เดิมพันชิป เดิมพันชาติ เบื้องหลังแผนกู้ศักดิ์ศรีญี่ปุ่น บนสนามรบเซมิคอนดักเตอร์

ในทุกวันนี้สิ่งต่าง ๆ รอบตัวเราไม่ว่าจะเป็น โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ ทีวี รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิด ทั้งหมดนี้ขับเคลื่อนด้วยชิ้นส่วนจิ๋วที่เรียกว่า “ชิปเซมิคอนดักเตอร์” ซึ่งเจ้าชิปตัวจิ๋วนี้แหละที่เป็นหัวใจสำคัญของเทคโนโลยีสมัยใหม่ทั้งหมด

แม้ว่าปัจจุบันไต้หวันจะครองบัลลังก์ผู้นำด้านการผลิตชิป แต่ญี่ปุ่นกำลังทุ่มงบมหาศาลกว่า 67,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อหวนคืนสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง เรียกได้ว่าทุ่มยิ่งกว่าสหรัฐฯ และเยอรมนีเมื่อเทียบกับ GDP เสียอีก

เมื่อย้อนกลับไปช่วงทศวรรษ 80 และต้นทศวรรษ 90 ญี่ปุ่นเคยครองความเป็นใหญ่ในวงการชิป ปี 1988 บริษัทญี่ปุ่นควบคุมยอดขายชิปทั่วโลกถึง 50%

แต่แล้วฟองสบู่ดอทคอมก็แตกกระจาย เศรษฐกิจญี่ปุ่นเข้าสู่ภาวะชะงักงันยาวนาน ชิปของญี่ปุ่นค่อยๆ ตกต่ำ ตามหลังคู่แข่งทั้งไต้หวันและสหรัฐฯ อย่างน่าใจหาย

ตอนนี้ญี่ปุ่นต้องการที่จะกลับไปยุครุ่งเรืองเหมือนทศวรรษ 1980 อีกครั้ง ด้วยการระดมพลทุกภาคส่วน ทั้งรัฐบาล เอกชน มหาวิทยาลัย รวมถึงจับมือกับพันธมิตรต่างชาติอย่าง TSMC และ IBM

ตลาดเซมิคอนดักเตอร์จะพุ่งทะยานถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030 ชิปขั้นสูงจะเป็นรากฐานให้กับเทคโนโลยีล้ำๆ มากมาย ทั้ง AI, ระบบอาวุธ, รถยนต์ไฟฟ้า, สมาร์ทโฟน เรียกได้ว่าเป็นเจ้าพ่อของอุตสาหกรรมอนาคตเลยก็ว่าได้

แต่ปัจจุบันการผลิตชิปกระจุกตัวอยู่แค่ไต้หวันกับเกาหลีใต้ ทำให้ห่วงโซ่อุปทานเปราะบางสุดๆ ยิ่งมีข่าวลือว่าจีนอาจเตรียมบุกไต้หวันภายในปี 2027 ทำให้หลายประเทศเริ่มกังวลใจ

วิกฤต Covid และสงครามรัสเซีย-ยูเครน ได้ทำให้การผลิตชิปมีปัญหา โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมรถยนต์ญี่ปุ่นอย่าง Toyota, Honda, Nissan ต้องหยุดสายการผลิตเพราะชิปขาดแคลน นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ญี่ปุ่นตื่นตัวหันมาพึ่งพาตัวเอง

ญี่ปุ่นวางแผนฟื้นฟูอุตสาหกรรมชิปผ่านสองเสาหลัก:

เสาแรก คือการดึง TSMC บริษัทผู้นำระดับโลกมาลงทุนในญี่ปุ่น ผ่านการร่วมทุนชื่อ JASM (กิจการร่วมระหว่าง TSMC, Sony และ Denso) ซึ่งโรงงานแรกสร้างเสร็จแล้วในปี 2024 กำลังจะเริ่มผลิตเร็วๆ นี้ ที่ตั้งโรงงานอยู่ในเมืองคิคุโยที่เคยเงียบสงบ ห่างไกลจากศูนย์กลางเศรษฐกิจโตเกียว

เสาที่สอง คือการปลุกปั้นบริษัทในประเทศอย่าง Rapidus แม้จะเป็นบริษัทอายุแค่สองปี แต่ตั้งเป้าสุดโหดที่จะผลิตชิป 2nm ซึ่งล้ำสมัยสุดๆ ให้ได้ภายในปี 2027 หลายคนอาจมองว่าเป็นความฝันลมๆ แล้งๆ แต่ญี่ปุ่นก็พร้อมทุ่มสุดตัว

Preferred Networks สตาร์ทอัพเทคญี่ปุ่นกำลังรังสรรค์ชิป AI ของตัวเอง บางคนถึงกับยกให้พวกเขาเป็น “Nvidia ญี่ปุ่น” เลยทีเดียว ในปี 2024 บริษัทได้รับเงินทุน 463 ล้านดอลลาร์เพื่อพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์

ทำไมต้องทำชิปเอง? เพราะ AI กินพลังงานมหาศาล Preferred Networks จึงมุ่งพัฒนาชิปที่ประมวลผล AI ได้ดีแต่ใช้พลังงานน้อยลง ช่วยให้คนเข้าถึงเทคโนโลยี AI ได้มากขึ้น และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

การเกิดขึ้นของโรงงาน JASM ส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อเมืองคิคุโย ที่มีประชากรเพียง 44,000 คน เมื่อต้องรับพนักงานชาวไต้หวัน 750 คนและครอบครัวที่ย้ายเข้ามา

ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดคือการต้อนรับคนต่างชาติให้อยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน แม้ชาวเมืองอาจปรับตัวไม่ได้ในช่วงแรกกับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน แต่เทศบาลก็จัดตั้งศูนย์ให้คำปรึกษาชาวต่างชาติเพื่อช่วยเหลือ

การผลิตชิปต้องใช้ที่ดินและน้ำมหาศาล ซึ่งเมืองต้องบริหารจัดการอย่างสมดุลระหว่างความต้องการของชาวเมืองกับโรงงาน และรายได้ภาษีที่เพิ่มขึ้นก็ต้องจัดสรรให้เกิดประโยชน์กับทุกคนอย่างเท่าเทียม

Screen Holdings บริษัทที่สร้างเครื่องจักรทำความสะอาดชิป มองว่านี่เป็นโอกาสทองของธุรกิจ แต่ก็ยังมีข้อสงสัยว่าญี่ปุ่นจะกลับมาแข่งขันได้จริงหรือไม่ เพราะผู้ผลิตชิปญี่ปุ่นไม่ได้ไล่ตามเทคโนโลยีชั้นนำมานานแล้ว

ความท้าทายมีมากมาย ทั้งการแข่งขันจากต่างประเทศ เทคโนโลยีที่เปลี่ยนเร็ว และการขาดแคลนแรงงานทักษะ แต่ด้วยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ความหวังก็ยังคงมีอยู่

บริษัทญี่ปุ่นหลายแห่งกำลังปรับตัวรับความต้องการใหม่ๆ Screen Holdings เองก็จัดหาเทคโนโลยีการทำความสะอาดที่ต่างกันให้ลูกค้าแต่ละกลุ่ม ทั้งเทคโนโลยีเก่าสำหรับจีน และเทคโนโลยีล้ำสมัยสำหรับผู้ผลิตชิป 2nm

Sony มีบทบาทสำคัญในการนำ TSMC มาญี่ปุ่น ให้คำแนะนำเรื่องความแตกต่างทางวัฒนธรรม ส่งวิศวกรไปช่วยเริ่มดำเนินการ และสนับสนุนในหลายด้านที่ TSMC ไม่คุ้นเคย

Sony หวังว่าความร่วมมือนี้จะช่วยพัฒนาเซนเซอร์ภาพสำหรับสมาร์ทโฟนและรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ คาดว่าในอีก 5 ปี ประมาณ 35-40% ของรถยนต์ในโลกจะเป็น EV ซึ่งต้องใช้เซนเซอร์ภาพคุณภาพสูง

2-3 ปีข้างหน้าจะเป็นจุดชี้ชะตาของอุตสาหกรรมชิปญี่ปุ่น เพราะ Rapidus จะเริ่มดำเนินการในช่วงเวลานั้น หากไม่สามารถผลิตชิปเชิงพาณิชย์ได้ภายในเวลาดังกล่าว โอกาสแข่งขันก็อาจมลายหายไปหมดสิ้น

ความท้าทายใหญ่คือการสร้างระบบนิเวศทั้งหมดให้พร้อม และให้ทุกฝ่ายทำงานเป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งภาครัฐและเอกชนอย่างเข้มแข็ง

กับการลงทุนมหาศาลและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ญี่ปุ่นกำลังมุ่งมั่นที่จะกลับมาเป็นผู้นำด้านชิปอีกครั้ง แม้จะเป็นการเดินทางที่เสี่ยงอันตรายแต่ก็มีรางวัลใหญ่ที่รอพวกเขาอยู่

JASM มีแผนจะเริ่มผลิตชิปจำนวนมากเร็วๆ นี้ ส่วน Rapidus ก็เตรียมเปิดโรงงานนำร่องในปีนี้ แม้จะดูเป็นไปได้ยาก แต่การผลักดันของญี่ปุ่นเพื่อกลับสู่ความรุ่งโรจน์ด้านชิปก็ดูมีแรงขับเคลื่อนมากขึ้นเรื่อยๆ

ความสำเร็จของแผนนี้จะไม่เพียงส่งผลต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังจะช่วยสร้างเสถียรภาพให้กับห่วงโซ่อุปทานชิปทั่วโลก รวมถึงกระตุ้นการพัฒนาเทคโนโลยี AI และยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคเอเชียอีกด้วย

ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร การผลักดันของญี่ปุ่นก็แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญและวิสัยทัศน์ในการฟื้นฟูอุตสาหกรรมที่เคยเป็นที่เชิดหน้าชูตาของประเทศ เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับประเทศอื่นๆ ที่ต้องการพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชั้นสูงของตนเอง

ทำไมวิศวกรถึงครองโลกธุรกิจ? ลาก่อน MBA! เมื่อนักสร้างนวัตกรรมก้าวยึดครององค์กรระดับโลก

รู้ไหมว่า Jeff Bezos, Tim Cook, Sundar Pichai, Lisa Su, Mary Barra และ Jensen Huang มีอะไรเหมือนกัน? พวกเขาล้วนเป็นวิศวกร! และตอนนี้กำลังนั่งเก้าอี้ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทระดับท็อปของโลก

ในอดีต ถ้าอยากเป็นซีอีโอ ทุกคนมักมองหาปริญญาด้าน MBA แต่แนวโน้มนี้กำลังเปลี่ยนไป Harvard Business Review ได้เปิดเผยความจริงว่าในปี 2018 ผู้บริหารระดับท็อปจบวิศวกรรมเยอะกว่าจบ MBA ถึง 34 ต่อ 32 คน

ลองคิดถึงการเรียน MBA ในมหาวิทยาลัยอย่าง Wharton หรือ Harvard Business School ซึ่งแพงถึง 200,000 ดอลลาร์! แต่ตอนนี้ผู้บริหารหลายคนบอกให้เก็บเงินไว้ดีกว่า ยิ่ง Elon Musk ยังฟันธงเลยว่า “มีคนจบ MBA มาบริหารบริษัทมากเกินไป”

Musk มองว่าพวก MBA ชอบจมอยู่กับการประชุมและตัวเลขการเงิน แทนที่จะให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ แนวคิดของเขาชัดเจน – ถ้าผลิตภัณฑ์เจ๋ง กำไรจะตามมาเอง ดูอย่าง Tesla ที่สร้างรถไฟฟ้าสุดเทพ หรือ SpaceX กับจรวดนำกลับมาใช้ใหม่ได้

จุดแข็งของวิศวกรคือความสามารถในการออกแบบและแก้ปัญหาทางเทคนิคที่ซับซ้อน ด้วยพื้นฐานที่แน่นปึ้กทั้งคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี

จริงๆ แล้ว Musk ไม่ได้จบวิศวกรรมตรงๆ แต่จบฟิสิกส์และเศรษฐศาสตร์ เขาเป็นวิศวกรที่สร้างตัวผ่านการอ่านและศึกษาเรื่องจรวดจนโครตเทพ Sandy Munro ที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมถึงกับอึ้งเมื่อสัมภาษณ์เขา

“ผมเคยเห็นซีอีโอมาเยอะ แต่ไม่เคยเจอคนไหนที่รู้เรื่องผลิตภัณฑ์ลึกซึ้งขนาดนี้” Munro เปิดใจ

Satya Nadella แห่ง Microsoft เป็นตัวอย่างที่ดี เมื่อเขาก้าวขึ้นเป็นซีอีโอในปี 2014 ต้องหาทางฟื้นฟูบริษัทให้กลับมามีความสำคัญอีกครั้ง ในขณะที่ต้องรับมือกับแรงกดดันจาก Apple

ก่อนหน้านี้ ภายใต้การนำของ Steve Ballmer ผู้จบด้านคณิตศาสตร์และเศรษฐศาสตร์จาก Harvard Microsoft เริ่มสูญเสียความสามารถในการแข่งขันด้านนวัตกรรม ผลิตภัณฑ์อย่าง Surface หรือ Windows Phone ทำมาเพียงแค่เพื่อตอบโต้ iPad และ iPhone เท่านั้น

Nadella พลิกโฉม Microsoft ด้วยการนำซอฟต์แวร์ไปสู่แพลตฟอร์มอื่นๆ นอกเหนือจาก Windows รวมถึงผลักดัน Azure จนพุ่งทะยานเป็นคู่แข่งรายใหญ่ของ AWS

เขาส่งอีเมลถึงพนักงานวันแรกไว้ว่า “อุตสาหกรรมของเราไม่ได้เคารพประเพณี – มันเคารพแต่นวัตกรรมเท่านั้น”

การสร้างนวัตกรรมต้องกล้าเสี่ยงและยอมรับความล้มเหลว Thomas Edison เคยกล่าวว่า “ผมไม่ได้ล้มเหลว ผมแค่พบวิธีที่ใช้ไม่ได้ผล 10,000 วิธี”

James Dyson วิศวกรชาวอังกฤษ เป็นแบบอย่างของความไม่ยอมแพ้ เขาหงุดหงิดกับเครื่องดูดฝุ่นที่สูญเสียแรงดูด จึงตัดสินใจสร้างของดีกว่าเอง

เขาใช้เวลา 15 ปีทำต้นแบบกว่า 5,000 แบบ เพื่อคิดค้นเครื่องดูดฝุ่นไร้ถุงที่สมบูรณ์แบบ ผลตอบแทนจากความเพียรพยายามคือบริษัทมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ที่เราเห็นกันในทุกวันนี้

วิศวกรในฐานะผู้บริหารมักโฟกัสในรายละเอียดและไม่กลัวที่จะลงลึกในการดำเนินงาน Jeff Bezos ด้วยพื้นฐานวิศวกรรมไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ เคยสัมภาษณ์ผู้สมัครทุกคนด้วยตัวเองในช่วงแรกของ Amazon

เขาชอบถามคำถามแปลกๆ เช่น “ในอเมริกามีปั๊มน้ำมันกี่แห่ง?” เขาไม่ได้ต้องการคำตอบที่ถูกต้อง แต่ต้องการดูว่าผู้สมัครคิดวิเคราะห์เพื่อหาคำตอบอย่างไร

ไม่น่าแปลกใจที่วิศวกรก้าวขึ้นสู่จุดพีคของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี แต่พวกเขายังทำงานได้ดีในบริษัทที่ไม่ใช่เทคโนโลยีด้วย

Jeffrey Sprecher ซีอีโอของบริษัทที่เป็นเจ้าของตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก จบวิศวกรรมเคมี เขาเคยบอกว่า “ผมไม่เคยทำงานเกี่ยวกับเคมีเลย แต่ระเบียบวินัยที่ได้รับสอนผมเรื่องการแก้ปัญหา และธุรกิจก็คือเรื่องนั้นนั่นเอง”

วิศวกรเก่งในการแก้ปัญหา และนั่นเป็นกุญแจสำคัญในการทำทุกอย่าง ตั้งแต่สร้างสะพานไปจนถึงออกแบบจรวดไปดาวอังคาร

บริษัทที่มีผู้บริหารที่เข้าใจเทคโนโลยีมีโอกาสประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลสูงกว่าถึง 2.5 เท่า ในยุคที่เทคโนโลยีกำลังขีดชะตาทุกธุรกิจ ทักษะการแก้ปัญหาของวิศวกรกลายเป็นสกิลของแท้ที่มีค่ามากขึ้นเรื่อยๆ

การผสมผสานระหว่างความเชี่ยวชาญทางเทคนิคและวิสัยทัศน์ทางธุรกิจสามารถผลักดันองค์กรสู่ความสำเร็จได้อย่างน่าทึ่ง และนี่คือเหตุผลที่เราเห็นวิศวกรขึ้นแท่นเป็นผู้นำองค์กรระดับโลกมากขึ้นเรื่อยๆ

ในอนาคต แนวโน้มนี้น่าจะยิ่งชัดเจนขึ้น ในโลกที่ความท้าทายด้านเทคโนโลยีและความยั่งยืนกำลังเป็นปัจจัยสำคัญ การมีผู้นำที่เข้าใจทั้งด้านเทคนิคและการบริหารจะเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน

สรุปง่ายๆ อยากเป็นซีอีโอในอนาคต? อาจถึงเวลาคิดใหม่แล้วว่าปริญญา MBA อาจไม่ใช่เส้นทางเดียว เพราะโลกกำลังหันมามองวิศวกรที่มีทักษะการแก้ปัญหาและความเข้าใจในเทคโนโลยีมากขึ้น เพื่อนำพาองค์กรฝ่าคลื่นลมแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ฉุดไม่อยู่

ลองมองดู Satya Nadella ที่พลิกโฉม Microsoft จากบริษัทที่กำลังดิ่งลงเหวให้กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง หรือ Lisa Su ที่ปลุกปั้น AMD จากบริษัทที่แทบจะดับสูญให้กลายเป็นผู้นำด้านชิปประมวลผลระดับโลก

การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการปรับตัวของโลกธุรกิจที่กำลังเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ ที่ต้องการผู้นำที่เข้าใจทั้งเทคโนโลยีและธุรกิจไปพร้อมกัน

เรื่องน่าสนใจคือ วิศวกรที่ประสบความสำเร็จในการบริหารองค์กรมักมีวิธีคิดที่เป็นระบบ ชอบแก้ปัญหาที่รากเหง้า ไม่ใช่แค่รักษาอาการ และมองเห็นโอกาสในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ที่คนอื่นมองไม่เห็น

อย่างที่ Jeff Bezos เคยพูดไว้ว่า “นวัตกรรมเกิดขึ้นเมื่อคุณสนใจลูกค้า ไม่ใช่คู่แข่ง” นี่คือมุมมองของวิศวกรที่มุ่งแก้ปัญหาให้ผู้ใช้งานจริงๆ ไม่ใช่แค่ทำตามเกมธุรกิจ

ถ้าคุณกำลังถวิลหาตำแหน่งผู้บริหารในอนาคต การฝึกฝนทักษะการแก้ปัญหาและการเข้าใจเทคโนโลยีอาจสำคัญพอๆ กับความรู้ด้านการเงินและการตลาด

แม้แต่บริษัทในอุตสาหกรรมดั้งเดิมก็กำลังเปลี่ยนแปลงใหญ่ ดูอย่าง Mary Barra แห่ง General Motors ที่ใช้ความรู้ด้านวิศวกรรมขับเคลื่อนยักษ์ใหญ่ด้านยานยนต์สู่ยุคของรถยนต์ไฟฟ้าและยานพาหนะไร้คนขับ

วิศวกรเรียนรู้ที่จะมองปัญหาในแง่ของโอกาส และนี่คือทักษะที่โครตเทพสำหรับการนำองค์กรในยุคที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเร็วเหลือเกิน

อาจถึงเวลาที่สถาบันการศึกษาต้องทบทวนว่าหลักสูตร MBA แบบเดิมๆ ยังตอบโจทย์โลกธุรกิจยุคใหม่หรือไม่ หรือควรปรับให้มีความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมมากขึ้น

ไม่ว่าคุณจะเรียนอะไร สิ่งสำคัญคือการพัฒนาความคิดเชิงวิเคราะห์ การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ และวิสัยทัศน์ที่มองไกลกว่าตัวเลขในงบการเงิน

โลกธุรกิจยุคใหม่ต้องการผู้นำที่กล้าท้าทายสถานะเดิม กล้าคิดนอกกรอบ และมีความเข้าใจลึกซึ้งในสิ่งที่กำลังสร้าง ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่พบได้บ่อยในวิศวกรที่มากด้วยประสบการณ์

เรื่องราวของ Elon Musk, Jeff Bezos, Satya Nadella และอีกหลายคนได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การเป็นวิศวกรไม่ได้จำกัดให้คุณอยู่แค่ในห้องแล็บหรือหน้าจอคอมพิวเตอร์ แต่สามารถก่อร่างสร้างตัวเป็นผู้นำองค์กรระดับโลกที่เปลี่ยนแปลงโลกได้

วิศวกรกำลังสยายปีกสู่โลกธุรกิจมากขึ้นเรื่อยๆ และนี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ที่การเข้าใจเทคโนโลยีกลายเป็นทักษะพื้นฐานที่ขาดไม่ได้สำหรับผู้นำองค์กรในอนาคต

Lisa จาก ‘ลูกรัก’ สู่ ‘ศพฝัง’ ความลับใต้ดิน กับเรื่องราวต้นแบบ Mac ที่ถูก Apple ฝังทั้งเป็น

มีเรื่องเล่าลับๆ เรื่องหนึ่ง ที่ Apple ไม่เคยพูดถึงมันเลย เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 1989 เมื่อบริษัทแอบฝังคอมพิวเตอร์ Lisa ประมาณ 2,700 เครื่องในหลุมฝังกลบที่ Logan รัฐ Utah อย่างเงียบๆ

ย้อนกลับไปช่วงปลายยุค 70 ตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลกำลังบูม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลงานของ Apple Computer และ Steve สองคน – Wozniak และ Jobs ในตอนนั้น Apple กำลังพุ่งทะยานด้วยผลิตภัณฑ์อย่าง Apple II ที่เป็นตัวขับเคลื่อนหลักในการเติบโต

Apple II เป็นคอมพิวเตอร์จอสีเขียวเครื่องเล็กๆ ที่ Wozniak ออกแบบ แม้จะดูล้าสมัยตามมาตรฐานปัจจุบัน แต่ราคาถูกและมีประโยชน์มากพอจะผลักดันคอมพิวเตอร์เข้าสู่กระแสหลัก

Steve Jobs ในวัย 25 ปี ปี 1980 กลายเป็นเศรษฐีอย่างรวดเร็ว เขาไม่เกรงกลัวใคร ถือดี และบางครั้งก็ทำตัวโครตแสบ เขามักมาประชุมสาย ประกาศสิ่งที่คิดว่าควรจะเกิดขึ้นกับ Apple

Apple กำลังรุ่งเรือง แต่ต้องนำหน้าคู่แข่งให้ได้ ตลาดธุรกิจจะใหญ่กว่าและโตเร็วกว่าตลาดผู้ใช้ทั่วไปมาก ในขณะนั้นมีข่าวลือว่า IBM กำลังพัฒนา PC ของตัวเองที่จะเจ๋งกว่าและเหมาะกับธุรกิจมากกว่า Apple II

คอมพิวเตอร์ธุรกิจเครื่องแรกของ Apple คือ Apple III แต่ Jobs ไม่ใช่คนที่ชอบทำอะไรแบบสุกเอาเผากิน เขาได้เห็นภาพของอนาคตที่ Xerox ซึ่งมันเป็นต้นแบบของสิ่งที่เรียกว่า graphical user interface และเขาต้องการที่จะทำอะไรบางอย่างกับมัน

ทุกคนรู้ว่ากำลัง Apple สร้างคอมพิวเตอร์รูปแบบใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน ตามคำพูดของ Jobs คือ มันจะเป็นคอมพิวเตอร์ที่ “เจ๋งสุดๆ” และ Jobs ต้องการให้เป็นจุดเริ่มต้นของบางสิ่งที่แท้จริงและถาวร

ขณะที่ Jobs กำลังสร้างผลิตภัณฑ์เปลี่ยนโลกตัวใหม่ ชายคนหนึ่งชื่อ Bob Cook กำลังเริ่มต้นธุรกิจเล็กๆ ของตัวเอง ซึ่งขณะที่ Bob กำลังเรียนอยู่ที่ Utah State University Bob ได้อ่านนิตยสารคอมพิวเตอร์และเห็นโฆษณาชวนเป็นตัวแทนจำหน่าย Apple ซึ่ง Bob ก็แค่กรอกแบบฟอร์มส่งกลับไป และสิ่งนั้นทำให้ Bob ก็เริ่มเข้าสู่โลกของ Apple แบบไม่รู้ตัว

Bob ได้เล่าว่าต้องซื้อ Apple II หกเครื่องเพื่อเริ่มต้นธุรกิจ และมันเป็นเทคโนโลยีล้ำสมัยและใหม่จนขายยากลำบากมาก ๆ ในยุคนั้น

“ผมใช้เวลาประมาณเก้าเดือนในการขายหกเครื่องนั้น มันไม่ค่อยเสถียรและเป็นงานที่โหดหินมากในการบุกเบิกเพื่อจำหน่ายคอมพิวเตอร์รุ่นนี้ ” Bob กล่าว

Lisa เป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่ผู้ใช้ไม่ต้องงมกับคู่มือการใช้งานเล่มหนาเต๊อะ แทบจะเข้าใจมันได้ทันทีที่แกะกล่อง มันมีหน้าจอสว่าง desktop เต็มไปด้วยไอคอนและเอกสาร และอุปกรณ์ชี้ตำแหน่งที่เรียกว่าเมาส์

มันเป็นคอมพิวเตอร์ที่มีวิธีการใช้คอมพิวเตอร์ที่ง่ายกว่าวิธีการก่อนหน้านี้มาก ซึ่งคอมพิวเตอร์ยุคก่อนมีแค่ตัวอักษรสีเขียวสว่างบนหน้าจอและทุกอย่างที่ผู้ใช้ต้องการ มันขึ้นอยู่กับคำสั่งที่ซับซ้อนเป็นอย่างมาก

Lisa ไม่ใช่เครื่องแรกที่ทำสิ่งเหล่านั้น Xerox ได้วางจำหน่าย Star ซึ่งใช้ต้นแบบเดียวกัน แต่ Lisa มีความประณีตกว่ามาก โดย Jobs ได้เก็บรายละเอียดสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เช่น การลากและวาง หรือเมาส์ปุ่มเดียว

แม้แต่การลบไฟล์ก็รู้สึกใหม่ ผู้ใช้สามารถที่จะจับภาพ ไอคอนเล็กๆ ของเอกสาร ลากไปวางในถังขยะ และนั่นเป็นวิธีธรรมชาติในการลบสิ่งต่างๆ ที่มัน make sense เป็นอย่างมาก

Lisa เป็นความหลงใหลของ Jobs เขาตั้งชื่อตามลูกสาวของเขาเอง แต่สำหรับทีม Lisa เขาเป็นตัวปัญหา ซึ่งในฐานะผู้จัดการ Jobs แย่มาก เขาจะระเบิดอารมณ์ใส่คน เล่นพรรคเล่นพวก

เขาจะบ่อนทำลายโครงการที่เขาไม่ชอบหรือรู้สึกว่าเป็นคู่แข่ง เขาจะเรียกคนว่าไอ้โง่ ความแสบของ Jobs ทำให้เขาถูกไล่ออกจากทีม Lisa ในปี 1980

แม้จะมีดราม่า Lisa ก็เปิดตัวด้วยความฮือฮาในปี 1983 Apple โปรโมทมันอย่างหนักในการเปิดตัวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรม PC จนถึงตอนนั้น Jobs ยังช่วยโปรโมทมันแม้จะถูกบีบให้ออกจากโครงการนี้ไปแล้ว แถมเหล่านักวิจารณ์ก็ประทับใจกับเจ้าเครื่องนี้เป็นอย่างมาก

แล้วอะไรผิดพลาด? ทำไม Lisa ถึงดับสูญ? เพราะ Lisa มันมีปัญหาตั้งแต่เริ่ม คอมพิวเตอร์ทำงานช้าและไม่เสถียร ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ IBM เข้าสู่ตลาดธุรกิจ

IBM ผลักดัน PC ราคาประมาณ 1,600 ดอลลาร์ ในขณะที่ Lisa ราคา 10,000 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นราคาที่สูงมาก ๆ ในยุคนั้น

แต่มีปัญหาที่ใหญ่กว่านั้น Apple เองกำลังแทงข้างหลังผลิตภัณฑ์ดาวเด่นของตัวเอง มีข่าวลือว่า Apple กำลังจะมีสิ่งใหม่และถูกกว่ามาแทนที่ นั่นคือ Macintosh

หลังจากออกจาก Lisa, Jobs ได้เข้าควบคุมทีม Macintosh วิสัยทัศน์ดั้งเดิมของ Mac คือคอมพิวเตอร์พื้นฐานและราคาถูก แต่ภายใต้การนำของ Jobs มันกลายเป็นเหมือน Lisa มาก Jobs สนับสนุน Mac และพยายามที่จะฝัง Lisa

หลายครั้งที่มีลูกค้ามาดู Lisa และ Jobs จะวิ่งข้ามถนนมาบอกว่า ‘มานี่ คุณต้องดู Mac’ และมันยากที่จะแข่งกับประธานบอร์ดที่บอกว่า ‘อย่าซื้อนี่ ซื้อนั่น ซื้อของผม’

ในปี 1984 Mac เวอร์ชันสมบูรณ์ออกสู่ตลาดด้วยราคา 2,500 ดอลลาร์ และโฆษณา Super Bowl สุดเจ๋งโดย Ridley Scott ในขณะที่ Lisa ยังคงดิ้นรน Apple ถึงกับเปลี่ยนแบรนด์เป็น Macintosh XL และลบทุกอย่างที่เกี่ยวกับ Lisa

ในปี 1985 หลังจากเพียงสองปีและขายได้ประมาณ 80,000 เครื่อง Lisa ก็ถูกยกเลิกการผลิต และคนที่สั่งยกเลิกก็คือ Jobs ที่ตอนนั้นเขาได้กลับมาควบคุมทีม Lisa อีกครั้ง แต่กลายเป็นว่าทั้ง Lisa และ Mac กลับมียอดขายดิ่งลงเหวหลังออกวางตลาดได้ไม่นาน

Jobs เองก็อยู่ที่ Apple ไม่นานหลังจากนั้น เขามีความขัดแย้งใหญ่กับ CEO John Sculley และถูกถีบออกจากบริษัทของตัวเองในปี 1985 แต่อนาคตของ Apple ถูกล็อคไว้แล้ว นั่นคือ Macintosh ส่วน Lisa กำลังจะถูกลืม

ในช่วงเดียวกับที่ Jobs กำลังเละเทะที่ Apple, Bob ก็กำลังดิ้นรนเช่นกัน วันหนึ่งเขาก็ปิ๊งไอเดียใหม่ด้วยคอมพิวเตอร์เก่า ๆ ของ Apple

Bob ซื้อ Apple III ทั้งหมดประมาณ 3,500 เครื่อง ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วเป็นการฝากขาย ตอนนั้น Bob ไม่มีทางมีเงินมากพอที่จะลงทุน โดยได้ขอ Apple ให้ส่ง Apple III มาแบบฟรี ๆ และ Bob จะทำการผ่อนจ่ายเป็นรายเดือนแทน

เรียกได้ว่ามันเป็นดีลที่ทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์ Apple ได้มูลค่าเพิ่มเติมจากความล้มเหลว และ Bob ก็เริ่มธุรกิจใหม่ขายฮาร์ดแวร์เก่าในราคาลดพิเศษ เขาให้บริการซ่อมแซมและสายด่วนในการ support ด้วย

วันหนึ่ง Bob ได้รับโทรศัพท์จาก Bill Campbell รองประธานฝ่ายการตลาดของ Apple ซึ่งในตอนนั้น Apple มี Lisa เหลืออยู่ประมาณ 7,000 เครื่อง และต้องการให้ Bob จัดการมัน

แต่ Lisa เหล่านั้นอยู่ในสภาพย่ำแย่ หลายเครื่องเสียหรือขาดชิ้นส่วน และทั้งหมดมันล้าสมัยไปแล้ว Bob ต่อรองราคากับ Apple และลงทุนสองแสนดอลลาร์เพื่อเปลี่ยนให้มันขายได้อีกครั้ง

Bob ได้คิดค้นระบบปฏิบัติการใหม่ที่เลียนแบบ Macintosh Plus และเพิ่มการ์ดอินเตอร์เฟซเพื่อให้ใส่ฮาร์ดไดรฟ์ขนาดใหญ่ขึ้นได้ มีการอัพเกรดให้ใส่ฟล็อปปี้ 800K ได้

Bob เรียกผลิตภัณฑ์นี้ว่า Lisa Professional ปี 1988 ต้องบอกว่าเป็นปีทองของ Bob คลังสินค้าเต็มไปด้วยสินค้า โทรศัพท์ดังไม่หยุด การแสดงของเขาที่งาน Mac World Expo ดึงดูดความสนใจของสื่อ

มีการออกบทความเรื่องราวเกี่ยวกับ Bob ใน Newsweek ซึ่งหลังจากที่บทความออกมา ยอดขายก็พุ่งกระฉูด

แต่แล้วในปี 1989 ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ทนายโทรมาบอกว่า Apple ได้ตัดสินใจที่จะใช้ข้อตกลงในสัญญาเพื่อรับคอมพิวเตอร์ที่พวกเขาเป็นเจ้าของคืน จู่ๆ Apple ก็จะเอา Lisa กลับคืน

หลังจากนั้นก็มีชายฉกรรจ์ที่ดูเหมือนอดีตนาวิกโยธินมาที่คลังสินค้าของ Bob และเริ่มขนของขึ้นรถ โดยคอมพิวเตอร์ทั้งหมดถูกทิ้งลงในหลุม Apple ใช้รถบูลโดเซอร์ทับพวกมัน ทำให้แน่ใจว่าพวกมันถูกทำลายอย่างสิ้นซาก

ทำไม Apple ถึงทำแบบนี้? Apple ให้เหตุผลง่ายๆ กับหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นว่า “การทำลาย Lisa เป็นเรื่องที่ดีกว่าสำหรับธุรกิจ” พวกเขาอ้างเรื่องการลดหย่อนภาษี แต่ Bob มีทฤษฎีที่ง่ายกว่านั้นในการอธิบายเรื่องนี้

Apple ไม่ต้องการให้ใครคิดถึงคอมพิวเตอร์ที่ล้มเหลว ในช่วงปลายยุค 80 Apple กำลังดิ้นรนและอยู่ในอันตรายที่จะกลายเป็นสินค้าในตลาดเฉพาะกลุ่ม

เรื่องราวของ Lisa จบลง แต่มรดกของมันยังคงอยู่ Apple ที่เรารู้จักจริงๆ เริ่มต้นในปี 1997 เมื่อ Jobs กลับมา Jobs เวอร์ชัน 2.0 แก่กว่าและฉลาดกว่า แต่ยังคงมุ่งมั่นเหมือนเดิม

ตอนที่ Jobs กลับมา และมันเป็นหนึ่งในจุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ เขานำพาบริษัทที่กำลังจะล้มละลายและผลักดันให้มันกลายเป็นหนึ่งในบริษัทมูลค่าสูงที่สุดในโลก

ภายใต้ Jobs, Apple มีชื่อเสียงในการควบคุมงานอย่างเข้มงวดและหมกมุ่นกับอนาคต Jobs มุ่งเน้นที่การสร้างสิ่งที่จะเป็นอนาคตสำหรับ Apple เขาไม่มีความรู้สึกถวิลหาอดีตอีกต่อไป

Lisa ที่ถูกฝังที่ Logan ไม่มีค่าอะไรเลยเมื่อเทียบกับภูเขาของผลิตภัณฑ์ Apple เก่าที่ถูกทิ้งไปในทุก ๆ ปี Lisa และทุกคนที่ลงทุนกับ Lisa แพ้ราบคาบ แต่ Apple ชนะแบบโครตเจ๋ง

ในปี 2000 Apple ขู่ว่าจะฟ้อง Bob ที่ขายซอฟต์แวร์ระบบของพวกเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาทำมาตั้งแต่ยุค Lisa เขาหลบเลี่ยงการฟ้องร้องด้วยการตกลงยอมความ แต่นั่นเป็นจุดสิ้นสุดเรื่องราวของ Bob กับ Apple

ในทุกวันนี้ ภายใต้ผิวดินของหลุมฝังกลบที่ Logan ยังคงมี Lisa กว่า 2,700 เครื่องถูกฝังอยู่ เป็นอนุสรณ์เงียบๆ ของความกล้าที่จะฝัน ความมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ และบทเรียนว่าบางครั้ง การก้าวไปข้างหน้าต้องทิ้งอดีตไว้ข้างหลัง

เมื่อมองย้อนกลับไป เรื่องราวของ Lisa และ Bob เป็นบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับนวัตกรรม การแข่งขัน และการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี มันแสดงให้เห็นว่าแม้แต่ไอเดียที่ยอดเยี่ยมและก้าวหน้าที่สุดก็อาจล้มเหลวได้

Lisa อาจถูกฝังอยู่ใต้ดิน แต่มรดกของมันยังคงมีชีวิตอยู่ในทุกคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่เราใช้ในปัจจุบัน ส่วน Graphic User Interface ที่เป็นมิตร การใช้เมาส์ และแนวคิดของ desktop ที่ Lisa บุกเบิก ได้กลายเป็นมาตรฐานที่เราคุ้นเคยกันในทุกวันนี้

เมื่อถามว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะทำทุกอย่างซ้ำเหมือนเดิมอีกครั้งหรือไม่ Bob ตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าผมย้อนเวลากลับไปได้ มันน่าจะดีกว่าถ้าผมซื้อหุ้น Apple เยอะๆ ไว้แทน”