Geek Story EP309 : ทำไม Walkman ถึงเปลี่ยนโลก?ย้อนรอยตำนานเครื่องเล่นเพลงที่ปฏิวัติวิถีชีวิตคนทั้งโลก

วันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1979 ถือเป็นวันสำคัญที่เปลี่ยนแปลงวงการเครื่องเสียงตลอดกาล เมื่อบริษัทโซนี่ได้เปิดตัวนวัตกรรมที่จะกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งยุคสมัย นั่นคือ “Walkman” เครื่องเล่นเทปคาสเซ็ตพกพาเครื่องแรกของโลกที่ถูกออกแบบมาเพื่อการฟังเพลงส่วนตัว ณ ขณะนั้น ไม่มีใครคาดคิดว่าอุปกรณ์ชิ้นเล็กๆ นี้จะสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคดนตรีของมนุษยชาติได้อย่างสิ้นเชิง

ตลอดระยะเวลากว่าสี่ทศวรรษที่ผ่านมา Walkman ได้จำหน่ายไปแล้วมากกว่า 385 ล้านเครื่องทั่วโลก ตัวเลขอันน่าทึ่งนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงความสำเร็จทางการตลาดเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงการปฏิวัติวัฒนธรรมการฟังเพลงของผู้คนทั่วโลก Walkman ได้ปูทางให้กับเทคโนโลยีเครื่องเสียงพกพารุ่นต่อๆ มา ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเล่น MP3 หรือ iPod และเป็นแรงบันดาลใจให้กับนวัตกรรมด้านเสียงอีกมากมายในปัจจุบัน

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/62f5bm6w

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/acudbdcz

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/52wvkr2r

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/ZJIcbFLVchg

จาก No Name สู่คู่แข่ง Tesla เมื่อเด็กไอทีจีนท้าชนเบอร์หนึ่งบนเส้นทางปฏิวัติวงการยานยนต์

เรื่องราวที่น่าสนใจของชายคนหนึ่งที่เรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วเริ่มงานในวงการอินเทอร์เน็ต ด้วยความเป็นคนหัวไว เขารู้สึกอึดอัดกับการเป็นลูกจ้างอย่างรวดเร็ว จึงตัดสินใจเริ่มธุรกิจของตัวเอง

เขาสร้างซอฟต์แวร์เจ๋งๆ จนดังกระฉูด เมื่อถึงจุดพีคของความสำเร็จ เขาขายกิจการได้เงินมากมาย แล้วหันมาเริ่มธุรกิจที่สอง: ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะ

ชายคนนี้ไม่ใช่ Elon Musk อย่างแน่นอน แต่เป็นชายชาวจีนนามว่า He Xiaopeng ผู้สร้างอาณาจักร XPeng Motors ที่กำลังสยายปีกในวงการรถยนต์ไฟฟ้าระดับโลก

He Xiaopeng เกิดวันที่ 3 พฤศจิกายน 1977 ที่เมือง Huangshi มณฑล Hubei ในจีนตอนกลาง เขาเรียนจบปริญญาตรีสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์จาก South China University of Technology

ในปีที่จบ (1999) เขาได้งานที่ AsiaInfo Technologies ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจที่อยู่แนวหน้าของอินเทอร์เน็ตจีน ต่างจากเพื่อนๆ ที่พยายามหลีกเลี่ยงการทำงานกับรัฐ

He ตั้งเป้าชัดเจน: อิสรภาพทางการเงินก่อนอายุ 40 ปี แม้ได้รับหุ้นมูลค่า 30,000 ดอลลาร์เมื่อ AsiaInfo เข้าตลาดหลักทรัพย์ แต่เขารู้ว่านี่ไม่ใช่ที่ที่จะทำให้เขาถึงเป้าหมาย

ที่ AsiaInfo เขาได้ร่วมงานกับโปรแกรมเมอร์ฝีมือเทพชื่อ Liang Jie พวกเขารับผิดชอบสร้างระบบอีเมลขนาดใหญ่ด้วยกัน ในปี 2004 ทั้งคู่ลาออกเพื่อก่อร่างสร้างตัวกับธุรกิจใหม่ชื่อ UCWeb

ในช่วงนั้น He สร้างเครือข่ายผู้ประกอบการเทคโนโลยีมากมาย ทั้ง Ding Lei (NetEase), Li Xueling (YY.com) และ Lei Jun (Xiaomi) หลายคนสร้างบริษัทโครตเทพ และคอยสนับสนุนกันเมื่อต้องเผชิญปัญหา

He และ Jie มุ่งพัฒนาแอปพลิเคชันมือถือซึ่งตอนนั้นยังเป็นเรื่องใหม่ ผลิตภัณฑ์หลักของ UCWeb คือเว็บเบราว์เซอร์และอีเมล ก่อนขยายไปสู่เกมและการค้นหา

UCWeb กลายเป็นเบราว์เซอร์มือถือที่นิยมที่สุดในจีนอย่างรวดเร็ซ ความสำเร็จนี้ทำให้บริษัทเนื้อหอม และในปี 2014 พวกเขาขายบริษัทให้ยักษ์ใหญ่ Alibaba มูลค่า 4.3 พันล้านดอลลาร์

ที่อายุ 37 ปี He Xiaopeng บรรลุเป้าหมายเร็วกว่ากำหนดถึงสามปี

ทั้ง He และ Jie ยังคงอยู่กับ Alibaba หลังขายกิจการ Jie เป็น CTO ของแผนก UCWeb ส่วน He เริ่มเป็นผู้อำนวยการ Alibaba Mobile และดูแลแผนกเกมเพิ่มเติม

ในปีเดียวกัน He เป็นหนึ่งในชาวจีนกลุ่มแรกที่ได้รับรถ Tesla ที่สั่งซื้อ ประทับใจในรถสุดล้ำนี้ เขาจึงเสนอให้ Alibaba พัฒนารถไฟฟ้าอัจฉริยะบ้าง แต่ข้อเสนอถูกปฏิเสธ

นั่นไม่พอสำหรับ He ที่ตาลุกวาวกับอนาคตของการเดินทาง เขาต้องการมีส่วนร่วมในการปฏิวัติครั้งนี้ แม้จะไม่ใช่วิศวกรยานยนต์ แต่เขามีเครือข่ายที่กว้างขวาง

ในเครือข่ายของเขานั้น มีวิศวกรสองคนที่มีประสบการณ์ที่เหมาะสมและมีความทะเยอทะยาน ทั้ง Xia Heng และ He Tao ทำงานที่ Guangzhou Automobile (GAC) ในแผนกพลังงานใหม่

Xia Heng เป็นวิศวกรอาวุโสเคยมีส่วนในการสร้างแบรนด์ Trumpchi ของ GAC ส่วน He Tao เชี่ยวชาญด้านระบบควบคุมยานพาหนะและกำลังพัฒนารถยนต์ไร้คนขับ

ทั้งสองคนตื่นเต้นกับแนวคิดสร้าง ‘Tesla ของจีน’ จึงลาออกจาก GAC ร่วมกับ He Xiaopeng ก่อตั้ง Guangzhou Chengxing Zhidong Automobile Technology Co., Ltd. ในเดือนมกราคม 2015 ซึ่งปัจจุบันเรียกสั้นๆ ว่า XPeng Motors

บทบาทของทั้งสามคนชัดเจน Xia Heng และ He Tao เริ่มออกแบบรถยนต์ XPeng คันแรก ขณะที่ He Xiaopeng ดูแลเรื่องหาเงินทุนซึ่งเป็นจุดแข็งของเขา

Xia Heng สรรหาวิศวกรฝีมือเทพจากทั้งวงการยานยนต์และเทคโนโลยี ภาพร่างการออกแบบแรกปรากฏในกันยายน 2016 เรียกว่า XPeng Beta เน้นฟีเจอร์เจ๋งๆ ทั้งการเชื่อมต่อมือถือและชุดเซ็นเซอร์บนหลังคา

หนึ่งปีต่อมา การผลิตทดลองเริ่มต้น รถยนต์สิบห้าคันของรุ่น Identity X ถูกมอบให้นักลงทุนรายแรก ในขณะที่ He Xiaopeng ลุยแหลกในเรื่องการระดมทุนอย่างหนัก

ระหว่างปี 2016 ถึง 2019 XPeng ผ่านการระดมทุนหลายรอบ He ดึงดูดบริษัทชื่อดังมากมาย ทั้ง Alibaba, Lei Jun ผู้ก่อตั้ง Xiaomi และ Foxconn ผู้ผลิต iPhone รวมถึงนักลงทุน venture capital อีกหลายราย

ความพยายามนำไปสู่การจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ ในปี 2019/2020 XPeng เตรียมเข้าตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก โดยปรับโครงสร้างบริษัทให้เหมาะสม

การเสนอขายหุ้น IPO ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม โดยได้แรงหนุนจากราคาหุ้น Tesla ที่พุ่งกระฉูดในช่วงฤดูร้อนปี 2020 XPeng ระดมทุนได้ 1.5 พันล้านดอลลาร์

ด้วยความที่บริษัทสตาร์ทอัพด้านยานยนต์ต้องใช้เงินทุนสูงมาก ๆ XPeng จึงเตรียมการทำ IPO ครั้งที่สองในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงทันที จนสำเร็จในมีนาคม 2021

การส่งมอบรุ่นสุดท้ายของ XPeng Beta/Identity X เริ่มในธันวาคม 2018 รถรุ่นนี้ชื่อ G3 ย่อมาจาก Geek3 ซึ่งชนะการโหวตในโซเชียลมีเดีย

G3 เป็นรถ SUV ขนาดกะทัดรัดที่กำลังเป็นที่นิยมสุดๆ ใช้แพลตฟอร์มที่เรียกว่า “David” โดยมีแบตเตอรี่ CATL วางที่พื้น เป็นระบบขับเคลื่อนล้อหน้า มอเตอร์เดี่ยว และมีให้เลือกหลายขนาดแบตเตอรี่

ด้วยระยะทางวิ่ง 365 หรือ 520 กิโลเมตร G3 เป็นตัวเลือกที่แข่งขันได้ รุ่น 365 กม. ถูกแทนที่ด้วยรุ่น 400 กม. ในปี 2019 และรุ่น 460 กม. ในปี 2020

G3 มาพร้อม XPilot รุ่นแรก ชุดเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติที่ทำตามแบบ Tesla ตัวอย่างเช่น ระบบจอดรถแบบอัตโนมัติ แม้ตอนแรกฟีเจอร์จะมีจำกัด แต่สามารถอัปเดตผ่านระบบไร้สายได้เต็มรูปแบบ

ในงาน Shanghai Auto Show เมษายน 2019 XPeng เปิดตัวรถรุ่นที่สองคือ P7 ซีดานขนาดใหญ่ที่มุ่งท้าชน Tesla Model 3 โดยตรง สร้างบนแพลตฟอร์ม “Edward” ที่ล้ำสมัยกว่า

P7 มีระบบกันสะเทือนอิสระรอบคันและรองรับแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ มีรุ่นระยะทางไกลพิเศษวิ่งได้ 700 กิโลเมตร และรุ่น Performance ที่มีมอเตอร์คู่ รวมถึง XPilot รุ่นใหม่ที่ขับขี่อัตโนมัติระดับ 3 ได้

XPeng เปิดตัว P7 Wing ในปี 2020 ซึ่งเป็น P7 ธรรมดาแต่มีประตูแบบปีกนก และที่เจ๋งคือไม่ใช่แค่รถยนต์คอนเซ็ปต์ แต่พวกเขาวางจำหน่ายจริง ๆ

หลังจากนั้นก็มีรุ่น P5 รถซีดานใช้แพลตฟอร์ม “David” พร้อมกับรุ่น G3i รุ่นปรับโฉม P5 ติดตั้งเทคโนโลยี lidar สนับสนุนระบบอัตโนมัติ ส่วนผลิตภัณฑ์ต่อไปจะเป็น SUV ขนาดใหญ่บนแพลตฟอร์ม “Edward”

ในจีน ผู้ผลิตรถยนต์ต้องมีใบอนุญาตจากรัฐบาลกลาง หลังออกใบอนุญาตประมาณ 15 ใบสำหรับผู้ผลิตยานยนต์พลังงานใหม่ในปี 2016 รัฐบาลหยุดออกใบอนุญาตใหม่ในปีถัดมา

การได้ใบอนุญาตเป็นปัญหาใหญ่สำหรับผู้ผลิตรายใหม่ มีสองทางแก้: อาศัยใบอนุญาตผู้อื่น หรือซื้อกิจการผู้ผลิตที่มีใบอนุญาต XPeng เลือกทำทั้งสองอย่าง

เมื่อ G3 เริ่มผลิต โรงงานของ XPeng ยังสร้างไม่เสร็จ พวกเขาจึงจ้าง Haima Automobile ผลิตแทน Haima เป็นแบรนด์เล็กๆ ที่มีโรงงานในเจิ้งโจว

Haima เคยเป็นแบรนด์ดังแต่ถูกทิ้งห่างในตลาดจีนที่โตเร็ว บริษัทเผชิญปัญหาทางการเงิน ขาดผลิตภัณฑ์ใหม่ ในต้นปี 2020 ช่วงโควิดระบาด Haima หยุดผลิตรถแบรนด์ตัวเองชั่วคราว และผลิตเฉพาะ G3

XPeng เริ่มสร้างโรงงานอัจฉริยะกำลังผลิตปีละ 100,000 คันตั้งแต่ปี 2016 ในเมืองเจ้าชิง ใกล้กวางโจว โรงงานเสร็จต้นปี 2020 พร้อมผลิตรถซีดาน P7

แต่ XPeng ยังต้องการใบอนุญาตการผลิต จึงซื้อกิจการผู้ผลิตรถกระบะชื่อ Foday ในเมืองฝอซานใกล้เคียง ในมีนาคม 2020

แม้สองบริษัทที่มีเจ้าของต่างกันจะซื้อขายใบอนุญาตไม่ได้ แต่สามารถโอนระหว่างบริษัทย่อยกับบริษัทแม่ได้ ทำให้ XPeng ใช้ใบอนุญาต Foday กับโรงงานที่ยังสร้างไม่เสร็จด้วย

บริษัทเริ่มสร้างโรงงานที่สองในกวางโจวปี 2020 และโรงงานที่สามในอู่ฮั่น ซึ่งโรงงานที่อู่ฮั่นเป็นโครงการร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่นและจะผลิตรถยนต์รุ่นต่อไป

XPeng นำเสนอตัวเองเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่ผลิตรถยนต์ เน้นการเชื่อมต่อและเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติ ขณะเดียวกันก็พยายามขยายตลาด

ตัวอย่างที่น่าสนใจคือการเพิ่มรุ่นที่ใช้แบตเตอรี่ LFP ราคาถูกกว่าทั้งใน G3 และ P7 เพื่อขยายฐานลูกค้าและลดราคา แนวทางนี้ได้ผลเพราะยอดขายกำลังพุ่งกระฉูด

XPeng ภูมิใจที่เกือบ 40% ของพนักงานอยู่ในแผนกวิจัยและพัฒนา หลายคนทำงานเกี่ยวกับระบบขับขี่อัตโนมัติซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่เป็นเอกลักษณ์ของบริษัท

ด้านฮาร์ดแวร์ XPeng ใช้ชิปและคอมพิวเตอร์ล้ำสมัยของ Nvidia แต่ซอฟต์แวร์การเรียนรู้อัตโนมัติทำเองภายใน บริษัท การทดสอบโดยอิสระชี้ว่า XPeng อยู่ใกล้ความสามารถของ Tesla มาก

จุดนี้เป็นประเด็นอ่อนไหว He Xiaopeng ไม่เคยปิดบังว่าชื่นชม Tesla และใช้ข้อมูลโอเพ่นซอร์สของ Tesla อย่างเต็มที่ ทำให้หลายคนมองว่าแบรนด์นี้เป็นเพียงการลอกเลียนแบบ

สถานการณ์ยิ่งแย่ลงเมื่อเกิดคดี Cao Guangzhi อดีตพนักงาน Tesla ที่ย้ายมาทำงานที่ XPeng เพื่อพัฒนา XPilot และถูกกล่าวหาว่าขโมยซอร์สโค้ด Autopilot

Cao ปฏิเสธข้อกล่าวหาในตอนแรกแต่ภายหลังยอมรับว่าคัดลอกซอร์สโค้ดก่อนออกจาก Tesla ทั้งสองฝ่ายตกลงยุติคดีนอกศาล แม้ XPeng จะไม่เคยถูกฟ้องร้อง แต่ชื่อเสียงก็ได้รับความเสียหายไปแล้ว

Xpeng ยังมีการวิจัยเทคโนโลยีอย่าง X2 ซึ่งเป็น eVTOL (electric Vertical Take-Off and Landing vehicle) คล้ายเฮลิคอปเตอร์ขนาดเล็กหรือโดรนขนาดใหญ่ แม้จะดูเหมือนโครงการส่วนตัวของ He แต่ XPeng จริงจังมากกับมัน

พวกเขามองตลาดแท็กซี่ระดับพรีเมียมในเมืองเป็นเป้าหมายหลักสำหรับยานพาหนะนี้ ต่อยอดจากผลิตภัณฑ์ที่วิ่งบนท้องถนน

และนี่คือเรื่องราวทั้งหมดของ XPeng บริษัทที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและทุ่มเทกับเทคโนโลยีการขับขี่แบบอัจฉริยะ He Xiaopeng ที่มีเครือข่ายกว้างขวางทำให้บริษัทมีเงินทุนเพียงพอตลอดช่วงการขยายตัวของบริษัท

ด้วยการที่บริษัทกำลังขยายไปสู่ยุโรป XPeng อาจกลายเป็นชื่อที่คุ้นหูในวงการยานยนต์ในทศวรรษหน้า ต้องรอดูว่าเส้นทางการเติบโตของพวกเขาจะเป็นอย่างไรต่อไป และท้ายที่สุดพวกเขาจะสลัดภาพจำของคำว่า “รถยนต์ Tesla เลียนแบบ” ได้หรือไม่ เราก็ต้องมาติดตามกันต่อไป

Geek Story EP308 : การกลับมาเกิดใหม่ของ Motorola ตำนานที่ไม่มีวันตาย แม้จะถูกทอดทิ้งโดย Google

ในโลกของเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีหลายบริษัทที่เกิดขึ้นและล่มสลายไปอย่างรวดเร็ว แต่มีเพียงไม่กี่บริษัทที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและน่าทึ่งเท่ากับ Motorola บริษัทที่เคยครองความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมและเป็นผู้คิดค้นโทรศัพท์มือถือที่โลกรู้จัก

พวกเขาผ่านทั้งช่วงเวลาแห่งความรุ่งเรืองและวิกฤตที่แทบจะทำให้บริษัทล่มสลาย กระทั่งถูก Google ดูดทรัพยากรจนแทบไม่เหลือเทคโนโลยีของตัวเอง แต่เรื่องราวของ Motorola ไม่ได้จบลงเพียงเท่านั้น กลับกลายเป็นว่าหลังจากวิกฤตครั้งใหญ่ พวกเขาสามารถทำในสิ่งที่หลายคนคิดว่าเป็นไปไม่ได้ นั่นคือการฟื้นตัวและกลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่งอีกครั้ง

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/4ff4fsj9

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/bdduzkhf

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/bde9et47

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/XruYf0yBedw

ทำไม Yahoo ถึงสูญสิ้นทุกสิ่ง บทเรียนแสนล้านของการ ‘รู้ทุกอย่าง แต่ไม่เก่งอะไรเลย’

ลองจินตนาการโลกที่ไม่มี Google แล้วคุณจะหาอะไรในอินเทอร์เน็ตได้อย่างไร? ย้อนกลับไปในยุค 90 ต้องบอกว่าอินเทอร์เน็ตเป็นเหมือนป่ารกที่ไร้การจัดระเบียบอย่างสิ้นเชิง

นี่คือเหตุผลที่เพื่อนสองคนในวิทยาลัย Jerry และ David เริ่มสร้างรายการเว็บไซต์ที่พวกเขาชื่นชอบ จัดเป็นไดเร็กทอรีแบ่งตามหมวดหมู่ พวกเขาส่งต่อให้เพื่อนๆ และผู้คนเริ่มแชร์กันต่อไปเรื่อยๆ

ก่อนจะรู้ตัว ไดเร็กทอรีของพวกเขาก็ได้รับความสนใจเพียบ มีคนเข้าชมเป็นพันๆ คน แต่สิ่งนี้ไม่เคยถูกวางแผนให้เป็นธุรกิจมาก่อน พวกเขาแค่อยากเก็บรวบรวมเว็บไซต์โปรดไว้ในที่เดียวเท่านั้น

เว็บไซต์นี้มีชื่อว่า “Jerry and David’s Guide to the World Wide Web” ซึ่งแม้จะฟังดูเข้าท่า แต่ยังไม่เข้าที่เข้าทาง

แล้วจุดพีคก็มาถึงในปี 1994 เมื่อ Netscape เปิดตัวเว็บเบราว์เซอร์ Navigator ที่มีคนเริ่มใช้กันอย่างแพร่หลาย และผู้สร้าง Netscape ได้ใส่ลิงก์ไปยังไดเร็กทอรีของ Jerry และ David ไว้ด้านบน

ภายในไม่กี่เดือน ไดเร็กทอรีมีผู้เข้าชมพุ่งทะยานเป็นล้าน นั่นหมายความว่าพวกเขาต้องลงทุนในเซิร์ฟเวอร์เพื่อรองรับการเข้าชมมหาศาล

พวกเขายังต้องจ้างคนมาจัดการกับเว็บไซต์ใหม่ๆ ที่ผู้คนส่งเข้ามา Jerry และ David จึงตระหนักว่าพวกเขาไม่มีทางเลือก ถ้าจะดำเนินการต่อ ต้องทำให้เป็นธุรกิจอย่างจริงจัง

การตัดสินใจแรกคือต้องตั้งชื่อที่เหมาะสม พวกเขาเปิดพจนานุกรมเพื่อหาชื่อที่ติดหู และบังเอิญเจอคำว่า “yahoo” ซึ่งหมายถึง “คนที่หยาบคาย ไร้มารยาท หรือโง่เขลา”

พวกเขารู้สึกขบขันและชอบความรู้สึกสนุกๆ แบบนี้ ชื่อจึงถูกกำหนดขึ้น ภายหลัง Yahoo อ้างว่านี่ย่อมาจาก “Yet Another Hierarchical Officious Oracle” แต่ความจริงคือชื่อ Yahoo มาก่อน ส่วนตัวย่อแปลกๆ นั้นเพิ่งถูกคิดขึ้นทีหลัง

ต่อมา Jerry และ David ต้องคิดวิธีสร้างรายได้จากไดเร็กทอรี ซึ่งไม่ยากอย่างที่คิด เพราะ Yahoo กลายเป็นประตูสู่อินเทอร์เน็ตของคนส่วนใหญ่ไปแล้ว

อินเทอร์เน็ตยุคนั้นเป็นสิ่งใหม่ที่น่าสับสน และ Yahoo เป็นวิธีที่ใช้งานง่ายที่สุดในการค้นหาเว็บไซต์ ด้วยการมีผู้เข้าชมจำนวนมาก บริษัทมากมายเต็มใจจ่ายเงินเพื่อลงโฆษณาแบนเนอร์บนเว็บไซต์ของพวกเขา

ทีม Yahoo ปิ๊งไอเดียทันที เนื่องจากพวกเขาเห็นข้อมูลว่าผู้คนคลิกหมวดหมู่และเว็บไซต์ไหนมากที่สุด พวกเขาจึงอยู่ในตำแหน่งที่สมบูรณ์แบบที่จะสร้างสิ่งที่ผู้คนต้องการ

แทนที่จะแค่เชื่อมโยงคนไปยังบริการอื่นๆ พวกเขาสร้างบริการของตัวเอง ทำให้ได้ยอดเข้าชมเพิ่มและรายได้จากโฆษณามากขึ้นตามไปด้วย

อย่างเช่น พวกเขาเห็นคนคลิกเข้าเว็บไซต์ห้องแชทเยอะมาก Yahoo จึงสร้างห้องแชทของตัวเองและเชื่อมโยงไปที่นั่นแทน ไม่นานพวกเขาเปิดตัวบริการสำหรับช็อปปิ้ง แชร์ไฟล์ เกม กีฬา การเงิน และอื่นๆ อีกมากมาย

บริษัทแบบดั้งเดิมคงไม่สามารถสร้างและดูแลผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายขนาดนี้ได้ Yahoo จึงจ้างคนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แบ่งเป็นทีมผลิตภัณฑ์ต่างๆ โดยแต่ละทีมมีผู้นำที่ทำหน้าที่เหมือนเป็น CEO

กล่าวง่ายๆ คือ Yahoo เป็นเหมือนการรวมตัวของสตาร์ทอัพ ที่แต่ละแห่งมุ่งเน้นบริการที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ภายในปี 2000 Yahoo มีผลิตภัณฑ์และบริการมากถึง 400 รายการ

ในยุคนั้นผู้คนสามารถใช้อินเทอร์เน็ตได้ทั้งวันโดยไม่ต้องออกจากเว็บไซต์ของ Yahoo เลย ไดเร็กทอรีดั้งเดิมของพวกเขามีสัดส่วนแค่ 20% ของยอดเข้าชมทั้งหมด ส่วนอีก 80% เป็นบริการอื่นๆ ที่พวกเขาพัฒนาขึ้น

Yahoo ไม่ได้เป็นเพียงไดเร็กทอรีสำหรับอินเทอร์เน็ตอีกต่อไป มันคืออินเทอร์เน็ต ทุกสิ่งที่คุณต้องการในที่เดียว Yahoo เริ่มต้นในปี 1994 โดยเพื่อนสองคนในหอพักมหาวิทยาลัย เพียงหกปีต่อมา มันมีมูลค่าตลาดถึง 128 พันล้านดอลลาร์ กลายเป็นบริษัทอินเทอร์เน็ตที่ใหญ่ที่สุดในโลกและเติบโตเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์

แต่ระหว่างการเติบโตอย่างรวดเร็วของ Yahoo มีนักศึกษาสองคนที่มีสตาร์ทอัพของตัวเองได้มาพบและเสนอขายธุรกิจในราคาหนึ่งล้านดอลลาร์

สำหรับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Yahoo นี่เป็นเงินที่แทบไม่มีความหมาย แต่พวกเขาปฏิเสธข้อเสนอ น่าเสียดายสำหรับ Yahoo ที่บริษัทเล็กๆ นั้นมีชื่อว่า Google และการตัดสินใจไม่ซื้อกำลังจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง

เมื่อฟองสบู่ดอทคอมแตกและราคาหุ้นบริษัทอินเทอร์เน็ตดิ่งลงเหว Yahoo ก็โดนหนัก นักลงทุนสูญเสียความเชื่อมั่น และผู้ลงโฆษณารายใหญ่หลายรายลดการใช้จ่ายหรือล้มละลายไป

แย่ยิ่งกว่านั้น มีเว็บไซต์ผุดขึ้นมากมายบนอินเทอร์เน็ต การมีไดเร็กทอรีเดียวที่ต้องอัปเดตด้วยมือกลายเป็นเรื่องไร้ประสิทธิภาพ และ Google สร้างระบบที่เจ๋งกว่ามากในการช่วยคนค้นหาสิ่งต่างๆ

Yahoo เริ่มเห็นว่าผู้ใช้จำนวนมากหันไปใช้ Google แทน เพียงไม่กี่ปีหลังจากปฏิเสธโอกาสซื้อ Google Yahoo จึงไปทำข้อตกลงผนวกการค้นหาของ Google เข้ากับเว็บไซต์ตัวเอง

แนวคิดก็คือผู้คนจะยังคงมาที่หน้าแรกของ Yahoo แทนที่จะไปที่ Google โดยตรง ในระยะสั้นนี่ดูมีเหตุผล แต่ในระยะยาวมันคือความหายนะอีกครั้ง

ผู้ใช้ Yahoo ชื่นชอบการค้นหาของ Google มาก การมีมันบนเว็บไซต์ Yahoo กลับกลายเป็นการโฆษณาฟรีให้ Google นอกจากนี้ Google ยังแนะนำโฆษณาในผลการค้นหา ด้วยอัลกอริทึมจับคู่โฆษณาที่ชาญฉลาด

โฆษณาของ Google เกี่ยวข้องกับผู้ใช้มากกว่า คุ้มค่ากว่าสำหรับผู้ลงโฆษณา และเป็นเรื่องที่โครตโหดสำหรับ Google ที่สามารถทำกำไรได้มากกว่า Yahoo เยอะ

Google นำกำไรไปลงทุนต่อในการทำข้อตกลงกับบริษัทอินเทอร์เน็ตรายใหญ่อื่นๆ เช่น เป็นหน้าแรกเริ่มต้นของ Firefox และทันใดนั้น Google ก็อยู่ในตำแหน่งผู้นำของการเข้าชมเว็บไซต์

ธุรกิจโฆษณาในการค้นหาของพวกเขาทำกำไรและมีประสิทธิภาพสูงมาก ยิ่ง Google ใช้เงินโปรโมทเสิร์ชเอนจินมากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งทำกำไรจากโฆษณามากขึ้น และมีเงินที่จะใช้จ่ายมากขึ้นไปอีก

ในขณะที่โฆษณาแบนเนอร์ของ Yahoo มีประสิทธิภาพและทำกำไรได้น้อยกว่ามาก ทำให้อัตรากำไรของ Yahoo น้อยลง และผู้ลงโฆษณาเริ่มย้ายงบไปที่ Google แทน

เพียงไม่กี่ปีหลังจาก Yahoo ปฏิเสธโอกาสซื้อ Google ตอนนี้ Google กำลังแย่งทั้งผู้ใช้และผู้ลงโฆษณาของ Yahoo ไปอย่างรวดเร็ว

Yahoo รู้ว่าต้องทำอะไรสักอย่าง พวกเขากลับไปหา Google และถามราคาซื้อกิจการ Google ต้องการ 1 พันล้านดอลลาร์ และ Yahoo ตกลง

แต่จุดนั้น Google ก็ได้ปรับราคาเพิ่มเป็น 3 พันล้าน แล้วเป็น 5 พันล้านดอลลาร์ ข้อตกลงนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นอีกต่อไป Yahoo จึงนำ Google ออกจากเว็บไซต์โดยสิ้นเชิงและสร้างเสิร์ชเอนจินของตัวเองขึ้นมาแข่ง

แต่เห็นได้ชัดอย่างรวดเร็วว่า Yahoo แพ้สงครามการค้นหาไปแล้ว และไดเร็กทอรีของพวกเขาก็มีประโยชน์น้อยลงทุกวัน หาก Yahoo ต้องการรักษาความเป็นผู้นำ พวกเขาจำเป็นต้องหันไปมุ่งเน้นที่บริการอื่นๆ

โอกาสครั้งใหญ่มาถึงในปี 2006 ผู้บริหาร Yahoo นั่งประชุมกับ Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้ง Facebook และตกลงที่จะซื้อ Facebook ในราคา 1 พันล้านดอลลาร์

จริงๆ แล้ว Zuckerberg ไม่ต้องการทำข้อตกลงนี้ แต่คณะกรรมการและนักลงทุนบอกว่าถ้า Yahoo เสนอ 1 พันล้าน เขาต้องรับ

แต่ในนาทีสุดท้าย Yahoo พยายามต่อรองราคาเป็น 850 ล้านดอลลาร์แทน กลยุทธ์การเจรจานี้ส่งผลย้อนกลับอย่างเจ็บแสบ Zuckerberg ออกจากการประชุมด้วยความยินดี

คณะกรรมการบอกเขาว่าถ้าเสนอหนึ่งพันล้านเขาต้องรับ แต่เสนอน้อยกว่า เขาจึงปฏิเสธและได้บริหาร Facebook ต่อด้วยตัวเองในฐานะบริษัทอิสระ

เป็นอีกครั้งสำหรับ Yahoo กับการพยายามประหยัดเงินไม่กี่ล้านดอลลาร์ที่ทำให้พวกเขาพลาดโอกาสได้บริษัทที่ปัจจุบันมีมูลค่าราวๆ หนึ่งล้านล้านดอลลาร์

ส่วนที่พีคมากคือ Yahoo ทำการควบรวมและซื้อกิจการนับร้อยครั้ง รวมถึงซื้อ Broadcast.com มูลค่า 5.7 พันล้านดอลลาร์ แต่กลับปฏิเสธ Facebook และ Google

พวกเขายังพลาดข้อตกลงกับ eBay และแม้แต่ YouTube ลองจินตนาการดูว่าอินเทอร์เน็ตและโลกทั้งใบอาจดูแตกต่างไปแค่ไหนถ้า Yahoo ซื้อบริษัทเหล่านั้นตอนที่มีโอกาส

แต่ในเวลานั้น Google และ Facebook เป็นเพียงบริษัทเล็กๆ ในคลื่นมหาสมุทรของบริษัทเล็กๆ นับไม่ถ้วน แม้ว่า Yahoo จะซื้อพวกเขา ก็ไม่มีการรับประกันว่าจะประสบความสำเร็จมากขนาดนี้

เหตุผลสำคัญที่สุดสำหรับการตกต่ำของ Yahoo จริงๆ แล้วไม่ใช่การแข่งขันจากภายนอก แต่เป็นความวุ่นวายมั่วซั่วที่เกิดขึ้นภายใน

พนักงานคนหนึ่งของบริษัทเขียนบันทึกระบุปัญหาทั้งหมดที่ Yahoo ต้องแก้ไข ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อ “The Peanut Butter Manifesto” (บันทึกเนยถั่ว)

เพราะใช้อุปมาอุปไมยของการทาเนยถั่วเพื่ออธิบายว่า Yahoo กำลังกระจายทรัพยากรบางเกินไป พนักงานเขียนว่า Yahoo พยายามมุ่งเน้นทุกอย่างและจึงไม่ได้มุ่งเน้นอะไรเป็นพิเศษ

ตัวอย่างที่น่าตกใจที่สุดคือในการประชุมนอกสถานที่ พนักงานถูกขอให้เขียนคำแรกที่นึกถึงเมื่อได้ยินชื่อบริษัทต่างๆ

สำหรับ Google ทุกคนเขียน “search” (ค้นหา) สำหรับ PayPal เขียน “payments” (การชำระเงิน) สำหรับ eBay เขียน “auctions” (การประมูล) แต่สำหรับ Yahoo ทุกคนเขียนคำที่แตกต่างกัน

ไม่มีใครในบริษัทรู้ว่า Yahoo คืออะไรหรือกำลังพยายามจะเป็นอะไร บันทึกยังชี้ให้เห็นว่า Yahoo มีคนมากเกินไปที่มีความรับผิดชอบทับซ้อนกัน

เช่น Yahoo ซื้อเว็บไซต์แชร์รูปภาพชื่อ Flickr แต่ยังคงมีทีมแยกต่างหากที่ทำงานบนบริการชื่อ Yahoo Photos ซึ่งทำหน้าที่เหมือนกันทุกประการ

พูดง่ายๆ คือการบริหารบริษัทเหมือนกลุ่มสตาร์ทอัพได้ช่วยเร่งการเติบโต แต่ตอนนี้กำลังส่งบริษัทเข้าสู่ความโกลาหล Yahoo แบ่งแยกออกเป็นทีมเล็กๆ ที่เป็นอิสระและไม่เชื่อมต่อกัน

แทนที่จะเป็นบริษัทที่เป็นหนึ่งเดียวกันด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน ผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ใช้ระบบโค้ดที่แตกต่างกัน มีการออกแบบและสีที่แตกต่างกัน และส่วนใหญ่ไม่ได้ผสานรวมกันเลย

แต่ถึงแม้จะมีความวุ่นวายภายใน Yahoo ในปี 2008 พวกเขาก็มีโอกาสที่จะรอดแล้วแท้ ๆ เมื่อ Microsoft เสนอซื้อในราคากว่า 44 พันล้านดอลลาร์

Microsoft รู้สึกว่าพวกเขาต้องร่วมมือกัน ไม่เช่นนั้น Google จะกลายเป็นบริษัทที่ทรงพลังเกินไป แต่ Yahoo ปฏิเสธข้อเสนอ โดยบอกว่า Microsoft ประเมินศักยภาพพวกเขาต่ำเกินไป

เพียงไม่กี่เดือนต่อมาพวกเขาเสียใจกับการตัดสินใจนั้น เมื่อราคาหุ้นลดฮวบและมูลค่าของบริษัทลดลงเหลือ 14 พันล้านดอลลาร์ น้อยกว่าหนึ่งในสามของที่ Microsoft เสนอ

หนึ่งในเหตุผลหลักคือการขาดทิศทางของ Yahoo และการหมุนเวียน CEO บ่อยครั้ง ในปี 2007 Terry Semel เป็น CEO จากนั้นปี 2007 ถึง 2009 ผู้ก่อตั้งคนแรก Jerry Yang เข้ามาดูแล

จากปี 2009 ถึง 2011 เป็น Carol Bartz แล้ว Scott Thompson เข้ามาและอยู่เพียงครึ่งแรกของปี 2012 ก่อนที่ Marissa Mayer จะเข้ามาในช่วงฤดูร้อนปี 2012 นั่นคือ 5 CEO ในเวลา 6 ปี

ไม่มีใครเห็นด้วยว่าใครควรบริหาร Yahoo และเมื่อแต่ละ CEO คนใหม่ทำบางสิ่งบางอย่างแต่ไม่ได้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วเพียงพอ พวกเขาก็เปลี่ยนไปหาคนอื่น ซึ่งยิ่งสร้างความโกลาหลมากขึ้น

มีรายงานว่า Yahoo เปลี่ยนพันธกิจขององค์กรอย่างน้อย 24 ครั้ง แสดงให้เห็นว่าแม้แต่ผู้บริหารระดับสูงก็ไม่รู้ว่าแผนหรือวิสัยทัศน์ของ Yahoo คืออะไร

ความวุ่นวายทั้งหมดนี้ทำให้ Yahoo ตัดสินใจยากและช้าในการปรับตัวให้เข้ากับการเติบโตของอินเทอร์เน็ตบนมือถือ แอพโทรศัพท์ของ Yahoo ก็ห่วยแตกมาก ๆ เมื่อเทียบกับคู่แข่ง

นี่ทำให้บริการยอดนิยมอย่าง Yahoo Mail เริ่มสูญเสียผู้ใช้เพราะผู้คนเริ่มใช้แอพอีเมลแทนเว็บไซต์ของ Yahoo

นอกจากนี้ Yahoo ยังแนะนำระบบการให้คะแนนภายในสำหรับพนักงาน ที่ผู้จัดการต้องให้คะแนนทีมของตนว่าเกินเป้าหมายเป็นเปอร์เซ็นต์หนึ่งและพลาดเป้าอีกเปอร์เซ็นต์หนึ่ง

แม้ว่าทีมทั้งหมดจะทำงานได้ดีมาก บางคนก็ต้องได้คะแนนไม่ดี แนวคิดก็คือจะช่วยกำจัดพนักงานที่มีความสามารถน้อยกว่าและช่วยให้ Yahoo มีประสิทธิภาพมากขึ้น

แต่ในความเป็นจริงมันทำให้พนักงานรู้สึกว่าพวกเขากำลังเขม่นกัน และสร้างวัฒนธรรมการแข่งขันที่ผู้คนแทงข้างหลังกันแทนที่จะร่วมมือกันเป็นทีม

เหตุผลที่ใหญ่ที่สุดสำหรับการตกต่ำอย่างรวดเร็วของ Yahoo นั้นจริงๆ แล้วค่อนข้างเรียบง่าย เมื่อ Yahoo เปิดตัว ไดเร็กทอรีของพวกเขาสามารถแก้ปัญหาให้ผู้ใช้งานได้จริงๆ

มันทำให้อินเทอร์เน็ตยุคแรกใช้งานง่ายขึ้นมาก แต่ทันทีที่การค้นหาเข้ามาแทนที่และแทนที่ความจำเป็นของไดเร็กทอรี Yahoo ก็ไม่เคยพบตัวตนของตัวเองอีกเลย

มันเป็นตัวอย่างที่โครตโหดของคำว่า “รู้ทุกอย่างแต่ไม่เชี่ยวชาญอะไรเลย” Yahoo ทำหลายอย่างได้พอใช้ แต่ไม่ได้เป็นที่สุดในอะไรอีกต่อไป

ในที่สุดผลิตภัณฑ์และบริการนับร้อยของพวกเขาก็ถูกตีแตกด้วยทางเลือกที่ดีกว่า Yahoo Shopping แพ้ให้กับ Amazon, Yahoo Messenger แพ้ให้กับ WhatsApp, Yahoo Mail ถูก Gmail แซงหน้า

Yahoo Answers แพ้ให้กับ Quora บริษัทอื่นๆ เหล่านี้มุ่งเน้นที่จะเป็นที่สุดในสิ่งใดสิ่งหนึ่งก่อนที่จะขยายไปสู่ด้านอื่นๆ ในขณะที่ Yahoo ไม่มีตัวตนที่ชัดเจนอีกต่อไป

ครั้งหนึ่ง Yahoo เคยเป็นราชาแห่งอินเทอร์เน็ตอย่างแท้จริง แต่ด้วยการผสมผสานของการตัดสินใจที่แย่ ความลังเล ผลิตภัณฑ์ที่พอใช้ การแข่งขันที่ดุเดือด และการนำที่ย่ำแย่ พวกเขาก็สูญสิ้นทุกสิ่ง

ในปี 2017 Verizon ซื้อ Yahoo ในราคา 4.48 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งน้อยกว่าหนึ่งในสิบของราคาที่ Microsoft เคยเสนอ แต่ Verizon ก็ไม่สามารถฟื้นฟู Yahoo ได้ และถูกขายอีกครั้งในปี 2021

แน่นอนว่า Yahoo ยังคงทำเงินได้ จริงๆ แล้วผลิตภัณฑ์หลายอย่างของพวกเขาเช่น Yahoo Mail ยังคงมีคนเข้าชมมาก แต่นั่นส่วนใหญ่มาจากคนที่ตั้งอีเมลกับพวกเขาเมื่อหลายปีก่อน

พวกเขาเป็นผู้ใช้ที่ยังไม่ได้เปลี่ยนไปใช้ทางเลือกอื่น หากไม่มีนวัตกรรมที่ปฏิวัติวงการบางอย่าง Yahoo ดูเหมือนจะค่อยๆ จางหายไปสู่ความไม่มีตัวตน

ถ้ามองย้อนกลับไป Yahoo เป็นเหมือนบทเรียนที่แสนเจ็บปวดสำหรับทุกธุรกิจ การมีเงินและทรัพยากรมหาศาลไม่ได้รับประกันความสำเร็จในระยะยาว

บริษัทต้องมีความชัดเจนในตัวตน กล้าตัดสินใจเด็ดขาดในเวลาสำคัญ และมุ่งเป็นที่สุดในสิ่งที่ตนทำ แทนที่จะพยายามทำทุกอย่างแต่ไม่โดดเด่นในด้านใดเลย

เส้นทางของ Yahoo เป็นเรื่องราวที่น่าทึ่งของการขีดเขียนชะตาชีวิตที่ผิดพลาดด้วยตัวพวกเขาเอง การพลาดโอกาสทอง และการสูญเสียตัวตนท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง

มันเตือนใจเราว่าในโลกเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงเร็ว แม้แต่ผู้นำตลาดก็อาจพบจุดจบได้อย่างรวดเร็ว หากขาดวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและความสามารถในการปรับตัวนั่นเองครับผม

อวสาน Programmer? โอกาสหรือวิกฤต รู้ก่อนสาย เมื่อ AI เขียนโค้ดได้ดีกว่ามนุษย์

เมื่อต้นปี 2025 ทีผ่านมา Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้ง Meta ได้ประกาศคำพูดที่สั่นคลอนวงการเทคโนโลยีทั่วโลก เขาบอกว่าในปีเดียวกันนี้ บริษัทเทคจะมี AI ที่เทียบชั้นวิศวกรระดับกลางได้แล้ว

คำพูดของ Zuckerberg ไม่ได้มาเล่นๆ เขาเชื่อว่าในไม่ช้า โค้ดส่วนใหญ่ในแอปต่างๆ จะถูกสร้างโดย AI แทนที่จะเป็นฝีมือมนุษย์ ฟังดูเหมือนเรื่องเพ้อฝันแต่มันคือความจริงที่กำลังเกิดขึ้น

ไม่เพียงแค่ผู้นำ Meta ที่พูดแบบนี้ ทาง Amazon ก็ส่งสัญญาณไปในทิศทางเดียวกัน Business Insider เคยเปิดเผยการประชุมลับของหัวหน้าฝ่าย Cloud ที่บอกว่านักพัฒนาส่วนใหญ่อาจไม่ต้องเขียนโค้ดอีกต่อไป

คำทำนายเหล่านี้ฟังแล้วน่าสะพรึงกลัวสำหรับใครที่กำลังเรียนหรือทำงานด้านนี้ แต่ความจริงอาจไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด มาดูข้อมูลเชิงลึกกันว่า AI กำลังพัฒนาไปถึงไหนแล้ว

ตัวเลขการพัฒนาของ AI ด้านการเขียนโค้ดนั้นน่าทึ่งจริงๆ เพราะในช่วงต้นปี 2024 AI มีความสามารถแค่ 7% เมื่อเทียบกับมนุษย์ แต่ภายในไม่กี่เดือนก็พุ่งกระฉูดเป็น 40%

และไม่ใช่แค่นั้น ช่วงปลายปีเดียวกัน โมเดล Code Story Midwit Agent Plus SWE Search ทำคะแนนได้ถึง 62% บน SWE bench ซึ่งเป็นมาตรฐานวัดความเจ๋งในการเขียนโค้ด

benchmark นี้ถือว่าโหดมาก เพราะไม่ได้อยู่ในข้อมูลที่ AI เคยเรียนรู้มาก่อน แต่เป็นการทดสอบการแก้ปัญหาจริงๆ แล้ว AI ก็ยังทำได้ดีเหลือเชื่อ

ล่าสุดโมเดล O3 ยิ่งแสบกว่า ทำคะแนนได้สูงถึง 71.7% เท่ากับว่าในเวลาแค่ปีเดียว ความสามารถของ AI ในการเขียนโค้ดเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

นอกจากนี้ O3 ยังติดอันดับ 1% แรกของนักเขียนโค้ดบน Code Forces ซึ่งเป็นเวทีประลองยุทธ์ของโปรแกรมเมอร์ระดับโครตเทพจากทั่วโลก ความเก่งระดับนี้ไม่ธรรมดาเลย

Noan Brown ผู้เชี่ยวชาญด้าน reasoning ที่ OpenAI และเป็นผู้รังสรรค์ซีรีส์ O1 เผยว่า O1 ไม่ได้แค่เขียนโค้ดเป็น แต่ทำงานได้เหมือนวิศวกรซอฟต์แวร์จริงๆ

เขาบอกว่า O1 สร้าง Pull Requests หลายรายการในระบบของ OpenAI และผ่านมาตรฐานของบริษัทได้อย่างสบาย การเขียนโค้ดเป็นงานที่ได้ประโยชน์จากการใช้เวลาคิดนานๆ และ AI ก็เก่งเรื่องนี้มาก

การทดลองในสภาพการทำงานจริงแสดงให้เห็นว่า AI สามารถแก้บั๊กได้เร็วและแม่นยำ สร้างฟีเจอร์ใหม่ตามสเปคที่กำหนด ปรับปรุงประสิทธิภาพโค้ด และยังสร้างชุดทดสอบอัตโนมัติได้อีกด้วย

แม้ตัวเลขจะดูน่ากลัว แต่ความจริงกลับตรงข้าม World Economic Forum จัดให้ Software Developer เป็น 1 ใน 4 อาชีพที่เติบโตเร็วที่สุดถึงปี 2030

นี่เป็นเพราะหลักการทางเศรษฐศาสตร์ที่เรียกว่า Jevons Paradox ที่บอกว่าเมื่อเทคโนโลยีทำให้การใช้ทรัพยากรมีประสิทธิภาพขึ้น ความต้องการกลับเพิ่มขึ้นด้วย

เมื่อ AI ทำให้การพัฒนาซอฟต์แวร์มีราคาถูกลงและทำได้ง่ายขึ้น การเข้าถึงจะง่ายขึ้น คนทั่วไปหรือบริษัทเล็กๆ ก็สามารถพัฒนาซอฟต์แวร์ได้

ต้นทุนที่ลดลงทำให้การสร้างแอปและบริการใหม่ๆ เกิดขึ้นได้มากขึ้น ธุรกิจจะมีไอเดียและทดลองได้เร็วขึ้น นี่คือการขยายตัวของตลาดซอฟต์แวร์อย่างมหาศาล

และเมื่อมีซอฟต์แวร์มากขึ้น ก็ต้องการคนที่เชี่ยวชาญในการควบคุมดูแล AI ออกแบบระบบใหญ่ๆ และจัดการกับปัญหาซับซ้อนที่ AI ยังทำไม่ได้

บทบาทของวิศวกรจะเปลี่ยนไป จากคนเขียนโค้ดเองทั้งหมด เป็นผู้ควบคุมและจัดการ AI ที่มีพลังมหาศาล และกำหนดทิศทางการพัฒนาในภาพใหญ่

ทักษะที่จะเป็นที่หมายปองในอนาคตคือการจัดการระบบ AI การควบคุม AI Agent Swarms การออกแบบสถาปัตยกรรมซับซ้อน และการแก้ปัญหาที่เกินความสามารถของ AI

จะเห็นได้ว่าบริษัทอย่าง Apple กำลังมองหาวิศวกรที่มีประสบการณ์กับ AI agent-based Frameworks เช่น Crew AI และ Lang Chain นี่คือทิศทางของอุตสาหกรรม

ผลตอบแทนจากการเรียนรู้การเขียนโค้ดจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทุก 6 เดือน เพราะเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ช่วยในการพัฒนามีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อยๆ

ในช่วงปี 2025-2030 เราจะเห็นวิศวกรซอฟต์แวร์กลายเป็นผู้ควบคุมกองทัพ AI ที่มีความเทพ สามารถสร้างซอฟต์แวร์ได้เร็วและดีกว่าที่เคยเป็นมา

ความต้องการวิศวกรที่เก่งเรื่อง AI จะพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากการขยายตัวของอุตสาหกรรม ความต้องการผู้เชี่ยวชาญ และความซับซ้อนของระบบที่เพิ่มขึ้น

สรุปคือ AI ไม่ได้มาแทนที่วิศวกรซอฟต์แวร์ แต่มาเพิ่มพลังให้พวกเขา เปรียบเสมือนเครื่องมือสุดล้ำที่จะยกระดับความสามารถในการสร้างสรรค์นวัตกรรม

การมาถึงของ AI คือจุดพีคของการปฏิวัติด้านซอฟต์แวร์ และวิศวกรที่ปรับตัวได้จะกลายเป็นผู้ควบคุมการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้

อย่าเพิ่งเป็นห่วงว่า AI จะเข้ามาแย่งงาน แต่ให้มองว่านี่คือโอกาสที่จะก่อร่างสร้างตัวในบทบาทใหม่ที่น่าตื่นเต้นและมีความสำคัญมากขึ้น

ถึงแม้การเขียนโค้ดโดยตรงอาจลดลง แต่ตลาดยังถวิลหาผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจทั้งด้านเทคนิคและการประยุกต์ใช้งาน ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการนำ AI มาสร้างประโยชน์สูงสุด

AI จะช่วยเพิ่มความสามารถของวิศวกรให้ไปไกลกว่าที่เคยเป็นมา และนี่คือยุคทองของการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่จะเป็นที่เชิดหน้าชูตาของวงการเทคโนโลยี

แม้คำทำนายของ Zuckerberg และผู้บริหาร Amazon จะฟังดูเหมือนการขีดชะตาชีวิตของวิศวกรซอฟต์แวร์ แต่ความจริงคือพวกเขากำลังจะได้บทบาทที่สำคัญกว่าเดิม

อนาคตของวิศวกรซอฟต์แวร์ไม่ได้อยู่ในมุมมืดอย่างที่หลายคนวิตกกังวล แต่สดใสและเต็มไปด้วยโอกาสสำหรับผู้ที่พร้อมจะฝ่าฝันต่อสู้และเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ

ดังนั้น ถ้าคุณกำลังเรียนหรือทำงานในสายนี้ อย่าเพิ่งทิ้งความฝัน แต่ให้เตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงและโอกาสใหม่ๆ ที่กำลังจะมาถึง