Geek Story EP303 : Apple ที่กำลังกลายเป็น IBM เมื่อการตลาดเอาชนะนวัตกรรม วงจรอุบาทว์ของบริษัทที่สำเร็จมากเกินไป

โลกของการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม มีรูปแบบที่น่าสนใจปรากฏขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในประวัติศาสตร์ของบริษัทยักษ์ใหญ่ นั่นคือวงจรแห่งความสำเร็จที่นำไปสู่การผูกขาดตลาด และต่อมากลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเสื่อมถอย เรื่องราวนี้ไม่ใช่เพียงแค่เกิดขึ้นกับ Apple แต่ยังเกิดขึ้นกับบริษัทอื่นๆ ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่ผ่านมา เช่น IBM, Xerox และ Microsoft ในยุค 90

จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้สามารถย้อนกลับไปที่กรณีของ John Scully ผู้บริหารที่มาจาก PepsiCo ซึ่งเป็นบริษัทที่มีการเปลี่ยนแปลงผลิตภัณฑ์อย่างจำกัด เพียงประมาณหนึ่งครั้งในทุก 10 ปี และส่วนใหญ่การเปลี่ยนแปลงนั้นก็เป็นเพียงแค่ “ขนาดขวดใหม่” เท่านั้น ซึ่งทำให้คนที่ทำงานด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในบริษัทเช่นนี้ แทบไม่มีโอกาสเปลี่ยนแปลงทิศทางของบริษัทได้มากนัก

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/84sak79y

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/2uc77kjp

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/57mfspjn

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/fy9ZZZw21OI

ทำไม Apple รอด แต่ Samsung ร่วง เมื่อการเมืองปะทะธุรกิจ เบื้องหลังสงครามสมาร์ทโฟนในแดนมังกร

ต้นปี 2024 วงการสมาร์ทโฟนเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ไม่มีใครคาดคิด Apple ทำยอดขาย iPhone พุ่งทะยานถึง 228 ล้านเครื่อง แซงหน้า Samsung ที่ทำได้แค่ 224 ล้านเครื่อง หลังจากที่ Samsung ครองบัลลังก์มานานกว่าสิบปี

นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์จากการวางแผนระยะยาวของ Apple ที่ประสบความสำเร็จในการบุกตลาดจีน ในขณะที่ Samsung กลับพบกับความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในแดนมังกร

มาดูกันว่าทำไม Apple ถึงประสบความสำเร็จในประเทศจีน แต่ Samsung กลับเละเทะจนแทบไม่เหลือซาก ทั้งๆ ที่ทั้งสองบริษัทนี้เป็นยักษ์ใหญ่ระดับโลกเหมือนกัน

เรื่องราวเริ่มต้นในปี 2007 เมื่อ Steve Jobs เปิดตัว iPhone รุ่นแรก ที่กลายเป็นสินค้าฮิตติดลมบนในอเมริกา สองปีต่อมา Apple ก็นำ iPhone บุกตลาดจีนที่มีชนชั้นกลางเติบโตรวดเร็วและมีกำลังซื้อมากโข

ในปี 2010 Samsung ก็ไม่น้อยหน้า เปิดตัว Galaxy S เพื่อมาท้าชน iPhone โดยตรง Samsung มีความได้เปรียบตรงที่ทำธุรกิจในจีนมาตั้งแต่ปลายยุค 90 มีร้านค้าและฐานลูกค้าอยู่แล้ว

ช่วงต้นยุค 2010 ตลาดสมาร์ทโฟนจีนยังมีแบรนด์ท้องถิ่นไม่กี่เจ้า อย่าง ZTE กับ Coolpad ที่เน้นตลาดล่าง ทำให้ Apple และ Samsung ครองตลาดบนได้อย่างสบาย แบบไร้คู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อ

ปี 2013 เป็นปีทองของ Samsung ในจีน ทำยอดขายพุ่งกระฉูดถึง 61 ล้านเครื่อง ครองส่วนแบ่งตลาด 18% ขณะที่ Apple ขายได้ 36 ล้านเครื่อง คิดเป็นส่วนแบ่ง 11% Samsung ดูเหมือนจะก้าวไกลกว่า Apple อย่างชัดเจน

สิ่งที่น่าสนใจคือ Apple เลือกผลิต iPhone เกือบทั้งหมดในจีน ผ่าน Foxconn ที่จ้างพนักงานเป็นแสนคน สร้างการจ้างงานมหาศาลและสร้างห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่งในจีน

Samsung กลับใช้กลยุทธ์ต่างกัน โดยกระจายการผลิตไปหลายประเทศ เช่น เวียดนาม อินเดีย และบราซิล โรงงานในจีนของพวกเขามีขนาดเล็กกว่ามาก และผลิตเพื่อขายในจีนเท่านั้น

ห่วงโซ่อุปทานที่ Apple สร้างขึ้นในจีนกลับกลายเป็นดาบสองคม เมื่อบริษัทจีนอย่าง Huawei, Xiaomi, Oppo และ Vivo เริ่มใช้ประโยชน์จากมันเพื่อผลิตสมาร์ทโฟนของตัวเอง

แบรนด์จีนเหล่านี้เริ่มจากตลาดล่าง แต่ด้วยความโชกโชนในการเข้าใจผู้บริโภคท้องถิ่น และการลงทุนวิจัยและพัฒนา พวกเขาค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นมาแข่งในตลาดบน

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นต้นปี 2017 เมื่อสหรัฐฯ ติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธ THAAD ในเกาหลีใต้ สร้างความไม่พอใจให้รัฐบาลจีนอย่างมาก เพราะระบบนี้มีเรดาร์ที่อาจตรวจจับเป้าหมายในจีนได้

จีนตอบโต้ด้วยการรณรงค์คว่ำบาตรสินค้าเกาหลีใต้ ส่งผลให้ยอดขาย Samsung ดิ่งลงเหวแบบฉุดไม่อยู่ จนต้องปิดโรงงานทั้งหมดในจีนเมื่อปี 2019

แต่เรื่องแปลกคือ Apple กลับไม่โดนคว่ำบาตรเลย ทั้งๆ ที่เป็นบริษัทอเมริกัน และสหรัฐฯ เป็นประเทศที่ส่ง THAAD ไปติดตั้งในเกาหลีใต้ เหตุผลมาจากความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ Apple สร้างกับจีน

Apple สร้างการจ้างงานในจีนทั้งทางตรงและทางอ้อมถึง 4.8 ล้านตำแหน่ง เทียบกับ Samsung ที่จ้างพนักงานในจีนเพียง 60,000 คนในช่วงที่รุ่งเรืองที่สุด นี่คือเหตุผลหลักที่จีนไม่กล้าแตะ Apple

หากจีนคว่ำบาตร Apple เหมือน Samsung ผลกระทบทางเศรษฐกิจจะรุนแรงกว่ามากเพราะ Apple ใช้จีนเป็นฐานผลิตส่งออกไปทั่วโลก การสูญเสียการจ้างงานและรายได้จากการส่งออกจะกระทบเศรษฐกิจจีนอย่างหนัก

ปัจจุบัน ตลาดสมาร์ทโฟนจีนแข่งขันเข้มข้นมากขึ้น แบรนด์จีนสามารถผลิตมือถือเรือธงคุณภาพสูงในราคาที่ถูกกว่า Apple และ Samsung อย่างมาก

Huawei Mate 70 มีราคา 730 ดอลลาร์ Xiaomi 14 ราคา 600 ดอลลาร์ Oppo Find X7 ราคา 550 ดอลลาร์ และ Vivo X100 ราคา 400 ดอลลาร์ ในขณะที่ iPhone 16 และ Samsung Galaxy S24 เริ่มต้นที่ 823 ดอลลาร์

แต่การแข่งขันไม่ได้อยู่ที่ฮาร์ดแวร์และราคาเพียงอย่างเดียว ระบบนิเวศซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชันก็สำคัญไม่แพ้กัน นี่คือจุดที่ Apple มีความเทพอย่างชัดเจน

ในจีน บริการของ Google ถูกแบน ทำให้โทรศัพท์ Android ต้องปรับตัวอย่างมาก Samsung พยายามพัฒนาแอปสโตร์และบริการของตัวเองสำหรับตลาดจีน แต่ทำได้ไม่ดี เพราะขาดประสบการณ์ด้านซอฟต์แวร์

Apple ตกลงที่จะปฏิบัติตามกฎการเซ็นเซอร์ของจีนตั้งแต่แรก ทำให้ App Store ของพวกเขาสามารถใช้งานได้ในจีน แม้จะมีแอปน้อยกว่าในประเทศอื่นก็ตาม แต่ก็ยังให้ประสบการณ์ที่ดีกว่าคู่แข่ง

ความท้าทายล่าสุดมาจากการที่จีนเริ่มพัฒนาชิปเซ็ตของตัวเอง หลังจากสหรัฐฯ คว่ำบาตร Huawei SMIC ผู้ผลิตชิปของจีนพัฒนาเทคโนโลยีจนสามารถผลิตชิปสำหรับมือถือ 5G ได้แล้ว

การพัฒนานี้อาจส่งผลกระทบต่อ Apple ในระยะยาว แต่จุดแข็งด้านแบรนด์และระบบนิเวศที่แข็งแกร่งของ Apple น่าจะยังช่วยให้พวกเขารักษาตำแหน่งในตลาดจีนได้อีกนาน

ความสำเร็จของ Apple และความล้มเหลวของ Samsung ในจีนให้บทเรียนสำคัญหลายอย่าง

บทเรียนแรกคือการสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้นกับตลาดเป้าหมายสำคัญมาก Apple ผูกพันตัวเองกับเศรษฐกิจจีนผ่านการผลิตและห่วงโซ่อุปทาน ทำให้ผลประโยชน์ของบริษัทเชื่อมโยงกับผลประโยชน์ของจีนจนแยกไม่ออก

บทเรียนที่สองคือการพึ่งพาเพียงความแข็งแกร่งด้านฮาร์ดแวร์ไม่พอ Samsung มีความเชี่ยวชาญในการผลิตสมาร์ทโฟนคุณภาพสูง แต่ล้มเหลวในการพัฒนาระบบนิเวศซอฟต์แวร์ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ชาวจีน

บทเรียนสุดท้ายคือการปรับตัวให้เข้ากับบริบทท้องถิ่นมีความสำคัญ Apple ยอมทำตามกฎของจีนและปรับบริการให้เข้ากับความต้องการของตลาด ในขณะที่ยังรักษามาตรฐานและเอกลักษณ์ของแบรนด์ไว้ได้

ความสำเร็จในตลาดที่ซับซ้อนอย่างจีนไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณภาพสินค้าเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงความเข้าใจในบริบททางธุรกิจ การเมือง และวัฒนธรรม การที่ Apple ยืนหยัดในตลาดจีนได้ ในขณะที่ Samsung ล้มเหลว สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการมองภาพรวมทางธุรกิจที่กว้างกว่าเพียงแค่การขายสินค้านั่นเองครับผม

Geek Talk EP69 : JD Vance หุ่นเชิด Silicon Valley? เปิดโปงแผนร้ายมหาเศรษฐีเทคโนโลยีที่กุมอำนาจการเมืองโลก

หากย้อนกลับไปเพียงไม่กี่ปี Silicon Valley มักถูกมองว่าเป็นแหล่งรวมของความคิดก้าวหน้าและนวัตกรรมที่จะเปลี่ยนโลก พวกเขาวาดภาพตัวเองในฐานะฝ่ายเสรีนิยมของทุนนิยมที่มีจิตสำนึกมากกว่าบริษัทน้ำมันหรือนักลงทุนจาก Wall Street โดยทั่วไป

แต่ภาพลักษณ์ดังกล่าวกำลังถูกเปิดโปงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาปี 2024

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/2vj8r4w4

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/cwy2b2zx

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/wbf5r5jb

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/qCLkuJjSN_0

ทำไม Spotify เพิ่งทำกำไร? บทเรียนจากการเปลี่ยนโลกที่ไม่สมบูรณ์ Streaming VS ค่ายเพลง สงครามที่ไม่มีผู้ชนะ

จะว่าไปแล้ว มีบริษัทไม่กี่แห่งที่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงแบบพลิกโลกได้เหมือนกับ Spotify ที่เข้ามาปฏิวัติวงการดนตรีได้แบบเจ๋งมาก ๆ

ก่อนหน้านี้ พวกเราต้องควักกระเป๋าซื้อเพลงทีละเพลง แต่ Spotify เปลี่ยนเกมด้วยการให้จ่ายรายเดือนเพื่อฟังเพลงได้แบบไม่อั้น ไม่จำกัด ความเทพของแนวคิดนี้ทำให้ Spotify พุ่งทะยานกลายเป็นราชาแห่งวงการสตรีมมิ่งเพลงไปในเวลาอันรวดเร็ว

ตอนที่ Spotify เข้ามา อุตสาหกรรมดนตรีกำลังเละเทะจากปัญหาละเมิดลิขสิทธิ์ผ่านเว็บแชร์ไฟล์แบบ The Pirate Bay ค่ายเพลงพยายามฟ้องร้องคดีมากมาย แต่ก็หยุดเหล่าแฮกเกอร์ไม่ได้

Apple พยายามแก้ปัญหาด้วย iTunes Store ขายเพลงราคา 99 เซนต์ แต่มันก็ยังไม่ตอบโจทย์คนที่อยากฟังเพลงแบบจัดเต็ม

ตรงนี้เองที่ Daniel Ek หนุ่มสวีเดนวัย 23 ปี ได้มองเห็นโอกาสทอง เขาเป็นเด็กอัจฉริยะที่เริ่มเขียนโค้ดตั้งแต่อายุ 13 และสร้างธุรกิจแรกตอนอายุแค่ 14 ปี ด้วยการรับทำเว็บไซต์

สวีเดนเป็นดินแดนที่โดดเด่นสำหรับนวัตกรรมเทคโนโลยี เป็นบ้านเกิดของบริษัทอย่าง Skype ที่ปฏิวัติการสื่อสารทางไกล และ Klarna ที่กำลังเติบโตในวงการฟินเทค

Ek มองว่าปัญหาไม่ใช่ที่คนไม่อยากจ่ายเงิน แต่เป็นเพราะบริการที่มีอยู่นั้นไม่ตอบโจทย์ ถ้าสร้างแพลตฟอร์มที่ให้คนเข้าถึงเพลงได้ง่ายและเร็ว คนก็พร้อมจะควักกระเป๋า

แนวคิดของ Spotify นั้นเรียบง่าย: จ่ายรายเดือน ฟังได้ไม่อั้น ความเจ๋งของ Ek คือการพัฒนาเทคโนโลยีให้การสตรีมมิ่งทำได้แบบลื่นไหล ไม่กระตุก ไม่ต้องรอบัฟเฟอร์ให้น่ารำคาญ

ตัวเลขความสำเร็จของ Spotify พุ่งกระฉูดแบบฉุดไม่อยู่ จากไม่กี่แสนคนในช่วงเริ่มต้น มาเป็น 574 ล้านคนในปี 2023 มีคนยอมจ่ายเงินถึง 236 ล้านคน ส่งผลให้บริษัทมีรายได้มหาศาลถึง 13.2 พันล้านยูโร

แต่เบื้องหลังความสำเร็จของ Spotify ซ่อนปัญหาใหญ่ที่ทำให้หลายคนคาดไม่ถึง นั่นคือการขาดทุนอย่างต่อเนื่อง ปี 2023 ขาดทุนไปมากกว่า 532 ล้านยูโร และเพิ่งจะมาทำกำไรได้ในปี 2024 นี่เอง

ปัญหาเริ่มต้นจากโมเดลธุรกิจที่ Ek วางไว้ตั้งแต่แรก เขามาจากธุรกิจโฆษณาและมั่นใจในพลังเทคโนโลยีเหลือเกิน จนลืมนึกถึงความลึกลับซับซ้อนของอุตสาหกรรมเพลง

โมเดลธุรกิจดูเรียบง่าย: เก็บเงินรายเดือนจากสมาชิก + โฆษณา แล้วแบ่งให้ศิลปินและค่ายเพลงตามจำนวนการสตรีม แต่เมื่อดูตัวเลขปี 2023 พบว่าจากรายได้ทุก 1 ยูโร ต้องจ่ายไปถึง 75 เซนต์เป็นค่าลิขสิทธิ์ เหลือแค่ 25 เซนต์สำหรับค่าใช้จ่ายทั้งหมด ซึ่งมันเป็นโมเดลธุรกิจที่ไม่เข้าท่าเลย

จุดบอดของ Ek คือคิดว่าเรื่องลิขสิทธิ์เป็นเรื่องง่าย ตอนแรกยังคิดจะไปจ่ายผ่านหน่วยงานของสวีเดนเหมือนที่วิทยุทำ แต่ความจริงต้องไปเจรจากับลูกพี่ใหญ่วงในการค่ายเพลงยักษ์โดยตรง

อุตสาหกรรมเพลงถูกครอบงำโดยลูกพี่ใหญ่สามรายใหญ่ คือ Sony Music, Warner Music Group และ Universal Music Group ที่ควบคุมตลาดเกือบ 70% อำนาจต่อรองโหดเหี้ยมมาก เพราะพวกเขาถือลิขสิทธิ์เพลงมากมายมหาศาล

Spotify ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์แพงลิบ จ่ายเงินก้อนใหญ่ล่วงหน้า และต้องยอมมอบหุ้นให้ค่ายเพลงเหล่านี้ เพราะกลัวว่าพวกเขาจะไม่อนุญาตให้ใช้เพลง

ยิ่งไปกว่านั้น สัญญาเป็นแบบระยะสั้น ต้องต่อรองใหม่ทุก 2-3 ปี ทำให้ค่ายเพลงมีอำนาจต่อรองเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามการเติบโตของ Spotify เพราะหากตกลงกันไม่ได้ อาจสูญเสียเพลงเป็นจำนวนมาก

โมเดลการจ่ายแบบนี้ทำให้ค่ายเพลงได้เงินมากกว่าศิลปิน จนศิลปินดังๆ อย่าง Taylor Swift เคยถอนเพลงทั้งหมดออกจาก Spotify ในปี 2014 เพื่อประท้วงค่าตอบแทนที่น้อยนิด

สถานการณ์แย่ลงไปอีกเมื่อยักษ์ใหญ่อย่าง Apple และ Amazon เข้ามาในตลาด พวกเขามีเงินมากกว่า สามารถขาดทุนเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาด และมีธุรกิจอื่นหนุนหลัง

Apple มีจุดแข็งพิเศษเพราะมีความสัมพันธ์โชกโชนกับวงการเพลงผ่าน iTunes และการซื้อ Beats ของ Jimmy Iovine ผู้เชี่ยวชาญในวงการเพลง ทำให้เข้าใจความต้องการศิลปินได้มากกว่า Spotify เยอะ

Spotify มีทางเลือกสามทางในการกู้วิกฤตขาดทุน แต่ทุกทางล้วนเป็นงานโหดหินทั้งนั้นทั้งนั้น

ทางแรก ลดค่าลิขสิทธิ์ที่จ่ายให้ค่ายเพลง แต่ทำได้ยากมากเพราะอำนาจต่อรองแทบจะน้อยมาก ๆ ลองคิดดู ถ้า Universal Music Group โกรธจัดถอนคลังเพลงออก เพลงของ Taylor Swift, Drake, The Weeknd ก็หายเข้ากลีบเมฆ ผู้ใช้ก็จะหนีไปหาคู่แข่งทันที

ทางที่สอง ขึ้นราคาค่าสมาชิก แค่เพิ่มรายได้ 20% ก็อาจทำให้มีกำไรได้ แต่ก็ทำได้ยากเพราะการแข่งขันที่โหดหิน บริการสตรีมมิ่งแทบทุกรายมีคลังเพลงคล้ายกัน ผู้ใช้เปลี่ยนใจไปใช้บริการอื่นได้ง่ายมาก

คู่แข่งอย่าง Apple Music และ Amazon Music ได้เปรียบตรงที่รวมบริการสตรีมมิ่งเข้ากับบริการอื่นๆ Apple One รวม Apple Music กับ Apple TV+, Apple Arcade และ iCloud ส่วน Amazon ก็ยัดรวม Amazon Music กับแพ็กเกจ Prime

ทางสุดท้ายที่ Spotify กำลังทำอยู่คือขยายธุรกิจไปสู่ตลาดใหม่ในด้านเสียง Ek ประกาศวิสัยทัศน์จะทำให้ Spotify เป็นบริษัทด้านเสียงที่ครอบคลุมทั้งหนังสือเสียง การศึกษา กีฬา และข่าวสาร

Spotify อัดฉีดเงินกว่า 1 พันล้านยูโรในธุรกิจพอดแคสต์ ดึงคนดังอย่าง Joe Rogan, Michelle Obama, Kim Kardashian มาร่วมงาน หวังว่าคอนเทนต์พิเศษเหล่านี้จะช่วยดึงดูดผู้ใช้ใหม่และรักษาฐานเดิม

แต่ผลลัพธ์ก็ยังไม่ชัดเจน หลายโครงการยังไม่สร้างกำไรตามคาด บางคนดังก็เลิกร่วมงาน และยังมีการแข่งขันจากผู้เล่นรายใหญ่อย่าง Apple Podcasts และ YouTube ที่จัดเต็มไม่แพ้กัน

เรื่องราวของ Spotify เป็นบทเรียนสำหรับผู้ประกอบการยุคดิจิทัล แม้จะมีเทคโนโลยีสุดล้ำ ผลิตภัณฑ์ที่คนถวิลหา และการเติบโตที่น่าทึ่ง แต่โมเดลธุรกิจที่ไม่สมดุลตั้งแต่เริ่มต้นก็ทำให้ต้องเจ็บปวดในระยะยาว

Daniel Ek ประสบความสำเร็จในการสร้างบริษัทมูลค่าหลายพันล้านและเปลี่ยนแปลงวิธีที่คนฟังเพลง แต่การมองข้ามความซับซ้อนของอุตสาหกรรมและพลังต่อรองของพี่ใหญ่ในวงการ ทำให้ Spotify ต้องเผชิญความท้าทายที่แก้ไขได้ยากยิ่ง

อนาคตของ Spotify ยังเป็นเรื่องน่าติดตาม การปรับตัวในการรับมือกับความท้าทาย และความสำเร็จของกลยุทธ์ขยายธุรกิจ จะเป็นตัวชี้วัดว่าพวกเขาจะรักษาตำแหน่งผู้นำและสร้างความยั่งยืนได้หรือไม่

ที่สำคัญ ความสำเร็จหรือความล้มเหลวของ Spotify จะส่งผลกระทบต่ออนาคตของอุตสาหกรรมดนตรีทั้งหมด รวมถึงวิธีที่ศิลปินสร้างรายได้และการเข้าถึงเพลงของผู้ฟังทั่วโลก

Spotify พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสตรีมมิ่งคือรูปแบบการฟังเพลงที่ผู้คนหมายปอง แม้จะยังต้องหาทางทำให้ระบบนี้ยั่งยืนสำหรับทุกฝ่ายต่อไปก็ตาม บางทีนี่อาจเป็นการปฏิวัติครั้งสำคัญของอุตสาหกรรมดนตรียุคใหม่ที่ต้องหาจุดสมดุลใหม่ให้เข้ารูปเข้ารอยกว่าที่เป็นมา

ทำไมจีนถึงสั่งแบนกวดวิชา? ระเบิดเวลาในระบบการศึกษาจีน เมื่อความเท่าเทียมกลายเป็นแค่ความฝัน

ลองจินตนาการชีวิตเด็กวัย 12 ปี ตื่นนอนตั้งแต่ตี 5 ครึ่ง รีบคว้าอาหารเช้าติดมือระหว่างเดินทางไปโรงเรียน พอไปถึงก็ต้องออกกำลังกายแบบทหารครึ่งชั่วโมง ก่อนเริ่มเรียนตั้งแต่ 7 โมงเช้า

วันทั้งวันต้องนั่งนิ่งๆ ตอบคำถามเมื่อถูกถาม ท่องจำตัวอักษรและข้อเท็จจริงมากมาย เรียนไปจนถึง 5 โมงเย็นกว่า แต่ชีวิตยังไม่จบแค่นั้น หลังกินข้าวเย็นอย่างเร่งรีบ ก็ต้องรีบไปเรียนพิเศษต่อ

เรียนพิเศษจนถึง 3-4 ทุ่ม บางทีก็ดึกถึงเที่ยงคืน กว่าจะได้นอนก็ตีหนึ่ง ตื่นมาก็ต้องทำซ้ำแบบนี้ทุกวัน นี่คือชีวิตสุดโหดของเด็กจีนนับล้านคน ที่โดนบีบให้ต้องแข่งขันกันอย่างเข้มข้น จนบางคนแทบจะบ้าอยากหนีออกจากวงจรนี้

แล้วทำไมต้องเรียนหนักขนาดนี้? ก็เพราะถ้าไม่เรียนพิเศษ เด็กจะไม่ได้เข้าห้อง “พิเศษ” ที่มีครู “เทพ” สอน ถ้าไม่ได้เรียนกับครูเทพ ก็จะทำข้อสอบเข้ามัธยมปลายไม่ได้ ถ้าสอบเข้ามัธยมดีๆ ไม่ติด ก็จะไม่มีทางสอบเข้ามหาวิทยาลัยดังได้

และถ้าไม่ได้เข้ามหาวิทยาลัยดัง ชีวิตก็จะตกต่ำสิ้นไร้ไม้ตอก ไม่มีงานออฟฟิศดีๆ ไม่มีบ้าน ไม่ได้แต่งงาน… ชะตาชีวิตของเด็กถูกขีดเขียนไว้แล้วตั้งแต่อายุ 12 ปี

คนที่ได้ประโยชน์จากความโหดร้ายนี้คือบริษัทกวดวิชา ที่เติบโตแบบพุ่งกระฉูดขึ้นสี่เท่าระหว่างปี 2012 ถึง 2018 ทั้งที่จำนวนนักเรียนเท่าเดิม ช่วงที่เนื้อหอมที่สุด มีสถาบันกวดวิชาในประเทศเกือบเท่ากับจำนวนโรงเรียน

จนกระทั่งคืนวันเสาร์หนึ่งในปี 2021 รัฐบาลจีนตัดสินใจยุติเรื่องนี้ ด้วยการลงนามเพียงครั้งเดียว อุตสาหกรรมมูลค่า 120 พันล้านดอลลาร์ต่อปีก็ถูกทำลายล้างเกือบจะในชั่วข้ามคืน

ศูนย์กวดวิชา 120,000 แห่งถูกสั่งปิดถาวร พนักงานแสนคนตกงานกะทันหัน ห้างสรรพสินค้า ถนน และย่านต่างๆ เปลี่ยนแปลงไป ราวกับว่า McDonald’s, Subway และ Starbucks ทั้งหมดหายไปพร้อมกัน

โรงเรียนเอกชนนับพันถูกบังคับขายให้รัฐ การบ้านบางส่วนถูกสั่งห้าม ชาวต่างชาติถูกห้ามทำงานในวงการนี้ บริษัทใหญ่แห่งหนึ่งต้องปลดพนักงานถึง 60,000 คน

ทำไมรัฐบาลถึงจัดหนักขนาดนี้? ทั้งที่การว่างงานของคนหนุ่มสาวพุ่งสูงถึง 20% และธุรกิจกวดวิชาเป็นนายจ้างรายใหญ่ของบัณฑิตจบใหม่

ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องอุดมการณ์ รัฐบาลสูญเสียการควบคุมการศึกษา เมื่อไม่กี่ทศวรรษก่อน ติวเตอร์ถูกห้ามดำเนินการในรูปแบบธุรกิจ แต่ตอนนี้ พวกเขาจดทะเบียนในตลาดหุ้นนิวยอร์ก คนอเมริกันสอนเด็กจีนผ่านอินเทอร์เน็ต

ในช่วงเวลาเดียวกัน รัฐบาลจีนก็กำลังจัดการกับบริษัทเทคโนโลยี เกม และคนดัง เพื่อย้ายอำนาจจากภาคเอกชนกลับมาสู่รัฐ

แต่นี่ไม่ใช่แค่เรื่องอุดมการณ์หรืออำนาจ ปักกิ่งกำลังแก้ปัญหาสังคมจริงๆ การกวดวิชากลายเป็นการแข่งขันแบบที่ทุกคนต้องเข้าร่วม แต่ไม่มีใครชนะจริงๆ

วันหยุดสุดสัปดาห์ วันหยุด และฤดูร้อน ทุกช่วงเวลาว่างของเด็กถูกยัดเยียดด้วยการเรียนพิเศษ นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายยังสูงลิบ ครอบครัวในเมืองโดยเฉลี่ยใช้จ่าย 12% ของรายได้ไปกับการกวดวิชา ซึ่งมากกว่ารายได้ทั้งหมดของครอบครัวในชนบท

ในบางส่วนของเซี่ยงไฮ้ ครอบครัวเฉลี่ยจ่ายถึง 80,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อการศึกษาเสริมก่อนเด็กจะถึงมัธยมปลาย ไม่แปลกที่ไม่มีใครอยากมีลูก ในเจ็ดปีที่ผ่านมา อัตราการเกิดของจีนดิ่งลงจากสูงกว่าสหรัฐฯ เล็กน้อย กลายเป็นหนึ่งในประเทศที่ต่ำที่สุดในโลก

แต่การปราบปรามกลับไม่ได้ผลอย่างที่คิด ก่อนที่หมึกบนคำสั่งจะแห้ง ผู้ปกครองก็หาทางหลบเลี่ยงแล้ว ติวเตอร์แอบสอนในโรงแรม ห้องสมุด หรือบ้านส่วนตัว

บางคนเปลี่ยนชื่อคลาส “ภาษาอังกฤษ” เป็น “การพูดในที่สาธารณะ” บางคนโฆษณาตัวเองเป็น “พี่เลี้ยงมืออาชีพ” ที่บังเอิญมีปริญญาวิศวกรรมขั้นสูง

ที่แย่กว่าคือ การกวดวิชาไม่ได้หายไป แต่แพงขึ้นมาก ก่อนหน้านี้ ติวเตอร์สอนนักเรียนได้ครั้งละหลายสิบหรือร้อยคน แต่ตอนนี้ต้องสอนแบบตัวต่อตัวเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ ทำให้ค่าเรียนพุ่งสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด

ผู้ปกครองรายได้น้อยและปานกลางไม่เพียงถูกตัดออกจากตลาด แต่ยังขาดเวลาและเครือข่ายในการหาติวเตอร์ส่วนตัวด้วย สรุปคือ การปราบปรามมีผลตรงข้าม ทำให้ความเหลื่อมล้ำยิ่งกว้างขึ้น

ปัญหานี้สะท้อนความท้าทายใหญ่กว่าในสังคมจีน จีนเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำมากที่สุดในโลก มีคนราว 600 ล้านคนที่มีรายได้เพียง 1,900 ดอลลาร์ต่อปี ชีวิตของพวกเขาคล้ายคนใน Haiti หรือ Nigeria มากกว่าเพื่อนร่วมชาติ

ในขณะที่คนอีกกลุ่มมีชีวิตสบายเทียบเท่าหรือดีกว่าคนอเมริกัน เป็นเจ้าของบ้านหลายล้าน เดินทางไปทั่วโลก อาศัยในเมืองที่สะอาด ทันสมัย และปลอดภัยอย่างน่าทึ่ง

แล้วประเทศจะรักษาความสมานฉันท์ระหว่างสองโลกนี้ได้อย่างไร? คำตอบคือระบบคุณธรรม (meritocracy) ที่ทำให้ทั้งคนรวยและคนจนเชื่อว่าทุกคนได้รับสิ่งที่พวกเขาควรได้รับตามความสามารถ

รากฐานของความเชื่อนี้คือการสอบ Gaokao ซึ่งเป็นตัวกำหนดผู้ชนะและผู้แพ้ทางเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากนายจ้างจีนสนใจแค่ว่าคุณจบจากมหาวิทยาลัยไหน ไม่ใช่เกรดที่คุณได้

แต่ความจริงก็คือ ระบบนี้ไม่ได้ยุติธรรมเลย ที่มหาวิทยาลัย Tsinghua (MIT ของจีน) ผู้สมัครจากปักกิ่ง 22 ล้านคน ได้รับคัดเลือกมากกว่าผู้สมัครจากสองจังหวัดที่มีประชากรรวม 228 ล้านคน

จากการสำรวจนักศึกษา 20,000 คน มีเพียง 42 คน (0.21%) ที่เป็นผู้หญิงจากชนกลุ่มน้อยในพื้นที่ชนบทยากจน ความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดอยู่ภายในจังหวัดเดียวกัน โรงเรียน “ท็อป” ในจังหวัดยากจนส่งนักเรียน 95% เข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำ ขณะที่โรงเรียน “แย่” ในจังหวัดรวยส่งได้แค่ 2%

พรรคคอมมิวนิสต์จีนพยายามปกปิดตัวเลขเหล่านี้ รักษาภาพลวงของความยุติธรรม แต่ธุรกิจกวดวิชากลับโลภเกินไป สิ่งที่เริ่มต้นเป็นบริการช่วยเหลือนักเรียนที่เรียนตามไม่ทัน ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นธุรกิจซับซ้อน ไร้การควบคุม และเชิงพาณิชย์สุดๆ

ยุคที่เด็ก 17 สอนเรขาคณิตให้เด็ก 13 ที่โต๊ะในครัวผ่านไปแล้ว ตอนนี้พนักงานขายมืออาชีพกำลังโน้มน้าวพ่อแม่ที่สิ้นหวังให้ซื้อหลักสูตร “ความมั่นใจในการสอบ” ราคาแพงลิบ สอนโดยติวเตอร์ดังในห้องเรียนขนาด 300 คน

เหมือนธุรกิจทั่วไป พวกเขาขายสิ่งที่ลูกค้าต้องการ – ทางลัดในการสอบ กลยุทธ์ เคล็ดลับ และ “เทคนิค” ต่างๆ เพื่อ “แฮก” Gaokao ให้ได้ผล

แต่ในการทำเช่นนั้น พวกเขาทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของการสอบ ซึ่งเข้าใกล้การตั้งคำถามต่อ “ระบบ” โดยรวม จนรัฐบาลต้องลงมือจัดการ

บทเรียนสำคัญคือ แม้แต่รัฐบาลที่มีอำนาจมากที่สุดก็ไม่สามารถเอาชนะพลังของพ่อแม่ที่ต้องการช่วยเหลือลูกได้ ตราบใดที่ “ความสำเร็จ” ถูกนิยามแคบๆ ว่าเป็นการได้คะแนนสูงใน Gaokao ผู้ปกครองจะทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยลูก – ไม่ว่าจะผิดกฎหมายหรือไม่

ไม่มีรัฐบาลใด – แม้แต่รัฐบาลจีนที่โครตโหด – สามารถโน้มน้าวพ่อแม่ไม่ให้ช่วยลูกได้ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ประวัติศาสตร์การปฏิรูปการศึกษาเล่าเรื่องเดียวกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในทุกประเทศ ทุกวัฒนธรรม

แล้วทำไมรัฐบาลยังเพิกเฉยต่อบทเรียนนี้? เพราะพวกเขาไม่สามารถหรือไม่เต็มใจทำทางเลือกอื่น ความจริงที่เรียบง่ายก็คือ ทุกอย่างเอื้อประโยชน์ให้คนรวย ไม่มีการทดสอบหรือกระบวนการใดที่ไม่ให้ความได้เปรียบแก่คนมั่งมี

ระบบที่ยุติธรรมที่สุดคือการทดสอบมาตรฐานแบบเก่าแก่ เรียบง่าย อย่างน้อย “กฎ” ของ “เกม” เป็นที่รู้กันทั่วไป แม้ทุกคนจะมีจุดเริ่มต้นต่างกัน

บางทีการศึกษาอาจไม่ได้ช่วยในการลดความเหลื่อมล้ำ – เป็นเครื่องมือผิดประเภทสำหรับงานนี้ โรงเรียนไม่สามารถแก้ไขความแตกต่างของนักเรียนแต่ละคน พ่อแม่ ทรัพยากร ความสามารถ และข้อบกพร่องของพวกเขาได้

ถ้าเราต้องการลดความเหลื่อมล้ำอย่างแท้จริง เราต้องแก้ไขที่ปัจจัยเหล่านั้น ต้องมองไกลกว่าการศึกษา แต่เนื่องจากไม่มีความต้องการการเปลี่ยนแปลงทางสังคมแบบถึงรากถึงโคนอย่างแท้จริง เราจึงติดอยู่กับวงจรของการปฏิรูปที่ผิดทิศทางซ้ำแล้วซ้ำเล่า

นี่คือเหตุผลที่แท้จริงที่จีนห้ามการกวดวิชาเอกชน ง่ายกว่ามากที่จะโทษโรงเรียนแทนที่จะเผชิญหน้ากับวันทำงาน 12 ชั่วโมง ราคาบ้านที่พุ่งทะยาน และการว่างงานของคนหนุ่มสาว 20% – แรงกดดันแท้จริงที่ทำให้นักเรียนต้องต้องการความได้เปรียบตั้งแต่แรก

การแก้ไขปัญหาที่ผิดทิศทางแบบนี้คือการใช้พลาสเตอร์ปิดแผลแทนที่จะรักษาโรคที่แท้จริง เป็นบทเรียนราคาแพงที่ไม่เพียงสำหรับจีนเท่านั้น แต่สำหรับทุกประเทศที่พยายามปฏิรูปการศึกษาโดยไม่แก้ไขปัญหาทางสังคมและเศรษฐกิจที่อยู่เบื้องหลัง