Geek Story EP305 : ทำไม Firefox ถึงดิ่งลงเหว! สงครามเบราว์เซอร์ที่ไม่เท่ากัน แต่สำคัญกับความเป็นส่วนตัวของคุณ

ในโลกของเว็บเบราว์เซอร์ที่เราใช้ทุกวันนี้ มีเรื่องราวน่าสนใจที่กำลังเกิดขึ้น Firefox เคยเป็นเบราว์เซอร์ยอดนิยมที่ครองตลาดอย่างโดดเด่น แต่ปัจจุบันกลับมีส่วนแบ่งตลาดลดลงอย่างน่าใจหาย จาก 30% เหลือเพียงต่ำกว่า 3% ในขณะที่ Chrome กลับเติบโตขึ้นจนมีส่วนแบ่งเกือบ 70%

สิ่งที่น่าแปลกใจคือ Firefox ดูเหมือนจะเป็นเบราว์เซอร์ที่ดีที่สุดในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเป็นโอเพนซอร์ส ไม่แสวงหากำไร และมีคุณสมบัติด้านความเป็นส่วนตัวที่เหนือกว่าคู่แข่ง แล้วทำไม Firefox จึงหดตัวลงในขณะที่ Chrome กลับเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง? และอนาคตของอินเทอร์เน็ตจะมีเพียง Google เท่านั้นหรือ?

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/p3hetu29

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/mtjh4xdb

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/3yzk2pav

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/crGJekBszzM

ยุทธการโค่น IBM จุดจบของยุคทรราช วันที่ IBM สูญเสียอำนาจในตลาดพีซี

ย้อนกลับไปช่วงกลางยุค 80 วิศวกรและนักธุรกิจอย่าง Bill Loy กำลังเตรียมตัวเข้าประชุมกับคณะผู้บริหารของ IBM บริษัทคอมพิวเตอร์ยักษ์ใหญ่ที่ครองตลาดในขณะนั้น

Loy มีความฝันที่จะทำในสิ่งที่ใคร ๆ ก็มองว่าเป็นไปไม่ได้ นั่นคือการสร้างคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลสำหรับใช้ในบ้าน ในเวลาที่ IBM เป็นที่รู้จักในฐานะผู้ผลิตคอมพิวเตอร์เมนเฟรมสำหรับองค์กรขนาดใหญ่เท่านั้น

ความท้าทายไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยี แต่เป็นวัฒนธรรมองค์กรสุดเข้มของ IBM ที่ไม่เอื้อต่อการพัฒนาสินค้าสำหรับตลาดทั่วไป IBM เคยล้มเหลวเละเทะมาแล้วกับซีรีส์ 5100 ที่พยายามเจาะตลาดนี้

Loy รู้ดีว่าถ้าอยากสำเร็จ ต้องทำลายกรอบเดิม ๆ ของบริษัท เขาจึงเสนอไอเดียแบบแหวกวิถีของ IBM สุด ๆ : “เราไม่สามารถสร้างคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลภายใต้วัฒนธรรมของ IBM ได้ เราจำเป็นต้องแยกทีมไปทำงานนอกระบบ”

คณะกรรมการฟังแล้วอึ้ง แต่สุดท้ายก็อนุมัติให้ Loy จัดตั้งทีมเล็ก ๆ ในฟลอริดา โดยมีเงื่อนไขสุดโหด: มีเวลาแค่หนึ่งเดือนในการสร้างต้นแบบ และหนึ่งปีในการพัฒนาสินค้าให้พร้อมขาย ซึ่งเรียกได้ว่ายิ่งกว่าการเข็นครกขึ้นภูเขาเลยทีเดียว

ทีมงานตัดสินใจทำสิ่งที่ IBM ไม่เคยทำมาก่อน: ละทิ้งการควบคุมทุกชิ้นส่วนแบบเบ็ดเสร็จ แทนที่จะพัฒนาทุกอย่างเอง พวกเขาเลือกใช้ชิ้นส่วนจากบริษัทอื่น โดยเฉพาะโปรเซสเซอร์ Intel 8088 เพื่อลดต้นทุนและเวลาในการผลิต

การตัดสินใจที่เจ๋งมาก ๆ อีกอย่างคือเรื่องระบบปฏิบัติการ หลังจากเจรจากับ Digital Research ผู้พัฒนา CPM แล้วไม่ work ทีมงานจึงหันไปหา Microsoft บริษัทเล็ก ๆ ที่นำโดย Bill Gates ที่ตอนนั้นยังเป็นหนุ่มน้อยหน้าใสปิ๊ง

Gates เห็นโอกาสทอง เขาไม่เพียงตกลงร่วมงานกับ IBM แต่ยังลงทุนซื้อระบบปฏิบัติการ 86-DOS มาในราคาถูกและพัฒนาต่อเป็น MS-DOS โดยไม่ให้สิทธิ์ผูกขาดแก่ IBM ซึ่งกลายเป็นการพลิกวงการคอมพิวเตอร์ไปเลย

12 สิงหาคม 1981 IBM PC ถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการ และประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลไม่ใช่ของเล่นสำหรับเด็กเนิร์ดและวัยรุ่นอีกต่อไป แต่พร้อมสำหรับตลาดธุรกิจอย่างแท้จริง

เมื่อ IBM PC กลายเป็นมาตรฐานของวงการ บริษัทอื่น ๆ ก็เริ่มมองเห็นโอกาสในการผลิตคอมพิวเตอร์ที่เข้ากันได้กับ IBM PC หรือที่เรียกกันว่า “IBM PC Compatible”

Rod Canion ผู้ก่อตั้ง Compaq มองเห็นช่องทางในการสร้างคอมพิวเตอร์พกพาที่รันซอฟต์แวร์ของ IBM PC ได้ แต่อุปสรรคใหญ่คือ BIOS ซึ่งเป็นลิขสิทธิ์ของ IBM

Compaq แก้ปัญหาแบบสุดเทพด้วยวิธี “clean room implementation” โดยให้วิศวกรทีมหนึ่งศึกษาการทำงานของ BIOS จากเอกสาร แล้วให้อีกทีมที่ไม่เคยเห็นโค้ดต้นฉบับเขียนโค้ดขึ้นมาใหม่ทั้งหมด วิธีนี้ทำให้พวกเขาสร้าง BIOS ทดแทนที่ไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ได้สำเร็จ

ความสำเร็จของ Compaq เปิดประตูให้ผู้ผลิตรายอื่น ๆ ตามรอยบ้าง ทำให้ตลาดคอมพิวเตอร์โคลนเติบโตรวดเร็วจนฉุดไม่อยู่ IBM ไม่ได้นิ่งดูดาย พวกเขาพยายามรักษาการควบคุมตลาดด้วยการแนะนำสถาปัตยกรรม PS/2 และ Micro Channel ซึ่งเป็นระบบปิดที่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์

แต่การตัดสินใจนี้กลับกลายเป็นความผิดพลาด เพราะ Micro Channel ไม่สามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ต่อพ่วงที่มีอยู่เดิมได้ และมีราคาที่แพงลิ่ว ลูกค้าส่วนใหญ่จึงไม่สนใจที่จะเปลี่ยนมาใช้

การตอบโต้ของ Compaq และพันธมิตรคือการพัฒนา Extended Industry Standard Architecture (EISA) Bus ซึ่งเป็นมาตรฐานเปิดที่ใช้งานร่วมกับอุปกรณ์รุ่นเก่าได้ การตัดสินใจสุดแสบของ Compaq คือการเปิดให้ใช้เทคโนโลยีนี้โดยไม่คิดเงิน ซึ่งได้แรงสนับสนุนจากผู้ผลิตรายอื่น ๆ รวมถึง Microsoft และ Intel

การรวมตัวครั้งนี้เป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญมาก ๆ ที่แสดงให้เห็นว่าอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์กำลังเปลี่ยนจากการถูกควบคุมโดยบริษัทเดียว ไปสู่ระบบนิเวศที่เปิดกว้างมากขึ้น

ความพยายามของ IBM ล้มเหลวไม่เป็นท่า เพราะ Micro Channel ไม่มีข้อได้เปรียบทางเทคนิคที่ชัดเจนเหนือ EISA ซ้ำยังมีค่าใช้จ่ายในการอัพเกรดแพงลิบ ภายในปี 1995 IBM ต้องยอมยุติการผลิต PS/2 อย่างเป็นทางการ

สงครามครั้งนี้พลิกโฉมวงการคอมพิวเตอร์ไปตลอดกาล Microsoft ภายใต้การนำของ Gates กลายเป็นผู้ควบคุมระบบปฏิบัติการหลักสำหรับ PC ในขณะที่ Intel ก็ครองตลาดโปรเซสเซอร์ การผูกขาดแบบเดิมถูกแทนที่ด้วยการผูกขาดรูปแบบใหม่ที่แบ่งแยกระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์

Compaq เองก็เติบโตจนเป็นผู้ผลิต PC รายใหญ่ที่สุดในโลกช่วงทศวรรษ 1990 แม้ว่าในที่สุดจะถูกควบรวมกับ HP ในปี 2001 แต่อิทธิพลของพวกเขายังคงเป็นที่จดจำ

การแข่งขันที่เพิ่มขึ้นนำไปสู่การลดลงของราคา ทำให้คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลกลายเป็นสิ่งที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ การแข่งขันยังทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง

ความพ่ายแพ้ของ IBM ในสงครามมาตรฐานนี้กลายเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจสำหรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยี แสดงให้เห็นว่าแม้แต่บริษัทพี่ใหญ่ที่สุดก็ไม่สามารถควบคุมตลาดได้หากไม่ปรับตัวตามความต้องการของผู้บริโภคและกระแสอุตสาหกรรม

บทเรียนนี้ยังมีความสำคัญในปัจจุบัน โดยเฉพาะในยุคที่การแข่งขันในวงการเทคโนโลยีมีความเข้มข้นมากขึ้น การพยายามผูกขาดตลาดด้วยระบบปิดมักจบเห่ในระยะยาว ในขณะที่การเปิดกว้างและการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการพัฒนาร่วมกันมักนำไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืนกว่า

การปฏิวัติในวงการคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลไม่เพียงเปลี่ยนโครงสร้างอุตสาหกรรม แต่ยังสร้างรากฐานสำหรับการพัฒนาเทคโนโลยีในยุคถัดมา แนวคิดเรื่องมาตรฐานเปิดและการทำงานร่วมกันที่เกิดขึ้นในยุคนั้น ได้กลายเป็นแบบอย่างสำหรับการพัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่ ตั้งแต่ซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สไปจนถึงมาตรฐานอินเทอร์เน็ต

ในปัจจุบัน แม้ว่าชื่อของ IBM แทบจะสูญหายไปจากตลาด PC แต่บทเรียนจากประวัติศาสตร์ครั้งนี้ยังคงมีคุณค่า โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็ว การสร้างสมดุลระหว่างการควบคุมคุณภาพและการเปิดกว้างสำหรับนวัตกรรมยังคงเป็นความท้าทายสำคัญสำหรับบริษัทเทคโนโลยีทั้งหลาย

Geek Story EP304 : เส้นทางพิชิตโลกของรถยนต์จีน 40 ปีแห่งการปฏิวัติ เมื่อมังกรทะยานฟ้า

ย้อนกลับไปเมื่อ 40 ปีก่อน ถนนในเมืองใหญ่ของจีนเต็มไปด้วยผู้คนปั่นจักรยาน Flying Pigeon ไปทำงาน การเป็นเจ้าของรถยนต์ส่วนตัวเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้สำหรับประชาชนทั่วไป มีเพียงหน่วยงานรัฐและองค์กรบางแห่งเท่านั้นที่มีสิทธิ์ซื้อรถยนต์ได้ แต่ใครจะคิดว่าเพียงไม่กี่ทศวรรษต่อมา ประเทศที่เคยมีอุตสาหกรรมยานยนต์แทบจะไม่มีอยู่เลย จะกลายเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างไม่มีใครเทียบได้

เส้นทางสู่ความสำเร็จของอุตสาหกรรมรถยนต์จีนเป็นเรื่องราวที่น่าทึ่ง เต็มไปด้วยความท้าทาย การเรียนรู้ และการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เราจะมาดูกันว่าจีนสามารถก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจด้านยานยนต์ของโลกได้อย่างไร และอะไรคือบทเรียนสำคัญที่เราสามารถเรียนรู้ได้จากความสำเร็จครั้งนี้

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/mver3rmv

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/2lEqPPg

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/33arreyv

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/phrjoPRJt2w

เคสเด็ดจาก Warren Buffet ทำธุรกิจแบบไหน? ที่จะรวยแบบไม่มีวันล้ม

มันเป็นคำถาที่น่าสนใจนะครับว่า คนที่ประสบความสำเร็จในโลกธุรกิจมีอะไรเหมือนกัน? พวกเขาเหล่านี้มักจะรู้ว่าตัวเองมีศักยภาพที่จะก้าวไปไกลกว่าจุดที่เป็นอยู่ และพร้อมทุ่มเทเวลาและพลังงานเพื่อพัฒนาตัวเอง

เมื่อคุณมีทักษะมากขึ้น สิ่งที่คุณทำได้นั้นจะยิ่งดีขึ้น ลองมาดูเรื่องราวของคนธรรมดาที่สร้างธุรกิจระดับโลกกัน ผ่านเคสที่น่าสนใจจาก Warren Buffet นักลงทุนระดับโลก

เริ่มจาก Rose Blumkin หรือที่รู้จักกันในชื่อ Mrs. B ผู้อพยพชาวยิวรัสเซียที่มาถึง Seattle ในปี 1917 ด้วยความที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้แม้แต่นิดเดียว

เธอมาพร้อมกับป้ายแขวนคอที่เขียนว่า Fort Dodge, Iowa Red Cross เพื่อไปพบสามีที่มาถึงอเมริกาก่อนหน้านี้สองปี

หลังจากใช้ชีวิตที่ Fort Dodge สองปีด้วยความรู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนคนเข้าป่า เธอย้ายไป Omaha ในปี 1919 เพื่อหาชุมชนที่พูดภาษาเดียวกัน

ที่ Omaha เธอพบชุมชนชาวยิวรัสเซียเล็กๆ ที่ทำให้รู้สึกอบอุ่นขึ้น Francis ลูกสาวคนโตเรียนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนและกลับมาสอนแม่

Rose ใช้เวลา 20 ปีในการเก็บเงินทีละน้อยจากการขายเสื้อผ้ามือสอง เพื่อนำพี่น้องและพ่อแม่มาอเมริกา ระหว่างนั้นเธอมีลูกถึง 4 คน

จุดพีคของชีวิตเกิดขึ้นในปี 1937 เมื่อ Rose มีเงินเก็บ 2,500 ดอลลาร์ เธอตัดสินใจเดินทางไปชิคาโกเพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์มาขาย

ผู้หญิงที่ไม่เคยได้รับการศึกษาในระบบคนนี้ สร้างธุรกิจที่เติบโตจนขายให้กับ Berkshire ในปี 1983 ด้วยมูลค่าประมาณ 60 ล้านดอลลาร์

ปัจจุบัน ธุรกิจนี้ทำยอดขายได้ถึง 1.5 พันล้านดอลลาร์ และมีทายาทรุ่นที่ 4 กำลังสืบทอดกิจการ Mrs. B ทำงานจนอายุ 103 ปี ก่อนจะเกษียณและเสียชีวิตในปีถัดมา เธอไม่ได้คิดค้นอะไรใหม่ในวงการเฟอร์นิเจอร์เลยด้วยซ้ำ

แต่สิ่งที่ทำให้เธอประสบความสำเร็จคือความมุ่งมั่น การทำงานหนักกว่าใคร การใส่ใจลูกค้า และการยอมรับกำไรขั้นต้นที่ต่ำเพื่อสร้างธุรกิจที่ยิ่งใหญ่

อีกเรื่องราวที่น่าทึ่งคือ Jack Taylor ผู้ก่อตั้ง Enterprise ชายที่เกิดในปี 1922 เรื่องของเขาน่าสนใจไม่แพ้ Mrs. B เลย

Jack เป็นนักกีฬาที่มีความสามารถพอประมาณ แต่ไม่ใช่คนที่ชอบเรียนหนังสือ เขาเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเพียงปีเดียวก่อนลาออกในปี 1941

เมื่อสหรัฐฯ ถูกโจมตี แม้จะถูกกองทัพอากาศปฏิเสธเพราะแพ้เกสรดอกไม้ แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ และได้เข้าร่วมกองทัพเรือแทน

Jack ได้รับเหรียญ Distinguished Flying Cross ถึงสองครั้งจากการบินเครื่องบินรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังสงคราม Jack กลับมาที่ Midwest และผ่านงานหลายตำแหน่งก่อนจะมาเป็นพนักงานขายรถมือสองที่ตัวแทนจำหน่าย Cadillac ใน St. Louis

เมื่ออายุ 35 ปี เขาตัดสินใจขอเป็นหุ้นส่วนธุรกิจให้เช่ารถกับเจ้านาย โดยยอมลดเงินเดือนลงครึ่งหนึ่งและกู้เงิน 25,000 ดอลลาร์

จุดเริ่มต้นของ Enterprise นั้นเริ่มจากรถเพียง 7 คัน ธุรกิจในช่วงแรกเงียบมาก จนบางครั้ง Jack ต้องปล่อยให้โทรศัพท์ดังหลายครั้ง เขาทำแบบนี้เพื่อให้ดูเหมือนว่ามีลูกค้าติดต่อเข้ามาเยอะ ทั้งที่บางวันอาจมีเพียงสายเดียว

เมื่ออายุ 40 ปี Jack ตัดสินใจก้าวเข้าสู่ธุรกิจให้เช่ารถอย่างจริงจังด้วยรถเพียง 17 คัน ท่ามกลางการแข่งขันกับยักษ์ใหญ่อย่าง Hertz, Avis และ National

บริษัทเหล่านี้มีรถในครอบครองนับแสนคัน เรียกได้ว่าเข้าถ้ำเสือแบบไม่กลัวตาย แม้ว่ารถของเขาจะไม่ได้แตกต่างจากคู่แข่งเพราะซื้อจากผู้ผลิตเดียวกัน และไม่มีสาขาในสนามบินเหมือนบริษัทใหญ่

แต่สิ่งที่เขามุ่งมั่นคือการมอบบริการที่เป็นมิตรและประทับใจลูกค้ามากกว่าที่เคยได้รับจากที่ไหน Jack ตั้งชื่อบริษัทว่า Enterprise ตามเรือรบที่เขาเคยบินในสงครามแปซิฟิก หลักการทำธุรกิจของเขานั้นเรียบง่ายแต่ทรงพลัง

เขาเน้นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับทั้งพนักงานและลูกค้า เขาเชื่อว่าถ้าพนักงานมีความสุข พวกเขาจะส่งต่อความรู้สึกดีๆ นั้นไปยังลูกค้า

ปัจจุบัน Enterprise มีมูลค่ามากกว่า Hertz, Avis และบริษัทให้เช่ารถอื่นๆ รวมกัน นี่คือความสุดยอดของคนที่รู้จักเอาใจลูกค้า

ธุรกิจถูกสืบทอดโดย Andy Taylor ลูกชายของ Jack พร้อมด้วยหลานที่เข้ามาร่วมงาน และคาดว่าจะมีทายาทรุ่นที่ 4 สืบทอดกิจการต่อไป

บทเรียนเจ๋งๆ จากความสำเร็จของทั้ง Mrs. B และ Jack Taylor คือการให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของลูกค้าเหนือสิ่งอื่นใด

พวกเขาไม่ได้กังวลกับปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ แต่มุ่งเน้นที่การสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าทุกคนที่มาใช้บริการ เหมือนกับ Henry Ford ที่ล้มเหลวถึง 2 ครั้งก่อนจะประสบความสำเร็จกับ Ford Motor Company ในปี 1903

ความสำเร็จไม่ได้อยู่ที่การคิดไอเดียที่ยิ่งใหญ่ได้ตั้งแต่ครั้งแรก แต่อยู่ที่การเรียนรู้อย่างต่อเนื่องว่าจุดแข็งของคุณคืออะไร คุณจะสร้างคุณค่าอะไรให้กับลูกค้าได้บ้าง และคุณจะทำให้พวกเขาประทับใจได้อย่างไร

การสร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จนั้นต้องอาศัยทั้งความรู้และความปรารถนาที่จะสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าทุกวัน ประสบการณ์ที่ดีจะอยู่ในความทรงจำของลูกค้าไปตลอด ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ตาม

คุณอาจลืมราคาสินค้าที่ซื้อไป แต่จะไม่มีวันลืมว่าประสบการณ์การซื้อนั้นดีหรือแย่ ถ้าลูกค้ามีประสบการณ์ที่แย่ มีความทรงจำเกี่ยวกับความหยาบคาย ความเพิกเฉย พวกเขาจะไม่มีวันกลับมาอีก แต่ถ้าพวกเขาได้รับประสบการณ์ที่ดี พวกเขาจะกลับมาซ้ำและแนะนำธุรกิจของคุณต่อไป

การสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าต้องทำผ่านพนักงานทุกคนในองค์กร ผู้นำธุรกิจต้องใส่ใจในการดูแลพนักงาน ให้พวกเขารู้สึกว่าได้รับการปฏิบัติอย่างยุติธรรม และความคิดเห็นของพวกเขามีคุณค่า พนักงานที่มีความสุขและรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรจะส่งต่อความรู้สึกดีๆ นั้นไปยังลูกค้า

การเลือกคบหาสมาคมกับคนที่จะช่วยผลักดันให้คุณก้าวหน้าก็สำคัญไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของธุรกิจหรือชีวิตส่วนตัว

การรายล้อมตัวเองด้วยคนที่ดีกว่าจะช่วยให้คุณเติบโตและพัฒนาตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง ธุรกิจก็จะพุ่งทะยานตามไปด้วย

ความเจ๋งของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนไม่ได้เกิดจากการเพิ่มทุนหรือการกู้ยืม แต่เกิดจากการที่ธุรกิจสามารถสร้างผลกำไรและเติบโตได้ด้วยตัวเอง เป็นการก่อร่างสร้างตัวอย่างแท้จริง

Nebraska Furniture Mart ของ Mrs. B และ Enterprise ของ Jack Taylor แทบไม่ต้องเพิ่มทุนเลยตลอดหลายปีที่ผ่านมา ธุรกิจเติบโตจากกำไรที่นำกลับมาลงทุนต่อ ไม่ต้องยืมจมูกคนอื่นหายใจ

สำหรับผู้ที่กำลังเริ่มต้นธุรกิจ สิ่งสำคัญไม่ใช่การคิดค้นนวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่หรือการมีเงินทุนมหาศาล แต่อยู่ที่ความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตนเองและธุรกิจอย่างต่อเนื่อง การทำงานหนักควบคู่ไปกับการเพิ่มพูนทักษะ และที่สำคัญที่สุดคือการให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของลูกค้าในทุกจุดสัมผัส

เส้นทางสู่ความสำเร็จอาจไม่ได้ราบรื่นเสมอไป แต่ด้วยความมุ่งมั่น การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และการยึดมั่นในหลักการที่ถูกต้อง ทุกคนมีโอกาสที่จะสร้างธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ได้ เพราะสิ่งที่ดีที่สุดยังมาไม่ถึง สำหรับผู้ที่พร้อมจะเรียนรู้และพัฒนาตนเองอยู่เสมอ

ขอเพียงแค่ฝ่าฝันต่อสู้ เรียนรู้จากความผิดพลาด และไม่ยอมแพ้ คุณก็จะสามารถขีดเขียนชะตาชีวิตได้ด้วยตัวเอง

Elon Musk ขโมย Tesla จริงหรือ? เรื่องราวที่ถูกซ่อนไว้ กับศึกชิงอำนาจที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์ยานยนต์โลก

ช่วงต้นปี 2003 ประวัติศาสตร์ของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้ายุคใหม่ได้เริ่มก่อตัวขึ้น เมื่อ Martin Eberhard และ Mark Tarpenning สองหนุ่มวิศวกรที่มองการณ์ไกล ได้ปลุกปั้นไอเดียในการสร้างบริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้า

สองหนุ่มชอบเล่าว่าแรงบันดาลใจเกิดขึ้นระหว่างทริปเที่ยว Disneyland กับครอบครัว เป็นช่วงเวลาที่ Mark คิดชื่อ “Tesla” แล้วรีบซื้อโดเมนทันที ราวกับโชคชะตาที่ถูกขีดเขียนไว้แล้วให้เขาทำสิ่งนี้

Martin มีพื้นฐานโชกโชนในฐานะวิศวกรคอมพิวเตอร์และไฟฟ้า เริ่มต้นอาชีพที่บริษัท WISE ก่อนจะถูก Dell ซื้อไป ส่วน Mark สั่งสมประสบการณ์จาก Textron ในซาอุดีอาระเบีย ทั้งคู่สนิทกันเพราะชอบเล่นเกม Magic the Gathering ด้วยกัน

ก่อนหน้านี้ทั้งคู่เคยร่วมหัวจมท้ายตั้งบริษัท NuvoMedia พัฒนาเครื่องอ่านอีบุ๊กรุ่นบุกเบิกในปี 1998 ซึ่งล้ำหน้า Kindle ถึง 9 ปี และก่อน iPad 12 ปี มันเก็บหนังสือได้ 1,000 เล่ม ขายราคา 499 ดอลลาร์

แม้ธุรกิจจะไม่บูมเพราะตลาดหนังสือดิจิทัลยังไม่พร้อม แต่พวกเขาก็ขายบริษัทได้ 187 ล้านดอลลาร์ ทำให้มีทุนมากโขและประสบการณ์พอที่จะเริ่มธุรกิจใหม่

จุดเริ่มต้นอีกอย่างมาจากกฎหมาย ZEV (Zero Emission Vehicle) ของรัฐแคลิฟอร์เนียที่บังคับให้บริษัทรถยนต์ต้องผลิตรถที่ไม่ปล่อยมลพิษ เป้าหมายตั้งไว้ว่าภายในปี 2003 รถใหม่ 10% ต้องเป็นรถไฟฟ้า

กฎนี้เป็นการกระตุ้นให้มีการพัฒนารถไฟฟ้าอย่างจริงจัง อย่าง GM ที่ทุ่มเงินพันล้านดอลลาร์พัฒนา EV1 ที่ใช้แบตเตอรี่ตะกั่ว-กรดวิ่งได้ 70 ไมล์ (ประมาณ 112 กิโลเมตร) แต่สุดท้ายเมื่อกฎเปลี่ยน GM ก็เรียกรถคืนและทำลายทิ้งหมด เป็นจุดจบของความฝันในธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้ายุคแรก

วันที่ 1 กรกฎาคม 2003 Tesla ได้ถูกจดทะเบียนเป็นทางการ โดย Martin นั่งเก้าอี้ CEO และ Mark เป็น CFO พวกเขาเริ่มต้นด้วยการศึกษาเทคโนโลยีจากบริษัท AC Propulsion ที่พัฒนาระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าต้นแบบ

ทั้งคู่มีเงิน แต่ขาดความเชี่ยวชาญในการผลิตรถ พวกเขาจึงวางแผนเน้นที่เทคโนโลยีภายใน แล้วหาพันธมิตรมาช่วยสร้างตัวรถ โดยเล็งไปที่ Lotus เป็นผู้ผลิตให้

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อ Ian Wright พนักงานคนแรกของ Tesla แนะนำบริษัทให้ Elon Musk รู้จัก การพิตช์ให้ Elon เป็นโอกาสที่ดีมาก ๆ สำหรับบริษัทในตอนนั้น

ในขณะที่นักลงทุนทั่วไปมองว่าไอเดียรถสปอร์ตไฟฟ้าเป็นเรื่องบ้าบอ แต่สำหรับคนที่กำลังสร้างจรวดอย่าง Elon กลับมองว่านี่คือความท้าทายที่น่าสนใจ

Elon ตอนนั้นเพิ่งขาย PayPal ให้ eBay มูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ และกำลังทุ่มเท 100 ล้านดอลลาร์ให้กับ SpaceX เขาตัดสินใจลงทุนใน Tesla รอบ Series A มูลค่า 7.5 ล้านดอลลาร์ โดยควักเงินส่วนตัว 6.35 ล้านดอลลาร์

แต่มีเงื่อนไขว่าต้องได้เป็นประธานกรรมการบริษัท เงื่อนไขนี้ดูโหดก็จริง แต่ก็สมเหตุสมผลเมื่อพิจารณาว่าเขาลงเงินมากแค่ไหน

การระดมทุนในรอบ Series A มีการออกหุ้นประมาณ 15 ล้านหุ้นราคาหุ้นละประมาณ 49 เซนต์ คิดเป็น 30% ของหุ้นทั้งหมด ทำให้บริษัทมีมูลค่าประมาณ 25 ล้านดอลลาร์

ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2005 Tesla ระดมทุนรอบ Series B ได้อีก 13 ล้านดอลลาร์ที่มูลค่าบริษัท 51 ล้านดอลลาร์ สร้างชื่อกระฉ่อนวงการให้กับสตาร์ทอัพยานยนต์ไฟฟ้าแห่งนี้ทันที

การพัฒนา Tesla Roadster เริ่มต้นขึ้นภายใต้การนำของ Martin ในฐานะ CEO และ Elon ในฐานะประธาน โดยมีแนวคิดที่จะเปลี่ยนภาพจำของรถไฟฟ้าจากรถเล็กที่น่ารังเกียจ ให้กลายเป็นรถสปอร์ตสมรรถนะสูงที่น่าทึ่ง

แต่ความขัดแย้งเริ่มก่อตัวหลังจากการเปิดตัว Roadster เมื่อ Elon รู้สึกแย่ที่สื่อนำเสนอบทบาทของเขาเพียงแค่นักลงทุนรายแรก เขาส่งอีเมลถึง Martin แสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรง

ปัญหาการผลิตและความท้าทายในการบริหารพนักงาน 140 คน ทำให้ความตึงเครียดระหว่าง Elon และ Martin พุ่งสูงขึ้น ในเดือนมกราคม 2007 Martin เสนอให้หา CEO คนใหม่ระหว่างทานอาหารเย็นกับ Elon

แม้คณะกรรมการจะเห็นด้วย แต่แผนกลับพลิกเมื่อ Martin ถูกปลดจากตำแหน่งในเดือนสิงหาคม 2007 ผ่านการประชุมคณะกรรมการที่เขาไม่ได้เข้าร่วม แทบจะเรียกได้ว่าเป็นการแทงข้างหลังอย่างโหดเหี้ยม

ที่แสบยิ่งกว่าคือ Martin ออกมาเปิดใจว่า “เมื่อผมถูกไล่ออกจาก Tesla ผมไม่มีเงินเลย ผมไม่มีเงินจริงๆ แย่กว่านั้น ผมไม่มีโอกาสได้งานทำประมาณหนึ่งปีเพราะข้อตกลงทรัพย์สินทางปัญญาที่จำกัดกับ Tesla”

ในช่วงเปลี่ยนผ่าน Tesla มี CEO ชั่วคราวสองคนก่อนที่ Elon จะเข้ามาดำรงตำแหน่ง CEO อย่างเต็มตัว คนแรกคือ Michael Marks อดีต CEO ของ Flextronics ผู้ลงทุน 2.5 ล้านดอลลาร์ในบริษัท และ Ze’ev Drori จาก Clifford Electronics

การปลด Martin นำไปสู่การฟ้องร้องที่ยืดเยื้อ โดย Martin ฟ้อง Elon ด้วยข้อหาต่างๆ ถึง 11 ข้อ รวมถึงการหมิ่นประมาท การใส่ร้าย การฉ้อฉล และการสร้างความเครียดทางอารมณ์ จุดสำคัญคือการที่ Elon เริ่มเรียกตัวเองว่าเป็น “ผู้ร่วมก่อตั้ง Tesla”

คดีความยุติลงด้วยการตกลงกันนอกศาล โดยมีข้อตกลงให้ Elon และพนักงานคนแรกๆ อีกสามคนสามารถใช้ตำแหน่ง “ผู้ร่วมก่อตั้ง” ได้อย่างถูกต้อง ทั้งที่ไม่ได้อยู่ตั้งแต่วันแรกเริ่ม นี่เป็นชัยชนะของอำนาจเงินที่ขีดชะตาชีวิตคนได้

เรื่องราวของ Tesla เป็นกรณีศึกษาชั้นเทพเกี่ยวกับพลวัตอำนาจในสตาร์ทอัพ การระดมทุน และความสัมพันธ์ระหว่างผู้ก่อตั้งกับนักลงทุน

ในมุมมืดของการระดมทุน Tesla แสดงให้เห็นว่าธุรกิจที่ต้องการเงินลงทุนมหาศาลจำเป็นต้องผ่านการระดมทุนหลายรอบ เริ่มจาก Pre-seed จากผู้ก่อตั้ง ไปจนถึงรอบ Series ต่างๆ

แต่ละรอบไม่เพียงนำมาซึ่งเงิน แต่ยังนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจในบริษัทที่อาจทำให้ผู้ก่อตั้งสูญเสียการควบคุมได้ เหมือนเป็นการชักศึกเข้าบ้าน

ปัจจุบัน Tesla เป็นบริษัทที่มีกำไรกว่า 15 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 และเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก แต่เส้นทางสู่ความสำเร็จนี้เต็มไปด้วยความขัดแย้ง ศึกชิงอำนาจ และรอยร้าวมากมาย

ประเด็นที่ยังถกเถียงกันในวงการธุรกิจคือคำจำกัดความของคำว่า “ผู้ก่อตั้ง” ใครสมควรได้รับการยกย่องในฐานะผู้ก่อตั้ง – ผู้ที่ริเริ่มแนวคิด ผู้ที่จดทะเบียนบริษัท หรือผู้ที่ให้เงินทุนและผลักดันให้บริษัทประสบความสำเร็จ?

กรณีของ Tesla แสดงให้เห็นว่าเส้นแบ่งระหว่างบทบาทเหล่านี้อาจไม่ชัดเจน และในท้ายที่สุด เงินและอำนาจอาจเป็นปัจจัยชี้ขาดว่าใครจะได้รับการจารึกในประวัติศาสตร์

ความสำเร็จของ Tesla ไม่เพียงพิสูจน์ว่ารถยนต์ไฟฟ้าสามารถเป็นผลิตภัณฑ์ที่ประสบความสำเร็จ แต่ยังผลักดันให้ผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลกหันมาลงทุนในเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าอย่างจริงจัง

การที่ Tesla สามารถท้าทายอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มีประวัติยาวนานและเปลี่ยนทิศทางตลาดได้ แสดงให้เห็นว่าแม้แต่อุตสาหกรรมที่แข็งแกร่งก็สามารถถูกปฏิวัติได้ด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและความกล้าที่จะฝ่าฝันต่อสู้

บทเรียนสำคัญสำหรับผู้ประกอบการคือการเข้าใจว่าการระดมทุนไม่ใช่แค่เรื่องตัวเลข แต่เป็นเรื่องของการวางแผนอำนาจบริหารในระยะยาว ควรพิจารณาเลือกนักลงทุนอย่างรอบคอบ เจรจาเงื่อนไข และวางโครงสร้างที่สามารถรองรับการเติบโตในอนาคต

การสร้างธุรกิจให้ประสบความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพียงนวัตกรรมหรือเงินทุน แต่ยังรวมถึงความสามารถในการบริหารความสัมพันธ์ระหว่างทุกฝ่าย หากไม่ระวัง ผู้ก่อตั้งอาจพบว่าตัวเองกำลังไปสู่จุดจบโดยไม่รู้ตัว