Geek Monday EP266 : การกลับมาเกิดใหม่ของ Kodak ล้มแล้วลุกอย่างไรให้กลับมายิ่งใหญ่กว่าเดิม

Kodak เคยเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการถ่ายภาพ มีมูลค่าถึง 30,000 ล้านดอลลาร์และครองส่วนแบ่งตลาดกล้องถึง 90% แต่เมื่อยุคดิจิทัลมาถึง แม้จะเป็นผู้บุกเบิกเทคโนโลยีกล้องดิจิทัลเอง Kodak กลับไม่สามารถปรับตัวได้ทันกับการเปลี่ยนแปลง จนต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก นำไปสู่การยื่นล้มละลายในปี 2013

หลายคนคิดว่านี่คือจุดจบของตำนานบริษัทที่มีอายุกว่าศตวรรษ แต่เรื่องราวของ Kodak ไม่ได้จบลงเพียงเท่านั้น 11 ปีให้หลัง บริษัทที่ครั้งหนึ่งเคยล้มเหลวกลับมามีรายได้พุ่งทะลุหนึ่งพันล้านดอลลาร์อีกครั้ง การฟื้นคืนชีพครั้งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? นี่คือเรื่องราวแห่งการปรับตัว การเปลี่ยนแปลง และการค้นพบตัวตนใหม่ที่น่าทึ่งของหนึ่งในบริษัทที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานที่สุดในวงการเทคโนโลยี

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/zcs2psxm

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/2ak8r4zs

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/6w23bp7f

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/RFXEQrJuup0

บทเรียนจาก Google Plus จาก 500 ล้านยูสเซอร์สู่ความล้มเหลว เมื่อการเป็นที่สองไม่เพียงพอในโลกโซเชียล

ในโลกเทคโนโลยีและโซเชียลมีเดีย เรื่องราวความสำเร็จและความล้มเหลวเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วแบบที่หลายคนอาจจะคาดไม่ถึง แต่ไม่มีเรื่องราวไหนที่จะให้บทเรียนได้เท่ากับเรื่องของ Google Plus อีกแล้ว

นี่คือความพยายามครั้งใหญ่ที่สุดของ Google ในการบุกตลาดโซเชียลมีเดีย ที่สุดท้ายกลับจบลงด้วยความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง

หลายคนอาจคิดว่า Google เห็นศักยภาพของโซเชียลมีเดียช้าไป แต่ความจริงไม่ใช่แบบนั้นเลย

ก่อนที่จะมี Facebook, Twitter หรือแม้แต่ MySpace ด้วยซ้ำ Google ได้พยายามซื้อกิจการ Friendster ด้วยข้อเสนอถึง 30 ล้านดอลลาร์ในรูปแบบหุ้น Google

น่าเสียดายที่ Friendster ปฏิเสธข้อเสนอนี้ ซึ่งต้องบอกว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดเป็นอย่างมาก เพราะหุ้น Google ที่เสนอให้นั้นปัจจุบันมีมูลค่าพุ่งกระฉูดไปกว่าหนึ่งพันล้านดอลลาร์!

หลังจากความพยายามซื้อกิจการไม่สำเร็จ Google ก็ไม่ยอมแพ้ พวกเขาตัดสินใจปั้นแพลตฟอร์มโซเชียลของตัวเองขึ้นมา โดยเริ่มจาก Orkut ในปี 2004

Orkut เป็นบริการโซเชียลเน็ตเวิร์กแรกที่ Google เป็นเจ้าของ ตั้งชื่อตามผู้สร้างซึ่งเป็นวิศวกรซอฟต์แวร์ชาวตุรกีที่ทำงานที่ Google

เขาพัฒนาโซเชียลนี้เป็นโครงการส่วนตัวในเวลาทำงาน ตามนโยบายที่ Google อนุญาตให้พนักงานใช้เวลาบางส่วนทำโปรเจกต์ของตัวเอง

Orkut มีฟีเจอร์เจ๋งๆ หลายอย่างคล้ายกับโซเชียลมีเดียในปัจจุบัน ทั้งการโพสต์ อัปเดตสถานะ แชร์รูปภาพ และการไลค์หรือคอมเมนต์โพสต์เพื่อน

สิ่งที่น่าสนใจคือ Orkut เปิดตัวก่อน Facebook เพียงไม่กี่สัปดาห์ ในเดือนมกราคม 2004 ในขณะที่ Zuckerberg เปิดตัว “The Facebook” ในเดือนกุมภาพันธ์ปีเดียวกัน

แม้ Orkut จะทำได้ไม่เลวทีเดียว แต่ความนิยมส่วนใหญ่กลับจำกัดอยู่แค่ในอินเดียและบราซิล ที่อื่นๆ ความนิยมของ Orkut ร่อยหรอลงหลังจากมีปัญหาการละเมิดความปลอดภัยครั้งใหญ่

ปัญหาสำคัญอีกอย่างคือ Orkut มีทีมงานเล็กเกินไป ทำให้มักล้าหลังในแง่ฟีเจอร์ใหม่ๆ และยากลำบากในการกำกับดูแลแพลตฟอร์มอย่างเหมาะสม

เมื่อมีสแปมและการละเมิดจำนวนมากบนแพลตฟอร์ม ประกอบกับการมาของคู่แข่งอย่าง MySpace และ Facebook ที่ผู้ใช้ดูจะชอบมากกว่า Orkut จึงค่อยๆ เสื่อมความนิยมไปในท้ายที่สุด

หลังจาก Orkut ไม่ประสบความสำเร็จ Google ก็ยังไม่ยอมถอดใจ พวกเขากลับไปสู่จุดเริ่มต้นและพยายามรังสรรค์โซเชียลเน็ตเวิร์กอีกครั้งอย่างรวดเร็ว

Google Friend Connect เปิดตัวในปี 2008 ให้เจ้าของเว็บไซต์สามารถเปลี่ยนหน้าเว็บของตนให้เป็นแพลตฟอร์มโซเชียลได้ แต่ความพยายามนี้ก็ล้มเหลวอีกครั้ง

ในปี 2009 พวกเขาเปิดตัว Google Wave ซึ่งมีบทความมากมายกล่าวว่าอาจเป็นภัยคุกคามต่อ Facebook และ Twitter อย่างร้ายแรง

นักวิเคราะห์มองว่า Wave เป็นคู่แข่งที่โหดที่สุดในวงการโซเชียลมีเดีย เพราะรวมฟีเจอร์ของอีเมล การส่งข้อความ บล็อก วิกิ และการแชร์มัลติมีเดียเข้าด้วยกัน

แต่ผู้ใช้กลับพบว่า Wave ซับซ้อนเกินไปที่จะใช้งาน และมันก็ไม่เคยประสบความสำเร็จอย่างที่คาดหวัง จึงค่อยๆ เลือนหายไปจากความสนใจ

Google ยังคงยืนยันอย่างชัดเจนว่าพวกเขาต้องการมีโซเชียลเน็ตเวิร์กเป็นของตัวเอง ในปี 2010 พวกเขาจึงเปิดตัวโครงการใหม่ชื่อ Google Buzz

ครั้งนี้ Google มีแนวคิดที่จะรวม Buzz เข้ากับ Gmail ซึ่งในทฤษฎีแล้วฟังดูเข้าท่า เพราะพวกเขาสามารถใช้ประโยชน์จากฐานผู้ใช้ขนาดใหญ่ที่มีอยู่แล้ว

แต่ปัญหาคือการนำไปใช้จริงนั้นแย่มากๆ วันหนึ่งผู้ใช้ Gmail ถึงกับโมโหที่พบว่าตัวเองกลายเป็นส่วนหนึ่งของ Google Buzz โดยไม่ได้สมัครใจ

ผู้ติดต่อทางอีเมลที่พวกเขาใช้บ่อยที่สุดถูกเพิ่มเป็นเพื่อนใน Google Buzz และทุกคนที่พวกเขาแชร์อีเมลด้วยกลายเป็นผู้ติดตาม ทำให้ข้อมูลส่วนตัวถูกเปิดเผยโดยไม่ได้ตั้งใจ

สิ่งนี้ไม่เพียงสร้างความไม่พอใจให้ผู้ใช้จำนวนมาก แต่ยังนำไปสู่การฟ้องร้องแบบกลุ่มซึ่ง Google ต้องจ่ายเงินหลายล้านดอลลาร์เพื่อยุติคดี

Google Buzz จึงมีอายุสั้นมาก และถูกยกเลิกในที่สุดหลังจากมีความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูล

หลังจากล้มเหลวกับโซเชียลมีเดียถึง 4 ครั้ง ทั้ง Orkut, Friend Connect, Wave และ Buzz ก็ถึงเวลาสำหรับกลยุทธ์ใหม่และโครงการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ Google

ในปี 2010 Google เริ่มกังวลสุดๆ เกี่ยวกับการเติบโตอย่างรวดเร็วของ Facebook ทั้งในแง่จำนวนผู้ใช้และศักยภาพด้านการโฆษณา

Vic Gundotra รองประธานของ Google ในขณะนั้น ได้ผลักดัน Larry Page ซีอีโอให้เห็นความสำคัญของการมีโซเชียลมีเดียที่แข็งแกร่ง จนนำไปสู่การเกิดขึ้นของ Google Plus

Google ทุ่มเทเงินทุนและทรัพยากรมหาศาลให้กับโครงการนี้ มีการจัดพนักงานมากกว่าหนึ่งพันคนให้มาทำงานกับ Google Plus โดยตรง

Larry Page ยังประกาศด้วยว่า 25% ของโบนัสประจำปีของพนักงานทั้งบริษัทจะขึ้นอยู่กับความสำเร็จของ Google Plus เพื่อกระตุ้นให้ทุกคนช่วยกันผลักดันโครงการนี้

Google Plus มาพร้อมกับฟีเจอร์ที่น่าสนใจหลายอย่าง เช่น Circles ที่ให้ผู้ใช้จัดกลุ่มผู้ติดต่อและควบคุมการแชร์เนื้อหากับกลุ่มต่างๆ ได้

นอกจากนี้ยังมี Hangouts สำหรับแชทวิดีโอกลุ่ม และ Sparks สำหรับค้นหาเนื้อหาที่น่าสนใจเพื่อแชร์กับ Circles ของผู้ใช้

Google Plus ยังถูกออกแบบให้เชื่อมต่อกับบริการอื่นๆ ของ Google เช่น การค้นหาและอีเมล เพื่อสร้างประสบการณ์ผู้ใช้ที่เชื่อมโยงกันทั้งหมด

การเปิดตัวในปี 2011 เป็นแบบระบบเชิญเท่านั้น สร้างความรู้สึกพิเศษและกระแสความสนใจได้ดีในช่วงแรก

หนึ่งในผู้ใช้ Google Plus รายแรกๆ คือ Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้ง Facebook ที่ได้รับคำเชิญจากคนในวงการเทคโนโลยี

มีรายงานว่า Facebook กังวลมากๆ เกี่ยวกับ Google Plus ถึงขั้นที่ Zuckerberg สั่งระดมพลทั่วบริษัท ให้ทุกคนหยุดทำงานอื่นและทุ่มเทเวลาเพื่อต่อสู้กับคู่แข่งใหม่

Facebook กังวลอย่างไม่ต้องสงสัย และเมื่อ Google ประกาศจะใช้พลังและทรัพยากรมหาศาลเพื่อสร้างโซเชียลมีเดีย ผู้เชี่ยวชาญหลายคนคาดการณ์ว่า Google Plus จะเอาชนะ Facebook ได้

ภายในสิ้นปีแรก Google Plus มีผู้ใช้ประมาณ 90 ล้านคน และเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 500 ล้านคนภายในไม่กี่ปีต่อมา ดูเหมือนจะพุ่งทะยานไปได้ดี

แต่ตัวเลขเหล่านี้กลับเป็นแค่ภาพลวงตา ความจริงที่เจ็บปวดกว่านั้นกำลังรอคอยอยู่ข้างหน้า

แม้จะมีการลงทุนมหาศาล แต่ Google Plus ก็ต้องเผชิญกับปัญหามากมายที่ไม่มีใครคาดคิด

ประการแรกคือการบังคับใช้ Google พยายามบังคับให้ผู้ใช้บริการอื่นๆ เช่น YouTube และ Gmail ต้องมีบัญชี Google Plus ด้วย สร้างความไม่พอใจให้ผู้ใช้จำนวนมาก

ประการที่สองคือความซับซ้อนของ Circles แม้จะเป็นแนวคิดที่เจ๋ง แต่ก็ทำให้การใช้งานซับซ้อนเกินไปสำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่คุ้นเคยกับรูปแบบง่ายๆ ของ Facebook

ประการที่สามคือ Google Plus ไม่ได้มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น ไม่ได้นำเสนออะไรที่แตกต่างชัดเจนจากโซเชียลมีเดียอื่นๆ ที่มีอยู่แล้ว

ยังมีปัญหาเรื่องความเป็นส่วนตัวอีกด้วย หลายคนกังวลเกี่ยวกับการเชื่อมโยงข้อมูลส่วนตัวกับบริการอื่นๆ ของ Google ที่พวกเขาใช้อยู่

แต่ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดคือการใช้งานจริงต่ำมาก แม้จะมีจำนวนผู้ใช้มาก แต่ 90% ของผู้ใช้ใช้เวลาน้อยกว่า 5 วินาทีต่อการเข้าใช้งานแต่ละครั้ง!

Google Plus จึงกำลังเผชิญกับการต่อสู้ที่ยากลำบาก จุดอ่อนคือคนส่วนใหญ่ไม่มีแรงจูงใจจะย้ายมาใช้แพลตฟอร์มใหม่ที่เพื่อนๆ ไม่ได้ใช้

ทำไมจะไปใช้ Google Plus ที่ดูเหมือนจะเสนอสิ่งคล้ายๆ กัน แต่มีคนน้อยกว่าและมีโพสต์น้อยกว่า? คำถามนี้ Google ไม่เคยตอบได้อย่างน่าพอใจ

Google Plus ประกาศว่ามีผู้ใช้จำนวนมากและการเติบโตยอดเยี่ยม แต่ความจริงคือคนไม่ได้อยากเข้าร่วม แต่ถูกบังคับให้ต้องมีบัญชีเพื่อใช้บริการอื่นๆ ที่พวกเขาชอบ

เปรียบเหมือนเวลาเราได้คอมพิวเตอร์ Windows ใหม่ เราต้องใช้เบราว์เซอร์ของ Microsoft เพื่อดาวน์โหลด Chrome หรือ Firefox แค่นั้นเอง

New York Times ถึงกับอธิบาย Google Plus ว่าเป็น “เมืองร้าง” ที่แทบไม่มีใครใช้จริงๆ แม้จะมีผู้ใช้ถึงครึ่งพันล้านคนในช่วงที่พีคสุดก็ตาม

Google Plus จึงถูกทำลายตั้งแต่เริ่มต้นเพราะประสบการณ์ผู้ใช้ที่แย่สุดๆ หลายคนแทบไม่ให้โอกาสมันเลย

ในตอนนั้น Facebook เป็นที่แฮงเอาต์เจ๋งๆ ที่เพื่อนทุกคนอยู่ ในขณะที่ Google Plus กำลังทำให้บริการยอดนิยมอื่นๆ เละเทะไปด้วย

Google พยายามโค่น Facebook โดยเสนอบางสิ่งที่คล้ายคลึงกัน แทนที่จะนำเสนอนวัตกรรมที่เจ๋งกว่าหรือแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ

เหตุผลที่ Facebook เอาชนะคู่แข่งได้ในยุคแรกคือการนำเสนอบางสิ่งที่แตกต่าง ไม่ใช่แค่ลอกเลียนแบบสิ่งที่มีอยู่แล้ว

ในปัจจุบันเมื่อความนิยมของ Facebook ลดลง ก็ไม่ใช่เพราะมีคนลอกเลียนแบบโดยตรง แต่เป็นเพราะมีบริการใหม่ๆ ที่สร้างสรรค์และสดใหม่กว่าอย่าง TikTok

Google Plus สร้างความแตกต่างน้อยนิด ไม่มีจุดขายที่เป็นเอกลักษณ์หรือแนวทางเฉพาะที่ทำให้คนมีเหตุผลชัดเจนที่จะกลับมาใช้อีก

Facebook เหมาะสำหรับติดตามเพื่อน Twitter เหมาะสำหรับอัปเดตแบบเรียลไทม์ แต่ Google Plus เป็นแพลตฟอร์มสำหรับอะไร? ไม่มีใครรู้ชัดเจน

ปัญหาสุดท้ายที่ตอกฝาโลงของ Google Plus คือการละเมิดความปลอดภัยครั้งใหญ่ในปี 2018 ที่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้มากกว่า 50 ล้านคน

เหตุการณ์นี้นำไปสู่การฟ้องร้องแบบกลุ่มและการตัดสินใจปิดบริการในที่สุด Google Plus ถูกปิดอย่างเป็นทางการสำหรับผู้บริโภคในปี 2019

จบลงด้วยการถูกจดจำว่าเป็นความล้มเหลวครั้งใหญ่ที่สุดของ Google การลงทุนมหาศาลเพื่อไล่ตาม Facebook สุดท้ายกลายเป็นความพยายามที่สูญเปล่า

เรื่องราวของ Google Plus ให้บทเรียนสำคัญหลายประการที่ใครก็สามารถนำไปปรับใช้ได้

บทเรียนแรกคือความสำคัญของการสร้างนวัตกรรม การลอกเลียนแบบคู่แข่งไม่เพียงพอ ต้องนำเสนอสิ่งที่แตกต่างและมีคุณค่าจริงๆ

บทเรียนที่สองคือการฟังเสียงของผู้ใช้ การบังคับให้ผู้ใช้ใช้บริการโดยไม่สนใจความต้องการที่แท้จริงนำไปสู่การต่อต้านอย่างรุนแรง

บทเรียนที่สามคือความเรียบง่ายสำคัญมาก ฟีเจอร์ที่ซับซ้อนเกินไปอาจทำให้ผู้ใช้ทั่วไปรู้สึกเคอะเขินและไม่อยากใช้งาน

บทเรียนที่สี่คือความสำคัญของความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว ปัญหาเหล่านี้สามารถทำลายความไว้วางใจของผู้ใช้ได้อย่างรวดเร็ว

บทเรียนสุดท้ายคือการบริหารจัดการโครงการ การขาดวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและการทำงานแบบแยกส่วนส่งผลเสียต่อผลลัพธ์โดยรวม

ความล้มเหลวของ Google Plus เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าแม้แต่บริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีทรัพยากรมหาศาลก็ไม่สามารถรับประกันความสำเร็จได้

โดยเฉพาะในโลกของโซเชียลมีเดียที่เปลี่ยนแปลงเร็วมาก การเข้าใจความต้องการของผู้ใช้ การสร้างนวัตกรรมที่แท้จริง และการรักษาความไว้วางใจ ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญ

Google Plus พยายามจะเป็นทุกอย่างสำหรับทุกคน แต่สุดท้ายกลับไม่เป็นอะไรเลยสำหรับใครก็ตาม นี่คือบทเรียนที่แสบสันที่สุดที่แม้แต่บริษัทระดับเทพอย่าง Google ยังต้องเรียนรู้

บทเรียนจาก Google Plus ยังคงมีความสำคัญในปัจจุบัน เมื่อเราเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในโลกโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตแบบพุ่งกระฉูดของ TikTok หรือความท้าทายที่ Facebook กำลังเผชิญ

สิ่งเหล่านี้ล้วนเตือนใจเราว่าในโลกของเทคโนโลยี ไม่มีอะไรที่แน่นอน การปรับตัวอย่างต่อเนื่องและการสร้างนวัตกรรมที่แท้จริงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการอยู่รอดและเติบโตในระยะยาว

ยังไม่มีใครรู้ว่าพรุ่งนี้จะมีแพลตฟอร์มโซเชียลแบบไหนมาแรง แต่สิ่งที่แน่นอนคือ การย้ำรอยเดิมของคนอื่นไม่อาจนำไปสู่ความสำเร็จในระยะยาวได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นยักษ์ใหญ่อย่าง Google หรือสตาร์ทอัพหน้าใหม่ก็ตาม

จากเศรษฐี PayPal สู่หนูทดลองมนุษย์ Project Blueprint ปฏิบัติการพิชิตความตายของ Bryan Johnson

นี่คือเรื่องของผู้ชายที่มีความฝันที่จะเอาชนะความตาย Bryan Johnson ผู้ก่อตั้ง Braintree และ Kernel ที่ลุกขึ้นมาท้าทายชะตาชีวิตของมนุษย์ เขาทุ่มเงินทุนมหาศาลเพื่อรังสรรค์โครงการที่ชื่อว่า Project Blueprint

มันเจ๋งแค่ไหนที่มีคนกล้าลงทุนปีละเกือบ 2 ล้านดอลลาร์เพื่อต่อสู้กับสิ่งที่มนุษย์ทุกคนหนีไม่พ้น? และนี่คือเรื่องราวของมหาเศรษฐีที่ไม่ยอมแก่!

คุณเคยจินตนาการไหมว่าจะเป็นยังไงถ้าอายุขัยของคุณยืนยาวเกินกว่า 100 ปี? Johnson ไม่ได้แค่คิด แต่เขาลงมือทำจริงๆ

Johnson เติบโตมาในครอบครัวมอรมอนที่มีแนวทางเคร่งครัด ชีวิตของเขาถูกกำหนดโดย Church of Jesus Christ of Latter-day Saints ตั้งแต่เล็กจนโต

การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เข้มงวดปลูกฝังวินัยเหล็กในตัวเขา บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลที่เขาสามารถทำตามตารางประจำวันสุดโหดเหี้ยมได้โดยไม่บ่น

แต่ภายในใจของเด็กหนุ่มคนนี้มีคำถามมากมายที่รุมเร้า เขาเริ่มตะหงิดใจกับหลักความเชื่อที่ถูกยัดเยียดมาตั้งแต่เด็ก แต่ก็ต้องเก็บง้ำความสงสัยไว้กับตัว

จุดพีคของชีวิต Johnson เริ่มต้นเมื่อเขามองเห็นรูปแบบธุรกิจของ PayPal และอยากสร้างบางอย่างที่เจ๋งไม่แพ้กัน ประสบการณ์ในการขายได้เปิดทางให้เขาเห็นโอกาสทางธุรกิจที่คนอื่นมองข้าม

เขาเลยก่อตั้ง Braintree ขึ้นมาแบบไม่มีทุนสนับสนุนจากภายนอก และเป็นเรื่องที่โครตเทพมาก ๆ ที่บริษัทนี้พุ่งทะยานติดอันดับธุรกิจเติบโตเร็วที่สุดในอเมริกาถึงสองครั้ง!

Braintree เป็นเริ่มเป็นที่จับตามองเมื่อเข้าซื้อกิจการ Venmo ในปีที่ห้าของการดำเนินงาน แล้วก็ถูก PayPal ซึ่งตอนนั้นเป็นของ eBay ซื้อไปในปี 2013

เงินจากการขายกิจการทำให้ Johnson มีเงินทุนมากโขเพื่อไล่ตามความฝันที่ใหญ่กว่าเดิม และเงินจำนวนนี้นี่เองที่ทำให้เขามีอิสระที่จะตั้งคำถามกับทุกสิ่งที่เคยเชื่อ

การเดินทางรอบโลกเปิดตาเขาให้เห็นว่า สิ่งที่เขาถูกสอนมาอาจไม่ใช่ความจริงแท้ การต่อสู้ภายในจิตใจนำไปสู่การละทิ้งศาสนามอรมอน

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นไม่นานก่อนที่เขาจะเริ่มต้น Project Blueprint โครงการที่จะกลายเป็นจุดหมายใหม่ของชีวิต

Project Blueprint ไม่ใช่แค่โครงการทดลองทั่วไป มันคือความพยายามระดับสูงสุดที่จะเปลี่ยนวิธีคิดของมนุษย์เกี่ยวกับความแก่และความตาย

Johnson มองร่างกายเหมือนเครื่องจักรที่ซับซ้อน ถ้าเข้าใจกลไกให้ลึกซึ้ง ก็สามารถซ่อมแซมและยืดอายุการใช้งานได้ไม่ต่างกัน

กิจวัตรประจำวันของเขาถูกออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน เขาเข้านอนเวลา 20:30 น. และตื่นเวลา 4:30 น. ทุกวันโดยไม่มีข้อยกเว้น

แค่นี้ยังไม่พอ ตื่นมาปุ๊บเขาเปิดไฟพิเศษในห้องน้ำที่จำลองแสงธรรมชาติ กินยาสามเม็ด วัดอุณหภูมิร่างกาย แล้วทำการบำบัด HRV กระตุ้นประสาท

ที่เจ๋งสุดๆ คือวิธีตัดสินใจของเขา แทนที่จะฟังสมองอย่างเดียว เขาบอกว่าเขาฟัง “เสียง” จากทุกอวัยวะในร่างกาย

Johnson อ้างว่าวัด “ความเร็วในการแก่” ของตัวเองได้ ในสารคดี Netflix เรื่อง “Don’t Die: The Man Who Wants to Live Forever” เขาเผยว่ามีค่า 0.69

แปลง่ายๆ คือ ทุก 12 เดือนตามปฏิทิน ร่างกายเขาแก่ขึ้นแค่ 8 เดือนเท่านั้น! และล่าสุดลดลงเหลือ 0.64 ในเดือนพฤศจิกายน 2024

การวัดนี้ใช้ตัวบ่งชี้ทางชีวภาพเป็นร้อยตัว รวมถึงความยาวของเทโลเมียร์ (ส่วนปลายของโครโมโซมที่สั้นลงเมื่อเซลล์แบ่งตัว) และการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม

วิธีการของ Johnson สร้างเสียงฮือฮากระฉ่อนในวงการวิทยาศาสตร์ บางคนยกย่องเขาเป็นผู้บุกเบิก ขณะที่คนอื่นส่ายหัวกับความมั่วซั่วของเขา

หนึ่งในการทดลองสุดพิลึกคือการใช้ยา rapamycin ซึ่งปกติใช้กดภูมิคุ้มกันในการปลูกถ่ายอวัยวะ

Dr. Andrew Steele นักวิทยาศาสตร์ และนักเขียนชื่อดัง อธิบายว่า ยานี้ช่วยยืดอายุหนูทดลองได้ถึง 14% ในตัวผู้และ 9% ในตัวเมีย แต่ผลในมนุษย์ยังไม่ชัดเจนและอาจเสี่ยงอันตราย

แต่ที่สร้างความฉาวโฉ่สุดๆ คือการแลกเปลี่ยนพลาสมากับ Talmage ลูกชายของเขา! ไอเดียนี้มาจากการทดลองถ่ายเลือดจากหนูอายุน้อยไปยังหนูแก่

ไม่หยุดแค่นั้น Johnson ยังรวมพ่อของเขาเข้ามาในการทดลองด้วย โดยให้พลาสมาของตัวเองกับพ่อ ทำเอาวงการแพทย์ต้องตกตะลึง

หลายคนอาจคิดว่า Johnson เป็นอัจฉริยะ แต่วงการแพทย์กลับมองต่าง Dr. Vadim Gladyshev และ Dr. Andrew Steele วิจารณ์แบบจัดหนัก

พวกเขาบอกว่าการทดลองหลายอย่างพร้อมกันทำให้ไม่รู้ว่าอะไรได้ผลจริง Steele เล่าว่า Johnson บล็อกเขาบน Twitter หลังแนะนำให้สนับสนุนการทดลองที่เป็นระบบบ้าง บางทีมหาเศรษฐีอาจรับคำวิจารณ์ไม่ค่อยเก่ง

Gladyshev ถึงกับพูดแสบๆ ว่าความพยายามของ Johnson “แทบไม่มีส่วนช่วยให้วิทยาศาสตร์ก้าวหน้า”

หนึ่งในการทดลองสุดล้ำของ Johnson เกี่ยวข้องกับ Minicircle บริษัทในเขตเศรษฐกิจพิเศษ Próspera บนเกาะ Roatán ประเทศฮอนดูรัส

การเลือกทำในเขตพิเศษแสดงให้เห็นว่า การทดลองแบบนี้ในประเทศพัฒนาแล้วอาจล้ำเส้นกฎหมายได้ง่ายๆ

บริษัทนี้อ้างว่าเทคโนโลยีของพวกเขาไม่ได้รวมเข้ากับ DNA และมีสวิตช์หยุดการทำงานได้ ฟังดูเหมือนเป็นแนวทางที่น่าสนใจ เพราะสามารถทางถอยกลับได้หากมันไม่ work

ความขัดแย้งของ Johnson ไม่ได้มีแค่ในวงการวิทยาศาสตร์ ชีวิตรักของเขาก็มีเรื่องให้ซุบซิบไม่แพ้กัน

เขาถูกกล่าวหาว่าทิ้งคู่หมั้น Taryn Southern หลังจากที่เธอป่วยเป็นมะเร็งเต้านม เรื่องนี้ทำให้ภาพลักษณ์ของเขาดูแย่ลงไปไม่น้อย

ทั้งคู่เริ่มต้นความสัมพันธ์ในปี 2016 ด้วยความฝันที่จะสร้างอนาคตร่วมกัน แต่ตามคดีความในเดือนตุลาคม 2021 กลับลงเอยแบบแตกหัก

Southern อ้างว่า Johnson ควบคุมให้เธออุทิศตนให้กับเป้าหมายของเขา และเมื่อเธอต้องการความช่วยเหลือที่สุด เขากลับแทงข้างหลังเธอ

เรื่องราวของ Bryan Johnson แสดงให้เห็นถึงความสุดโต่งของความพยายามเอาชนะธรรมชาติ จากเด็กในครอบครัวมอรมอนสู่นักทดลองผู้ท้าทายความแก่ชรา

แม้จะถูกวิจารณ์ แต่ความมุ่งมั่นของเขาก็จุดประกายการถกเถียงเรื่องขอบเขตการแทรกแซงกระบวนการธรรมชาติ

ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร เรื่องราวของเขาตั้งคำถามลึกซึ้งเกี่ยวกับความหมายของชีวิตและคุณค่าของความเป็นมนุษย์

บางทีคำถามสำคัญอาจไม่ใช่ว่าเราจะมีชีวิตยืนยาวได้แค่ไหน แต่เป็นว่าเราจะใช้เวลาที่มีอยู่อย่างมีความหมายได้อย่างไร ไม่ว่าจะเป็น 80 ปี หรือ 180 ปีก็ตาม

JD Vance หุ่นเชิด Silicon Valley? เปิดโปงแผนร้ายมหาเศรษฐีเทคโนโลยีที่ฝันจะกุมอำนาจการเมืองโลก

ย้อนกลับไปแค่ไม่กี่ปี Silicon Valley ถูกมองว่าเป็นแหล่งรวมความคิดก้าวหน้า นวัตกรรมสุดเจ๋ง และอนาคตที่สดใส พวกเขาวาดภาพตัวเองเป็นฝ่ายเสรีนิยมของทุนนิยม เป็น “นายทุนที่มีจิตสำนึก” ต่างจากบริษัทน้ำมัน บริษัทค้าอาวุธหรือนักลงทุน Wall Street

แต่ภาพลวงตานั้นกำลังแตกสลายไปอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2024

ขณะนับถอยหลังสู่การเลือกตั้ง เงินทุนมหาศาลที่สนับสนุน Donald Trump และการเมืองขวาจัดกลับมาจากบุคคลสำคัญใน Silicon Valley เสียเอง

Paris Marx นักเขียนด้านเทคโนโลยีและผู้ดำเนินรายการพอดแคสต์ “Tech Won’t Save Us” แฉว่า บุคคลสำคัญในวงการไอทีได้หมุนเวียนสนับสนุนผู้สมัครต่างๆ ที่หวังจะเอาชนะ Joe Biden แต่สุดท้ายก็เข้ามาโอบกอด Trump อย่างเปิดเผย

Elon Musk พบ Trump ในเดือนมีนาคม David Sacks จัดงานระดมทุนให้เขาใน San Francisco และคนอื่นๆ อีกมากมายได้บริจาคเงินอย่างลับๆ ให้แคมเปญของเขา

การสนับสนุนยิ่งเปิดเผยชัดเจนหลังเหตุพยายามลอบสังหาร Trump เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2024 Musk ซึ่งเคยประกาศว่าจะไม่บริจาคให้ใคร กลับพลิกหน้ามือเป็นหลังมือสนับสนุน Trump และสัญญาจะบริจาค 45 ล้านดอลลาร์ต่อเดือนให้ Super PAC ที่หนุน Trump

นักลงทุนคนดังอย่าง Marc Andreessen และ Ben Horowitz ประกาศกร้าวว่าจะบริจาคช่วยผู้สมัครพรรครีพับลิกัน Joe Lonsdale, Shaun Maguire และฝาแฝด Winklevoss ก็ร่วมกับเขาด้วย

ปรากฏการณ์นี้ต้องได้รับความสนใจจริงจัง การที่ได้เห็นผู้เล่นบิ๊กเนมจากแวดวงเทคโนโลยีเหล่านี้เข้ามาหนุนการเมืองขวาจัดเป็นเรื่องน่าสะพรึงกลัวอย่างมาก

ตัวละครสำคัญอย่าง Peter Thiel และ Elon Musk พร้อมเงินมหาศาลและแพลตฟอร์มเทคโนโลยีที่พวกเขาควบคุมอยู่ มีอำนาจสูงมาก ๆ ในการผลักดันฝ่ายขวาสู่ชัยชนะ

สถานการณ์นี้ชวนให้นึกถึงการเลือกตั้งในเยอรมนีปี 1933 หรือช่วงสิ้นสุดยุค Reconstruction Period ในสหรัฐฯ ทศวรรษ 1870 เมื่ออนาคตของระบอบประชาธิปไตยกำลังถูกคุกคามโดย “โจรปล้นทรัพย์ดิจิทัล” แห่งศตวรรษที่ 21

Peter Thiel เป็นตัวอย่างชัดเจนของการใช้อำนาจเงินในการเมือง ในการเลือกตั้งปี 2016 เขาสนับสนุน Trump อย่างเปิดเผย พูดในงานประชุมพรรครีพับลิกันและบริจาคให้อย่างล้นหลาม

แต่ในการเลือกตั้ง 2024 Thiel ดูเหมือนจะวางตัวเงียบๆ ลับหลังมากขึ้น แต่อิทธิพลยังคงทำงานเต็มที่ โดยเฉพาะหลังการเลือก J.D. Vance เป็นรองประธานาธิบดีของ Trump

Vance เป็นเด็กในสังกัดของ Thiel โดยแท้ เขาได้รับเงินจำนวนมากจาก Thiel มาหลายปี และเป็นหนี้บุญคุณในอาชีพส่วนใหญ่ให้กับ “พี่ใหญ่” คนนี้

เรื่องเริ่มตอนที่ Vance เข้าสู่เครือข่ายของ Thiel ในปี 2016 เมื่อตีพิมพ์หนังสือขายดี “Hillbilly Elegy” และเริ่มทำงานที่ Mithril Capital ก่อนตั้งบริษัทร่วมทุนของตัวเองชื่อ Narya Capital โดยได้รับเงินทุน 100 ล้านดอลลาร์จาก Thiel และเครือข่าย

ตอน Vance ลงสมัครวุฒิสมาชิก เขาได้รับเงิน 15 ล้านดอลลาร์จาก Thiel ซึ่งเป็นเงินก้อนใหญ่สำหรับแคมเปญของเขา จนสามารถเอาชนะการเลือกตั้งได้สำเร็จ

มีรายงานว่า Trump ได้พบกับนักธุรกิจเทคโนโลยีชั้นนำก่อนเลือกรองประธานาธิบดี และคนเหล่านั้นแนะนำให้เลือก Vance เพราะต้องการให้เขาอยู่ในตำแหน่งในฐานะคนในเครือข่าย Silicon Valley

ในขณะที่ Thiel ทำงานลับหลัง David Sacks ซึ่งรู้จัก Thiel และ Musk มานานตั้งแต่สมัยร่วมกันก่อตั้ง PayPal มีบทบาทอย่างเปิดเผยในการสนับสนุน Trump โดยจัดงานระดมทุนและพูดที่งานประชุมพรรครีพับลิกัน

Elon Musk กลายเป็นกระบอกเสียงให้ Trump โดยเฉพาะหลังเหตุพยายามลอบสังหาร เขาได้บริจาคเงินสูงถึง 45 ล้านดอลลาร์ต่อเดือนให้กับ Super PAC สนับสนุน Trump

Musk ยังตั้ง America PAC โดยอ้างว่าจะช่วยลงทะเบียนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง แต่ความจริงเป็นวิธีเก็บข้อมูลคนโหวตในรัฐที่มีคะแนนสูสี ซึ่งกำลังถูกตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่รัฐ Michigan และ North Carolina

ปัจจัยสำคัญอีกอย่างคือบทบาทของโซเชียลมีเดีย Musk ในฐานะเจ้าของ Twitter (หรือ X) ได้เปลี่ยนแพลตฟอร์มเพื่อยกระดับเสียงฝ่ายขวา ปลดแบนคนขวาจัด และปรับอัลกอริทึมให้เห็นเนื้อหาฝ่ายขวามากขึ้น

แม้แต่ Mark Zuckerberg แห่ง Facebook ก็ถูก Trump อ้างว่าโทรบอกว่ากำลังสนับสนุนเขาโดยไม่ประกาศต่อสาธารณะ และเรียก Trump ว่าเป็น “badass” หลังเหตุลอบสังหาร

เบื้องหลังการสนับสนุนเหล่านี้มีอุดมการณ์น่ากลัว Peter Thiel เปิดเผยความคิดฝ่ายขวาจัดที่ต่อต้านประชาธิปไตยมาหลายปี

Thiel พูดตรงๆ ว่าเขาต่อต้านประชาธิปไตย เขามองว่าเป็นระบบที่แย่ แม้เขาเป็นเกย์ แต่กลับต่อต้านสิทธิ LGBTQ+ ต่อต้านสิทธิสตรี และสิทธิของชนกลุ่มน้อยอื่นๆ

ในสมัย Trump ยุคแรก Thiel ผลักดันให้ลดกฎระเบียบการแพทย์อย่างรุนแรง ลดอำนาจ FDA ในการควบคุมยา เพื่อให้บริษัทเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทได้ง่าย

แน่นอนว่าหลังจากที่ Trump กลับมาอีกครั้งภายใต้อิทธิพล Silicon Valley สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือเราจะได้เห็นรัฐที่เผด็จการมากขึ้น การลดสิทธิประชาธิปไตย ซึ่งท่าทีต่าง ๆ มันเริ่มปรากฎให้เห็นเด่นชัดขึ้นเรื่อย ๆ

มหาเศรษฐีเทคโนโลยีคนอื่นๆ อย่าง Musk, Andreessen และ Horowitz ต่างเรียกร้องการยกเลิกกฎระเบียบ อยากให้รัฐบาลทุ่มเงินไปที่เทคโนโลยีด้านการป้องกันประเทศ

พวกเขาอยากยุติการบังคับใช้กฎหมายต่อต้านการผูกขาด ไม่อยากเสียภาษีเพิ่ม และที่โหดร้ายสุดคือ ต้องการวางตัวเองเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาอำนาจสหรัฐฯ ในศตวรรษที่ 21

ถ้ามองทั้งสองฝั่งการเมือง แม้ฝ่ายรีพับลิกันจะได้แรงหนุนแบบเปิดเผยจากคนในวงการเทคโนโลยี แต่ฝั่งเดโมแครตก็ได้รับอิทธิพลจากอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเช่นกัน

เมื่อ Kamala Harris รับการเสนอชื่อแทน Biden เธอได้เพิ่มคนวงการเทคโนโลยีเข้าทีม เช่น Tony West พี่เขยของเธอซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายกฎหมายของ Uber และ David Plouffe อดีตผู้ช่วย Obama ที่เคยเป็นหัวหน้ากลยุทธ์ Uber

Harris มีผู้บริจาคเทคโนโลยีมากมาย เช่น Sheryl Sandberg อดีต COO ของ Facebook, Melinda French Gates, Reid Hoffman ผู้ร่วมก่อตั้ง LinkedIn และ Reed Hastings อดีตซีอีโอ Netflix

ที่น่าสนใจคือ Reid Hoffman และ Vinod Khosla เรียกร้องว่าหาก Harris ชนะ เธอควรปลด Lina Khan ออกจากตำแหน่งประธาน FTC เพื่อแลกกับการสนับสนุน ทั้งที่ Khan เป็นคนสำคัญที่ต่อสู้กับการผูกขาดและปกป้องผู้บริโภค

กลยุทธ์สำคัญที่ทำให้เหล่าผู้นำกลุ่มเทคโนโลยีสามารถผลักดันวาระการเมืองคือ “War on Wokeness” ซึ่งใช้โจมตีทุกอย่างที่พวกเขาไม่เห็นด้วย

การโจมตีนี้เป็นประโยชน์มากกับมหาเศรษฐี เพราะช่วยเบี่ยงเบนความสนใจจากความจริงที่ว่าปัญหาสังคมเกิดจากการกระจุกตัวของความมั่งคั่งในมือคนไม่กี่คน

การชี้นิ้วไปที่ผู้ลี้ภัย คนข้ามเพศ หรือชนกลุ่มน้อย ว่าเป็นต้นเหตุของปัญหา ช่วยให้พวกเขาไม่ต้องตอบคำถามว่าทำไมคนรวยจึงไม่ต้องจ่ายภาษีให้เหมาะสม

ตัวอย่างชัดเจนคือใน Texas ที่ Tesla ย้ายไปตั้งฐานผลิตภายใต้การนำของผู้ว่าฯ พรรครีพับลิกัน Greg Abbott ซึ่งใช้การเมืองฝ่ายขวาผลักดันนโยบายที่เอื้อธุรกิจใหญ่และริดรอนสิทธิประชาชน

เบื้องหลังทั้งหมดนี้คือปรัชญา Silicon Valley ที่มองเทคโนโลยีเป็นคำตอบของทุกปัญหา เมื่อเจอวิกฤตสภาพภูมิอากาศ วิกฤตที่อยู่อาศัย หรือปัญหาสังคม พวกเขาไม่มองว่าต้องแก้ผ่านกระบวนการทางการเมือง

พวกเขามองว่าเป็นปัญหาทางเทคโนโลยีที่ต้องแก้ด้วยนวัตกรรมใหม่จากบริษัทเอกชน พวกเขามีความเชื่อว่าการตัดสินใจสำคัญไม่ควรอยู่ในมือประชาชนหรือกระบวนการประชาธิปไตย

แนวคิดนี้นำไปสู่สังคมที่ประชาธิปไตยตกอยู่ในอันตราย สิทธิประชาชนถูกโจมตี และอำนาจรัฐในการควบคุมกำกับดูแลถูกลดทอนเพื่อให้แน่ใจว่ารัฐบาลไม่สามารถเอาผิดคนรวยได้

แม้อำนาจและความมั่งคั่งของ Silicon Valley จะดูมหาศาลจนยากจะต่อสู้ แต่ก็มีช่องทางต่อต้านอิทธิพลดังกล่าว การจัดตั้งสหภาพแรงงานในบริษัทเทคโนโลยีกำลังเติบโต

บริษัทเทคโนโลยีไม่มีภูมิคุ้มกันต่อการถูกตอบโต้กลับ ซึ่งเห็นได้จากความล้มเหลวของพวกเขาในการผลักดันสกุลเงินดิจิทัล และอาจเห็นฟองสบู่ AI แตกในอนาคตอันใกล้

การใช้อำนาจรัฐที่เหลืออยู่เป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ จะเห็นได้ว่าคนอย่าง Lina Khan ในตำแหน่งสำคัญสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ แม้ส่วนอื่นของรัฐบาลจะต่อต้านก็ตาม

Silicon Valley ก่อร่างสร้างตัวได้จากเงินรัฐบาลมาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองและสงครามเย็น ในยุคอินเทอร์เน็ต รัฐบาล Clinton, Bush และ Obama ต่างเป็นมิตรกับพวกเขา

สิ่งที่เราเห็นตอนนี้คือ อุตสาหกรรมเทคโนโลยีพยายามเข้ามาควบคุมรัฐบาลอย่างเปิดเผยมากขึ้นเพื่อให้รัฐบาลรับใช้ผลประโยชน์ของพวกเขา ผ่านการล็อบบี้และการบริจาคให้ทั้งสองพรรค

พวกเขาทำให้การแข่งขันทางภูมิศาสตร์การเมืองกับจีนถูกมองว่าเป็นการแข่งขันด้านเทคโนโลยี ซึ่งหมายถึงรัฐบาลต้องปกป้องบริษัทอเมริกันและส่งเงินหลายพันล้านไปยัง Silicon Valley

ตอนนี้พวกเขากำลังทำให้ตัวเองเป็นกุญแจสำคัญต่ออำนาจทางภูมิศาสตร์การเมืองของอเมริกา ทำให้ยากขึ้นที่จะควบคุมอำนาจของพวกเขาได้ ดั่งที่เราได้เห็นภาพชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ในทุกวันนี้นั่นเองครับผม