ในทุกวันนี้สิ่งต่าง ๆ รอบตัวเราไม่ว่าจะเป็น โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ ทีวี รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิด ทั้งหมดนี้ขับเคลื่อนด้วยชิ้นส่วนจิ๋วที่เรียกว่า “ชิปเซมิคอนดักเตอร์” ซึ่งเจ้าชิปตัวจิ๋วนี้แหละที่เป็นหัวใจสำคัญของเทคโนโลยีสมัยใหม่ทั้งหมด
แม้ว่าปัจจุบันไต้หวันจะครองบัลลังก์ผู้นำด้านการผลิตชิป แต่ญี่ปุ่นกำลังทุ่มงบมหาศาลกว่า 67,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อหวนคืนสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง เรียกได้ว่าทุ่มยิ่งกว่าสหรัฐฯ และเยอรมนีเมื่อเทียบกับ GDP เสียอีก
เมื่อย้อนกลับไปช่วงทศวรรษ 80 และต้นทศวรรษ 90 ญี่ปุ่นเคยครองความเป็นใหญ่ในวงการชิป ปี 1988 บริษัทญี่ปุ่นควบคุมยอดขายชิปทั่วโลกถึง 50%
แต่แล้วฟองสบู่ดอทคอมก็แตกกระจาย เศรษฐกิจญี่ปุ่นเข้าสู่ภาวะชะงักงันยาวนาน ชิปของญี่ปุ่นค่อยๆ ตกต่ำ ตามหลังคู่แข่งทั้งไต้หวันและสหรัฐฯ อย่างน่าใจหาย
ตอนนี้ญี่ปุ่นต้องการที่จะกลับไปยุครุ่งเรืองเหมือนทศวรรษ 1980 อีกครั้ง ด้วยการระดมพลทุกภาคส่วน ทั้งรัฐบาล เอกชน มหาวิทยาลัย รวมถึงจับมือกับพันธมิตรต่างชาติอย่าง TSMC และ IBM
ตลาดเซมิคอนดักเตอร์จะพุ่งทะยานถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030 ชิปขั้นสูงจะเป็นรากฐานให้กับเทคโนโลยีล้ำๆ มากมาย ทั้ง AI, ระบบอาวุธ, รถยนต์ไฟฟ้า, สมาร์ทโฟน เรียกได้ว่าเป็นเจ้าพ่อของอุตสาหกรรมอนาคตเลยก็ว่าได้
แต่ปัจจุบันการผลิตชิปกระจุกตัวอยู่แค่ไต้หวันกับเกาหลีใต้ ทำให้ห่วงโซ่อุปทานเปราะบางสุดๆ ยิ่งมีข่าวลือว่าจีนอาจเตรียมบุกไต้หวันภายในปี 2027 ทำให้หลายประเทศเริ่มกังวลใจ
วิกฤต Covid และสงครามรัสเซีย-ยูเครน ได้ทำให้การผลิตชิปมีปัญหา โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมรถยนต์ญี่ปุ่นอย่าง Toyota, Honda, Nissan ต้องหยุดสายการผลิตเพราะชิปขาดแคลน นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ญี่ปุ่นตื่นตัวหันมาพึ่งพาตัวเอง
ญี่ปุ่นวางแผนฟื้นฟูอุตสาหกรรมชิปผ่านสองเสาหลัก:
เสาแรก คือการดึง TSMC บริษัทผู้นำระดับโลกมาลงทุนในญี่ปุ่น ผ่านการร่วมทุนชื่อ JASM (กิจการร่วมระหว่าง TSMC, Sony และ Denso) ซึ่งโรงงานแรกสร้างเสร็จแล้วในปี 2024 กำลังจะเริ่มผลิตเร็วๆ นี้ ที่ตั้งโรงงานอยู่ในเมืองคิคุโยที่เคยเงียบสงบ ห่างไกลจากศูนย์กลางเศรษฐกิจโตเกียว
เสาที่สอง คือการปลุกปั้นบริษัทในประเทศอย่าง Rapidus แม้จะเป็นบริษัทอายุแค่สองปี แต่ตั้งเป้าสุดโหดที่จะผลิตชิป 2nm ซึ่งล้ำสมัยสุดๆ ให้ได้ภายในปี 2027 หลายคนอาจมองว่าเป็นความฝันลมๆ แล้งๆ แต่ญี่ปุ่นก็พร้อมทุ่มสุดตัว
Preferred Networks สตาร์ทอัพเทคญี่ปุ่นกำลังรังสรรค์ชิป AI ของตัวเอง บางคนถึงกับยกให้พวกเขาเป็น “Nvidia ญี่ปุ่น” เลยทีเดียว ในปี 2024 บริษัทได้รับเงินทุน 463 ล้านดอลลาร์เพื่อพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์
ทำไมต้องทำชิปเอง? เพราะ AI กินพลังงานมหาศาล Preferred Networks จึงมุ่งพัฒนาชิปที่ประมวลผล AI ได้ดีแต่ใช้พลังงานน้อยลง ช่วยให้คนเข้าถึงเทคโนโลยี AI ได้มากขึ้น และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
การเกิดขึ้นของโรงงาน JASM ส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อเมืองคิคุโย ที่มีประชากรเพียง 44,000 คน เมื่อต้องรับพนักงานชาวไต้หวัน 750 คนและครอบครัวที่ย้ายเข้ามา
ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดคือการต้อนรับคนต่างชาติให้อยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน แม้ชาวเมืองอาจปรับตัวไม่ได้ในช่วงแรกกับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน แต่เทศบาลก็จัดตั้งศูนย์ให้คำปรึกษาชาวต่างชาติเพื่อช่วยเหลือ
การผลิตชิปต้องใช้ที่ดินและน้ำมหาศาล ซึ่งเมืองต้องบริหารจัดการอย่างสมดุลระหว่างความต้องการของชาวเมืองกับโรงงาน และรายได้ภาษีที่เพิ่มขึ้นก็ต้องจัดสรรให้เกิดประโยชน์กับทุกคนอย่างเท่าเทียม
Screen Holdings บริษัทที่สร้างเครื่องจักรทำความสะอาดชิป มองว่านี่เป็นโอกาสทองของธุรกิจ แต่ก็ยังมีข้อสงสัยว่าญี่ปุ่นจะกลับมาแข่งขันได้จริงหรือไม่ เพราะผู้ผลิตชิปญี่ปุ่นไม่ได้ไล่ตามเทคโนโลยีชั้นนำมานานแล้ว
ความท้าทายมีมากมาย ทั้งการแข่งขันจากต่างประเทศ เทคโนโลยีที่เปลี่ยนเร็ว และการขาดแคลนแรงงานทักษะ แต่ด้วยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ความหวังก็ยังคงมีอยู่
บริษัทญี่ปุ่นหลายแห่งกำลังปรับตัวรับความต้องการใหม่ๆ Screen Holdings เองก็จัดหาเทคโนโลยีการทำความสะอาดที่ต่างกันให้ลูกค้าแต่ละกลุ่ม ทั้งเทคโนโลยีเก่าสำหรับจีน และเทคโนโลยีล้ำสมัยสำหรับผู้ผลิตชิป 2nm
Sony มีบทบาทสำคัญในการนำ TSMC มาญี่ปุ่น ให้คำแนะนำเรื่องความแตกต่างทางวัฒนธรรม ส่งวิศวกรไปช่วยเริ่มดำเนินการ และสนับสนุนในหลายด้านที่ TSMC ไม่คุ้นเคย
Sony หวังว่าความร่วมมือนี้จะช่วยพัฒนาเซนเซอร์ภาพสำหรับสมาร์ทโฟนและรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ คาดว่าในอีก 5 ปี ประมาณ 35-40% ของรถยนต์ในโลกจะเป็น EV ซึ่งต้องใช้เซนเซอร์ภาพคุณภาพสูง
2-3 ปีข้างหน้าจะเป็นจุดชี้ชะตาของอุตสาหกรรมชิปญี่ปุ่น เพราะ Rapidus จะเริ่มดำเนินการในช่วงเวลานั้น หากไม่สามารถผลิตชิปเชิงพาณิชย์ได้ภายในเวลาดังกล่าว โอกาสแข่งขันก็อาจมลายหายไปหมดสิ้น
ความท้าทายใหญ่คือการสร้างระบบนิเวศทั้งหมดให้พร้อม และให้ทุกฝ่ายทำงานเป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งภาครัฐและเอกชนอย่างเข้มแข็ง
กับการลงทุนมหาศาลและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ญี่ปุ่นกำลังมุ่งมั่นที่จะกลับมาเป็นผู้นำด้านชิปอีกครั้ง แม้จะเป็นการเดินทางที่เสี่ยงอันตรายแต่ก็มีรางวัลใหญ่ที่รอพวกเขาอยู่
JASM มีแผนจะเริ่มผลิตชิปจำนวนมากเร็วๆ นี้ ส่วน Rapidus ก็เตรียมเปิดโรงงานนำร่องในปีนี้ แม้จะดูเป็นไปได้ยาก แต่การผลักดันของญี่ปุ่นเพื่อกลับสู่ความรุ่งโรจน์ด้านชิปก็ดูมีแรงขับเคลื่อนมากขึ้นเรื่อยๆ
ความสำเร็จของแผนนี้จะไม่เพียงส่งผลต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังจะช่วยสร้างเสถียรภาพให้กับห่วงโซ่อุปทานชิปทั่วโลก รวมถึงกระตุ้นการพัฒนาเทคโนโลยี AI และยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคเอเชียอีกด้วย
ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร การผลักดันของญี่ปุ่นก็แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญและวิสัยทัศน์ในการฟื้นฟูอุตสาหกรรมที่เคยเป็นที่เชิดหน้าชูตาของประเทศ เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับประเทศอื่นๆ ที่ต้องการพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชั้นสูงของตนเอง