเข้าสู่ยุค Homo Technicus เมื่อ AI เขียนได้ คิดได้ แล้วมนุษย์จะอยู่ตรงไหน?

คงจะพูดไม่เกินเลยว่าปัจจุบันเราได้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่แล้ว ยุคของ Homo technicus ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ

ยุคของ Homo technicus ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า แต่เป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงในตัวตนของมนุษย์เอง การเดินทางนี้จะนำเราไปทางไหน ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจร่วมกันของเราในปัจจุบัน และวิสัยทัศน์ของเราสำหรับอนาคตที่มนุษย์และ AI จะอยู่ร่วมกัน

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/3re2c3yh

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/bddn8txt

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/y3ze4prk

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/N6m1jEYo9pU

Musk ขวาจัด กับราคาที่ Tesla ต้องจ่าย ‘คิงเมกเกอร์’ แห่งยุคดิจิทัล การเดิมพันครั้งใหญ่ที่อาจทำลายธุรกิจตัวเอง

ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ผมว่าหลายคนอาจจะได้เห็น Elon Musk ในแง่มุมใหม่ ๆ เป็น Elon Musk ที่หลาย ๆ คนน่าจะไม่เคยประสบพบเจอมาก่อน โดยมีเรื่องหนึ่งที่น่าจับตามองคือการที่เขาสนับสนุนพรรคฝ่ายขวาจัดในเยอรมนีอย่างเปิดเผย

มหาเศรษฐีเทคโนโลยีรายนี้โพสต์สนับสนุนพรรค Alternative fur Deutschland (AfD) บนแพลตฟอร์ม X ของเขาเองกว่า 24 ครั้ง สัมภาษณ์ผู้นำพรรค และบอกผู้ติดตาม 219 ล้านคนว่าพรรคนี้คือ “ความหวังเดียว” ของเยอรมนี

แต่เจ้าพ่อเทคโนโลยีคนนี้อาจต้องเผชิญกับผลลัพธ์ที่ไม่คาดฝัน เพราะแม้ AfD จะได้อันดับสองในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ แต่การสนับสนุนของ Musk ดูจะมีอิทธิพลเพียงเล็กน้อยต่อความสำเร็จนี้

CEO ของ Tesla ยังคงยืนหยัดสนับสนุนอุดมการณ์ฝ่ายขวาทั่วยุโรปอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ผลกระทบที่ชัดเจนที่สุดกลับตกอยู่กับแบรนด์ Tesla ที่กำลังเละเทะไม่เป็นท่า

นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า Musk อาจมีเป้าหมายระยะยาวสำหรับอาณาจักรธุรกิจ: สนับสนุนพรรคการเมืองที่มีแนวโน้มลดกฎระเบียบที่เขามองว่าขัดขวางนวัตกรรม

ย้อนไปเดือนมกราคม Musk แสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจนต่อสิ่งที่เขาเรียกว่า “ชั้นของกฎระเบียบและระบบราชการ” ของยุโรป หลังเจ้าหน้าที่สหภาพยุโรปขู่ลงโทษเขาเมื่อปีที่แล้ว

Musk ตอบโต้บน X ด้วยมีมจากหนัง “Tropic Thunder” ที่ว่า: “ถอยหลังก้าวใหญ่และเอา… หน้าตัวเองไปได้เลย!” แสดงถึงความแสบที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา

ต้องบอกว่า AfD ไม่ใช่พรรคธรรมดา หน่วยข่าวกรองเยอรมันจัดให้เป็น “กลุ่มหัวรุนแรงต้องสงสัย” แต่กลับกลายเป็นพรรคฝ่ายค้านใหญ่ที่สุดหลังการเลือกตั้งล่าสุด แม้จะมีมลทินเชื่อมโยงกับฝ่ายขวาจัดเพราะประวัติศาสตร์นาซีของเยอรมนี

นักการเมืองอาวุโสคนหนึ่งของพรรคเคยถูกบังคับให้ถอนตัวเมื่อปีที่แล้วหลังพูดว่า SS ซึ่งเป็นกองกำลังหลักของนาซี “ไม่ใช่อาชญากรทั้งหมด” ทั้งนี้ Musk ได้ถ่ายทอดการสัมภาษณ์กับ Alice Weidel ผู้นำพรรค AfD บน X เมื่อวันที่ 9 มกราคม

ความนิยมที่พุ่งทะยานของ AfD ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในเยอรมนี แต่สะท้อนการเติบโตแบบพุ่งพรวดของพรรคฝ่ายขวาจัดทั่วยุโรป

จากเดิมที่เคยเป็นแค่กลุ่มชายขอบ ปัจจุบันพรรคฝ่ายขวาจัดในหลายประเทศได้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งหรือร่วมรัฐบาลในอิตาลี เนเธอร์แลนด์ ฮังการี สโลวาเกีย ฟินแลนด์ และโครเอเชีย

พวกเขาเป็นพรรคใหญ่ที่สุดหรืออันดับสองในรัฐสภาของสวีเดน ออสเตรีย และเยอรมนี มีคะแนนนิยมพุ่งในฝรั่งเศส และกำลังเติบโตในโรมาเนีย เบลเยียม สเปน และโปรตุเกส

ปัจจัยที่ดันความนิยมพรรคเหล่านี้คือการย้ายถิ่นฐานที่สูง เศรษฐกิจชะงักงัน และการรับรู้ว่าเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นถูกจำกัด – ซึ่งเป็นประเด็นที่ Musk มักจะโพสต์จี้ประเด็นเหล่านี้ใน X

มีการสังเกตว่า Musk ให้ความสนใจการเมืองยุโรปมากขึ้นหลังช่วย Trump ชนะเลือกตั้งกลับสู่ทำเนียบขาวเมื่อพฤศจิกายนด้วยเงินบริจาคกว่า 250 ล้านดอลลาร์

Musk ไม่ได้จำกัดการแสดงความคิดเห็นเฉพาะในเยอรมนี แต่ใช้ X สนับสนุนบุคคลฝ่ายขวาในอังกฤษ อิตาลี และโรมาเนีย พร้อมไม่ลังเลที่จะเยาะเย้ยผู้นำการเมืองและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหภาพยุโรป

ข้อมูลชี้ว่าเมื่อ Musk เริ่มสนับสนุน AfD ครั้งแรกวันที่ 20 ธันวาคม พรรคมีคะแนนนิยมอยู่ที่ 19.3% และสุดท้ายได้ 20.8% ในการเลือกตั้ง แสดงว่าอิทธิพลของเขาต่อผลเลือกตั้งมีน้อยมาก

นักวิเคราะห์บางคนมองว่าปัจจัยอื่นส่งผลต่อคะแนน AfD มากกว่า เช่น เหตุการณ์โจมตีรุนแรงในเยอรมนีโดยผู้ต้องสงสัยจากตะวันออกกลางและอัฟกานิสถาน ซึ่งตรงกับนโยบายของพรรคที่ต้องการเนรเทศผู้อพยพ

แม้อิทธิพลจะไม่มาก แต่ Martin Fassnacht ประธานด้านกลยุทธ์และการตลาดที่ WHU – Otto Beisheim School of Management กล่าวว่า “เขาช่วยให้ AfD ดูเจ๋งและสร้างสรรค์มากขึ้น” โดยเฉพาะในกลุ่มคนอายุน้อย ซึ่งอาจเป็นผลดีต่อการเลือกตั้งครั้งต่อไป

ในขณะที่ Musk สยายปีกอิทธิพลทางการเมืองในยุโรป ธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าของเขากลับดิ่งลงเหว การแสดงจุดยืนทางการเมืองฝ่ายขวาจัดทำให้ยอดขาย Tesla ในยุโรปลดฮวบถึง 45% ในเดือนมกราคมเทียบกับปีก่อน ขณะที่คู่แข่งเพิ่มขึ้นกว่า 37%

ข้อมูลในช่วงต้นกุมภาพันธ์ชี้ว่าแนวโน้มการลดลงยังคงดำเนินต่อไป ผู้จัดการในอุตสาหกรรมรถยนต์ขององค์กรสี่แห่งบอกว่าส่วนแบ่ง Tesla ในการดูแลของพวกเขาคงที่หรือลดลง ส่งสัญญาณถึงช่วงเวลาท้าทายที่ Tesla กำลังเผชิญ

Reuters วิเคราะห์โพสต์ของ Musk บน X พบว่าเขาหันมาสนใจการเมืองยุโรปมากขึ้นหลังช่วย Trump ชนะเลือกตั้งด้วยเงินบริจาคมหาศาล

ในอังกฤษ Musk โจมตีนายกฯ Keir Starmer เรียกร้องปล่อยนักเคลื่อนไหวฝ่ายขวาจัดที่ถูกจำคุก และสนับสนุนพรรค Reform ซึ่งมีนโยบายลดการย้ายถิ่นฐานและละทิ้งเป้าหมายการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของ Trump

ในอิตาลี เขาสร้างสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนายกฯ Giorgia Meloni โดยทั้งคู่กังวลเรื่องการย้ายถิ่นฐานและอัตราเกิดที่ลดลงในประเทศตะวันตก Meloni ถึงกับเรียก Musk ว่าเป็น “อัจฉริยะผู้ทรงคุณค่า”

ส่วนในโรมาเนีย Musk ส่งเสริมโพสต์เกี่ยวกับนักการเมืองฝ่ายขวาจัด Calin Georgescu และวิจารณ์ผู้พิพากษาที่ยกเลิกการลงสมัครประธานาธิบดีของ Georgescu เมื่อปีที่แล้ว ด้วยข้อสงสัยเรื่องการแทรกแซงจากรัสเซีย

Damian Tambini ผู้เชี่ยวชาญจาก London School of Economics บอกว่าแพลตฟอร์มเทคโนโลยีอเมริกันอย่าง X มีพลังมหาศาลในการกำหนดความคิดเห็นสาธารณะในยุโรป

“ไม่เหลือเชื่อเกินไปที่ Musk จะพลิกประเทศผ่านการเมืองได้” Tambini กล่าว “ซึ่งจะสร้างสมดุลอำนาจที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง” ภายในสหภาพยุโรป เมื่อรัฐบาลฝ่ายขวาจัดมีอิทธิพลมากขึ้น พวกเขาอาจช่วย Musk ยกเลิกหรือลดความเข้มงวดของกฎระเบียบที่เขาไม่ชอบ

Musk ซึ่งเข้ามาช่วย Trump ในการลดขนาดรัฐบาลกลางสหรัฐ วิจารณ์กฎระเบียบธุรกิจยุโรปอย่างเปิดเผย เรียกว่าเป็นสิ่งไม่ดีต่อการเติบโตและเป็นการเซ็นเซอร์

เขาถูกสอบสวนโดยสหภาพยุโรปเป็นเวลากว่าหนึ่งปีสำหรับการละเมิดกฎหมายที่กำกับแพลตฟอร์มสังคมออนไลน์ โดย X อาจเจอค่าปรับ 6% ของรายได้ทั่วโลกหากไม่จัดการกับเนื้อหาผิดกฎหมายและข้อมูลเท็จ

เมื่อวิเคราะห์การวิจารณ์ยุโรปของ Musk พบว่าเขามักแชร์ข้อมูลที่ไม่ได้รับการยืนยันและรีโพสต์คนดัง ๆ ที่มักเผยแพร่ข้อมูลเท็จ

โพสต์ส่วนใหญ่เกี่ยวกับการย้ายถิ่นฐาน ข้อจำกัดเสรีภาพแสดงความคิดเห็น อัตราเกิดที่ลดลง และสิทธิคนข้ามเพศ เขาหลีกเลี่ยงสื่อกระแสหลัก นักการเมือง และนักวิชาการ แต่สนับสนุนเครือข่ายบัญชีฝ่ายขวาจัดใน X

หนึ่งในบัญชีที่ Musk สนับสนุนคือ PeterSweden7 โดย Peter Imanuelsen นักข่าวที่เคยบอกว่าเหตุการณ์ 9/11 เป็นการจัดฉากและการลงจอดบนดวงจันทร์เป็นของปลอม Musk รีโพสต์ข้อความบิดเบือนของเขาอย่างน้อย 6 ครั้ง

อีกบัญชีที่ Musk มีปฏิสัมพันธ์ประจำคือของ Tommy Robinson นักปลุกระดมฝ่ายขวาที่มีประวัติฉ้อโกงและทำร้ายร่างกาย ปัจจุบันติดคุกเพราะฝ่าฝืนคำสั่งศาลลอนดอน Musk เรียกร้องปล่อยตัวเขาโดยรีโพสต์ข้อความเท็จว่าเขาเป็น “นักโทษการเมือง”

Mert Can Bayar นักวิจัยจาก University of Washington บอกว่า สำหรับ Musk เจ้าของบัญชีเหล่านี้เป็นเหมือนทหารในสงครามระหว่างนักการเมืองฝ่ายซ้ายที่จำกัดเสรีภาพ กับผู้สนับสนุนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นฝ่ายขวา

ในขณะที่อิทธิพลของ Musk ต่อการเมืองยุโรปยังไม่ชัดเจน การเคลื่อนไหวทางการเมืองของเขาส่งผลกระทบชัดเจนต่อ Tesla ยอดขายในยุโรปดิ่งเหว หลังจากลดลง 10.8% ในปี 2024 ในช่วงที่ตลาดลดลงเพียง 1.3%

การสำรวจโดย Electrifying.com พบว่า 59% ของชาวอังกฤษที่เป็นเจ้าของรถไฟฟ้าหรือวางแผนซื้อ จะไม่เลือก Tesla เพราะ Musk มีแคมเปญต่อต้าน Tesla ใน X ด้วยแฮชแท็ก #teslatakedown และ #swasticars

ความคิดเห็นทางการเมืองของ Musk เพิ่มปัญหาให้ Tesla เมื่อ Model Y เปิดตัวปี 2020 มีรถไฟฟ้าเพียง 25 รุ่นในอังกฤษ แต่ในปัจจุบันมี 133 รุ่น เพราะแบรนด์จีนนำรถราคาไม่แพงเข้ามาลุยตลาด

Tim Albertsen ซีอีโอของ Ayvens บริษัทให้เช่ารถใหญ่ที่สุดในยุโรป กล่าวว่า “ไลน์อัพผลิตภัณฑ์ ของ Tesla ค่อนข้างอ่อนแอ”

Ben Kilbey ผู้บริหารบริษัทสื่อสารในอังกฤษ เจ้าของ Model Y สามปี บอกว่ากำลังจะเลิกใช้รถคันนี้เพราะ Musk “ผมรัก Tesla ของผม รักเทคโนโลยี แต่ไม่อยากถูกเชื่อมโยงกับการเมืองหรือเรื่องคุยโวโอ้อวดของ Musk ใน X”

การเคลื่อนไหวของ Musk ในยุโรปสะท้อนการคำนวณที่ซับซ้อนระหว่างธุรกิจและอุดมการณ์ส่วนตัว แม้การแสดงจุดยืนฝ่ายขวาจัดทำร้าย Tesla ในระยะสั้น แต่เขาอาจวางแผนระยะยาวเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่ออาณาจักรเทคโนโลยีในอนาคต

การสนับสนุนพรรคที่แนวโน้มลดกฎระเบียบอาจเป็นกลยุทธ์ให้ Tesla, SpaceX หรือ X ดำเนินการได้อิสระมากขึ้น โดยเฉพาะในสหภาพยุโรปที่มีกฎเข้มงวด

แต่การเดิมพันนี้มาพร้อมความเสี่ยงสูง ผู้บริโภคในยุโรป โดยเฉพาะกลุ่มสนใจรถไฟฟ้า มักมีแนวคิดเสรีนิยมและให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและสังคม การผลักดันวาระการเมืองที่ขัดค่านิยมลูกค้า อาจทำลายแบรนด์ Tesla ระยะยาว

ความท้าทายของ Musk คือสร้างสมดุลระหว่างวาระส่วนตัวกับความรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้น Tesla ที่อาจกังวลเรื่องมูลค่าหุ้นและส่วนแบ่งตลาดที่ลดลง

การบูรณาการระหว่างเทคโนโลยีและการเมืองแบบนี้อาจเป็นเทรนด์ที่เติบโตในอนาคต เมื่อบริษัทเทคโนโลยีมีอำนาจมากขึ้นต่อชีวิตผู้คน ผู้นำบริษัทอาจรู้สึกมีสิทธิ์และความรับผิดชอบในการร่วมกำหนดนโยบายที่ส่งผลต่อธุรกิจ

คำถามสำคัญคือ การมีส่วนร่วมทางการเมืองของผู้นำเทคโนโลยีอย่าง Musk จะส่งผลดีต่อประชาธิปไตยและสังคมหรือไม่ หรือจะนำสู่การกระจุกตัวของอำนาจมากเกินไปในมือคนกลุ่มเล็กที่มีทรัพยากรและอิทธิพลมหาศาล

การเคลื่อนไหวของ Musk ในยุโรปน่าจะดำเนินต่อไป โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาความสำเร็จล่าสุดในการสนับสนุน Trump และบทบาทเป็นที่ปรึกษาอาวุโสของเขา การสนับสนุนพรรคฝ่ายขวาจัดในยุโรปอาจเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์สร้างระเบียบโลกใหม่ที่เอื้อต่อวิสัยทัศน์ของเขา

ในท้ายที่สุด เรื่องราวของ Musk เป็นบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับความสัมพันธ์ซับซ้อนระหว่างผู้นำธุรกิจ บริษัท และการเมือง แม้เขามีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นและสนับสนุนพรรคที่เลือก แต่การกระทำมีผลกระทบต่อทั้งธุรกิจและสังคมในวงกว้าง

ชะตากรรมของ Tesla และอิทธิพลทางการเมืองของ Musk จะเป็นเรื่องน่าจับตาในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งจะบอกเราว่าเกมของมหาเศรษฐีเทคโนโลยีผู้นี้จะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว ในการขีดชะตาอนาคตของยุโรปและธุรกิจของเขาเอง

Geek Talk EP71 : สมาร์ทโฟนบนล้อ VS วิศวกรรมชั้นเยี่ยม การต่อสู้เชิงปรัชญาระหว่างรถจีนและญี่ปุ่น

ก็ต้องบอกว่าเป็นเวลาหลายทศวรรษมาแล้วที่ญี่ปุ่นเป็นกำลังสำคัญในโลกยานยนต์ ลองจินตนาการถึงถนนในเมืองต่างๆ ช่วงทศวรรษ 70 และ 80 คุณอาจเห็นคลื่นแบรนด์ญี่ปุ่น ตั้งแต่รถขนาดเล็กประหยัดน้ำมันไปจนถึงรถสปอร์ตที่ได้รับความนิยมในหมู่นักขับขี่ ผู้ผลิตรายใหญ่อย่าง Toyota, Nissan และ Honda ไม่เพียงประสบความสำเร็จในประเทศ แต่ยังพิชิตตลาดต่างประเทศได้ทั้งในสหรัฐอเมริกาและยุโรป สูตรลับของพวกเขาคือความน่าเชื่อถือ เทคนิคการผลิตที่มีประสิทธิภาพ และรถยนต์ที่ประหยัดน้ำมันได้ดีเยี่ยม

การเติบโตนี้ได้รับแรงหนุนจากวิกฤตน้ำมันในทศวรรษ 1970 ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น และผู้ขับขี่ทั่วโลกต้องการรถที่กินน้ำมันน้อย ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นซึ่งได้พัฒนาการผลิตภายใต้ข้อจำกัดในประเทศจนเกือบสมบูรณ์แบบ เข้ามาพร้อมกับรถขนาดเล็กประหยัดที่เปลี่ยนเกมไปเลย เช่น Toyota Corolla และ Honda Civic ซึ่งกลายเป็นไอคอนระดับโลก

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/3evzppt8

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/mu8348jw

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/y7fkvmuy

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/VgzdHFfJ0Ik

จากโกดังเก่าสู่แบรนด์โดรนระดับโลก 20 ปีแห่งการบุกเบิก เรื่องราวของ Frank Wang ผู้ก่อตั้ง DJI

ผมว่าหลายคนอาจจะสงสัยว่าโดรนที่ถ่ายภาพสวยๆ ที่เห็นกันทั่วไปนั้นมาจากไหน? ซึ่งเมื่อก่อนการถ่ายภาพจากมุมสูงต้องใช้เงินเป็นหมื่นดอลลาร์เพื่อเช่าเฮลิคอปเตอร์ แต่ตอนนี้เราสามารถทำได้ด้วยโดรนราคาไม่กี่พันบาท

เบื้องหลังความเปลี่ยนแปลงนี้คือบริษัทที่ชื่อ DJI ผู้รังสรรค์นวัตกรรมที่ทำให้การถ่ายภาพทางอากาศกลายเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็เข้าถึงได้ แต่เส้นทางสู่ความสำเร็จของพวกเขาเต็มไปด้วยอุปสรรคและการต่อสู้ที่น่าทึ่งเอามาก ๆ

ย้อนกลับไปในปี 1980 ที่เมืองหงหู ประเทศจีน มีเด็กชายคนหนึ่งชื่อ Frank Wang เกิดในครอบครัวชนชั้นกลาง พ่อเป็นวิศวกร แม่เป็นครู ชีวิตของเขาก็เหมือนเด็กทั่วไป ไม่มีอะไรโดดเด่น

แต่พรหมลิขิตเริ่มขีดเขียนเมื่อ Frank ได้อ่านหนังสือเด็กเล่มหนึ่งที่มีภาพเฮลิคอปเตอร์บนปก หนังสือเล่มนี้จุดประกายความหลงใหลในเครื่องบินให้กับเขาอย่างมหาศาล

Frank ไม่ใช่นักเรียนเกรดดี แต่เขาใช้เวลาอ่านหนังสือและบทความเกี่ยวกับการบินและหุ่นยนต์แทบทุกเล่มที่หาได้ ราวกับถูกมนต์สะกดให้หลงใหลในโลกแห่งการบิน

เมื่ออายุ 21 ปี Frank เข้าเรียนที่ East China Normal University ในเซี่ยงไฮ้ แม้จะฝันถึงมหาวิทยาลัยอย่าง Stanford หรือ MIT แต่โชคชะตาไม่เข้าข้าง ทุกที่ปฏิเสธเขาหมด

แต่ชีวิตเหมือนมีเส้นทางของมันเอง ในปี 2003 Frank ได้เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฮ่องกง ที่นี่เองที่ชีวิตของเขาเริ่มเปลี่ยนแปลง

ที่มหาวิทยาลัย Frank พบกับสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อความฝันของเขา มีการแข่งขันหุ่นยนต์ให้นักศึกษาได้แสดงฝีมือ และ Frank ก็ไม่พลาดโอกาส

เขาคว้าแชมป์การแข่งขันระดับมหาวิทยาลัย และพาทีมคว้าอันดับสามในระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาเริ่มเป็นที่จับตามอง

แต่ความท้าทายที่แท้จริงมาถึงเมื่อ Frank ต้องเลือกหัวข้อวิทยานิพนธ์ เขาตัดสินใจทำเรื่องระบบควบคุมการบินอัตโนมัติสำหรับอากาศยาน ซึ่งอาจารย์หลายคนบอกว่าเกินความสามารถของนักศึกษาปริญญาตรี

แต่ Frank ยืนกรานจะทำตามความฝัน แม้ต้องเสี่ยงกับผลการเรียนและโอกาสในอนาคต นี่แหละคือความกล้าที่จะเดินตามฝันแม้คนอื่นจะมองว่าเป็นเรื่องเพ้อฝัน

ในระหว่างการนำเสนอโครงการ Frank ทำให้โมเดลเสียหายโดยไม่ตั้งใจ และได้เกรด C ซึ่งทำให้โอกาสเรียนต่อปริญญาโทแทบจะมลายหายไปหมดสิ้น

แต่แล้วจุดพีคของชีวิตก็มาถึง เมื่อศาสตราจารย์ Lee Zixiang ผู้มีประสบการณ์จาก MIT และ NYU เห็นศักยภาพในตัว Frank และโครงการของเขา

ศาสตราจารย์ Lee ไม่เพียงรับ Frank เป็นนักศึกษาในการดูแล แต่ยังช่วยหาทรัพยากรและเงินทุนที่จำเป็นทั้งหมด นี่คือโอกาสทองที่ Frank รอคอย

ปี 2006 เป็นปีแห่งการเริ่มต้น Frank และเพื่อนๆ ก่อตั้ง DJI Technology ในโกดังเก่าที่เซินเจิ้น ชื่อ DJI มาจาก Da-Jiang Innovations ซึ่งแปลว่า “นวัตกรรมแดนไกล” ในภาษาจีน

ด้วยความช่วยเหลือจากศาสตราจารย์ Lee Frank สามารถพัฒนาระบบควบคุมการบินรุ่นแรกและเริ่มขายเฮลิคอปเตอร์บังคับวิทยุได้ในปีเดียวกัน

แต่ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ธุรกิจเริ่มต้นด้วยเงินทุนน้อยนิด การผลิตต้องทำด้วยมือทั้งหมด ทำให้ผลิตได้จำกัด และตลาด UAV ในขณะนั้นยังไม่ชัดเจน

Frank และทีมต้องทำงานหนักจนแทบไม่ได้นอน บางครั้งต้องปฏิเสธคำสั่งซื้อเพราะทำไม่ทัน มีช่วงหนึ่งที่ Frank คิดจะปิดกิจการเพราะรู้สึกเหมือนกำลังเข็นครกขึ้นภูเขา

แต่แล้วโชคชะตาก็เข้าข้าง ในปี 2008 Frank สามารถพัฒนาเฮลิคอปเตอร์ UAV ที่มีประสิทธิภาพเจ๋งมากๆ แม้จะมีราคาถึง 30,000 ดอลลาร์ แต่ก็มีคนต้องการเพราะมันใช้งานได้จริง

สิ่งที่ทำให้ DJI โดดเด่นคือเทคโนโลยีการลอยตัวในอากาศที่เสถียรกว่าใคร ระบบควบคุมการบินรุ่นที่สามของ DJI สร้างการปฏิวัติในวงการด้วยคุณสมบัติที่โครตเทพ

เหตุการณ์แผ่นดินไหวในเสฉวนปี 2008 เป็นโอกาสให้ DJI แสดงศักยภาพ Frank ใช้โดรนถ่ายภาพพื้นที่ประสบภัยได้มากกว่า 1,000 ภาพ ช่วยในการวางแผนให้ความช่วยเหลือได้อย่างมาก

ความสำเร็จนี้ทำให้ DJI เป็นที่จับตามองจากหน่วยงานรัฐ สถาบันทหาร และองค์กรวิจัยต่างๆ ที่พร้อมจ่ายเงินมหาศาลเพื่อซื้อเทคโนโลยีของ Frank

แต่แทนที่จะมุ่งเป้าไปที่ตลาดภาครัฐ Frank กลับตัดสินใจพัฒนาโดรนสำหรับผู้บริโภคทั่วไป นี่คือการตัดสินใจที่หลายคนอาจมองว่าเป็นการเสี่ยงเกินไปหรือไม่

ปี 2010 DJI พัฒนาระบบควบคุมการบิน ACE1 ที่เล็ก เบา แต่เสถียรสุดๆ นำไปสู่การขยายตลาดไปยุโรปและอเมริกา การค้นพบว่าลูกค้านิยมใช้อุปกรณ์กันสั่นร่วมกับโดรนสี่ใบพัด ทำให้ Frank มองเห็นโอกาสใหม่

ปี 2012 DJI สร้างปรากฏการณ์ด้วย Zenmuse Z15 กิมบอลแบบ 3 แกนประสิทธิภาพสูง แม้ราคา 22,000 ดอลลาร์ แต่คำสั่งซื้อพุ่งทะยาน สร้างรายได้หลายร้อยล้าน

ตามมาด้วย S800 โดรนหกใบพัดสำหรับถ่ายทำภาพยนตร์ที่มาพร้อมกับกิมบอล Zenmuse ทำให้ DJI กลายเป็นที่หนึ่งในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ฮอลลีวูด

การเปิดตัว DJI Phantom โดรนสี่ใบพัดรุ่นแรกสำหรับผู้บริโภคทั่วไป สร้างการเปลี่ยนแปลงสุดอลังการ ด้วยราคาเพียง 1,000 ดอลลาร์ ทำให้คนธรรมดาก็เป็นช่างภาพมุมสูงได้

การขยายธุรกิจในอเมริกาเหนือไม่ได้ราบรื่น แม้จะได้รับการสนับสนุนจาก Colin Ginn นักแสดงรายการเรียลลิตี้ชาวอเมริกัน แต่ความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ทำให้ต้องยุติความร่วมมือ

แทนที่จะพึ่งพาพันธมิตรภายนอก DJI เลือกพัฒนาทุกอย่างเอง ภายในหนึ่งปีพวกเขาสร้างกล้อง 4K ของตัวเองและผสานเข้ากับ Phantom 3 สร้างซีรีส์กล้องแอคชั่นที่แข่งกับ GoPro ได้สบาย

แม้จะเผชิญมาตรการคว่ำบาตรจากสหรัฐที่ห้ามหน่วยงานรัฐใช้โดรน DJI แต่ด้วยคุณภาพที่เหนือชั้น ทำให้ DJI ยังครองตลาดได้อย่างเหนียวแน่น

ความแข็งแกร่งทางการเงินของ DJI เห็นได้จากการระดมทุนปี 2018 ที่มีนักลงทุนกว่า 100 รายแห่กันมาลงทุน เสนอเงินรวมกว่า 3 พันล้านดอลลาร์ ทั้งที่ต้องการแค่ 1 พันล้าน

DJI นำเงินไปลงทุนในเทคโนโลยีออปติคอล กล้องประสิทธิภาพสูง และเทคโนโลยีขั้นสูง ทั้งซื้อกิจการและดึงผู้เชี่ยวชาญจากบริษัทกล้องชั้นนำอย่าง Nikon, Sony และ Hasselblad

ปัจจัยความสำเร็จของ DJI มาจากที่ตั้งในเซินเจิ้นซึ่งเป็นศูนย์กลางนวัตกรรม การมีสิทธิบัตรกว่า 18,000 รายการ และการสร้างเครือข่ายบริการที่ครอบคลุมทั่วโลก

แม้มีความกังวลเรื่องการนำโดรน DJI ไปใช้ในการทหาร โดยเฉพาะในสงครามรัสเซีย-ยูเครน แต่บริษัทยังคงยึดมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการสร้างสรรค์

ด้วยรายได้ประมาณ 4 พันล้านดอลลาร์ในปี 2021 และอัตรากำไร 20-25% DJI ยังคงเป็นผู้นำในการพัฒนานวัตกรรมโดรนและอุปกรณ์ถ่ายภาพที่ใครๆ ก็อยากเป็นเจ้าของ

เรื่องราวของ DJI แสดงให้เห็นว่าความฝันของเด็กคนหนึ่งที่หลงใหลในการบิน สามารถเปลี่ยนโลกได้จริงๆ ไม่ใช่แค่ความฝันลมๆ แล้งๆ แต่เป็นพลังที่ขับเคลื่อนให้เกิดนวัตกรรมระดับโลก

ทุกครั้งที่คุณเห็นภาพมุมสูงสวยๆ จากโดรน DJI ลองนึกถึงเด็กชายคนหนึ่งที่เคยถูกปฏิเสธจากมหาวิทยาลัยในฝัน แต่ไม่เคยละทิ้งความหลงใหลในการบิน จนกลายเป็นผู้เปลี่ยนวิธีที่เรามองโลกไปตลอดกาล