ย้อนกลับไปช่วงปี 1939 HP ก่อร่างสร้างตัวจากบริษัทในโรงรถธรรมดาๆ แล้วค่อยๆ เติบโตจนได้รับการเทิดทูนว่าเป็นบิดาแห่ง Silicon Valley ความเทพของพวกเขาถึงขั้นผลิตอุปกรณ์ให้กับ Walt Disney ในยุค 40s
แต่จู่ๆ ทุกอย่างก็พลิกผัน เมื่อ CEO คนใหม่ก้าวเข้ามาทำลายบริษัท เธอกลายเป็นผู้บริหารที่ถูกเกลียดชังที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ธุรกิจ และทำให้หุ้น HP ดิ่งลงเหว พนักงานกว่า 30,000 คนต้องหางานใหม่
HP มีชื่อเสียงโด่งดังในวงการเทคโนโลยี เป็นที่เชิดหน้าชูตาของวงการคอมพิวเตอร์และเครื่องพิมพ์มาอย่างยาวนาน
แต่พอถึงยุค 90s บริษัทเริ่มมีรอยร้าว พวกเขามีหน่วยธุรกิจถึง 83 หน่วย ต่างคนต่างทำงาน ซ้ำซ้อนกันไปหมด วัฒนธรรมองค์กรที่เคยเจ๋งกลับกลายเป็นอุปสรรค
พนักงานหวังโบนัสทั้งที่ผลงานไม่เข้าเป้า HP ที่เคยเป็นลูกพี่ในวงการนวัตกรรมกลับกลายเป็นระบบราชการยักษ์ใหญ่ที่ไม่ยอมปรับตัว และกำลังสูญเสียตลาดให้กับ Dell, IBM และ Apple
คณะกรรมการบริษัทมองหาคนที่จะมาสร้างความเปลี่ยนแปลง เพื่อดึง HP กลับมาเทพเหมือนเดิม จุดนี้เองที่ Carly Fiorina เดินเข้ามารับตำแหน่ง CEO
Fiorina ไม่ใช่คนธรรมดา เธอสร้างชื่อที่ AT&T จนได้ฉายาว่าเป็น “นักขายที่โครตเทพที่สุดในวงการ” ผลงานเด็ดของเธอคือการนำบริษัท Lucent (แยกตัวจาก AT&T) ระดมทุนผ่าน IPO ได้มากกว่า 3 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่ทำให้คนในวงการอ้าปากค้าง
ปี 1999 เธอได้รับตำแหน่ง CEO ของ HP ทำให้กลายเป็นผู้หญิงคนแรกที่นั่งเก้าอี้ CEO ในบริษัท Fortune 20 แถมยังได้ค่าตอบแทนแรกเข้าที่สูงลิบลิ่ว
แต่มีจุดน่าสงสัยบางอย่างเพราะ Fiorina ไม่เคยเป็น CEO มาก่อนเลย แต่กลับมาบริหารบริษัทใหญ่ระดับโลก ทุกคนต่างกังวลว่าเธอจะรับมือไหวหรือไม่
ไม่นานหลังจากเข้ารับตำแหน่ง เธอประกาศแผนสุดล้ำ HP จะควบรวมกับ Compaq มูลค่ามหาศาล 25 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งในตอนนั้น HP มีพนักงาน 84,400 คน ส่วน Compaq มี 63,700 คน การควบรวมครั้งนี้จึงใหญ่โตมโหฬาร
Fiorina เชื่อมั่นว่านี่คือกลยุทธ์ที่จะทำให้ HP แซงหน้าคู่แข่งในตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล แต่แผนนี้ถูกคัดค้านอย่างหนัก โดยเฉพาะจาก Walter Hewlett ลูกชายผู้ก่อตั้ง HP
Walter Hewlett มองว่าการควบรวมจะนำไปสู่หายนะ พนักงานนับหมื่นจะต้องตกงาน แต่ Fiorina กลับเมินเฉย แถมยังดูถูก Hewlett ว่าเป็นแค่ “นักวิชาการและนักดนตรี” ในจดหมายที่ส่งถึงผู้ถือหุ้น
เรื่องราวกลายเป็นฉาวโฉ่เมื่อจดหมายนี้รั่วไหลสู่สื่อ ความขัดแย้งเพิ่มสูงขึ้น กรรมการบริษัทและผู้ถือหุ้นตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ท้ายที่สุด ด้วยคะแนนเสียงฉิวเฉียด การควบรวมได้รับการอนุมัติ แม้ Walter Hewlett จะพยายามสู้ในศาล แต่ก็แพ้ราบคาบ การควบรวมระหว่าง HP และ Compaq เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 3 พฤษภาคม 2002
ช่วงแรก ทุกอย่างดูเข้าท่า HP กลายเป็นผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลรายใหญ่ที่สุดในโลก Fiorina ประกาศอย่างภาคภูมิใจว่ารายได้ของบริษัทพุ่งทะยานจาก 42.4 พันล้านดอลลาร์ในปี 1999 เป็น 86.7 พันล้านดอลลาร์ในปี 2005
แต่นี่เป็นแค่ภาพลวงตา ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นมาจากการรวมรายได้ของ Compaq เท่านั้น ความจริงแล้ว กำไรสุทธิของ HP ลดฮวบจาก 3.1 พันล้านดอลลาร์ในปี 1999 เหลือแค่ 2.4 พันล้านดอลลาร์ในปี 2005
Fiorina ไม่ได้รับความชื่นชมจากพนักงานเลย เธอได้รับฉายา “Chainsaw Carly” หลังจากสั่งเลิกจ้างพนักงาน 2,000 คนในช่วงวิกฤตเทค วิธีการสื่อสารของเธอก็น่าปวดหัว
ในการประชุมครั้งแรกกับผู้จัดการระดับสูง เธอกล่าวว่า “คุณต้องทำตามเป้า ไม่มีข้อแก้ตัว ถ้าทำไม่ได้ ฉันจะหาคนอื่นมาแทน”
ผลสำรวจพนักงาน 8,000 คนในปี 2001 แสดงให้เห็นความไม่พอใจที่ล้นหลาม ทั้งเรื่องการสื่อสารและการตัดสินใจ นี่เป็นความเปลี่ยนแปลงที่น่าตกใจ เพราะก่อนหน้านี้ HP เคยได้คะแนนความพึงพอใจของพนักงานสูงลิบในวงการธุรกิจอเมริกา
ก่อนการควบรวม Fiorina บอกว่าพนักงาน HP 15,000 คนอาจต้องตกงาน แต่ตัวเลขจริงพุ่งเกิน 30,000 คน
แม้หลังจากควบรวมเสร็จสิ้น HP ก็ยังอ่วม พวกเขาเสียส่วนแบ่งตลาดในหลายอุตสาหกรรม แม้แต่ตลาดเครื่องพิมพ์ที่เคยเป็นจุดแข็งก็ถูก Dell รุกคืบ
บรรยากาศในบริษัทเละเทะไปหมด พนักงานบางคนถึงขั้นโห่ไล่ Fiorina ในการประชุม HP ต้องปิดกระดานข้อความภายในเพราะกลายเป็นลานประจานเธอ
ปี 2004 เป็นปีสุดท้ายของ Fiorina หุ้น HP สูญเสียมูลค่าไปครึ่งหนึ่ง เธอล้มเหลวในการรวมบริษัทและตัดสินใจผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แม้จะเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับวงการเทคโนโลยี เพราะฟองสบู่ดอตคอมเพิ่งแตก แต่วิธีการของเธอก็มีข้อบกพร่องมากมาย
ในปี 2005 Fiorina ถูกไล่ออกจากตำแหน่ง CEO พร้อมเงินชดเชยมูลค่า 42 ล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงมากจนผู้ถือหุ้นหลายรายฟ้องร้อง
สองเดือนต่อมา Mark Hurd เข้ามารับตำแหน่ง CEO แทน เขาเป็นคนละขั้วกับ Fiorina โดยสิ้นเชิง ไม่ชอบเป็นจุดสนใจ ไม่ให้สัมภาษณ์ ไม่เข้าร่วมงานใหญ่ๆ
เขาเริ่มต้นด้วยการใช้เวลาหนึ่งวันทำงานที่ร้าน Best Buy เพื่อเข้าใจว่าลูกค้ามองผลิตภัณฑ์ HP อย่างไร
ภายใต้การนำของ Hurd HP เปลี่ยนกลยุทธ์การตลาดในปี 2006 ด้วยสโลแกน “The computer is personal again” เน้นตลาดคอมพิวเตอร์ราคาประหยัดถึงปานกลาง
เขาปรับโครงสร้างหน่วยธุรกิจใหม่ เน้นความรับผิดชอบและผลลัพธ์ แม้จะต้องเลิกจ้างพนักงานอีก 14,500 คน แต่เขาทำด้วยความเห็นอกเห็นใจมากกว่า
Hurd เคยพูดว่า “ผมไม่อยากลืมว่าเราได้บอกพนักงานจำนวนมากให้กลับบ้านไปบอกครอบครัวว่าไม่มีงานทำแล้ว” ความจริงใจนี้ทำให้พนักงานรู้สึกดีขึ้น
ภายในสองปีแรกของการบริหารงาน ราคาหุ้น HP เพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่า HP กลับมาแข่งขันในตลาดได้อีกครั้ง และเมื่อสิ้นปีงบประมาณ 2007 รายได้ของ HP ทะลุ 100 พันล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก
สัญชาตญาณของ Fiorina ในการควบรวมกับ Compaq ไม่ได้ผิดทั้งหมด มันทำให้ HP มีโอกาสครองตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล แต่เธอล้มเหลวในการดำเนินการให้ราบรื่น
จุดอ่อนของเธอคือการไม่สามารถสร้างความเข้าใจและแรงจูงใจให้พนักงานในการพัฒนาประสิทธิภาพและลดต้นทุน ซึ่งเป็นสิ่งที่ Hurd ทำได้ดีกว่ามาก
ปัจจุบัน แม้ HP จะผ่านการปรับโครงสร้างหลายครั้ง รวมถึงการแยกเป็นสองบริษัท แต่พวกเขายังคงรักษาความเป็นผู้นำในตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลของอเมริกาด้วยส่วนแบ่งประมาณ 25%
Carly Fiorina เป็น CEO ที่แย่จริงหรือไม่? คำตอบคือใช่ เพราะ HP ไม่ได้สร้างความเป็นผู้นำขึ้นมา แต่ซื้อมันมาด้วยเงินมหาศาล และถ้า HP ยังอยู่ภายใต้การนำของเธอต่อไป ใครจะรู้ว่าทุกอย่างจะพังทลายเร็วแค่ไหน
แต่เธอไม่ได้เป็นคนเดียวที่ต้องรับผิดชอบ คณะกรรมการที่เลือกเธอก็มีส่วน การสัมภาษณ์เธอไม่เคยมีกรรมการครบองค์ประชุม และพอเธอถูกไล่ออก ราคาหุ้นพุ่งขึ้นทันที 6.9% สะท้อนว่าทุกคนต่างโล่งอก
เรื่องราวของ HP สอนเราว่า แม้จะมีวิสัยทัศน์ที่ถูกต้อง แต่ถ้าขาดทักษะการบริหารและไม่เข้าใจวัฒนธรรมองค์กร การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ก็อาจกลายเป็นหายนะที่ยิ่งใหญ่ได้เช่นกัน