Nissan Leaf จาก ‘ผู้บุกเบิก’ สู่ ‘ผู้แพ้’ บทเรียนสำคัญสำหรับทุกธุรกิจในยุคเปลี่ยนผ่าน

เรื่องราวของ Nissan เป็นบทเรียนที่น่าเจ็บปวดในวงการยานยนต์โลก จากที่เคยเป็นผู้บุกเบิกรถยนต์ไฟฟ้าที่เจ๋งมากๆ กลับต้องเผชิญกับชะตากรรมที่ไม่มีใครคาดคิด

ย้อนกลับไปเมื่อ 14 ปีก่อน Nissan เป็นที่เชิดหน้าชูตาด้วยการผลิตรถยนต์อย่าง Nissan Leaf ที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้าขนาดกะทัดรัดรุ่นแรกสำหรับตลาดแมส

สิ่งที่น่าตะหงิดใจคือ รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่ออกมาหลังยุคของ Nissan Leaf มันดูไม่เข้าท่าเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ทั้งที่มีประสบการณ์โชกโชนถึง 14 ปี ยอดขายและมูลค่าบริษัทก็ดิ่งลงเหวแบบฉุดไม่อยู่

เงินทุนรอนในมือก็มีน้อยเกินไปสำหรับบริษัทระดับพี่ใหญ่อย่าง Nissan และดูเหมือนว่า Nissan จะมัวแต่เทิดทูนความสำเร็จในอดีต จนอาจต้องดับสูญก่อนใครเพื่อนในวงการ

Tesla ดาวรุ่งพุ่งแรงที่พุ่งทะยานขึ้นมาในวงการยานยนต์ไฟฟ้า เรียกได้ว่าถีบส่ง Nissan จนแทบกระอักเลือด เริ่มจาก Nissan Ariya รถไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่เปิดตัวในปี 2022 ที่มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาด 91 KWh แต่วิ่งได้แค่ 447 กิโลเมตร

ในขณะที่ Tesla Model Y ที่มีขนาดใหญ่กว่า กลับใช้แบตเตอรี่น้อยกว่าแต่วิ่งได้ไกลถึง 493 กิโลเมตร ความเทพของ Tesla ไม่ได้อยู่แค่นี้ ทั้งสมรรถนะ ความเร็วในการชาร์จ และพื้นที่ใช้สอยก็เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด

ตัวเลขยอดขายยิ่งทำให้เจ็บปวด Leaf ขายได้แค่ 577,000 คันตลอด 12ปี (นับถึงปี 2022) เฉลี่ยปีละ 48,000 คัน แต่ Model Y จัดหนักด้วยยอดขายที่ทะลุ 850,000 คันในปี 2022 ปีเดียว

สถานการณ์การเงินก็ร่อยหรอสุดๆ ยอดขายลดฮวบจาก 5.8 ล้านคันในปี 2017 เหลือแค่ 3.3 ล้านคันในปี 2024 กำไรก็แทบจะมลายหายไปหมดสิ้น แถม Renault พันธมิตรเก่าแก่ก็กำลังจะแทงข้างหลังด้วยการขายหุ้น 75% ทิ้ง

ที่น่าปวดหัวไปกว่านั้นคือการตัดสินใจของ Nissan ก่อนหน้านี้ที่ไปจับมือกับ GM ซึ่งก็กำลังเจอปัญหาไม่แพ้กัน ทั้งเรื่องการเรียกคืนรถและยอดขายที่ล้มเหลวไม่เป็นท่า

GM เองก็มีความฝันว่าจะผลิตรถไฟฟ้าให้ได้ 1 ล้านคันในปี 2025 ทั้งที่ปี 2022 ยังทำได้แค่ 50,000 คัน แถมรถที่ผลิตออกมาก็มีปัญหาจนต้องเรียกคืนทั้ง Cadillac Lyriq และ Hummer EV

ในขณะที่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกกำลังบูมสุดขีด ยอดขายพุ่งกระฉูดถึง 17.1 ล้านคันในปี 2024 เติบโตขึ้น 25% เมื่อเทียบกับปี 2023 แต่ GM กลับผลิตได้แค่หยิบมือ ไม่ถึง 3% ของยอดขายทั้งหมด

Toyota ก็ไม่ต่างกัน เพิ่งจะตื่นจากความฝันที่คิดว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะยังไม่มาเร็วขนาดนี้ พอรู้ตัวว่าแพ้ Tesla เรื่องต้นทุนการผลิต ก็รีบปรับกลยุทธ์กันจนหัวปั่น แต่ดูเหมือนว่าอาจจะสายเกินแก้

ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นทั้งหลายกำลังเจอวิกฤติครั้งใหญ่ มีหนี้สินมากโข แถมธุรกิจรถยนต์แบบเดิมก็กำลังสั่นคลอน ขณะที่การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าก็ยังล้าหลังทั้ง Tesla และบริษัทจากจีนอย่าง BYD ที่กำลังมาแรงแซงโค้ง

Leaf ที่เคยเป็นความหวังของวงการรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัด ที่ผู้คนต่างเคยชายตามองกันทั่วโลก วันนี้กลับต้องจบชีวิตลงอย่างไม่สมศักดิ์ศรี Nissan ที่เคยมีประสบการณ์ในการทำรถยนต์ไฟฟ้ามาก่อนใครเพื่อน กลับหมดความเจ๋งไปซะอย่างงั้น แม้ว่าจะมีประสบการณ์มานานนับทศวรรษ

รอยร้าวเริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ หุ้นร่วงลงกว่า 70% ในช่วง 5 ปี Renault กำลังจะถีบส่งออกจากการเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ขีดชะตาของ Nissan ที่กำลังจะถึงจุดที่น่ากลัวที่สุด

ยิ่งข่าวการควบรวมกับ Honda ล่าสุดก็ดูเหมือนจะเละเทะไม่เป็นท่า ด้วยท่าทีที่เย่อหยิ่งของ Nissan ที่คิดว่าตัวเองเป็นแบรนด์ที่ยิ่งใหญ่ ควรมีศักดิ์มีศรีเทียบเท่ากับ Honda หลังการควบรวม ก็เจอการ Say No จาก Honda ไปแบบไม่ใยดี

ถ้ารัฐบาลญี่ปุ่นไม่รีบอัดฉีดเงินช่วยเหลือ Nissan อาจเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายแรกที่ต้องสูญสิ้นทุกสิ่ง แต่คำถามคือรัฐบาลญี่ปุ่นจะมีปัญญาช่วยได้หรือไม่ ในเมื่อต้องแบกรับบริษัทยานยนต์อีกหลายบริษัทที่กำลังเจอปัญหาคล้ายๆ กัน

นี่คือบทเรียนราคาแพงที่แสดงให้เห็นว่า การหยุดพัฒนาและพอใจกับความสำเร็จในอดีต อาจนำไปสู่การจบเห่ทางธุรกิจได้ แม้จะเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เคยแสนภาคภูมิใจในอดีตก็ตามที

ตอนนี้ Nissan กำลังฝ่าฝันต่อสู้กับวิกฤตครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท จากผู้นำนวัตกรรมที่เคยเป็นที่เทิดทูน อาจต้องมาเจอจุดจบที่แสนเจ็บปวดรวดร้าว

เหลือเพียงแต่รอดูว่า พรหมลิขิตจะขีดเขียนชะตาชีวิตของ Nissan ไว้อย่างไร จะสามารถพลิกฟื้นกลับมาได้อีกครั้ง ผ่านการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ หรือจะต้องจบลงด้วยการเป็นตำนานอีกหนึ่งบทในประวัติศาสตร์วงการยานยนต์โลก

Geek Daily EP271 : ทำไม Jack Ma ถึงกลับมา? เปิดเกมรุก AI ของจีน หลังลูกพี่ใหญ่บิ๊กเทคกลับสู่วงการ

ย้อนกลับไปในอดีต พรรคคอมมิวนิสต์จีนมีประวัติศาสตร์อันยาวนานในการจัดการกับผู้มีอำนาจในประเทศ ดังเช่นกรณีของ Deng Xiaoping ที่เคยถูกกำจัดออกจากอำนาจถึงสามครั้ง ก่อนที่จะกลับมานำพาประเทศออกจากยุคของลัทธิเหมาในช่วงปลายทศวรรษ 1970 นี่เป็นรูปแบบที่เห็นได้ชัดในประวัติศาสตร์จีน ที่บุคคลสำคัญอาจถูกกำจัดและได้รับการฟื้นฟูสถานะกลับคืนมา บางครั้งแม้กระทั่งหลังจากที่พวกเขาเสียชีวิตไปแล้ว

ในกรณีของ Jack Ma เราได้เห็นรูปแบบที่คล้ายคลึงกันแต่ในบริบทของยุคสมัยใหม่ จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 2020 เมื่อการเสนอขายหุ้น IPO ของ Ant Group บริษัทฟินเทคของเขาถูกระงับอย่างกะทันหัน เหตุการณ์นี้นำไปสู่การตรวจสอบอย่างเข้มงวดต่อ Alibaba จนนำไปสู่การถูกปรับเป็นเงินจำนวนมหาศาล ผลที่ตามมาคือการที่ Jack Ma ต้องหายไปจากหน้าสื่อ เป็นการหายตัวที่สร้างความสั่นสะเทือนให้กับวงการธุรกิจทั้งในจีนและทั่วโลก

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/583y7z7j

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/3xm4bnv8

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/3cwpemzf

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/PgYxToJOoh4

ดัชนี ‘คนโง่’ ของ Elon Musk ทำไมจรวด SpaceX ถึงถูกกว่าคู่แข่ง 20 เท่า

ปี 2008 เป็นช่วงที่โหดเหี้ยมที่สุดในประวัติศาสตร์การเงินโลก ตลาดหุ้นดิ่งลงเหว บริษัทยักษ์ใหญ่ล้มละลายเป็นโดมิโน เงินทุนรอนที่เคยไหลเวียนในระบบเศรษฐกิจกลายเป็นความร่อยหรอ

ท่ามกลางวิกฤตครั้งนั้น มีชายคนหนึ่งกล้าเดิมพันทุกอย่างที่มีกับความฝันที่ใครๆ ว่าไร้สาระ นั่นคือการสร้างจรวด คนที่ว่านี้คือ Elon Musk ที่ตอนนี้กลายเป็นมหาเศรษฐีระดับท็อปของโลก

ย้อนกลับไปช่วงปลายยุค 90 ที่อินเทอร์เน็ตกำลังบูม Elon ที่ถวิลหาความสำเร็จอย่างรวดเร็ว จึงตัดสินใจทิ้งการเรียนที่ Stanford มาเริ่มธุรกิจ เขารังสรรค์เว็บแผนที่ออนไลน์อย่าง Zip2 จนขายได้เงิน 22 ล้านดอลลาร์

แต่ความเจ๋งยังไม่จบ เขาสร้าง X.com ที่ต่อมากลายเป็น PayPal ระบบชำระเงินออนไลน์สุดเทพ ขายให้ eBay ได้เงินมาอีก 180 ล้านดอลลาร์

แทนที่จะเอาเงินไปลงทุนในธุรกิจที่มั่นคง Elon กลับจัดเต็มให้กับสามธุรกิจที่ท้าทาย: SpaceX ทำจรวด Tesla ทำรถไฟฟ้า และ Solar City ทำพลังงานแสงอาทิตย์

ในวงการอวกาศ เขาต้องปะทะกับ Boeing และ Lockheed Martin ที่มีประสบการณ์โชกโชน ทั้งที่ตัวเองไม่มีพื้นฐานด้านจรวดเลย ส่วนในวงการรถยนต์ก็ต้องสู้กับ Ford และ Toyota ที่เป็นลูกพี่ใหญ่ในวงการนี้มานานกว่าศตวรรษ

เรื่องราวน่าสนใจเริ่มต้นเมื่อ Elon เดินทางไปรัสเซียเพื่อซื้อจรวด ICBM มือสอง แต่กลับโดนเยาะเย้ยและขึ้นราคาจาก 6 ล้านเป็น 21 ล้านดอลลาร์

แทนที่จะหัวฟัดหัวเหวี่ยง Elon กลับมองว่านี่คือโชคชะตาที่กำหนดมาแล้ว เขาตัดสินใจสร้างจรวดเอง โดยคิดค้น “ดัชนีคนโง่” เพื่อวิเคราะห์ต้นทุนที่แท้จริง

Elon พบว่าชิ้นส่วนจรวดราคาแพงเกินจริงมาก เช่น เทอร์โบปั๊มราคา 200,000 ดอลลาร์ ทั้งที่ต้นทุนแค่ 10,000 ดอลลาร์ หรือกลอนประตูที่ NASA ซื้อในราคา 1,500 ดอลลาร์ ทั้งที่กลอนประตูห้องน้ำแบบธรรมดาราคา 30 ดอลลาร์ก็ใช้ได้

เขาปฏิวัติการผลิตจรวดด้วยการออกแบบให้นำกลับมาใช้ใหม่ได้ ทำให้ต้นทุนลดฮวบลงอย่างมาก จนคู่แข่งต้องตะลึง

เส้นทางถูกรุมเร้าด้วยอุปสรรค จรวดระเบิด เงินหมด จนเกือบแตกหัก โดยเฉพาะปี 2008 ที่ทั้ง SpaceX และ Tesla เกือบล้มละลาย แต่ Tesla รอดมาได้ด้วยเงินทุนในวันคริสต์มาสอีฟพอดี

จนกระทั่งวันที่ 28 กันยายน 2008 SpaceX ก็ทำสำเร็จ ปล่อยจรวด Falcon 1 เข้าสู่วงโคจรได้ กลายเป็นบริษัทเอกชนรายแรกที่ทำได้

ปัจจุบัน SpaceX ถีบตัวขึ้นมาเป็นผู้นำวงการอวกาศที่ใครๆ ต่างหมายปอง ต้นทุนต่ำกว่าคู่แข่ง 20 เท่า ปี 2023 ปล่อยจรวดไป 100 ลำ ครองตลาด 60% ของโลก ยานอวกาศ Dragon ก็ประสบความสำเร็จ ในขณะที่คู่แข่งยังตามหลังอยู่สุดกู่

เรื่องราวของ Elon แสดงให้เห็นว่า บางทีคนที่ถูกมองว่าเพ้อฝัน อาจเป็นผู้ที่มองเห็นอนาคตได้ชัดเจนกว่าใคร ส่วนขวดวอดก้าที่รัสเซียเคยล้อว่าจะให้ คงต้องเก็บไว้ฉลองความสำเร็จของ SpaceX แทน

Geek Story EP296 : ยุทธการโค่น IBM จุดจบของยุคทรราช วันที่ IBM สูญเสียอำนาจในตลาดพีซี

ในช่วงกลางทศวรรษ 1980 เหตุการณ์สำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงวงการคอมพิวเตอร์ตลอดกาลกำลังจะเกิดขึ้น Bill Loy วิศวกรและนักธุรกิจผู้มากประสบการณ์ กำลังเตรียมตัวสำหรับการประชุมที่อาจเรียกได้ว่าสำคัญที่สุดในชีวิตการทำงานของเขา เป้าหมายของเขาคือการนำเสนอแนวคิดต่อคณะกรรมการบริหารองค์กร (Corporate Management Committee หรือ CMC) ของ IBM บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีที่ในขณะนั้นครองความเป็นผู้นำในตลาดคอมพิวเตอร์เมนเฟรมสำหรับองค์กรขนาดใหญ่

ในยุคนั้น IBM เป็นที่รู้จักในฐานะผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ชั้นนำที่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมตั้งแต่ระบบประมวลผลสำหรับธนาคารไปจนถึงระบบคอมพิวเตอร์สำหรับโครงการอวกาศ แต่มีตลาดหนึ่งที่ IBM ยังไม่สามารถเจาะเข้าไปได้ นั่นคือตลาดคอมพิวเตอร์สำหรับใช้ในบ้าน ซึ่งกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วด้วยความนิยมของซอฟต์แวร์สเปรดชีตและการใช้งานในสำนักงานขนาดเล็ก

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/5b9vjzcz

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://apple.co/2lEqPPg

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/579krudn

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/mccMleOihHY

ทำช้าแต่ชัวร์ vs ทำเร็วแต่พัง : จาก Google Glass ถึง Theranos บทเรียนราคาแพงของความรีบร้อน

เคยสังเกตกันมั๊ยว่า ในการแข่งรถ แทบไม่มีนักแข่งคนไหนเหยียบคันเร่งตลอดเวลา พวกเขาต้องรู้จังหวะเบรกตอนเข้าโค้ง ต้องแวะพิทสต็อป และถ้าเกิดไฟไหม้ก็ต้องรีบออกจากรถ ซึ่งชีวิตการทำงานก็เหมือนกัน บางทีการชะลอตัวหรือการมีอุปสรรคก็อาจเป็นเรื่องดี

Bob Sutton นักจิตวิทยาองค์กรและผู้เขียนหนังสือขายดี 8 เล่ม มองเห็นความเชื่อมโยงนี้ เขาเขียนหนังสือชื่อ “The Friction Project” พูดถึงเรื่อง “ความฝืด” หรือสิ่งที่ทำให้งานช้าลง ยากขึ้น หรือน่าหงุดหงิด แต่บางทีความฝืดพวกนี้ก็มีประโยชน์

ลองคิดดู ถ้าเราจะจ่ายบิลหรือเบิกค่าเดินทาง มันควรทำได้ง่ายๆ ไม่ต้องมีขั้นตอนยุ่งยาก แต่ถ้าใครจะขโมยเงินหรือทำผิดกฎหมาย มันควรจะยากหรือเป็นไปไม่ได้เลย นี่แหละคือหัวใจของการจัดการความฝืดที่ฉลาด

มันมีเรื่องที่น่าสนใจ Elizabeth Holmes อดีต CEO ของ Theranos เคยพยายามขายเครื่องตรวจเลือดที่ใช้งานไม่ได้ เธอถึงขั้นใช้นายพลระดับ 4 ดาวไปกดดันทหารให้ติดตั้งเครื่องบนเฮลิคอปเตอร์ แต่ด้วยกฎของ FDA ที่เข้มงวด แผนนี้เลยล้มไป

ตรงกันข้ามกับบริษัท Sequel ในซานฟรานซิสโก ที่ทำผ้าอนามัยแบบสอดรุ่นใหม่ พวกเขายอมเสียเวลาทำตามขั้นตอนการทดสอบและขออนุมัติจาก FDA อย่างครบถ้วน ตอนนี้เลยมีผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยและใช้ได้จริง

Sutton เรียกคนที่รู้จักจัดการกับความฝืดว่า “นักแก้ความฝืด (friction fixer)” พวกเขาเก่งเรื่องการทำให้สิ่งที่ควรง่ายเป็นเรื่องง่าย และทำให้สิ่งที่ควรยากเป็นเรื่องยาก

เขาเล่าประสบการณ์ที่ Department of Motor Vehicles (DMV) ตอนไปถึงมีคนรอคิวอยู่ 60 คน คิดว่าต้องเสียเวลาทั้งวัน แต่มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งเดินมาถามทุกคนว่ามาทำอะไร คนไหนทำไม่ได้ที่นี่ก็ให้กลับ คนที่ทำได้ก็แจกฟอร์มให้เลย สุดท้ายใช้เวลาแค่ 35 นาที

ที่สำคัญคือ คุณไม่จำเป็นต้องเป็นผู้บริหารระดับสูงก็เป็นนักแก้ความฝืดได้ แค่คิดถึงเวลาของคนอื่น และพยายามทำให้งานที่ควรง่ายเป็นเรื่องง่ายขึ้น

เวลาจะตัดสินใจอะไร นักแก้ความฝืดมักถามตัวเองสองคำถาม คำถามแรกคือ “เรารู้จริงๆ หรือเปล่าว่ากำลังทำอะไร?” บางทีการหยุดคิดก็ดีกว่าการรีบทำ

อย่างกรณี Google Glass แว่นตาอัจฉริยะที่ Sergey Brin ผู้ร่วมก่อตั้ง Google รีบเอาออกมาขายทั้งที่ทีมบอกว่ายังไม่พร้อม ผลคือมีปัญหาสารพัด ทั้งแบตหมดเร็ว ความปลอดภัย ใช้งานยาก จนติดอันดับผลิตภัณฑ์แย่ที่สุดตลอดกาล

คำถามที่สองคือ “ถ้าทำไปแล้วย้อนกลับได้ไหม?” ถ้าเป็นเรื่องใหญ่อย่างการไล่ CEO หรือการควบรวมกิจการ ต้องคิดให้ดี แต่ถ้าเป็นเรื่องที่แก้ไขได้ ก็ลองทำดู

อย่างที่บริษัท IDEO ตอนที่โตจาก 50 คนเป็น 150 คน เกิดความวุ่นวาย David Kelly CEO ของบริษัทเลยตัดสินใจปรับโครงสร้างองค์กร แต่ที่น่าสนใจคือวิธีสื่อสารของเขา

ก่อนประชุม Kelly โกนหนวดแบบ Groucho Marx ที่ติดหน้าของเขามาทั้งชีวิตออก ทำเอาทุกคนตกใจ แม้แต่เมียยังร้องกรี๊ด เขาบอกว่า “การปรับโครงสร้างก็เหมือนหนวดผม ถ้าไม่ดีก็เปลี่ยนกลับได้ ไม่เหมือนกับการตัดนิ้ว ที่ตัดแล้วตัดเลย”

เรื่องความฝืดในองค์กรเลยเหมือนการขับรถแข่ง บางทีต้องเร่ง บางทีต้องเบรก บางทีต้องหยุด สำคัญที่สุดคือต้องรู้ว่าเมื่อไหร่ควรทำอะไร

ความฝืดไม่ใช่ศัตรูที่ต้องกำจัด แต่เป็นเครื่องมือที่ต้องเรียนรู้วิธีใช้ ถ้าใช้เป็น มันช่วยให้เราทำงานได้ดีขึ้น ปลอดภัยขึ้น และสำเร็จได้อย่างยั่งยืน