หยุดคิดว่าทำไม่ได้! 3 เคล็ดลับจิตวิทยาที่จะเปลี่ยนคุณเป็นเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด

เรื่องราวอันน่าทึ่งในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เผยให้เห็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจเกี่ยวกับพลังของจิตใจ ในยามที่มอร์ฟีนขาดแคลน แพทย์สนามได้ใช้น้ำเกลือฉีดให้ทหารที่บาดเจ็บโดยบอกว่าเป็นมอร์ฟีน ผลปรากฏว่าน้ำเกลือสามารถบรรเทาความเจ็บปวดได้ถึง 90% เมื่อเทียบกับมอร์ฟีนจริง

เหตุการณ์ที่ Minnesota ยิ่งตอกย้ำพลังของจิตใจได้ชัดเจน เมื่อชายคนหนึ่งในการทดลองยาต้านซึมเศร้ากินยาเกินขนาดถึง 29 เม็ด เขาถูกนำส่งโรงพยาบาลด้วยอาการซีด ง่วงซึม สั่น และความดันโลหิตต่ำมาก

แพทย์พยายามรักษาอยู่ 4 ชั่วโมงแต่อาการไม่ดีขึ้น จนกระทั่งแพทย์จากการทดลองมาถึงและเปิดเผยความจริงว่ายาที่เขากินเป็นเพียงยาหลอก ทันทีที่ได้ยินความจริง อาการทั้งหมดของเขาก็หายเป็นปลิดทิ้ง!

นักจิตวิทยา Dan Ariely ได้ทำการทดลองที่น่าสนใจในปี 2011 โดยแจกแว่นกันแดดที่เหมือนกันทุกประการให้ผู้ร่วมทดลอง แต่บอกราคาต่างกัน ปรากฏว่ากลุ่มที่เชื่อว่าตนใส่แว่น Ray-Ban ราคาแพงสามารถอ่านตัวอักษรใต้แสงจ้าได้แม่นยำกว่ากลุ่มที่คิดว่าใส่แว่นราคาปานกลางถึงสองเท่า

ในทำนองเดียวกัน การทดลองกับหูฟังก็ให้ผลลัพธ์คล้ายคลึงกัน ผู้ที่คิดว่าใช้หูฟังราคาแพงสามารถได้ยินเสียงชัดเจนกว่าผู้ที่คิดว่าใช้หูฟังราคาถูก

นักวิทยาศาสตร์เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “The Expectation Effect” หรือผลของความคาดหวัง David Robson ได้รวบรวมงานวิจัยและนำเสนอวิธีการที่เราสามารถใช้ประโยชน์จากผลของความคาดหวังในชีวิตประจำวัน

พิธีกรรมคือกุญแจสำคัญประการแรก นักกีฬาระดับโลกอย่าง Serena Williams และ Rafael Nadal ต่างมีพิธีกรรมเฉพาะตัวก่อนการแข่งขัน งานวิจัยยืนยันว่าพิธีกรรมไม่ใช่เรื่องงมงาย แต่เป็นเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพที่ได้ผลจริง นักบาสเกตบอลที่ทำพิธีกรรมก่อนยิงจุดโทษมีโอกาสยิงสำเร็จมากกว่าถึง 12.4%

การทดลองที่ Harvard แสดงให้เห็นว่าแม้แต่พิธีกรรมที่ดูไร้สาระก็สามารถส่งผลต่อประสิทธิภาพได้ ผู้เข้าร่วมที่ทำพิธีกรรมง่ายๆ อย่างการวาดรูป โรยเกลือ และขยำทิ้ง มีคะแนนร้องเพลงดีขึ้นถึง 13 คะแนน แต่เมื่อเรียกการกระทำเดียวกันว่าเป็น “พฤติกรรมสุ่ม” กลับไม่เกิดผลใดๆ

กุญแจสำคัญประการที่สองคือการจินตนาการ การทดลองกับนักเรียนนายทหารพบว่า เมื่อพวกเขาจินตนาการว่าตนเองเป็นนักบิน พวกเขาสามารถมองเห็นตัวอักษรขนาดเล็กได้ชัดเจนขึ้น แม้ว่าในการทดสอบสายตามาตรฐานจะมองไม่เห็น นี่แสดงให้เห็นว่าการจินตนาการว่าตนเองเป็นผู้เชี่ยวชาญสามารถยกระดับความสามารถได้จริง

ประการสุดท้ายคือความเชื่อในพลังใจที่ไม่มีขีดจำกัด งานวิจัยพบว่าผู้ที่เชื่อว่าพลังใจเพิ่มขึ้นตามการใช้งานมีประสิทธิภาพในการทำงานสูงกว่าผู้ที่เชื่อว่าพลังใจมีจำกัด พวกเขาฟื้นตัวได้เร็วกว่าหลังจากวันที่เหนื่อยล้า และมี productivity สูงขึ้นในวันถัดไป

เทคนิคที่มีประสิทธิภาพในการใช้พลังของความคาดหวังคือการใช้วิธี “สองแล้วหยุด” เมื่อรู้สึกเหนื่อยล้า ให้ผลักดันตัวเองต่อไปอีกสองครั้งแล้วค่อยหยุดพัก วิธีนี้จะช่วยให้เราค้นพบว่าขีดจำกัดที่แท้จริงของเราอยู่ไกลกว่าที่คิด

Henry Ford เคยกล่าวไว้ว่า “ไม่ว่าคุณจะคิดว่าคุณทำได้หรือทำไม่ได้ คุณก็คิดถูก” คำกล่าวนี้สอดคล้องกับงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันว่าความคาดหวังของเรามีผลต่อความเป็นจริง

การเปลี่ยนกรอบความคิดอย่างง่ายๆ สามารถผลักดันขีดจำกัดของสิ่งที่เราทำได้ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างพิธีกรรม การจินตนาการ หรือการเชื่อในพลังใจที่ไม่มีขีดจำกัด ล้วนเป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้เราเข้าถึงศักยภาพที่แท้จริงของตนเอง

การค้นพบเกี่ยวกับผลของความคาดหวังยังแสดงให้เห็นว่า แม้แต่การคิดถึงกาแฟก็สามารถกระตุ้นสมองให้ตื่นตัวได้ เพราะร่างกายเรียนรู้ที่จะเชื่อมโยงกลิ่นและรสชาติของกาแฟกับการทำงานที่มีประสิทธิภาพ นี่คือตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าประสบการณ์ในอดีตสามารถสร้างความคาดหวังที่ส่งผลต่อพฤติกรรมและประสิทธิภาพในปัจจุบันได้

นักวิทยาศาสตร์ยังพบว่าความคาดหวังมีผลต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน การศึกษาที่ Harvard Medical School แสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยที่ได้รับยาหลอกแต่เชื่อว่าเป็นยาจริงมีการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าจิตใจมีพลังในการกระตุ้นการทำงานของร่างกายได้อย่างน่าอัศจรรย์

David Robson ได้เสนอแนะว่าการนำผลของความคาดหวังมาใช้ในชีวิตประจำวันไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานเท่านั้น แต่ยังสามารถช่วยในการดูแลสุขภาพกายและใจได้ด้วย เขายกตัวอย่างว่าการมองการออกกำลังกายว่าเป็นกิจกรรมที่สนุกและผ่อนคลาย แทนที่จะมองว่าเป็นภาระหน้าที่ จะทำให้เราได้ประโยชน์จากการออกกำลังกายมากขึ้น

นอกจากนี้ การฝึกสร้างความคาดหวังเชิงบวกยังสามารถช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวลได้ เมื่อเราเชื่อว่าความเครียดเป็นกลไกที่ร่างกายใช้เตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทาย แทนที่จะมองว่าเป็นอันตราย เราจะสามารถจัดการกับสถานการณ์ที่กดดันได้ดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม Robson เตือนว่าการใช้พลังของความคาดหวังควรอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง ไม่ใช่การหลอกตัวเองหรือปฏิเสธข้อจำกัดที่มีอยู่จริง แต่เป็นการเปิดใจยอมรับว่าศักยภาพของเรามักจะสูงกว่าที่เราคิด และความเชื่อของเราสามารถผลักดันขีดจำกัดนั้นให้ขยายออกไปได้

การศึกษาล่าสุดในปี 2023 ยังพบว่าผลของความคาดหวังสามารถส่งต่อจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งได้ เมื่อครูเชื่อว่านักเรียนมีศักยภาพสูง นักเรียนมักจะแสดงผลการเรียนที่ดีขึ้น เมื่อผู้จัดการเชื่อในความสามารถของทีม สมาชิกในทีมมักจะทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แสดงให้เห็นว่าพลังของความคาดหวังไม่ได้จำกัดอยู่เพียงระดับบุคคล แต่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงในระดับองค์กรและสังคมได้

“The Expectation Effect” ของ David Robson ไม่เพียงรวบรวมหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่น่าทึ่งเกี่ยวกับพลังของจิตใจ แต่ยังเสนอแนวทางปฏิบัติที่ทุกคนสามารถนำไปใช้ได้จริง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างพิธีกรรมส่วนตัว การใช้จินตนาการอย่างสร้างสรรค์ หรือการเชื่อในพลังใจที่ไม่มีขีดจำกัด ล้วนเป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้เราก้าวข้ามขีดจำกัดที่เราเคยเชื่อว่ามีอยู่ และเข้าถึงศักยภาพที่แท้จริงของตนเองได้ในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

References :
หนังสือ The Expectation Effect: How Your Mindset Can Change Your World โดย David Robson

Geek Life EP126 : ไม่มีพรสวรรค์ก็เก่งภาษาได้! จากเด็กอ่อนภาษาสู่ Polyglot ระดับโลก เส้นทางที่ใครก็ทำได้

การเรียนภาษาต่างประเทศเป็นความใฝ่ฝันของคนจำนวนมาก แต่หลายคนมักท้อใจเมื่อต้องใช้เวลาหลายปีในการเรียนเพียงหนึ่งภาษา โดยไม่สามารถพูดได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ในขณะเดียวกัน มีกลุ่มคนพิเศษที่เรียกว่า polyglot ที่สามารถพูดได้หลายภาษาอย่างคล่องแคล่ว พวกเขามีความลับอะไรที่ทำให้ประสบความสำเร็จในการเรียนภาษาได้ดีกว่าคนทั่วไป?

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/5n96he2a

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/2brnnv2r

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/iGYBzctymPM

Geek Story EP259 : ทำไม Compaq ถึงหายไป? ถอดบทเรียนการล้มยักษ์ IBM แต่พ่ายแพ้ให้กับ Dell

ในปี 1982 เมื่อโลกของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น เรื่องราวอันน่าทึ่งของ Compaq Computer ได้เริ่มขึ้น จากการรวมตัวของวิศวกรคอมพิวเตอร์สามคนจากบริษัท Texas Instruments ได้แก่ Rod Canion, Jim Harris และ Bill Murto ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 1,000 ดอลลาร์จากแต่ละคน พวกเขาได้สร้างปรากฏการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ธุรกิจ

การก่อตั้ง Compaq เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่ง เมื่อตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และผู้บริโภคเริ่มมองหาทางเลือกนอกเหนือจาก IBM PC ที่ครองตลาดอยู่ในขณะนั้น ความสำเร็จดำเนินต่อเนื่องในปี 1993 โดย Compaq สามารถเพิ่มรายได้เป็น 7 พันล้านดอลลาร์และทำกำไรสูงถึง 867 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่คู่แข่งอย่าง Apple ต้องแบกรับภาระการปรับโครงสร้าง 320 ล้านดอลลาร์ Dell ขาดทุน 75 ล้านดอลลาร์ และ IBM เพียงแค่เท่าทุน แล้วมันเกิดอะไรขึ้นที่ในทุกวันนี้เราแทบจะไม่ได้ยินชื่อ Campaq อีกต่อไป

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/y9tsxdke

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/35asvma6

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/4de8x3av

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/szsEOcPIo5s