Geek Story EP302 : ChatGPT ทำลายล้าง IBM อย่างไร? จากผู้นำสู่ผู้ตาม อะไรทำให้ยักษ์ใหญ่สะดุดในยุค AI

ย้อนกลับไปปี 1997 นับเป็นเวลา 12 ปีที่ IBM ได้ทุ่มเททรัพยากรกว่าพันล้านดอลลาร์เพื่อช่วงเวลาอันสำคัญนี้ – ช่วงเวลาแห่งการถือกำเนิดของกลยุทธ์ที่เรียกว่า “การโจมตีแบบ overload” เมื่อ Gary Kasparov หนึ่งในนักเล่นหมากรุกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลกำลังเผชิญหน้ากับ Deep Blue เครื่องจักรอัจฉริยะที่มนุษย์สร้างขึ้น ในการแข่งขันหมากรุกชุด 6 เกม ใบหน้าของ Kasparov ฉายแววไม่พอใจ

ในตอนนั้น สถานการณ์ของเกมคือ ฝ่ายขาว (Deep Blue) กำลังบุกเบี้ยที่ตำแหน่ง E7 ของฝ่ายดำ และวางแผนจะบุกต่อด้วยเรือ (Rook) Kasparov กำลังเผชิญหน้ากับการสูญเสียควีนของเขา และนี่จะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่เครื่องจักรเอาชนะปรมาจารย์หมากรุกได้

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/53kkbux4

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/2wjtrx3p

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/3c9my4cu

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/Yz-xO8lgXwk

Amazon รอดวิกฤติดอทคอมอย่างไร? รู้จัก Cash Conversion Cycle กลยุทธ์ที่ทำให้ Jeff Bezos รอดตาย

ย้อนกลับไปช่วงปลายยุค 90s ตลาดธุรกิจอินเทอร์เน็ตบูมมากจนแทบจะเรียกได้ว่าบ้าคลั่ง! บริษัทสตาร์ทอัพออนไลน์ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ใครๆ ก็อยากเข้ามาเสี่ยงดวงในโลกดิจิทัล หวังจะพลิกโฉมวงการแล้วกอบโกยเงินทองกัน

แต่แล้วฝันอันงดงามของเหล่าบริษัทเทคโนโลยีก็มลายหายไปหมดสิ้น เมื่อฟองสบู่ดอทคอมแตกกระจาย บริษัทต่างๆ ดับสูญไปแทบจะชั่วข้ามคืน แต่ท่ามกลางเถ้าถ่านของความหายนะ กลับมีบริษัทหนึ่งที่ไม่เพียงอยู่รอดแต่ยังพุ่งทะยานอย่างน่าทึ่ง นั่นคือ Amazon

Jeff Bezos ผู้ก่อตั้งเล่าว่าตอนนั้นหุ้นดิ่งลงเหวจาก 113 ดอลลาร์เหลือแค่ 6 ดอลลาร์ วอลล์สตรีทต่างเรียกร้อง “กำไรอยู่ไหน!? กำไรอยู่ไหน!?” แต่ Bezos กลับไม่สนใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์ เขาเชื่อมั่นในตัวชี้วัดภายในธุรกิจที่แสดงให้เห็นว่าทุกอย่างกำลังไปได้สวย

ความเจ๋งของ Amazon คือการให้ความสำคัญกับลูกค้ามากกว่าคู่แข่งอย่างถึงที่สุด ในขณะที่ CEO คนอื่นๆ แม้จะพูดถึงลูกค้า แต่ลับหลังกลับหมกมุ่นกับคู่แข่ง Amazon กลับยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางของทุกการตัดสินใจ

Amazon Prime เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน ของแนวคิดนี้ เริ่มต้นจากไอเดียของวิศวกรจูเนียร์คนหนึ่งที่เสนอให้มีบริการจัดส่งแบบไม่จำกัด แม้ว่าตอนแรกมันจะทำให้บริษัทเสียเงินมากโข เพราะคนที่เข้ามาใช้บริการแรกๆ คือพวก “กินจุ” หรือสั่งของบ่อยมาก

แม้จะดูเหมือนขาดทุน แต่ Amazon มองเห็นแนวโน้มที่ดีและความพึงพอใจของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนปัจจุบัน Amazon Prime กลายเป็นบริการสมาชิกสุดฮิตและทำกำไรมหาศาล

Bezos ยังให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาลูกค้าแบบถึงรากถึงโคน เขายังคงใช้อีเมล Jeff@amazon.com เพื่อรับฟังปัญหาโดยตรง แล้วสั่งทีมไปหาสาเหตุที่แท้จริงและแก้ไขให้ครบถ้วน

ความสำเร็จของ Amazon ไม่ได้อยู่แค่ในวงการค้าปลีกออนไลน์ การรังสรรค์ Amazon Web Services (AWS) เมื่อ 15 ปีก่อนได้พลิกโฉมวงการเทคโนโลยีไปอย่างสิ้นเชิง โดยที่ไม่มีคู่แข่งที่เทียบชั้นได้ถึง 7 ปีเต็ม ซึ่งถือเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ในโลกธุรกิจเทคโนโลยี

ปกติแล้วเมื่อคุณสร้างนวัตกรรมใหม่ คู่แข่งมักจะตามมาใน 2 ปี เช่น amazon.com เปิดปี 1995 barnesandnoble.com ตามมาปี 1997 หรือ Amazon เปิดตัว Kindle ก็มี Nook ตามมาในสองปี แต่ AWS กลับครองความเป็นลูกพี่ในตลาดถึง 7 ปี

กลยุทธ์สุดเทพที่ทำให้ Amazon รอดจากวิกฤตดอทคอมคือ Cash Conversion Cycle หรือวงจรการแปลงเงินสดที่ติดลบ ซึ่งถือเป็นของแท้ที่น้อยบริษัทจะทำได้

ลองนึกภาพง่ายๆ คือ Amazon ได้เงินจากลูกค้าเกือบจะทันทีผ่านบัตรเครดิต ขณะที่เก็บสินค้าไว้แค่ช่วงสั้นๆ ด้วยระบบคลังสินค้าสุดล้ำ แถมยังได้เครดิตจากซัพพลายเออร์ประมาณ 30 วัน

นั่นหมายความว่า Amazon มีเงินสดหมุนเวียนก่อนที่จะต้องจ่ายค่าสินค้า! ยิ่งธุรกิจเติบโต เงินสดที่ได้จากวงจรนี้ก็ยิ่งมากขึ้น แถมยังมีอำนาจต่อรองกับซัพพลายเออร์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกิดวงจรสร้างความแข็งแกร่งไม่รู้จบ

วัฒนธรรมองค์กรของ Amazon ก็โครตเจ๋ง Bezos สร้างบรรยากาศที่ส่งเสริมให้พนักงานคิดนอกกรอบและทดลองสิ่งใหม่ๆ โดยไม่กลัวล้มเหลว พนักงานทุกระดับสามารถเสนอไอเดียและมีส่วนร่วมในการพัฒนา

Amazon มีแนวคิด “Day 1” หมายถึงการรักษาความคล่องตัวและความกระตือรือร้นเหมือนวันแรกของการทำธุรกิจ แม้จะเติบโตเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ Bezos เชื่อว่าเมื่อใดที่องค์กรเข้าสู่ “Day 2” นั่นคือจุดเริ่มต้นของความเสื่อม

บทเรียนสำคัญจาก Amazon คือการมองการณ์ไกลและกล้าลงทุนเพื่ออนาคต แม้จะต้องเจอแรงกดดันจากนักลงทุนในระยะสั้น การที่พวกเขายังคงลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและนวัตกรรมใหม่ๆ แม้ในช่วงที่ราคาหุ้นลดฮวบ แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่ยาวไกล

แม้ปัจจุบัน Amazon จะเผชิญความท้าทายทั้งการแข่งขันที่ดุเดือด การถูกตรวจสอบเรื่องการผูกขาด และข้อกังวลเกี่ยวกับสภาพการทำงานของพนักงาน แต่หลักการที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จก็ยังคงเป็นเข็มทิศนำทางบริษัทให้ก้าวต่อไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง

การเปลี่ยนผ่านจาก Jeff Bezos ไปสู่ Andy Jassy ในตำแหน่ง CEO เมื่อปี 2021 เป็นบททดสอบสำคัญ แต่ด้วยรากฐานที่แข็งแกร่งและวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน Amazon ยังคงเดินหน้าสร้างนวัตกรรมและขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง

ความสำเร็จของ Amazon สอนให้เรารู้ว่าการยึดมั่นในหลักการพื้นฐาน การใส่ใจลูกค้าอย่างจริงจัง การบริหารการเงินอย่างชาญฉลาด และการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็ง คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจไม่เพียงแค่อยู่รอดแต่ยังเติบโตอย่างยั่งยืนในทุกสภาวะเศรษฐกิจ

Geek Story EP301 : เมื่อ Microsoft คิดจะโค่น iPod ปรากฏการณ์ Zune ผลิตภัณฑ์พันล้านที่ล้มเหลวยับเยิน

ในปี 2006 วงการเทคโนโลยีเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ Microsoft บริษัทยักษ์ใหญ่แห่งวงการซอฟต์แวร์ ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่หลายสื่อขนานนามว่าเป็น “iPod Killer” หรือ “ผู้สังหาร iPod” นั่นคือ Microsoft Zune เครื่องเล่นเพลงพกพาที่หวังจะโค่นบัลลังก์ของ Apple ที่ครองตลาดมานับตั้งแต่ iPod รุ่นแรกเปิดตัวในปี 2001

การเข้าสู่ตลาดครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ Microsoft มีทรัพยากรมหาศาล ทั้งเงินทุนหลายพันล้านดอลลาร์และบุคลากรผู้เชี่ยวชาญ พวกเขาตั้งเป้าที่จะสร้างผลิตภัณฑ์ที่เหนือกว่า iPod ในทุกด้าน และเมื่อมองผิวเผิน Zune ดูเหมือนจะมีคุณสมบัติที่โดดเด่นกว่า iPod จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอขนาด 3 นิ้วที่ใหญ่กว่า, มีวิทยุ FM ในตัว, รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi และแม้กระทั่งสีตัวเครื่องสีน้ำตาลที่แตกต่างจากคู่แข่ง

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/3fsa8wpa

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/yc6yez92

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/52jd84mk

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/rUwlmLlo5M4

จากพนักงานเงินเดือนสู่มหาเศรษฐีแสนล้าน กับบทพิสูจน์ว่าทำงานประจำก็รวยได้แบบ Steve Ballmer

หลายคนอาจจะคุ้นกับชื่อของ Steve Ballmer เขาคือหนึ่งในมหาเศรษฐีระดับโลกที่มีเรื่องราวสุดเจ๋งมาก ๆ แตกต่างจากมหาเศรษฐีด้านเทคโนโลยีคนอื่นๆ เพราะเขาสร้างความมั่งคั่งจากการเป็นแค่พนักงานบริษัท ไม่ใช่ผู้ก่อตั้ง

7 กรกฎาคม 2021 มูลค่าสินทรัพย์ของ Ballmer พุ่งทะลุ 100 พันล้านดอลลาร์ ทำให้เขาเป็นคนที่ 9 ที่เข้าชมรมแสนล้าน ความเทพของเขาคือไม่ใช่เจ้าของ Google หรือ Amazon แต่เขาเป็นเพียงพนักงานคนหนึ่งที่ฉกฉวยโอกาสและผลักดันตัวเองให้กลายเป็นมหาเศรษฐีได้

Ballmer เกิดที่ Detroit ในปี 1956 ในครอบครัวผู้อพยพจากสวิตเซอร์แลนด์ พ่อเขาทำงานที่ Ford เป็นผู้จัดการทั่วไป ตั้งแต่เด็กเขาแสดงความฉลาดหลักแหลม จบจาก Detroit Country Day School ด้วยเกียรตินิยมสูงสุด

ความเทพทางการเรียนของเขาชัดเจนจากคะแนน SAT ที่ได้เต็ม 800 ในวิชาคณิตศาสตร์ แม้ว่าปัจจุบันผลการเรียนแบบนี้อาจเป็นแค่คุณสมบัติพื้นฐานสำหรับเข้า Harvard แต่ในปี 1973 มันเจ๋งพอที่จะทำให้เขาได้เข้าเรียนรุ่นปี 1977

ที่ Harvard เขาเลือกเรียนคณิตศาสตร์ประยุกต์และเศรษฐศาสตร์ ใช้เวลาว่างทำงานให้หนังสือพิมพ์มหาวิทยาลัยและเป็นผู้จัดการทีมฟุตบอล Harvard Crimson จุดพีคในชีวิตเกิดขึ้นเมื่อเขาได้รู้จัก Bill Gates

ช่วงนั้น Bill กำลังจะลาออกเพื่อสร้าง Microsoft มีข่าวลือว่า Bill ชวน Ballmer ให้ลาออกมาด้วยกัน แต่เขาเลือกเส้นทางปลอดภัยและขอเรียนจบที่ Harvard ก่อน ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ใครจะไปสนใจคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในปี 1975 กัน

หลังจาก Bill ลาออก ทั้งคู่แยกทางกันชั่วคราว Bill มุ่งมั่นกับ Microsoft ส่วน Ballmer เรียนจนจบด้วยเกียรตินิยมอันดับสองในปี 1977

จบแล้ว Ballmer ได้งานที่ดีมาก ๆ ที่ Procter & Gamble เป็นผู้จัดการโครงการ ทำงานที่นั่นสองปีก่อนกลับไปเรียนต่อ MBA ที่ Stanford ในช่วงฤดูร้อนถัดมา เขาติดต่อ Bill เพื่อขอทำงานช่วงปิดเทอม

แต่ Bill ไม่ต้องการแค่พนักงานชั่วคราว เขาขอให้ Ballmer ลาออกจาก Stanford มาเป็นผู้จัดการเต็มเวลาคนแรกของ Microsoft คราวนี้ Ballmer มั่นใจกว่าเดิม มีปริญญาจาก Harvard ประสบการณ์จาก P&G และเหลือเรียน MBA อีกแค่ปีเดียว

เมื่อ Ballmer บอกพ่อแม่เรื่องข้อเสนอจาก Microsoft พวกเขาแสดงความกังวล พ่อถามว่า “ซอฟต์แวร์คืออะไร” แม่สงสัยว่า “ทำไมคนต้องใช้คอมพิวเตอร์” แต่สุดท้าย Ballmer ตัดสินใจเข้าร่วม Microsoft วันที่ 11 มิถุนายน 1980

เขาเป็นพนักงานคนที่ 30 ได้เงินเดือน 50,000 ดอลลาร์ต่อปี (เทียบเท่า 163,000 ดอลลาร์ปัจจุบัน) Bill ยังสัญญาจะให้หุ้น 5-10% ในอนาคต ตำแหน่งคือผู้จัดการธุรกิจแต่จริงๆ แล้วทำทุกอย่างตั้งแต่จ้างคนไปจนถึงทำอาหารและล้างขวด

โอกาสทองมาถึงในปลายปี 1980 เมื่อ Microsoft มีประชุมกับ IBM Bill ขอให้ Ballmer เข้าร่วมไม่ใช่เพราะกลยุทธ์เจ๋งๆ ของ Ballmer แต่อย่างใด แต่เพราะเขาเป็นคนเดียวที่รู้วิธีผูกเนคไท แต่การมีส่วนร่วมของเขาพิสูจน์ว่ามีค่ามากกว่านั้น

ทั้ง Bill Gates และ Paul Allen ไม่มีประสบการณ์เจรจาธุรกิจ แม้ Ballmer จะประสบการณ์น้อย แต่ยังมากกว่าทั้งคู่ ระหว่างเจรจากับ IBM พวกเขาสามารถใส่ข้อตกลงไม่ผูกขาด (non-exclusivity) IBM จ่าย 430,000 ดอลลาร์ให้พัฒนา MS-DOS แต่ Microsoft สามารถขายต่อให้ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายอื่นได้

IBM ไม่ได้โง่ แต่ตอนนั้นพวกเขากำลังถูกสอบสวนเรื่องการผูกขาดทางธุรกิจ จึงยอมรับข้อตกลงนี้เพื่อลดแรงเสียดทานในเรื่องนี้

ระหว่างปี 1981-1985 Bill ดูแลด้านเทคนิคของ MS-DOS ส่วน Ballmer ดูแลด้านธุรกิจ ขายให้ผู้ผลิตหลายราย ส่งผลให้รายได้ Microsoft พุ่งกระฉูดจาก 16 ล้านดอลลาร์เป็น 140 ล้านดอลลาร์

ผลงานของ Ballmer ทำให้ Bill รักษาสัญญาให้หุ้นตามที่ตกลงไว้ เมื่อ Microsoft เข้าตลาดหุ้นปี 1986 มูลค่าบริษัทแตะ 780 ล้านดอลลาร์ หุ้น 8% ของ Ballmer มีมูลค่า 51.5 ล้านดอลลาร์ เทียบเท่ากับทำงานแค่ 6 ปีได้ปีละ 10 ล้านดอลลาร์ พ่อแม่เขาคงภูมิใจมากขึ้นแล้ว

หลังยุคบุกเบิก Ballmer รับบทบาทบริหารมากขึ้น จนถึงปี 1992 ได้เป็นรองประธานฝ่ายขายและสนับสนุน ช่วงนี้เขานำการพัฒนา .NET Framework เรียกได้ว่าสร้างผลงานได้อย่างน่าทึ่ง

กรกฎาคม 1998 เขาได้เลื่อนเป็นประธาน Microsoft เป็นอันดับสองรองจาก Bill Gates และเมื่อ Bill ลงจากตำแหน่ง CEO ในปี 2000 Ballmer ก็ได้เป็น CEO เต็มตัว

แม้ Ballmer มักถูกวิจารณ์ว่าเป็น CEO ที่ไม่เอาไหน แต่ความจริงไม่ได้เป็นแบบนั้น คนวิจารณ์มักชี้ว่าราคาหุ้น Microsoft ไม่เติบโตในช่วง 14 ปีที่เขาบริหาร แต่ลืมไปว่า Ballmer รับตำแหน่งตอนฟองสบู่ดอทคอมกำลังจะแตก

หลังเขารับตำแหน่งได้ไม่นาน หุ้น Microsoft ร่วงจาก 58 ดอลลาร์เหลือ 21 ดอลลาร์ภายใน 12 เดือน ลดฮวบไป 63% และเมื่อเริ่มฟื้น ก็เจอกับวิกฤตการเงินจนเหลือแค่ 15 ดอลลาร์

แต่พูดถึงความเจ๋งของ Ballmer เขาสนับสนุน Xbox อย่างเต็มที่ ทั้งที่ผู้บริหารหลายคนคิดว่า Microsoft ควรทำแค่ซอฟต์แวร์ ไม่ควรทำฮาร์ดแวร์ แต่เขายืนยันและปัจจุบัน Xbox เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ทำรายได้มหาศาลให้กับบริษัท

ในปี 2010 ภายใต้การนำของ Ballmer Microsoft เปิดตัวบริการคลาวด์ Azure ซึ่งกลายเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และแม้เขาจะไม่เห็นศักยภาพ iPhone แต่เขาเล็งเห็นโอกาสอื่น เช่นลงทุน 240 ล้านดอลลาร์ใน Facebook ปี 2007 ตอนมูลค่าเพียง 15 พันล้านดอลลาร์ ปัจจุบันพุ่งทะยานเป็นล้านล้านดอลลาร์

ผลงานที่ชัดเจนของ Ballmer คือตัวเลขธุรกิจ ช่วงที่เขาเป็น CEO รายได้ Microsoft เพิ่มจาก 25 พันล้านเป็น 70 พันล้านดอลลาร์ กำไรเพิ่มจาก 9.4 พันล้านเป็น 22 พันล้านดอลลาร์ นักลงทุนเริ่มเห็นคุณค่าของเขาหลังจากที่เขาลาออกไปแล้ว

เขาได้เกษียณจาก Microsoft ในปี 2014 หลังจากนั้น Ballmer ได้เข้าซื้อทีม LA Clippers ด้วยเงิน 2 พันล้านดอลลาร์ และกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ Microsoft ขณะที่ Bill Gates ลดสัดส่วนการถือหุ้นจาก 45% เหลือแค่ 1.3% ส่วน Ballmer ยังถือ 4% จากเดิม 8%

มันเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากถ้าหาก Bill ไม่ขายหุ้นเลย ปัจจุบันจะมีมูลค่า 900 พันล้านดอลลาร์ และถ้า Ballmer ไม่ขายหุ้นเลย จะมี 160 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่า Bill Gates ในปัจจุบัน

แม้จะขายหุ้นไปบ้าง แต่ Ballmer ยังภูมิใจที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Microsoft เขาเทิดทูนบริษัทมาก ถึงขั้นห้ามทีม Clippers ใช้ผลิตภัณฑ์ Apple และไม่ให้ครอบครัวใช้ iPhone

ความมุ่งมั่นของเขาไม่ใช่แค่การแสดง แต่เป็นความจริงใจเมื่อพูดว่า “ผมมีสี่คำจะบอกคุณ: ผมรักบริษัทนี้” นี่คือเรื่องราวสุดเจ๋งของ Steve Ballmer ที่สร้างสินทรัพย์มูลค่า 100 พันล้านดอลลาร์จากการเป็นพนักงานธรรมดา ๆ

ความสำเร็จไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของบริษัทเสมอไป บางครั้งการเลือกเส้นทางการเป็นพนักงาน แต่ทำงานด้วยความมุ่งมั่น ซื่อสัตย์ และการพยายามคว้าโอกาสที่สำคัญ ๆ ไว้ก็สามารถสร้างความยิ่งใหญ่ได้ ซึ่ง Ballmer เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า พนักงานเงินเดือนก็มีโอกาสรวยระดับโลกได้ ถ้ามีวิสัยทัศน์และกล้าที่จะเสี่ยง