รู้ไว้ก่อนถูกหลอก! 3 คำถามเด็ด พิชิตข่าวปลอมทางการแพทย์ ที่ใครๆ ก็ทำได้

เคยสงสัยไหมว่าทำไมผลการวิจัยทางการแพทย์จำนวนมากที่เราเห็นในสื่อถึงไม่เป็นความจริงอย่างที่นำเสนอ? วันนี้อยากชวนไปทำความรู้จักกับเบื้องหลังของงานวิจัยทางการแพทย์ ผ่านมุมมองของผู้ที่อยู่ในแวดวงนี้มาอย่างยาวนาน

เป็นอีกหนึ่งข้อมูลที่น่าสนใจมาก ๆ จากเวที Ted Talks โดย Dr.Karen Dawe นักวิทยาศาสตร์ด้านสุขภาพและผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ Karen รู้ว่าอะไรคือสิ่งสำคัญในการทำวิจัย และเธอมุ่งมั่นที่จะช่วยให้ทุกคนเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ไม่ต้องพึ่งพิงใครเมื่อต้องตั้งคำถามเกี่ยวกับข้อกล่าวอ้างด้านสุขภาพที่น่าสงสัยทางออนไลน์ ตั้งแต่คำแนะนำทางการแพทย์บน TikTok ไปจนถึงยาทางเลือกต่าง ๆ มากมาย

ย้อนกลับไปในช่วงที่ Karen กำลังทำปริญญาเอก หลังจากทุ่มเทเวลาถึง 18 เดือนกับการทดลองที่ไม่ประสบความสำเร็จ เธอเกือบจะยอมแพ้ แต่แล้วเธอก็ได้ค้นพบความจริงอันน่าทึ่ง: เพราะนั่นคือธรรมชาติที่แท้จริงของวิทยาศาสตร์

วิทยาศาสตร์คือการศึกษาสิ่งที่ไม่มีใครเคยรู้มาก่อน เป็นการลองผิดลองถูก บางครั้งเราเริ่มต้นจากกลุ่มตัวอย่างที่เล็กเกินไป และสิ่งที่เราคิดว่าน่าสนใจอาจเป็นเพียงความบังเอิญ

ในยุคดิจิทัลที่ข้อมูลด้านสุขภาพและการแพทย์แพร่กระจายอย่างรวดเร็วผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอย่าง TikTok, Facebook และ YouTube (หรือในไทยคือกลุ่ม Line) เราจำเป็นต้องรู้จักแยกแยะข้อมูลที่น่าเชื่อถือ

ในฐานะนักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสุขภาพที่ทำงานร่วมกับบริษัทต่างๆ ในการรวบรวมและประเมินหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ Karen ได้มาแบ่งปันประสบการณ์และความรู้ที่จะช่วยให้คุณสามารถประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลทางการแพทย์ได้ด้วยตัวเอง

จุดเริ่มต้นของการปฏิวัติวงการแพทย์

เรื่องราวที่น่าสนใจนี้เริ่มต้นในช่วงต้นทศวรรษ 1930 เมื่อนักศึกษาแพทย์หนุ่มนาม Archie Cochrane ประสบปัญหาด้านสุขภาพที่เขาเรียกว่า “ความบกพร่องทางเพศ” ตามธรรมเนียมของยุคสมัยนั้น เขาเดินทางไปพบ Sigmund Freud ที่เวียนนา โดยไม่รู้ว่าปัญหาของเขาเกิดจากภาวะทางพันธุกรรม ไม่ใช่ปัญหาทางจิตวิทยาอย่างที่คิด

ประสบการณ์ที่เวียนนาทำให้ Archie เริ่มตั้งคำถามกับวิธีการรักษาที่ไม่มีหลักฐานรองรับ เมื่อกลับไปเรียนแพทย์ เขาและเพื่อนๆ จึงตั้งกลุ่มที่คอยตั้งคำถามกับแพทย์ผู้สอนว่า “มีหลักฐานอะไรว่าการรักษาของคุณได้ผล?” คำถามที่ดูเรียบง่ายนี้กลับเผยให้เห็นว่าการรักษาทางการแพทย์จำนวนมากในยุคนั้นมีหลักฐานรองรับน้อยมาก

การค้นพบที่เปลี่ยนโลกในค่ายเชลยศึก

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อ Archie ตกเป็นเชลยศึกและต้องดูแลเชลยศึกชาวอังกฤษกว่า 8,000 คน ในสภาวะที่ขาดแคลนอาหารและยา เขาสังเกตเห็นว่าผู้ป่วยมีอาการบวมซึ่งอาจเกิดจากการขาดไทอามีนหรือวิตามินบี 1

ด้วยทรัพยากรที่จำกัด Archie จึงทำการทดลองแบบสุ่มครั้งแรกในประวัติศาสตร์การแพทย์ โดยแบ่งผู้ป่วยออกเป็นสองกลุ่มตามหมายเลขประจำตัวทหาร: กลุ่มหมายเลขคี่ได้รับยีสต์ (แหล่งของไทอามีน) ส่วนกลุ่มหมายเลขคู่ได้รับวิตามินซีเป็นยาหลอก ภายในเวลาเพียง 3 วัน ผลการทดลองแสดงให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน นำไปสู่การจัดหายีสต์มาให้ผู้ป่วยทั้งค่าย

หลักการพื้นฐานในการประเมินงานวิจัย

จากประสบการณ์อันยาวนานในวงการ Karen ได้กลั่นกรองหลักการประเมินความน่าเชื่อถือของงานวิจัยทางการแพทย์ลงเหลือเพียง 3 คำถามสำคัญที่ทุกคนสามารถนำไปใช้ได้:

ประการแรก เราต้องถามว่ามีการศึกษาในมนุษย์หรือไม่ เพราะการทดลองในห้องปฏิบัติการหรือในสัตว์ทดลองอาจให้ผลที่แตกต่างจากการใช้จริงในมนุษย์อย่างมาก ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ การฆ่าเซลล์มะเร็งในจานทดลองด้วยค้อน ซึ่งแน่นอนว่าไม่สามารถนำมาใช้รักษามะเร็งในคนได้จริง

ประการที่สอง เราต้องพิจารณาว่าผลการศึกษาไม่ได้เกิดจากการเข้าใจผิดหรือมีปัจจัยกวนอื่นๆ เช่น กรณีความสัมพันธ์ระหว่างจำนวนนักดับเพลิงกับมูลค่าความเสียหายจากไฟไหม้ ที่ดูเหมือนนักดับเพลิงทำให้ความเสียหายเพิ่มขึ้น แต่ความจริงคือขนาดของไฟต่างหากที่เป็นสาเหตุของทั้งสองอย่าง

ประการสุดท้าย เราควรให้ความสำคัญกับการทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุม (Randomized Control Trial) ซึ่งเป็นมาตรฐานสูงสุดของการวิจัยทางการแพทย์ การสุ่มช่วยกำจัดอคติและปัจจัยที่อาจส่งผลต่อผลการวิจัย

แหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้

ในยุคที่ข้อมูลท่วมท้น การเข้าถึงแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือเป็นสิ่งสำคัญ ฐานข้อมูล Cochrane Review ถือเป็นมาตรฐานทองคำของการทบทวนวรรณกรรมทางการแพทย์ (systematic review) โดยใช้เครื่องมือประเมินคุณภาพงานวิจัยที่พัฒนาขึ้นที่ Bristol และได้รับการยอมรับในระดับสากล

นอกจากนี้ ยังมีฐานข้อมูลการวิจัยทางการแพทย์ที่น่าเชื่อถืออื่นๆ เช่น PubMed Central, MEDLINE และ Web of Science ที่รวบรวมงานวิจัยคุณภาพสูงจากทั่วโลก

หรือในประเทศไทยมีสื่อที่ทำเรื่องนี้อย่าง “ชัวร์ก่อนแชร์” ที่ได้มาเปิดเผยเรื่องราวทางการแพทย์ปลอม ๆ (รวมถึงเรื่องราวข่าว fake news ด้านอื่น ๆ ) ที่ว่อนอยู่ในโลกออนไลน์ ซึ่งคนไทยก็สามารถนำมาใช้ในการเช็คข้อมูลก่อนได้ หรืออีกแหล่งก็คือ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย (Anti-Fake News Center Thailand) โดย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

บทส่งท้าย

ในฐานะผู้ป่วยโรคภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง (Autoimmune Disease) ที่ต้องพึ่งพายากดภูมิคุ้มกันตลอดชีวิต Karen เข้าใจดีถึงความหวังที่จะพบวิธีรักษาใหม่ๆ แต่เราต้องไม่ลืมตั้งคำถามสำคัญกับข้อมูลที่ได้รับ เพราะการตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลที่ถูกต้องจะนำไปสู่การรักษาที่มีประสิทธิภาพได้อย่างแท้จริง

References :
3 questions to ask before buying into health trends | Karen Dawe | TEDxBristol
https://youtu.be/Is0dBgMnlVU?si=vw4lLLwUXvjiJ11T

Geek Life EP99 : ปรัชญาแห่งความมั่งคั่ง บทเรียนอันล้ำค่าจากหนังสือ The Richest Man in Babylon

ในโลกที่เต็มไปด้วยความผันผวนทางการเงิน การเรียนรู้หลักการบริหารเงินที่ยืนหยัดผ่านกาลเวลามาหลายพันปีอาจเป็นเข็มทิศนำทางชีวิตทางการเงินของเราได้อย่างดี

หนังสือ The Richest Man in Babylon ได้ถ่ายทอดภูมิปัญญาทางการเงินผ่านเรื่องเล่าอันทรงคุณค่า โดยมี Arkad ผู้เป็นเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในนครบาบิโลนโบราณเป็นผู้ถ่ายทอดหลักปรัชญาแห่งความมั่งคั่ง

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/yc7vujuh

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/mrxd6zr5

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/tMaqBJPchaE

Geek Story EP246 : เมื่อจีนแซงหน้า Silicon Valley จาก Alibaba ถึง TikTok เส้นทางครองโลกของเทคโนโลยีจีน

จีนค่อยๆ ก้าวขึ้นมาเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา การเติบโตนี้ทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Tencent, Alibaba และ Huawei กลายเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลก ผู้คนนับล้านใช้ผลิตภัณฑ์ของพวกเขาทุกวัน ตั้งแต่เกมออนไลน์ การช้อปปิ้งออนไลน์ ไปจนถึงโทรศัพท์มือถือ และในอนาคตอันใกล้จะเพิ่มเป็นหลายพันล้านคน แต่การเติบโตเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างเงียบๆ ผู้คนรู้ว่าพวกเขาพึ่งพาสินค้าที่ผลิตในจีน แต่ไม่ทราบว่าแพลตฟอร์มที่ใช้อยู่นั้นเป็นของจีน

ยกตัวอย่างเช่น ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หนึ่งในแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดคือ Lazada ซึ่ง Alibaba เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ในยุโรปแบรนด์รถยนต์ชื่อดังอย่าง Volvo Cars ก็เป็นของบริษัทจีนอย่าง Geely และที่เห็นได้ชัดคือ ByteDance บริษัทเจ้าของ TikTok ที่กลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลก

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/4p6ncmd8

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/42zcjwpn

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/4df4hs83

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/ent4gtzvFpE

วิธีสร้างวินัยแบบไม่ต้องฝืน : 5 เคล็ดลับสร้างวินัยแบบไม่ทรมาน จาก Iceman ถึง Stoic

วินัยในตนเองเป็นหัวข้อที่ได้รับความสนใจอย่างมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะในยุคที่สังคมออนไลน์เต็มไปด้วยเสียงเรียกร้องให้ทุกคนต้องมีวินัยอย่างเข้มงวด แต่ความจริงแล้ว การมองวินัยในแง่มุมที่สุดโต่งเกินไปอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดและการปฏิบัติที่ไม่เหมาะสม

บทความนี้เป็นข้อมูลที่น่าสนใจจากช่อง Ali Abdaal ซึ่งเป็นทั้ง YouTuber , Podcaster และผู้เขียนหนังสือขายดีของ New York Times เรื่อง Feel Good Productivity ที่ได้กล่าวเจาะลึกถึงแก่นแท้ของวินัยในตนเอง พร้อมแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนและเหมาะสมกับชีวิตจริง

ทำความเข้าใจความหมายที่แท้จริงของวินัย

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นกระแสการนำเสนอเรื่องวินัยในรูปแบบที่บิดเบือน โดยเฉพาะจากกลุ่มที่เรียกว่า “hustle bros” ที่มักจะสื่อสารว่าการขาดวินัยเป็นความผิดปกติที่ต้องแก้ไข และวินัยคือคำตอบสำหรับทุกปัญหาในชีวิต แต่ความจริงแล้ว เราต้องแยกแยะให้ออกระหว่าง “วินัย” และ “แรงจูงใจ”

วินัยคือการทำในสิ่งที่เราไม่อยากทำ แต่หากเป็นสิ่งที่เราอยากทำ นั่นคือแรงจูงใจ การทำความเข้าใจความแตกต่างนี้จะช่วยให้เราพัฒนาวินัยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เปรียบเสมือนการเดินทางขึ้นภูเขา ช่วงแรกอาจต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการปีนขึ้นไป แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง การเดินทางจะง่ายขึ้นเมื่อเราเริ่มชินกับเส้นทางและมีความสุขกับการเดินทาง

5 เคล็ดลับในการพัฒนาวินัยในตนเองที่ยั่งยืน

การค้นหาแก่นแท้ของเป้าหมาย

นักปรัชญา Seneca เคยกล่าวไว้ว่า “ถ้าคนๆ หนึ่งไม่รู้ว่าจะแล่นเรือไปท่าไหน ลมที่พัดมาก็ไม่มีประโยชน์” คำกล่าวนี้สะท้อนให้เห็นความสำคัญของการมีเป้าหมายที่ชัดเจน ในยุคที่มีสิ่งเร้ามากมาย การโฟกัสกับสิ่งที่สำคัญจริงๆ จึงเป็นกุญแจสำคัญของความสำเร็จ

การเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ตัวอย่างที่น่าสนใจคือ Wim Hof หรือที่รู้จักกันในนาม Iceman ผู้สร้างสถิติโลก Guinness ในการแช่น้ำแข็งนานที่สุดถึง 1 ชั่วโมง 52 นาที 42 วินาที การพัฒนาความสามารถนี้ใช้เวลากว่า 20 ปี เริ่มต้นจากการฝึกฝนทีละเล็กทีละน้อยตั้งแต่อายุ 17 ปี

เช่นเดียวกับการปลูกต้นไม้ การพัฒนาวินัยต้องการการดูแลและความอดทน เราไม่สามารถเร่งการเติบโตได้ แต่สามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมเพื่อให้เกิดการเติบโตที่ยั่งยืน

การสร้างสมดุลระหว่างตัวตนสองด้าน

มนุษย์ทุกคนมีตัวตนสองแบบที่ต้องการสิ่งที่แตกต่างกัน: ตัวตนระดับสูงที่มุ่งเน้นเป้าหมายระยะยาว และตัวตนระดับต่ำที่ต้องการความพึงพอใจแบบทันทีทันใด การสร้างสมดุลระหว่างตัวตนทั้งสองนี้เป็นศิลปะที่ต้องฝึกฝน

การวางโครงสร้างที่ยืดหยุ่น

ความสำเร็จในระยะยาวต้องการทั้งโครงสร้างและความยืดหยุ่น การกำหนดกรอบการทำงานที่ชัดเจนแต่ไม่เคร่งครัดจนเกินไปจะช่วยให้เราสามารถรักษาวินัยได้อย่างต่อเนื่อง

การยึดมั่นในระบบที่ใช้ได้ผล

Ryan Holiday นักเขียนผู้มีผลงานมากมาย ใช้ระบบการเขียนแบบเดียวมานานกว่า 20 ปี แม้จะมีระบบใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย แต่เขายังคงยึดมั่นกับสิ่งที่ได้ผล นี่คือตัวอย่างของการมีวินัยที่แท้จริง

บทสรุป

Seneca ใช้คำว่า “Tranquility” หรือความสงบ นิ่ง เพื่ออธิบายสภาวะที่เราเข้าใจเส้นทางของตนเองอย่างชัดเจนและไม่หวั่นไหวกับสิ่งรบกวนภายนอก การพัฒนาวินัยในตนเองก็เช่นกัน ไม่ใช่การบังคับตนเองอย่างเข้มงวด แต่เป็นการเข้าใจและยอมรับในกระบวนการพัฒนาที่ต้องใช้เวลา

การพัฒนาวินัยที่ยั่งยืนคือการสร้างสมดุลระหว่างความมุ่งมั่นและความเข้าใจต่อตัวเอง ซึ่งเป็นการเดินทางที่ต้องอาศัยทั้งความอดทนและความเข้าใจในธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลง

References :
5 Easy Ways to Become More Self-Disciplined
https://youtu.be/IFSMQJCda10?si=t8VZH8Py-eOoal7P