ลองจินตนาการโลกที่ไม่มี Google แล้วคุณจะหาอะไรในอินเทอร์เน็ตได้อย่างไร? ย้อนกลับไปในยุค 90 ต้องบอกว่าอินเทอร์เน็ตเป็นเหมือนป่ารกที่ไร้การจัดระเบียบอย่างสิ้นเชิง
นี่คือเหตุผลที่เพื่อนสองคนในวิทยาลัย Jerry และ David เริ่มสร้างรายการเว็บไซต์ที่พวกเขาชื่นชอบ จัดเป็นไดเร็กทอรีแบ่งตามหมวดหมู่ พวกเขาส่งต่อให้เพื่อนๆ และผู้คนเริ่มแชร์กันต่อไปเรื่อยๆ
ก่อนจะรู้ตัว ไดเร็กทอรีของพวกเขาก็ได้รับความสนใจเพียบ มีคนเข้าชมเป็นพันๆ คน แต่สิ่งนี้ไม่เคยถูกวางแผนให้เป็นธุรกิจมาก่อน พวกเขาแค่อยากเก็บรวบรวมเว็บไซต์โปรดไว้ในที่เดียวเท่านั้น
เว็บไซต์นี้มีชื่อว่า “Jerry and David’s Guide to the World Wide Web” ซึ่งแม้จะฟังดูเข้าท่า แต่ยังไม่เข้าที่เข้าทาง
แล้วจุดพีคก็มาถึงในปี 1994 เมื่อ Netscape เปิดตัวเว็บเบราว์เซอร์ Navigator ที่มีคนเริ่มใช้กันอย่างแพร่หลาย และผู้สร้าง Netscape ได้ใส่ลิงก์ไปยังไดเร็กทอรีของ Jerry และ David ไว้ด้านบน
ภายในไม่กี่เดือน ไดเร็กทอรีมีผู้เข้าชมพุ่งทะยานเป็นล้าน นั่นหมายความว่าพวกเขาต้องลงทุนในเซิร์ฟเวอร์เพื่อรองรับการเข้าชมมหาศาล
พวกเขายังต้องจ้างคนมาจัดการกับเว็บไซต์ใหม่ๆ ที่ผู้คนส่งเข้ามา Jerry และ David จึงตระหนักว่าพวกเขาไม่มีทางเลือก ถ้าจะดำเนินการต่อ ต้องทำให้เป็นธุรกิจอย่างจริงจัง
การตัดสินใจแรกคือต้องตั้งชื่อที่เหมาะสม พวกเขาเปิดพจนานุกรมเพื่อหาชื่อที่ติดหู และบังเอิญเจอคำว่า “yahoo” ซึ่งหมายถึง “คนที่หยาบคาย ไร้มารยาท หรือโง่เขลา”
พวกเขารู้สึกขบขันและชอบความรู้สึกสนุกๆ แบบนี้ ชื่อจึงถูกกำหนดขึ้น ภายหลัง Yahoo อ้างว่านี่ย่อมาจาก “Yet Another Hierarchical Officious Oracle” แต่ความจริงคือชื่อ Yahoo มาก่อน ส่วนตัวย่อแปลกๆ นั้นเพิ่งถูกคิดขึ้นทีหลัง
ต่อมา Jerry และ David ต้องคิดวิธีสร้างรายได้จากไดเร็กทอรี ซึ่งไม่ยากอย่างที่คิด เพราะ Yahoo กลายเป็นประตูสู่อินเทอร์เน็ตของคนส่วนใหญ่ไปแล้ว
อินเทอร์เน็ตยุคนั้นเป็นสิ่งใหม่ที่น่าสับสน และ Yahoo เป็นวิธีที่ใช้งานง่ายที่สุดในการค้นหาเว็บไซต์ ด้วยการมีผู้เข้าชมจำนวนมาก บริษัทมากมายเต็มใจจ่ายเงินเพื่อลงโฆษณาแบนเนอร์บนเว็บไซต์ของพวกเขา
ทีม Yahoo ปิ๊งไอเดียทันที เนื่องจากพวกเขาเห็นข้อมูลว่าผู้คนคลิกหมวดหมู่และเว็บไซต์ไหนมากที่สุด พวกเขาจึงอยู่ในตำแหน่งที่สมบูรณ์แบบที่จะสร้างสิ่งที่ผู้คนต้องการ
แทนที่จะแค่เชื่อมโยงคนไปยังบริการอื่นๆ พวกเขาสร้างบริการของตัวเอง ทำให้ได้ยอดเข้าชมเพิ่มและรายได้จากโฆษณามากขึ้นตามไปด้วย
อย่างเช่น พวกเขาเห็นคนคลิกเข้าเว็บไซต์ห้องแชทเยอะมาก Yahoo จึงสร้างห้องแชทของตัวเองและเชื่อมโยงไปที่นั่นแทน ไม่นานพวกเขาเปิดตัวบริการสำหรับช็อปปิ้ง แชร์ไฟล์ เกม กีฬา การเงิน และอื่นๆ อีกมากมาย
บริษัทแบบดั้งเดิมคงไม่สามารถสร้างและดูแลผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายขนาดนี้ได้ Yahoo จึงจ้างคนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แบ่งเป็นทีมผลิตภัณฑ์ต่างๆ โดยแต่ละทีมมีผู้นำที่ทำหน้าที่เหมือนเป็น CEO
กล่าวง่ายๆ คือ Yahoo เป็นเหมือนการรวมตัวของสตาร์ทอัพ ที่แต่ละแห่งมุ่งเน้นบริการที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ภายในปี 2000 Yahoo มีผลิตภัณฑ์และบริการมากถึง 400 รายการ
ในยุคนั้นผู้คนสามารถใช้อินเทอร์เน็ตได้ทั้งวันโดยไม่ต้องออกจากเว็บไซต์ของ Yahoo เลย ไดเร็กทอรีดั้งเดิมของพวกเขามีสัดส่วนแค่ 20% ของยอดเข้าชมทั้งหมด ส่วนอีก 80% เป็นบริการอื่นๆ ที่พวกเขาพัฒนาขึ้น
Yahoo ไม่ได้เป็นเพียงไดเร็กทอรีสำหรับอินเทอร์เน็ตอีกต่อไป มันคืออินเทอร์เน็ต ทุกสิ่งที่คุณต้องการในที่เดียว Yahoo เริ่มต้นในปี 1994 โดยเพื่อนสองคนในหอพักมหาวิทยาลัย เพียงหกปีต่อมา มันมีมูลค่าตลาดถึง 128 พันล้านดอลลาร์ กลายเป็นบริษัทอินเทอร์เน็ตที่ใหญ่ที่สุดในโลกและเติบโตเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์
แต่ระหว่างการเติบโตอย่างรวดเร็วของ Yahoo มีนักศึกษาสองคนที่มีสตาร์ทอัพของตัวเองได้มาพบและเสนอขายธุรกิจในราคาหนึ่งล้านดอลลาร์
สำหรับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Yahoo นี่เป็นเงินที่แทบไม่มีความหมาย แต่พวกเขาปฏิเสธข้อเสนอ น่าเสียดายสำหรับ Yahoo ที่บริษัทเล็กๆ นั้นมีชื่อว่า Google และการตัดสินใจไม่ซื้อกำลังจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง
เมื่อฟองสบู่ดอทคอมแตกและราคาหุ้นบริษัทอินเทอร์เน็ตดิ่งลงเหว Yahoo ก็โดนหนัก นักลงทุนสูญเสียความเชื่อมั่น และผู้ลงโฆษณารายใหญ่หลายรายลดการใช้จ่ายหรือล้มละลายไป
แย่ยิ่งกว่านั้น มีเว็บไซต์ผุดขึ้นมากมายบนอินเทอร์เน็ต การมีไดเร็กทอรีเดียวที่ต้องอัปเดตด้วยมือกลายเป็นเรื่องไร้ประสิทธิภาพ และ Google สร้างระบบที่เจ๋งกว่ามากในการช่วยคนค้นหาสิ่งต่างๆ
Yahoo เริ่มเห็นว่าผู้ใช้จำนวนมากหันไปใช้ Google แทน เพียงไม่กี่ปีหลังจากปฏิเสธโอกาสซื้อ Google Yahoo จึงไปทำข้อตกลงผนวกการค้นหาของ Google เข้ากับเว็บไซต์ตัวเอง
แนวคิดก็คือผู้คนจะยังคงมาที่หน้าแรกของ Yahoo แทนที่จะไปที่ Google โดยตรง ในระยะสั้นนี่ดูมีเหตุผล แต่ในระยะยาวมันคือความหายนะอีกครั้ง
ผู้ใช้ Yahoo ชื่นชอบการค้นหาของ Google มาก การมีมันบนเว็บไซต์ Yahoo กลับกลายเป็นการโฆษณาฟรีให้ Google นอกจากนี้ Google ยังแนะนำโฆษณาในผลการค้นหา ด้วยอัลกอริทึมจับคู่โฆษณาที่ชาญฉลาด
โฆษณาของ Google เกี่ยวข้องกับผู้ใช้มากกว่า คุ้มค่ากว่าสำหรับผู้ลงโฆษณา และเป็นเรื่องที่โครตโหดสำหรับ Google ที่สามารถทำกำไรได้มากกว่า Yahoo เยอะ
Google นำกำไรไปลงทุนต่อในการทำข้อตกลงกับบริษัทอินเทอร์เน็ตรายใหญ่อื่นๆ เช่น เป็นหน้าแรกเริ่มต้นของ Firefox และทันใดนั้น Google ก็อยู่ในตำแหน่งผู้นำของการเข้าชมเว็บไซต์
ธุรกิจโฆษณาในการค้นหาของพวกเขาทำกำไรและมีประสิทธิภาพสูงมาก ยิ่ง Google ใช้เงินโปรโมทเสิร์ชเอนจินมากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งทำกำไรจากโฆษณามากขึ้น และมีเงินที่จะใช้จ่ายมากขึ้นไปอีก
ในขณะที่โฆษณาแบนเนอร์ของ Yahoo มีประสิทธิภาพและทำกำไรได้น้อยกว่ามาก ทำให้อัตรากำไรของ Yahoo น้อยลง และผู้ลงโฆษณาเริ่มย้ายงบไปที่ Google แทน
เพียงไม่กี่ปีหลังจาก Yahoo ปฏิเสธโอกาสซื้อ Google ตอนนี้ Google กำลังแย่งทั้งผู้ใช้และผู้ลงโฆษณาของ Yahoo ไปอย่างรวดเร็ว
Yahoo รู้ว่าต้องทำอะไรสักอย่าง พวกเขากลับไปหา Google และถามราคาซื้อกิจการ Google ต้องการ 1 พันล้านดอลลาร์ และ Yahoo ตกลง
แต่จุดนั้น Google ก็ได้ปรับราคาเพิ่มเป็น 3 พันล้าน แล้วเป็น 5 พันล้านดอลลาร์ ข้อตกลงนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นอีกต่อไป Yahoo จึงนำ Google ออกจากเว็บไซต์โดยสิ้นเชิงและสร้างเสิร์ชเอนจินของตัวเองขึ้นมาแข่ง
แต่เห็นได้ชัดอย่างรวดเร็วว่า Yahoo แพ้สงครามการค้นหาไปแล้ว และไดเร็กทอรีของพวกเขาก็มีประโยชน์น้อยลงทุกวัน หาก Yahoo ต้องการรักษาความเป็นผู้นำ พวกเขาจำเป็นต้องหันไปมุ่งเน้นที่บริการอื่นๆ
โอกาสครั้งใหญ่มาถึงในปี 2006 ผู้บริหาร Yahoo นั่งประชุมกับ Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้ง Facebook และตกลงที่จะซื้อ Facebook ในราคา 1 พันล้านดอลลาร์
จริงๆ แล้ว Zuckerberg ไม่ต้องการทำข้อตกลงนี้ แต่คณะกรรมการและนักลงทุนบอกว่าถ้า Yahoo เสนอ 1 พันล้าน เขาต้องรับ
แต่ในนาทีสุดท้าย Yahoo พยายามต่อรองราคาเป็น 850 ล้านดอลลาร์แทน กลยุทธ์การเจรจานี้ส่งผลย้อนกลับอย่างเจ็บแสบ Zuckerberg ออกจากการประชุมด้วยความยินดี
คณะกรรมการบอกเขาว่าถ้าเสนอหนึ่งพันล้านเขาต้องรับ แต่เสนอน้อยกว่า เขาจึงปฏิเสธและได้บริหาร Facebook ต่อด้วยตัวเองในฐานะบริษัทอิสระ
เป็นอีกครั้งสำหรับ Yahoo กับการพยายามประหยัดเงินไม่กี่ล้านดอลลาร์ที่ทำให้พวกเขาพลาดโอกาสได้บริษัทที่ปัจจุบันมีมูลค่าราวๆ หนึ่งล้านล้านดอลลาร์
ส่วนที่พีคมากคือ Yahoo ทำการควบรวมและซื้อกิจการนับร้อยครั้ง รวมถึงซื้อ Broadcast.com มูลค่า 5.7 พันล้านดอลลาร์ แต่กลับปฏิเสธ Facebook และ Google
พวกเขายังพลาดข้อตกลงกับ eBay และแม้แต่ YouTube ลองจินตนาการดูว่าอินเทอร์เน็ตและโลกทั้งใบอาจดูแตกต่างไปแค่ไหนถ้า Yahoo ซื้อบริษัทเหล่านั้นตอนที่มีโอกาส
แต่ในเวลานั้น Google และ Facebook เป็นเพียงบริษัทเล็กๆ ในคลื่นมหาสมุทรของบริษัทเล็กๆ นับไม่ถ้วน แม้ว่า Yahoo จะซื้อพวกเขา ก็ไม่มีการรับประกันว่าจะประสบความสำเร็จมากขนาดนี้
เหตุผลสำคัญที่สุดสำหรับการตกต่ำของ Yahoo จริงๆ แล้วไม่ใช่การแข่งขันจากภายนอก แต่เป็นความวุ่นวายมั่วซั่วที่เกิดขึ้นภายใน
พนักงานคนหนึ่งของบริษัทเขียนบันทึกระบุปัญหาทั้งหมดที่ Yahoo ต้องแก้ไข ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อ “The Peanut Butter Manifesto” (บันทึกเนยถั่ว)
เพราะใช้อุปมาอุปไมยของการทาเนยถั่วเพื่ออธิบายว่า Yahoo กำลังกระจายทรัพยากรบางเกินไป พนักงานเขียนว่า Yahoo พยายามมุ่งเน้นทุกอย่างและจึงไม่ได้มุ่งเน้นอะไรเป็นพิเศษ
ตัวอย่างที่น่าตกใจที่สุดคือในการประชุมนอกสถานที่ พนักงานถูกขอให้เขียนคำแรกที่นึกถึงเมื่อได้ยินชื่อบริษัทต่างๆ
สำหรับ Google ทุกคนเขียน “search” (ค้นหา) สำหรับ PayPal เขียน “payments” (การชำระเงิน) สำหรับ eBay เขียน “auctions” (การประมูล) แต่สำหรับ Yahoo ทุกคนเขียนคำที่แตกต่างกัน
ไม่มีใครในบริษัทรู้ว่า Yahoo คืออะไรหรือกำลังพยายามจะเป็นอะไร บันทึกยังชี้ให้เห็นว่า Yahoo มีคนมากเกินไปที่มีความรับผิดชอบทับซ้อนกัน
เช่น Yahoo ซื้อเว็บไซต์แชร์รูปภาพชื่อ Flickr แต่ยังคงมีทีมแยกต่างหากที่ทำงานบนบริการชื่อ Yahoo Photos ซึ่งทำหน้าที่เหมือนกันทุกประการ
พูดง่ายๆ คือการบริหารบริษัทเหมือนกลุ่มสตาร์ทอัพได้ช่วยเร่งการเติบโต แต่ตอนนี้กำลังส่งบริษัทเข้าสู่ความโกลาหล Yahoo แบ่งแยกออกเป็นทีมเล็กๆ ที่เป็นอิสระและไม่เชื่อมต่อกัน
แทนที่จะเป็นบริษัทที่เป็นหนึ่งเดียวกันด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน ผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ใช้ระบบโค้ดที่แตกต่างกัน มีการออกแบบและสีที่แตกต่างกัน และส่วนใหญ่ไม่ได้ผสานรวมกันเลย
แต่ถึงแม้จะมีความวุ่นวายภายใน Yahoo ในปี 2008 พวกเขาก็มีโอกาสที่จะรอดแล้วแท้ ๆ เมื่อ Microsoft เสนอซื้อในราคากว่า 44 พันล้านดอลลาร์
Microsoft รู้สึกว่าพวกเขาต้องร่วมมือกัน ไม่เช่นนั้น Google จะกลายเป็นบริษัทที่ทรงพลังเกินไป แต่ Yahoo ปฏิเสธข้อเสนอ โดยบอกว่า Microsoft ประเมินศักยภาพพวกเขาต่ำเกินไป
เพียงไม่กี่เดือนต่อมาพวกเขาเสียใจกับการตัดสินใจนั้น เมื่อราคาหุ้นลดฮวบและมูลค่าของบริษัทลดลงเหลือ 14 พันล้านดอลลาร์ น้อยกว่าหนึ่งในสามของที่ Microsoft เสนอ
หนึ่งในเหตุผลหลักคือการขาดทิศทางของ Yahoo และการหมุนเวียน CEO บ่อยครั้ง ในปี 2007 Terry Semel เป็น CEO จากนั้นปี 2007 ถึง 2009 ผู้ก่อตั้งคนแรก Jerry Yang เข้ามาดูแล
จากปี 2009 ถึง 2011 เป็น Carol Bartz แล้ว Scott Thompson เข้ามาและอยู่เพียงครึ่งแรกของปี 2012 ก่อนที่ Marissa Mayer จะเข้ามาในช่วงฤดูร้อนปี 2012 นั่นคือ 5 CEO ในเวลา 6 ปี
ไม่มีใครเห็นด้วยว่าใครควรบริหาร Yahoo และเมื่อแต่ละ CEO คนใหม่ทำบางสิ่งบางอย่างแต่ไม่ได้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วเพียงพอ พวกเขาก็เปลี่ยนไปหาคนอื่น ซึ่งยิ่งสร้างความโกลาหลมากขึ้น
มีรายงานว่า Yahoo เปลี่ยนพันธกิจขององค์กรอย่างน้อย 24 ครั้ง แสดงให้เห็นว่าแม้แต่ผู้บริหารระดับสูงก็ไม่รู้ว่าแผนหรือวิสัยทัศน์ของ Yahoo คืออะไร
ความวุ่นวายทั้งหมดนี้ทำให้ Yahoo ตัดสินใจยากและช้าในการปรับตัวให้เข้ากับการเติบโตของอินเทอร์เน็ตบนมือถือ แอพโทรศัพท์ของ Yahoo ก็ห่วยแตกมาก ๆ เมื่อเทียบกับคู่แข่ง
นี่ทำให้บริการยอดนิยมอย่าง Yahoo Mail เริ่มสูญเสียผู้ใช้เพราะผู้คนเริ่มใช้แอพอีเมลแทนเว็บไซต์ของ Yahoo
นอกจากนี้ Yahoo ยังแนะนำระบบการให้คะแนนภายในสำหรับพนักงาน ที่ผู้จัดการต้องให้คะแนนทีมของตนว่าเกินเป้าหมายเป็นเปอร์เซ็นต์หนึ่งและพลาดเป้าอีกเปอร์เซ็นต์หนึ่ง
แม้ว่าทีมทั้งหมดจะทำงานได้ดีมาก บางคนก็ต้องได้คะแนนไม่ดี แนวคิดก็คือจะช่วยกำจัดพนักงานที่มีความสามารถน้อยกว่าและช่วยให้ Yahoo มีประสิทธิภาพมากขึ้น
แต่ในความเป็นจริงมันทำให้พนักงานรู้สึกว่าพวกเขากำลังเขม่นกัน และสร้างวัฒนธรรมการแข่งขันที่ผู้คนแทงข้างหลังกันแทนที่จะร่วมมือกันเป็นทีม
เหตุผลที่ใหญ่ที่สุดสำหรับการตกต่ำอย่างรวดเร็วของ Yahoo นั้นจริงๆ แล้วค่อนข้างเรียบง่าย เมื่อ Yahoo เปิดตัว ไดเร็กทอรีของพวกเขาสามารถแก้ปัญหาให้ผู้ใช้งานได้จริงๆ
มันทำให้อินเทอร์เน็ตยุคแรกใช้งานง่ายขึ้นมาก แต่ทันทีที่การค้นหาเข้ามาแทนที่และแทนที่ความจำเป็นของไดเร็กทอรี Yahoo ก็ไม่เคยพบตัวตนของตัวเองอีกเลย
มันเป็นตัวอย่างที่โครตโหดของคำว่า “รู้ทุกอย่างแต่ไม่เชี่ยวชาญอะไรเลย” Yahoo ทำหลายอย่างได้พอใช้ แต่ไม่ได้เป็นที่สุดในอะไรอีกต่อไป
ในที่สุดผลิตภัณฑ์และบริการนับร้อยของพวกเขาก็ถูกตีแตกด้วยทางเลือกที่ดีกว่า Yahoo Shopping แพ้ให้กับ Amazon, Yahoo Messenger แพ้ให้กับ WhatsApp, Yahoo Mail ถูก Gmail แซงหน้า
Yahoo Answers แพ้ให้กับ Quora บริษัทอื่นๆ เหล่านี้มุ่งเน้นที่จะเป็นที่สุดในสิ่งใดสิ่งหนึ่งก่อนที่จะขยายไปสู่ด้านอื่นๆ ในขณะที่ Yahoo ไม่มีตัวตนที่ชัดเจนอีกต่อไป
ครั้งหนึ่ง Yahoo เคยเป็นราชาแห่งอินเทอร์เน็ตอย่างแท้จริง แต่ด้วยการผสมผสานของการตัดสินใจที่แย่ ความลังเล ผลิตภัณฑ์ที่พอใช้ การแข่งขันที่ดุเดือด และการนำที่ย่ำแย่ พวกเขาก็สูญสิ้นทุกสิ่ง
ในปี 2017 Verizon ซื้อ Yahoo ในราคา 4.48 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งน้อยกว่าหนึ่งในสิบของราคาที่ Microsoft เคยเสนอ แต่ Verizon ก็ไม่สามารถฟื้นฟู Yahoo ได้ และถูกขายอีกครั้งในปี 2021
แน่นอนว่า Yahoo ยังคงทำเงินได้ จริงๆ แล้วผลิตภัณฑ์หลายอย่างของพวกเขาเช่น Yahoo Mail ยังคงมีคนเข้าชมมาก แต่นั่นส่วนใหญ่มาจากคนที่ตั้งอีเมลกับพวกเขาเมื่อหลายปีก่อน
พวกเขาเป็นผู้ใช้ที่ยังไม่ได้เปลี่ยนไปใช้ทางเลือกอื่น หากไม่มีนวัตกรรมที่ปฏิวัติวงการบางอย่าง Yahoo ดูเหมือนจะค่อยๆ จางหายไปสู่ความไม่มีตัวตน
ถ้ามองย้อนกลับไป Yahoo เป็นเหมือนบทเรียนที่แสนเจ็บปวดสำหรับทุกธุรกิจ การมีเงินและทรัพยากรมหาศาลไม่ได้รับประกันความสำเร็จในระยะยาว
บริษัทต้องมีความชัดเจนในตัวตน กล้าตัดสินใจเด็ดขาดในเวลาสำคัญ และมุ่งเป็นที่สุดในสิ่งที่ตนทำ แทนที่จะพยายามทำทุกอย่างแต่ไม่โดดเด่นในด้านใดเลย
เส้นทางของ Yahoo เป็นเรื่องราวที่น่าทึ่งของการขีดเขียนชะตาชีวิตที่ผิดพลาดด้วยตัวพวกเขาเอง การพลาดโอกาสทอง และการสูญเสียตัวตนท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง
มันเตือนใจเราว่าในโลกเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงเร็ว แม้แต่ผู้นำตลาดก็อาจพบจุดจบได้อย่างรวดเร็ว หากขาดวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและความสามารถในการปรับตัวนั่นเองครับผม