Geek Daily EP275 : Musk ขวาจัด กับราคาที่ Tesla ต้องจ่าย การเดิมพันครั้งใหญ่ที่อาจทำลายธุรกิจตัวเอง

ในโลกที่เทคโนโลยีและการเมืองเชื่อมโยงกันอย่างแนบแน่น Elon Musk ได้ก้าวขึ้นมาเป็นตัวละครสำคัญที่มีอิทธิพลทั้งในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมและนักเคลื่อนไหวทางการเมือง เมื่อย้อนมองไปในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา เราจะเห็นว่ามหาเศรษฐีเทคโนโลยีรายนี้ได้แสดงการสนับสนุนพรรค Alternative fur Deutschland (AfD) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายขวาจัดของเยอรมนีอย่างเปิดเผย ด้วยการโพสต์บนแพลตฟอร์ม X ของเขาเองมากกว่า 24 ครั้ง สัมภาษณ์ผู้นำพรรค และประกาศต่อผู้ติดตามกว่า 219 ล้านคนว่า พรรคนี้คือ “ความหวังเดียว” ของประเทศเยอรมนี

ที่น่าสนใจคือ CEO ของ Tesla ผู้นี้ไม่ได้หยุดเพียงแค่การสนับสนุนพรรคการเมืองในเยอรมนี แต่ยังคงแสดงจุดยืนในการสนับสนุนอุดมการณ์ฝ่ายขวาทั่วทั้งยุโรปอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ผลกระทบที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดจนถึงปัจจุบันกลับเป็นความเสียหายต่อแบรนด์ Tesla นักวิเคราะห์หลายท่านให้ความเห็นว่า Musk อาจมีเป้าหมายระยะยาวสำหรับอาณาจักรธุรกิจของเขา นั่นคือการสนับสนุนพรรคการเมืองที่มีแนวโน้มจะช่วยลดกฎระเบียบที่เขามองว่าเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยี

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/3skkp56z

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/5bwap4jh

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/ys882dxy

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/6hMC2MWAcug

ทำไม Google Video ถึงพ่ายแพ้? บทเรียนราคา 1.65 พันล้าน กับความล้มเหลวที่นำไปสู่การเกิดขึ้นของ YouTube

ผมว่าหลายคนอาจจะไม่ทราบว่า ก่อนที่ YouTube จะกลายเป็นเจ้าพ่อวงการวิดีโอออนไลน์อย่างทุกวันนี้ Google เคยมีบริการวิดีโอของตัวเองที่ชื่อว่า Google Video มาก่อน แต่คำถามก็คือทำไมมันถึงต้องปิดตัวลง ทั้งๆ ที่อยู่ในมือของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Google แท้ ๆ

เรื่องราวเริ่มต้นในเดือนมกราคม 2005 เมื่อ Google ปลุกปั้น Google Video ขึ้นมาด้วยไอเดียเรียบง่าย คือให้คนค้นหาคำบรรยายจากรายการทีวีได้

ผู้ใช้แค่พิมพ์คำค้นอย่าง “iPod” หรือ “Napa Valley” แล้ว Google Video ก็จะไปค้นข้อความในคำบรรยายรายการทีวี แล้วโชว์ภาพนิ่งจากรายการนั้นๆ ให้ดู

ความคิดนี้มันฟังดูเทพมาก ๆ ในยุคนั้น แต่คนใช้กลับรู้สึกว่าพวกเขาต้องการเข้ามาดูวิดีโอแต่ดันไม่เจอวิดีโอให้ดูซะอย่างงั้น

Google ไม่ใช่บริษัทที่จะยอมแพ้ง่ายๆ พอเห็นว่าคนอยากดูวิดีโอจริงๆ ในเดือนเมษายน 2005 เลยเริ่มให้อัพโหลดวิดีโอกันได้ แถมยังให้ตั้งราคาขายเองอีกต่างหาก

แต่ความวุ่นวายเริ่มต้นในเดือนมิถุนายน 2005 เมื่อเปิดให้ดูวิดีโอได้จริงๆ แต่ต้องใช้ปลั๊กอินพิเศษที่พัฒนาจาก VideoLAN ซึ่งใช้ยากเหลือเกิน บางทีดูไม่ได้ด้วยซ้ำ คนใช้ถึงกับบ่นอุบกันเป็นแแถว

ในเดือนกันยายน 2005 เป็นจุดพีคของการเปลี่ยนแปลง เมื่อ Google ได้นำเอาปลั๊กอินที่ใช้งานยุ่งยากทิ้งไป หันมาใช้ Flash แทน ซึ่งมันโคตรเจ๋งมากในยุคนั้นเพราะเร็วกว่าและคนส่วนใหญ่ก็มี Flash กันอยู่แล้ว

ในเดือนมกราคม 2006 Google เปิดตัว Google Video Store ตลาดเนื้อหาพรีเมียมจากผู้ให้บริการระดับท็อปอย่าง CBS, SONY BMG และ ITN ใช้ระบบจ่ายเงินที่ต่อมากลายเป็น Google Checkout

เมษายน 2006 มีการเปิดตัว Google Video Top 100 แสดงวิดีโอฮิตติดลมบน ตามมาด้วยพฤษภาคม 2006 ที่ทำให้อัพโหลดวิดีโอง่ายขึ้นผ่านเว็บฟอร์ม ไม่ต้องลงโปรแกรมเพิ่ม Google ยังเริ่มทดสอบโฆษณาวิดีโอตามบริบทอีกด้วย

มิถุนายน 2006 Google จัดหนักเพิ่มฟีเจอร์ชุมชนเข้ามา ทั้งคอมเมนต์ การให้คะแนน และ Tags แถมพัฒนาโปรแกรมเล่นวิดีโอสำหรับ Mac ด้วย

กรกฎาคม 2006 Google Video ขยายไปต่างประเทศด้วยการเปิด 8 เวอร์ชันนานาชาติ พร้อมปรับให้แชร์วิดีโอลงบล็อกและ MySpace ได้ง่ายขึ้น

สิงหาคม 2006 Google Video ได้เข้าไปอยู่บนหน้าแรกของ Google เป็นครั้งแรก ทำให้การเข้าถึงพุ่งทะยานอย่างก้าวกระโดด

แต่แล้วในเดือนตุลาคม 2006 เรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น Google ซื้อกิจการ YouTube ด้วยเงินมหาศาลถึง 1.65 พันล้านดอลลาร์!

ทำไมถึงเป็นแบบนั้น? ทั้งๆ ที่มี Google Video อยู่แล้ว? นี่คือคำถามที่ทำให้หลายคนต่างสัยสัยกับสิ่งที่ Google ทำในตอนนั้น

มกราคม 2007 Google Video เริ่มกลายพันธุ์ โดยเริ่มรวมวิดีโอจาก YouTube เข้ามาในผลการค้นหา พร้อมประกาศว่าจะมุ่งเป็นเครื่องมือค้นหาวิดีโอแทน

เมษายน 2007 มีการปรับปรุงผลการค้นหาให้ฉลาดขึ้น สามารถแนะนำวิดีโอได้แม่นยำแม้คำค้นจะคลุมเครือ ในเดือนมิถุนายน 2007 เป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ Google Video กลายเป็นเครื่องมือค้นหาอย่างแท้จริง โดยรวมวิดีโอจากแพลตฟอร์มอื่นๆ มากมาย ทั้ง Metacafe, Yahoo Video, MySpace, Daily Motion, Vimeo และอีกเพียบ แต่ YouTube ยังครองอันดับหนึ่งในผลการค้นหา

สิงหาคม 2007 Google ปิด Google Video Store ทำให้คนที่เคยซื้อวิดีโอไว้ดูไม่ได้อีกต่อไป แม้จะแก้ไขด้วยการคืนเครดิตเป็น Google Checkout ที่ใช้ได้ 60 วัน แต่ก็สร้างความโกรธเคืองให้กับผู้ใช้เป็นจำนวนมาก

พฤศจิกายน 2007 Google Video ขยายการทำ index ไปทั่วทั้งเว็บ และในเดือนธันวาคม มีการรีดีไซน์หน้าแรกใหม่ ให้แสดงวิดีโอฮิต คำแนะนำ และวิดีโอใหม่ล่าสุด

เมษายน 2008 Google พยายามสู้อีกครั้งด้วยการปรับปรุงหน้าวิดีโอให้ยืดหยุ่นขึ้น และเพิ่มโหมด “TV view” สุดเจ๋งที่ให้ดูวิดีโอโดยไม่ต้องออกจากหน้าค้นหา

แต่ความพยายามทั้งหมดไม่อาจต้านกระแส YouTube ได้ มกราคม 2009 Google จึงประกาศยุติการรับอัพโหลดวิดีโอใหม่ เพื่อมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเทคโนโลยีการค้นหาเท่านั้น

15 เมษายน 2011 เป็นจุดเริ่มต้นของการปิดฉาก Google ประกาศจะหยุดโฮสต์วิดีโอที่ผู้ใช้อัพโหลด แต่หลังจากคนโวยวาย ก็เปลี่ยนเป็นย้ายวิดีโอไป YouTube อัตโนมัติแทน

20 สิงหาคม 2012 คือวันที่ Google Video ดับสนิท บริการโฮสต์วิดีโอถูกปิดตัวลงอย่างเป็นทางการ เนื้อหาทั้งหมดถูกย้ายไป YouTube โดยตั้งเป็นวิดีโอส่วนตัว แต่เจ้าของสามารถปรับเป็นสาธารณะได้

เมื่อมองย้อนกลับไป มันเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ๆ ที่ Google Video มีข้อดีมากมาย ทั้งการดาวน์โหลดได้หลายรูปแบบ ข้อจำกัดน้อย และมีแบรนด์ Google หนุนหลัง แต่กลับมีวิดีโอแค่ 2.5 ล้านวีดีโอ

ในขณะที่ YouTube ที่ก่อตั้งโดยอดีตพนักงาน PayPal สามคนในปี 2005 กลับครองส่วนแบ่งมากกว่า 60% ของวิดีโอออนไลน์ในสหรัฐฯ

YouTube เป็นที่หมายปองของผู้ใช้เพราะมีจุดเด่นหลายอย่าง เช่น เปิดกว้างมากกว่า แสดงจำนวนการรับชม มีลิงก์ไปยังวิดีโอโดยตรง และเน้นการสร้างชุมชนตั้งแต่ต้น

YouTube ให้คุณมีวิดีโอโปรด สร้างเพลย์ลิสต์ได้ เข้าร่วมกลุ่ม และสร้างตัวตนออนไลน์ รวมถึงมีระบบค้นหาที่ดีกว่าอีกด้วย

เรื่องราวของ Google Video สอนเราว่า แม้แต่บริษัทยักษ์ใหญ่ก็ล้มเหลวได้ ความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงินทุนหรือเทคโนโลยีอย่างเดียว แต่ยังต้องเข้าใจผู้ใช้อย่างลึกซึ้ง Google Video ควรจะเพิ่มอิสระให้คนใช้งานวิดีโออย่างสร้างสรรค์มากกว่า ไม่ใช่แค่พยายามเลียนแบบสิ่งที่ YouTube เป็น

ถึงวันนี้ แม้ Google Video จะดับสูญไปแล้ว แต่มรดกของมันยังคงอยู่ในรูปแบบของเครื่องมือค้นหาวิดีโอและบทเรียนสำคัญในวงการเทคโนโลยี ที่แสดงให้เห็นว่าแม้แต่คนที่มีทรัพยากรมากที่สุดก็อาจพลาดได้ หากไม่ฟังเสียงของผู้ใช้อย่างแท้จริง

Geek Story EP306 : การเดิมพันครั้งสุดท้ายของ Intel เมื่อแผนกู้วิกฤติของ Pat Gelsinger กลายเป็นหายนะ

วันที่ 23 มีนาคม 2021 เป็นวันสำคัญในประวัติศาสตร์ของ Intel เมื่อ Pat Gelsinger ซีอีโอคนใหม่ยืนอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายของทีมงานกล้องในสตูดิโอ เตรียมตัวประกาศกลยุทธ์ที่จะกอบกู้ยักษ์ใหญ่แห่งวงการเทคโนโลยีที่กำลังประสบปัญหา Intel ในขณะนั้นถูกคู่แข่งเอาชนะซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขวัญกำลังใจภายในบริษัทตกต่ำ และนักลงทุนเริ่มหมดความอดทนกับราคาหุ้นที่แทบไม่ขยับมานานกว่า 20 ปี คณะกรรมการของ Intel เชื่อว่าพวกเขาได้พบผู้ที่จะกอบกู้บริษัทแล้ว

เมื่อกล้องเริ่มถ่ายทำ ทุกสายตาจับจ้องอย่างกระตือรือร้นขณะที่ Gelsinger เปิดเผยวิสัยทัศน์ของเขา “บริษัทที่ยิ่งใหญ่สามารถกลับมาจากช่วงเวลาที่ท้าทายและกลับมาแข็งแกร่งและมีความสามารถมากกว่าที่เคยเป็น” เขากล่าวด้วยความมั่นใจ “IDM 2.0 เป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดซึ่งมีเพียง Intel เท่านั้นที่สามารถทำมันได้ – และเป็นสูตรแห่งชัยชนะ” ช่วงเวลานั้นเต็มไปด้วยความหวัง พนักงาน นักลงทุน และคณะกรรมการต่างเชื่อมั่นว่า Gelsinger จะนำพา Intel กลับสู่ความรุ่งโรจน์อีกครั้ง

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/bdz549rv

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/5fnybrwr

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/fft78cyt

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/hu_8ROrbSCE

After Steve กับเวทมนตร์ที่หายไป Apple ยุคเปลี่ยนผ่าน จากบริษัทดีไซน์สู่บริษัทที่เน้นทำกำไร

Steve Jobs ปั้นให้ Apple กลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก เมื่อเขาจากไปในปี 2011 ทุกคนสงสัยว่าอนาคตของ Apple จะเป็นอย่างไร เพราะเขาคือคนที่รังสรรค์นวัตกรรมล้ำเลิศมากมายให้กับ Apple

เมื่อ Tim Cook ขึ้นเวทีในเดือนมิถุนายน 2011 เพื่อเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ เขาพยายามบอกผู้ชมว่า “นี่เป็นการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ครั้งแรกของผมในฐานะ CEO” แต่ไม่มีใครสนใจเท่าไร ทุกคนถวิลหา Jobs ที่ตอนนั้นป่วยหนักจากมะเร็งตับอ่อน และเสียชีวิตในวันถัดมา

Jony Ive หัวหน้าฝ่ายออกแบบของ Apple ไม่ได้อยู่ในงานนั้น เขาไปอยู่เคียงข้าง Jobs ในช่วงเวลาสุดท้าย Jobs มองว่า Ive สำคัญที่สุดอันดับสองใน Apple รองจากตัวเขาเอง พวกเขาทั้งคู่ทานอาหารกลางวันด้วยกันเกือบทุกวัน

Jobs มักพูดกับ Ive ว่า “เฮ้ Jony นี่เป็นไอเดียโง่ๆ นะ” แต่ก็ให้อิสระ Ive ในการสร้างสรรค์อย่างเต็มที่ นี่คือความสัมพันธ์ที่ก่อร่างสร้างตัวเป็นผลิตภัณฑ์สุดเจ๋งของ Apple มาแล้วนับไม่ถ้วน

หลัง Jobs จากไป Apple เปลี่ยนการโฟกัสจากการออกแบบไปให้ความสำคัญกับผลกำไรมากขึ้น Cook ทำให้ Apple พุ่งทะยานด้านการเงิน รายได้พุ่งกระฉูดจาก 108.2 พันล้านดอลลาร์ในปี 2011 เป็น 394.3 พันล้านดอลลาร์ในปี 2022

Cook ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในจีนและขยายธุรกิจบริการได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ผลิตภัณฑ์ทำเงินสูงสุดยังคงเป็น iPhone ที่สร้างรายได้มากกว่าครึ่งของรายได้ทั้งหมด

Samsung ถึงกับล้อเลียน Apple ในโฆษณาเรื่องนวัตกรรมที่หยุดนิ่ง ว่า “ภาพถ่ายดวงจันทร์สุดอลังการนั้นจะไม่ใช่ของคุณ เพราะนวัตกรรมนี้จะไม่มาถึง iPhone ในเร็วๆ นี้ มันมีอยู่แล้วใน Galaxy”

นักวิเคราะห์ต่างวิจารณ์ Cook ว่าขาดความหลงใหลในเทคโนโลยี David Sobotta อดีตผู้บริหารฝ่ายขายบอกว่า “ผมไม่เคยรู้สึกถึงความหลงใหลในเทคโนโลยีจาก Tim เหมือนที่ผมเคยเห็นจาก Steve”

Jobs เคยทำให้ iPhone เปลี่ยนจากพลาสติกเป็นกระจกแม้ทีมออกแบบจะกังวลว่าจะแตกง่าย เขายืนกรานและบอก Jeff Williams ว่า “ผมไม่รู้ว่าเราจะทำยังไง แต่เมื่อมันวางจำหน่ายในเดือนมิถุนายน มันต้องเป็นกระจก”

Cook แทบไม่เคยแวะเวียนไปที่สตูดิโอออกแบบเลย เขาเลือกเน้นธุรกิจและการดำเนินงาน Cook ตื่นนอนก่อน 4 นาฬิกาเพื่อตรวจสอบข้อมูลการขาย เขาเคยบอกว่า “สินค้าคงคลังเป็นสิ่งชั่วร้ายโดยพื้นฐาน”

Ive ต้องรับผิดชอบทั้งการออกแบบผลิตภัณฑ์และซอฟต์แวร์ หลังจาก Scott Forstall หัวหน้าฝ่ายออกแบบซอฟต์แวร์ถูกไล่ออกเพราะความล้มเหลวของ Apple Maps ที่เละเทะไม่เป็นท่า

ปี 2012 Ive จัดให้ผู้บริหารระดับสูงประชุมเกี่ยวกับอุปกรณ์สวมใส่ที่มีเซ็นเซอร์ตรวจสุขภาพ แต่ Cook ไม่ได้อยู่ในที่ประชุม โดยส่งข้อความมาบอกว่าเขาไม่มีแผนที่จะนำพา Apple ไปในรูปแบบเดียวกับ Jobs

Apple Watch เปิดตัวในเดือนกันยายน 2014 สามปีหลังจาก Jobs จากไป แม้จะมีความตื่นเต้นในงานเปิดตัว แต่ปฏิกิริยาของสื่อค่อนข้างเย็นชา Bloomberg พาดหัวว่า “คุณจะอยากได้มัน แต่คุณไม่จำเป็นต้องมีมัน”

Ive คาดว่าจะขาย Apple Watch ได้ 40 ล้านเรือนในปีแรก แต่ขายได้เพียง 12 ล้านเรือน การพัฒนานาฬิกาดูดพลังงานออกไปจาก Ive มาก เขาบอกกับ New Yorker ว่ารู้สึก “เหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก”

Ive ต้องต่อสู้เพื่อวิสัยทัศน์ของเขา เช่น การโน้มน้าวทีมการตลาดว่านาฬิกาต้องทำการตลาดในฐานะเครื่องประดับแฟชั่นมากกว่าอุปกรณ์เทคโนโลยี

Cook ดูเหมือนจะบีบคั้น Ive มากเกินไป จนเขาต้องไปพักผ่อนสามสัปดาห์ที่ฮาวายเพื่อผ่อนคลาย เป็นการพักยาวที่สุดที่เขาเคยมีในรอบหลายปี

เมื่อ Ive บอกว่าต้องการออกจาก Apple Cook ตกใจมาก ทางออกคือให้ Ive ลดบทบาทลงเป็นพาร์ทไทม์ และมุ่งเน้นที่โครงการในอนาคต เช่น การออกแบบสำนักงานใหญ่ใหม่ของ Apple

Apple พยายามสร้างรถยนต์ไฟฟ้าใน Project Titan ซึ่ง Ive จินตนาการถึงรถที่ขับเคลื่อนอัตโนมัติเต็มรูปแบบ แต่ Apple พบว่าการสร้างรถยนต์อัตโนมัติยากมาก และไม่มีผู้นำที่มีความมุ่งมั่นอย่าง Jobs

Apple จึงหันไปทำหูฟังไร้สาย AirPods แทน แม้ตอนแรกผู้คนจะมองว่ามันดูแปลกและอาจหล่นจากหูง่าย แต่ AirPods ก็กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว

อิทธิพลของ Ive ในบริษัทเริ่มลดลงเรื่อยๆ Cook แต่งตั้ง James Bell อดีทประธานฝ่ายการเงินของ Boeing เข้าคณะกรรมการ Apple แทนที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดที่ Ive ต้องการ

ผู้บริหาร Apple บางคนไม่พอใจที่ Ive ย้ายการประชุมไปที่คลับส่วนตัวในซานฟรานซิสโก และรู้สึกว่าเขาได้รับค่าตอบแทนมากเกินไป ซึ่งไม่ต้องเปิดเผยต่อสาธารณะเพราะไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่บริหาร

นักออกแบบหลายคนเริ่มลาออก Imran Chaudhri ส่งอีเมลอำลาโดยเขียนว่า “น่าเสียดายที่สายน้ำเหือดแห้ง และเมื่อเป็นเช่นนั้น คุณก็มองหาสายน้ำใหม่” ทำให้ผู้บริหารโกรธจนไล่เขาออก

ปี 2019 Apple เตรียมฉลองการเปิดสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ แต่พ่อของ Ive มีอาการหลอดเลือดสมอง เขารีบกลับไปอยู่กับพ่อที่สหราชอาณาจักร เหตุการณ์นี้ทำให้ Ive ตัดสินใจกลับไปอยู่ที่อังกฤษกับครอบครัว

เดือนมิถุนายน 2019 Ive บอกทีมออกแบบว่าเขาจะออกจาก Apple เพราะ “ไม่อยากไปประชุมบ้าๆ พวกนั้นอีกแล้ว” เขาตั้งบริษัทออกแบบ LoveFrom และทำสัญญาที่ปรึกษากับ Apple มูลค่า 100 ล้านดอลลาร์ แต่ความร่วมมือนี้ก็จบลงในปี 2022

Jobs เคยเตือนเรื่องชะตากรรมของบริษัทยักษ์ใหญ่หลังผู้ก่อตั้งจากไป เขาบอกว่า “เมื่อบริษัทเริ่มให้คุณค่ากับพนักงานขายที่เก่งๆ เพราะพวกเขาเป็นคนที่สร้ายรายได้ให้กับบริษัท ไม่ใช่วิศวกรผลิตภัณฑ์และนักออกแบบ สุดท้ายบริษัทเหล่านี้ก็จะประสบพบเจอกับชะตากรรมเดียวกันที่จะนำไปสู่ความล่มสลาย”

ทุกวันนี้ Apple ยังเป็นบริษัทมูลค่าสูงที่สุดในโลก แต่หลายคนสงสัยว่าบริษัทจะยังสร้างผลิตภัณฑ์ที่เปลี่ยนโลกได้อีกหรือไม่ ตอนนี้ Apple ดูเหมือนจะเน้นสร้างระบบนิเวศผลิตภัณฑ์และบริการมากกว่าการปฏิวัติวงการเหมือนในยุค Jobs

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร การเปลี่ยนแปลงที่ Apple แสดงให้เห็นว่าไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวในการบริหารบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก แต่ความสำเร็จในระยะยาวขึ้นอยู่กับการรักษาสมดุลระหว่างกำไรและนวัตกรรม ซึ่งเป็นเรื่องท้าทายสุดโหดที่ไม่มีใครทำได้ง่ายๆ นั่นเองครับผม

จาก S-Class สู่ EQ กับเส้นทางอันขมขื่นของ Mercedes-Benz ในโลกยานยนต์ไฟฟ้า

ช่วงต้นปี 2021 วงการรถยนต์โลกตื่นเต้นกันสุดขีดเมื่อเมอร์เซเดส-เบนซ์เปิดตัวรถยนต์ซีดานไฟฟ้ารุ่นเรือธงที่ชื่อ EQS โดยหวังให้เป็น “Tesla Killer” มาท้าชิงบัลลังก์ในตลาดรถไฟฟ้าหรู

EQS นั้นใช้พลังงานไฟฟ้า 100% มาพร้อมความหรูหราระดับเทพ และอยู่ในช่วงราคาเดียวกับคู่แข่งตัวฉกาจอย่าง Tesla Model S และ S Plaid

ภายในห้องโดยสารของ EQS ต้องยอมรับว่าโครตเทพมาก สร้างโลกแห่งหิมะสีขาว ประดับประดาด้วยลวดลายการเย็บสุดประณีตและวัสดุไม้หรูที่ดูสง่าและเข้าท่าเป็นอย่างมาก

แม้จะมีลูกเล่นบางอย่างที่อาจดูเกินจำเป็นไปหน่อย เช่น หน้าจอ Hyperscreen ที่อวดอ้างว่าเป็นจอแสดงผลขนาด 56 นิ้ว แต่ความจริงเป็นเพียงจอเล็กๆ 3 จอที่เอามาวางเรียงกันใต้กระจกแผ่นเดียว

แต่พอมาดูภายนอก ต้องยอมรับว่ามันไม่สวยเอาซะเลย ด้วยความพยายามที่จะลดแรงต้านอากาศและเพิ่มประสิทธิภาพด้านอากาศพลศาสตร์ให้ได้มากที่สุด เมอร์เซเดสได้ละทิ้งความสวยงามไปอย่างสิ้นเชิง

ปัญหาใหญ่คือ เมื่อคนตัดสินใจควักกระเป๋าซื้อรถซีดานหรูราคาเกิน 100,000 ดอลลาร์ พวกเขาให้ความสำคัญกับหน้าตารถมากกว่าประสิทธิภาพการใช้พลังงาน อันที่จริง เรื่องประสิทธิภาพการใช้พลังงานอาจเป็นสิ่งสุดท้ายที่พวกเขาสนใจเลยด้วยซ้ำ

ไม่น่าแปลกใจที่ยอดขาย EQS ออกมาเละเทะมาก ๆ ในปี 2022 ขายได้เพียง 23,400 คัน และในปี 2023 ดิ่งลงเหวเหลือแค่ 14,100 คัน นับเป็นตัวเลขที่น่าตกใจเมื่อเทียบกับการลงทุนมหาศาลของเมอร์เซเดส

และถ้าคุณเป็นหนึ่งในคนส่วนน้อยที่ถูกต้องมนต์สะกดไปซื้อรถซีดานรุ่นนี้มา คุณต้องเจอกับความเจ็บปวดรวดร้าวจากค่าเสื่อมราคาที่โหดเหี้ยมเอามาก ๆ

ทุกคนรู้ดีว่ารถหรูมักมีค่าเสื่อมราคาเร็วอยู่แล้ว แต่ EQS นั้นเสื่อมราคาเร็วกว่าที่เคยเห็นมา ภายในปีแรก ราคารถลดฮวบถึง 47.8% ทำให้หา EQS มือสองในราคาต่ำกว่า 50,000 ดอลลาร์ได้ไม่ยาก

เพื่อให้เห็นภาพชัดๆ นั่นหมายความว่าคุณจ่ายแพงกว่า Toyota Camry รุ่นเต็มออปชั่นเพียง 13,000 ดอลลาร์เท่านั้น สำหรับรถที่ควรจะเป็นระดับ S-Class พูดง่ายๆ คือ EQS เป็นความล้มเหลวสุดๆ ของเมอร์เซเดสในยุคปัจจุบัน

ความยากลำบากในการเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้าทำให้บริษัทอยู่ในภาวะชะงักงัน รายได้ของพวกเขาอยู่ในระดับเดียวกับเมื่อ 10 ปีก่อน ราคาหุ้นไม่ขยับเลยในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา

และที่แย่ที่สุดคือ พวกเขากำลังทำลายชื่อเสียงของเมอร์เซเดสด้วยการผลิตรถที่มีรูปลักษณ์ไม่โสภานัก สถานการณ์แย่ถึงขนาดที่เมอร์เซเดสต้องตัดสินใจยกเลิกไลน์ผลิตภัณฑ์ EQ ทั้งหมด

แต่มาดูกันว่าทำไมเมอร์เซเดสถึงได้มาถึงจุดนี้ และเราจะเรียนรู้อะไรได้บ้างจากความล้มเหลวครั้งนี้

จุดเริ่มต้นของเรื่องราวนี้ย้อนกลับไปถึงการเกษียณของ Dieter Zetsche ซีอีโอที่มีหนวดเป็นเอกลักษณ์ ผู้ปลุกปั้นให้เมอร์เซเดสเป็นสัญลักษณ์แห่งสถานะในยุคปัจจุบัน

Zetsche อยู่กับ Daimler (บริษัทแม่ของเมอร์เซเดส) มาตั้งแต่ปี 1976 และได้เป็นซีอีโอในปี 2006 ก่อนวิกฤตการเงินปี 2008 เพียงเล็กน้อย การดำเนินการแรกของเขาคือการกำจัด Chrysler

ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าทำไม Daimler ถึงได้เป็นเจ้าของ Chrysler มาตั้งแต่แรก เพื่อให้เข้าใจว่า Chrysler แย่แค่ไหน พวกเขาล้มละลายเพียงไม่กี่วันหลังจากที่การแยกตัวเสร็จสิ้น

Zetsche จึงเป็นที่รู้จักในฐานะคนที่ปลดปล่อยเมอร์เซเดสจาก Chrysler ในที่สุด แต่นี่เป็นเพียงการเคลื่อนไหวครั้งยิ่งใหญ่ครั้งแรกของเขาเท่านั้น

เขายังนำพาเมอร์เซเดสผ่านวิกฤตการเงินปี 2008 และแซงหน้า BMW ขึ้นเป็นผู้ผลิตรถยนต์พรีเมียมที่มียอดขายสูงสุดในปี 2016 พูดง่ายๆ คือ Zetsche เป็นที่ชื่นชอบและถูกเทิดทูนจากผู้ถือหุ้นมาก

แต่หลังจากใช้เวลากว่า 40 ปีที่เมอร์เซเดส Zetsche ตัดสินใจเกษียณ นำไปสู่การมีซีอีโอคนใหม่ในปี 2019 คือ Ola Kallenius ซึ่งแม้จะไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเมอร์เซเดส เพราะเขาอยู่กับบริษัทมาตั้งแต่อายุ 20 ต้นๆ ในช่วงต้นทศวรรษ 1990

แต่ภารกิจที่รออยู่ข้างหน้าเขานั้นไม่เหมือนกับสิ่งที่เขาเคยเผชิญมาก่อนเลย มันโหดหินเอามาก ๆ

ในช่วงปลายปี 2019 Tesla ประกาศเปิดตัว Cybertruck ซึ่งสร้างความฮือฮาด้วยยอดจองล่วงหน้าที่พุ่งทะยานและจุดติดกระแสรถยนต์ไฟฟ้าในปี 2020-2021 อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

บริษัทสตาร์ทอัพด้านรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Rivian และ Lucid ก็เติบโตกระฉูด ในช่วงหนึ่ง Rivian มีมูลค่าสูงถึงกว่า 150,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นสองเท่าของมูลค่าปัจจุบันของเมอร์เซเดส

ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ Ola มีแรงกดดันมหาศาลที่จะต้องพิสูจน์ตัวเองในฐานะซีอีโอคนใหม่ และทำให้เมอร์เซเดสยังคงได้รับความนิยมในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังบูมสุดๆ

เขาจึงหันไปมองดูสิ่งที่บริษัทสตาร์ทอัพด้านรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหลายกำลังทำ และพยายามเลียนแบบแนวทางของพวกเขา

บริษัทพวกนี้ไม่ได้แค่ทำรถให้ใช้ไฟฟ้า แต่ยังปฏิวัติการออกแบบและการใช้งานให้ดูล้ำสมัยสุดๆ หลายรุ่นไม่มีปุ่มควบคุมแบบเดิม แต่ใช้หน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่แทน

มือจับประตูถูกรังสรรค์ใหม่ให้ซ่อนตัวหรือยื่นออกมาอัตโนมัติ และทุกฟังก์ชันต้องควบคุมผ่านแท็บเล็ตขนาดใหญ่ตรงกลาง แม้แต่การปรับช่องแอร์ก็ต้องทำผ่านจอ มันลึกลับซับซ้อนเกินไปสำหรับผู้ใช้บางกลุ่ม

แต่ลักษณะเด่นที่สุดของรถไฟฟ้าพวกนี้คือการออกแบบภายนอกที่แหวกแนว พวกเขาละทิ้งกระจังหน้าแบบดั้งเดิม และพยายามสร้างรูปลักษณ์ที่ดูเป็นอนาคตสุดๆ

Rivian มีแถบไฟด้านหน้าเป็นเอกลักษณ์ ขณะที่ Tesla เน้นภายในที่เรียบมาก ๆ จนเป็นที่ถกเถียงกันจนถึงทุกวันนี้

ไม่เพียงแค่สตาร์ทอัพรถไฟฟ้าเท่านั้นที่กำลังปฏิวัติดีไซน์ แต่ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ดั้งเดิมก็ทำเช่นกัน โดยเฉพาะคู่แข่งชาวเยอรมันอย่าง Volkswagen Group ที่มีอิทธิพลต่อแบรนด์ในเครือมากมาย

สังเกตว่าผู้ผลิตรถยนต์บางราย เช่น Toyota, Honda และ Nissan เลือกที่จะดำเนินการอย่างระมัดระวังในการเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้า

แต่ในฐานะซีอีโอคนใหม่ที่ต้องพิสูจน์ตัวเอง Ola กลับเลือกเส้นทางการยอมรับรถยนต์ไฟฟ้าแบบจัดเต็ม ไม่ได้คิดหน้าคิดหลังให้ดีว่าสิ่งที่เขาทำอาจทำให้บริษัทถอยหลังเข้าคลองในอนาคต

เราได้เห็นพาดหัวข่าวอย่าง “เมอร์เซเดส-เบนซ์เตรียมพร้อมสู่ยุคไฟฟ้าทั้งหมด” และการประกาศลงทุนมหาศาลถึง 60,000 ล้านยูโรเพื่อพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า นี่ไม่ใช่แค่การลงทุน แต่เป็นการอัดฉีดเงินเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง

ด้วยความตื่นเต้นและการลงทุนมหาศาลเช่นนี้ หลายคนอาจฝันว่าเมอร์เซเดสกำลังจะเปิดตัวนวัตกรรมสุดล้ำที่จะเปลี่ยนโฉมวงการยานยนต์ไฟฟ้า

แต่สิ่งที่เราได้รับกลับเป็น EQS ในปี 2021 ซึ่งนำไปสู่จุดเริ่มต้นของหายนะแห่งตระกูล EQ ที่มาพร้อมกับความเจ็บปวดทางการเงิน

EQS เป็นเพียงจุดเริ่มต้น ในช่วงไม่กี่ปีต่อมา เมอร์เซเดสได้เปิดตัวรุ่น EQ ของรถยอดนิยมอีกหลายรุ่น ทั้ง EQB, EQE sedan และ EQE SUV ทั้งหมดมีลักษณะเด่นคือกันชนหน้าเรียบและการออกแบบทรงไข่ที่ดูแปลกตา

ปัญหายิ่งหนักขึ้นเมื่อมาถึงรถระดับไฮเอนด์อย่าง Mercedes-Benz EQS Maybach SUV ซึ่งเป็นรถที่มีราคาเริ่มต้นสูงลิ่วถึง 180,000 ดอลลาร์ แต่กลับมีรูปลักษณ์ภายนอกที่ไม่สมกับราคาและชื่อเสียงของแบรนด์ Maybach เลย

แต่อย่าเข้าใจผิด ไม่ได้หมายความว่าการออกแบบรถทรงไข่จะเป็นสิ่งที่ไร้สาระทั้งหมด อาจมีผู้บริโภคบางกลุ่มที่ชื่นชอบดีไซน์แบบนี้ และผู้ผลิตบางรายทำได้เจ๋งมากๆ เช่น Lucid Air ที่สร้างรูปลักษณ์ที่ลื่นไหลและสวยงามได้อย่างลงตัว

แต่สิ่งที่ต้องคำนึงคือลักษณะของคนที่ซื้อรถราคามากกว่า 100,000 ดอลลาร์ พวกเขาไม่ได้มองหาอากาศพลศาสตร์ที่ดีที่สุดหรือประสิทธิภาพการใช้พลังงานสูงสุด

พวกเขาต้องการรถที่ดูโดดเด่น สง่างาม และสะท้อนสถานะทางสังคม ซึ่งรูปลักษณ์ของรถตระกูล EQ ไม่สามารถตอบโจทย์เหล่านี้ได้เลย ดูด้อยค่าไปเลยเมื่อเทียบกับความคาดหวังของลูกค้า

เมอร์เซเดสควรรู้เรื่องนี้ดีกว่าใคร เพราะพวกเขามีแบรนด์ย่อยอย่าง AMG ที่เป็นที่รู้จักในเรื่องการออกแบบที่ดุดันและทรงพลัง

และยังมี G-Class หรือ G-Wagon ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความหรูหราและสมรรถนะสูง แม้ว่า G-Wagon จะมีรูปทรงเหมือนกล่องสี่เหลี่ยมที่ไม่มีอากาศพลศาสตร์ที่ดีเลย แต่ผู้ซื้อ G-Wagon ส่วนใหญ่กลับชื่นชอบมันมาก

กุญแจสำคัญจึงอยู่ที่การรู้จักกลุ่มเป้าหมายของคุณอย่างลึกซึ้ง และนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของพวกเขา

นี่เป็นสิ่งที่ General Motors (GM) ทำได้ดีมากกับ Hummer EV แทนที่จะพยายามทำให้มันเป็นรถไฟฟ้าประหยัดพลังงาน GM กลับทำให้มันใหญ่โต โอ่อ่า และดูเกินจริงที่สุด

ผลลัพธ์คือพวกเขาได้รถที่กว้างมากจนต้องมีใบอนุญาตพิเศษเพื่อขับในยุโรปส่วนใหญ่ และมีน้ำหนักมหาศาลถึง 9,000 ปอนด์ มันสมชื่อ Hummer อย่างแท้จริง

Hummer EV อาจไม่ได้มียอดขายถล่มทลาย เพราะมันดึงดูดเฉพาะกลุ่มลูกค้าเฉพาะทาง แต่ภายในกลุ่มนั้น มันประสบความสำเร็จอย่างน่าทึ่ง

เช่นเดียวกับ Ford F-150 Lightning ที่ Ford ตัดสินใจรักษาเอกลักษณ์ดั้งเดิมของ F-150 ซึ่งเป็นรถกระบะที่ขายดีที่สุดในอเมริกามานานถึง 41 ปี โดยเปลี่ยนแค่ระบบขับเคลื่อนให้เป็นไฟฟ้า

Lightning และ Hummer EV แสดงให้เห็นว่าบริษัทเหล่านี้เข้าใจกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างดี และสามารถปรับผลิตภัณฑ์ให้เข้ากับยุคสมัยใหม่โดยยังรักษาเอกลักษณ์ที่ลูกค้าชื่นชอบ

ในทางกลับกัน ไลน์ผลิตภัณฑ์ EQ แสดงให้เห็นว่าเมอร์เซเดสเข้าใจกลุ่มเป้าหมายผิดพลาดไปอย่างมาก

ไม่รู้ทำไมแบรนด์ระดับพี่ใหญ่อย่างเมอร์เซเดสถึงคิดว่าการเปลี่ยนไปใช้ไฟฟ้าต้องจับคู่กับการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์อย่างสิ้นเชิง จนทำให้รถของพวกเขาดูคล้ายกับ Toyota Prius ที่มีคุณภาพภายในและการตกแต่งที่หรูหรากว่า

ไม่แปลกใจเลยที่แนวทางนี้ไม่สามารถดึงดูดผู้ซื้อเมอร์เซเดสที่คุ้นเคยกับความหรูหราและสง่างามแบบดั้งเดิมได้ พวกเขาถวิลหารูปลักษณ์ที่เคยสร้างความประทับใจ

แม้จะมีสัญญาณเตือนถึงความล้มเหลวตั้งแต่แรก แต่เมอร์เซเดสก็ยังเดินหน้ากับไลน์ผลิตภัณฑ์ EQ ต่อไป จนกระทั่งมาถึงการเปิดตัว G-Wagon ไฟฟ้าหรือ EQG

G-Wagon อาจเป็นรถที่เป็นสัญลักษณ์ที่สุดของเมอร์เซเดส และตามที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ หนึ่งในจุดขายหลักคือการเป็นยานพาหนะขนาดใหญ่ที่ดูแข็งแกร่ง หากเอาปัจจัยเหล่านี้ออกไป มันก็ไม่ใช่ G-Wagon ที่แท้จริง

และนี่คือสิ่งที่เมอร์เซเดสคิดค้นขึ้นมา แม้จะไม่ได้แย่เท่า EQS หรือ EQS Maybach เพราะยังรักษาเค้าโครงหลักของ G-Class ไว้ได้

แต่ก็ยังมาพร้อมความแปลกประหลาดบางอย่าง เช่น กรอบล้อทรงสี่เหลี่ยมด้านหลังและกันชนหน้าเรียบตามสไตล์ EQ ที่ทำให้หลายคนส่ายหัว ยังไม่ชัดเจนว่าแฟนๆ จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงนี้ได้มากน้อยแค่ไหน

แต่มีข่าวดีอยู่บ้าง EQG รุ่นแรกถูกเปิดเผยตั้งแต่เดือนกันยายน 2021 แต่ไม่ได้มีกำหนดจะวางจำหน่ายจนถึงปลายปี 2024

ดังนั้นเมอร์เซเดสจึงมีเวลามากพอที่จะเห็นการตอบรับที่แย่มากของรถยนต์ EQ รุ่นอื่นๆ และเปลี่ยนทิศทางการออกแบบอย่างสิ้นเชิง ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขากำลังทำ

เมอร์เซเดสพยายามเก็บเรื่องที่พวกเขากำลังเลิกใช้ไลน์ผลิตภัณฑ์ EQ ให้เงียบที่สุด ด้วยเหตุผลสองข้อ หนึ่ง มันเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะยอมรับว่าการผลักดัน EQ เป็นความล้มเหลวครั้งใหญ่ สอง พวกเขาไม่ต้องการให้ราคารถยนต์ EQ ในตลาดลดฮวบไปมากกว่าที่เป็นอยู่

ข่าวนี้เริ่มรั่วไหลออกมาก่อนในรูปแบบของข่าวลือจากตัวแทนจำหน่ายเมอร์เซเดสที่ได้รับแจ้งลับๆ ว่าแบรนด์ EQ จะถูกเลิกใช้ในเร็วๆ นี้ และเมอร์เซเดสก็ยืนยันเรื่องนี้โดยอ้อมผ่านวิธีการเปิดตัว EQG

เริ่มแรก พวกเขาไม่ได้เรียกมันว่า EQG อีกต่อไป แต่เรียกว่า G580 with EQ technology แทน นอกจากนี้ เมอร์เซเดสได้เปลี่ยนทิศทางการออกแบบอย่างสิ้นเชิง โดยไม่ใช่สีเงินและดำที่ดูล้ำสมัยอีกต่อไป แต่เป็นสีแบบดั้งเดิมเช่น ดำ ขาว น้ำเงิน เทา และสีทราย เหมือนการยอมรับความล้มเหลวแบบไม่พูดออกมาตรงๆ

เมอร์เซเดสไม่เพียงถอยหลังในเรื่องการออกแบบรถไฟฟ้า แต่ยังเสนอตัวเลือกให้ลูกค้าสามารถถอดรูปลักษณ์แบบรถไฟฟ้าออกได้หมด ลูกค้าสามารถสั่งทำให้มีกระจังหน้าและกันชนหน้าที่ดูปกติได้

นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถสั่งทำให้เป็นกรอบล้อทรงกลมปกติพร้อมยางอะไหล่จริงๆ ได้ เมอร์เซเดสกำลังเสนอทางเลือกให้ลูกค้าซื้อ G-Class ปกติที่บังเอิญเป็นรถไฟฟ้าเท่านั้น ผลตอบรับจนถึงตอนนี้ดูจะให้ความหวังมากขึ้น ลูกค้าเริ่มชายตามองด้วยความสนใจมากขึ้น

ผู้บริหารของเมอร์เซเดสยืนยันว่าพวกเขากำลังรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับการออกแบบทรงไข่อย่างจริงจัง นี่อาจเป็นเหตุผลที่พวกเขากำลังทำการปรับโฉม EQS ครั้งใหญ่ โดยนำดาวสามแฉกกลับมาและเพิ่มกระจังหน้าจำลอง เพื่อแก้ไขรอยร้าวในความสัมพันธ์กับลูกค้า

มองไปข้างหน้า เมอร์เซเดสยังมีอะไรต้องทำอีกมากมายในการทำให้รถทั้งหมดเป็นไฟฟ้าอย่างมีรสนิยม เมอร์เซเดสมีเป้าหมายที่จะเปิดตัวรถที่มีรูปแบบดั้งเดิมมากขึ้นเพื่อทดแทน EQS ในปี 2028

ดังนั้นรถยนต์ EQ จึงอาจยังคงอยู่ไปจนถึงสิ้นทศวรรษนี้ แต่อย่างน้อยเมอร์เซเดสก็กำลังยอมรับความผิดพลาดและพยายามแก้ไขให้ถูกต้อง ถือเป็นการผลักดันตัวเองให้กลับมาอยู่ในทิศทางที่ถูกต้อง

บทเรียนสำคัญที่เราได้เรียนรู้จากความล้มเหลวของ Mercedes-Benz EQ มีมากมาย

หนึ่ง เข้าใจกลุ่มเป้าหมายของคุณ เมอร์เซเดสล้มเหลวในการเข้าใจว่าลูกค้าต้องการอะไรจากรถยนต์ไฟฟ้า การเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์อย่างรุนแรงไม่ใช่สิ่งที่ลูกค้าต้องการ

สอง รักษาเอกลักษณ์ของแบรนด์ การเปลี่ยนไปใช้พลังงานไฟฟ้าไม่จำเป็นต้องหมายถึงการทิ้งทุกสิ่งที่ทำให้แบรนด์ของคุณเป็นที่เชิดหน้าชูตา

สาม อย่าเร่งรีบจนเกินไป แม้ว่าการเป็นผู้นำในตลาดใหม่จะสำคัญ แต่การเร่งรีบอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดได้ ความฝันว่าจะเป็นผู้นำในตลาดรถไฟฟ้าได้ในชั่วข้ามคืนเป็นเรื่องที่โหดหินเอามาก ๆ

สี่ รับฟังเสียงตอบรับจากลูกค้า เมอร์เซเดสใช้เวลานานเกินไปก่อนที่จะยอมรับว่าลูกค้าไม่พอใจกับการออกแบบใหม่ ทำให้สถานการณ์ลุกลามมากจนเกินไป

ห้า ความยืดหยุ่นคือกุญแจสำคัญ ความสามารถในการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์เมื่อสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปตามแผนเป็นสิ่งสำคัญ เมอร์เซเดสแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นนี้ในที่สุด

หก สมดุลระหว่างนวัตกรรมและความคุ้นเคย การนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ไม่จำเป็นต้องหมายถึงการเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง บางครั้งการรักษาองค์ประกอบที่คุ้นเคยไว้บ้างอาจช่วยให้ผู้บริโภคยอมรับการเปลี่ยนแปลงได้ง่ายขึ้น

เจ็ด การสื่อสารที่ชัดเจน เมอร์เซเดสอาจได้รับประโยชน์จากการสื่อสารวิสัยทัศน์และเหตุผลเบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อช่วยให้ลูกค้าเข้าใจและยอมรับการเปลี่ยนแปลง

แปด การทดสอบตลาด การทดสอบแนวคิดการออกแบบใหม่กับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายก่อนการผลิตจริงอาจช่วยหลีกเลี่ยงปัญหาที่เมอร์เซเดสเผชิญได้ แทนที่จะเดามั่วไปเรื่อยแล้วหวังว่าทุกอย่างจะออกมาดี

เก้า ความสำคัญของการออกแบบ ในตลาดรถยนต์ระดับพรีเมียม การออกแบบมีความสำคัญพอๆ กับเทคโนโลยี เมอร์เซเดสดูเหมือนจะประเมินความสำคัญของการออกแบบที่สวยงามและเป็นเอกลักษณ์ต่ำเกินไป

สิบ การเรียนรู้จากคู่แข่ง บริษัทอื่นๆ เช่น Porsche กับ Taycan หรือ Audi กับ e-tron GT แสดงให้เห็นว่าเป็นไปได้ที่จะสร้างรถยนต์ไฟฟ้าที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของแบรนด์ไว้ได้ เมอร์เซเดสควรศึกษาวิธีการของคู่แข่งเหล่านี้

ในท้ายที่สุด เรื่องราวของ Mercedes-Benz EQ เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับทุกบริษัทที่กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมของตน

ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนผ่านไปสู่เทคโนโลยีใหม่หรือการปรับตัวเข้ากับความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป ความสำเร็จมักขึ้นอยู่กับการรักษาสมดุลระหว่างนวัตกรรมและความคุ้นเคย

การเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง และความกล้าที่จะยอมรับและแก้ไขข้อผิดพลาดเมื่อจำเป็น เพราะบางครั้ง ฟ้าลิขิตให้เราก้าวพลาด เพื่อจะได้เรียนรู้และเติบโตอย่างยั่งยืน

แม้ว่าเมอร์เซเดสจะเผชิญกับความท้าทายอย่างมากในการเปิดตัวไลน์ผลิตภัณฑ์ EQ แต่การที่พวกเขาสามารถปรับตัวและเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ได้ในที่สุดก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและความยืดหยุ่นของบริษัท

นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นตัวและการกลับมาครองตำแหน่งผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียมในอนาคต หลังจากที่เคยล้มเหลวมาแล้ว

ในขณะที่อุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกกำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคแห่งยานยนต์ไฟฟ้า เรื่องราวของ Mercedes-Benz EQ จะยังคงเป็นกรณีศึกษาที่มีคุณค่าสำหรับทุกคนในวงการ

มันเตือนใจเราว่าแม้แต่บริษัทที่ประสบความสำเร็จและมีประวัติศาสตร์อันยาวนานก็ยังสามารถพลาดพลั้งได้ เมื่อต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ

แต่สิ่งสำคัญคือการเรียนรู้จากความผิดพลาดเหล่านั้นและใช้มันเป็นโอกาสในการเติบโตและพัฒนาต่อไป ไม่มีใครที่ไม่เคยผิดพลาด แต่การยอมรับผิดและแก้ไขต่างหากที่แยกผู้ชนะออกจากผู้แพ้

ในท้ายที่สุด เส้นทางสู่อนาคตแห่งยานยนต์ไฟฟ้าอาจไม่ได้เรียบง่ายหรือตรงไปตรงมาเสมอไป แต่ด้วยความมุ่งมั่น การปรับตัว และการฟังเสียงลูกค้าอย่างแท้จริง

บริษัทอย่างเมอร์เซเดสก็มีโอกาสที่จะก้าวข้ามอุปสรรคเหล่านี้และกลับมาเป็นผู้นำในยุคใหม่แห่งการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าได้ ใครจะรู้ บางทีพวกเขาอาจกลับมายิ่งใหญ่กว่าเดิมก็ได้ เพราะบางครั้ง การลงไปต่ำสุดก็เป็นจุดเริ่มต้นของการกลับมาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเช่นกัน