Geek Daily EP254 : สุสานรถ EV จีน กับภาวะ Oversupply ที่ประเทศใดก็ยากที่จะต่อกร

สถานการณ์เศรษฐกิจจีนที่กำลังชะลอตัวกับปัญหา Oversupply ตลาดรถ EV ในขณะนี้สะเทือนมายังผู้ประกอบการพลังงานรายใหญ่ของไทยแล้ว ส่งผลให้ บมจ.ปตท. (PTT) อาจจำเป็นต้องตัดสินใจถอนการลงทุนในโครงการร่วมทุนมูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาท กับกลุ่ม Foxconn เพื่อตั้งโรงงานผลิตรถ EV ในไทย

รัฐบาลจีนทุ่มเงินสนับสนุนภาคส่วนนี้ เทคโนโลยีพัฒนาอย่างรวดเร็ว ทำให้รถรุ่นเก่าล้าสมัยเร็วตามไปด้วย และสถานการณ์ในตอนนี้ทุกประเทศต่างกังวลว่าจีนจะผลิตรถไฟฟ้าล้นตลาดโลก และมีสัญญาณให้เห็นแล้วในจีน ที่ Hangzhou ที่สามารถพบรถไฟฟ้าใหม่นับร้อยคันจอดกลางแจ้งรอการขายที่สภาพไม่ต่างจากสุสานรถ EV

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/2wdxw3ye

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/3rbyw5jk

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/55yxrw7n

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/tAU0NMLngMw

Geek Life EP98 : เมื่อจิตใต้สำนึกหลอกคุณ! รู้ทันกลโกงของสมอง วิธีเอาชนะความคิดที่ทำร้ายตัวเอง

มนุษย์เราต่างภาคภูมิใจในความสามารถที่จะควบคุมความคิดและการตัดสินใจของตนเอง แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่า แท้จริงแล้วการตัดสินใจของเราถูกชี้นำโดยกลไกที่ซ่อนอยู่ในจิตใต้สำนึก ซึ่งส่งผลต่อมุมมองและการรับรู้โลกรอบตัวของเราอย่างลึกซึ้ง

พอดแคสต์ EP นี้จะพาท่านสำรวจกับดักทางความคิดที่น่าสนใจ ซึ่งเป็นข้อมูลจาก Daniel Kahneman นักจิตวิทยาผู้ได้รับรางวัล Nobel Prize และผู้แต่งหนังสือชื่อดังอย่าง “Thinking Fast and Slow”

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/3n2creya

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/bdffkecz

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/dbet-e7e2AY

เส้นทางชีวิตที่ไม่ธรรมดาของ Tim Cook : เมื่อความสำเร็จไม่ได้มาจากการวางแผน แต่มาจากการกล้าคว้าโอกาส

เป็นอีกหนึ่งบทสัมภาษณ์ที่น่าสนใจจาก WSJ ที่ได้สัมภาษณ์ Tim Cook และได้เปิดเผยเรื่องราวชีวิตอันน่าทึ่งของเขา เริ่มต้นจากเด็กหนุ่มที่ต้องตื่นตีสามเพื่อส่งหนังสือพิมพ์ จนก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเทคโนโลยีที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก

จุดเริ่มต้นของเขาไม่ได้แตกต่างจากเด็กทั่วไปในครอบครัวชนชั้นแรงงาน ด้วยความที่ครอบครัวปลูกฝังให้ทุกคนต้องทำงาน Tim จึงเริ่มทำงานตั้งแต่อายุ 12 ปี ด้วยการเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์ ซึ่งต้องตื่นแต่เช้ามืดเพื่อไปรับหนังสือพิมพ์กองใหญ่มาส่งให้ลูกค้า ก่อนจะกลับมางีบหลับสักเล็กน้อยและไปโรงเรียน

ความถนัดแรกที่ Tim ค้นพบในตัวเองคือวิชาคณิตศาสตร์ เขาเป็นนักเรียนที่เรียนเก่งและชื่นชอบการแก้โจทย์สมการที่ซับซ้อน ด้วยความฝันที่อยากเป็นวิศวกร ทำให้เขาเลือกเรียนต่อด้านวิศวกรรมศาสตร์ในมหาวิทยาลัย

การเป็นคนแรกในครอบครัวที่ได้เรียนมหาวิทยาลัยถือเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง เงินที่ได้จากการส่งหนังสือพิมพ์ช่วยให้เขาสามารถเข้าเรียนที่ Auburn University ได้ Tim ตระหนักดีว่านี่เป็นโอกาสครั้งสำคัญที่จะต้องไม่ปล่อยให้สูญเปล่า เพราะการศึกษาคือประตูสู่อนาคตที่ดีกว่า

หลังจบการศึกษา Tim เริ่มต้นชีวิตการทำงานที่ IBM ในเดือนมกราคม ปี 1983 ด้วยการขับรถพร้อมข้าวของเท่าที่มีไปเช่าอพาร์ตเมนต์หลังแรกในชีวิต แม้จะต้องนอนกับพื้นในช่วงแรกเพราะยังไม่มีเงินซื้อเตียง แต่ IBM ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเพราะที่นั่นเต็มไปด้วยคนฉลาดจากทั่วโลก

จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตมาถึงเมื่อ Steve Jobs ชวนให้เขาไปร่วมงานที่ Apple ในช่วงที่บริษัทกำลังประสบปัญหาหนัก หลายคนพยายามทัดทานไม่ให้ Tim ไปร่วมงานกับ Apple เพราะเชื่อว่าบริษัทกำลังจะล้มละลาย แต่สิ่งที่ Tim เห็นคือประกายในดวงตาของ Steve และวิสัยทัศน์ที่แตกต่าง

Steve มีความเชื่อมั่นว่าทีมขนาดเล็กสามารถสร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่ได้ และต้องการปรับทิศทางของ Apple ให้โฟกัสที่ผู้บริโภคมากขึ้น ซึ่งในขณะนั้นเป็นแนวคิดที่แหวกแนวมาก เพราะทุกคนเชื่อว่าการทำธุรกิจกับองค์กรเท่านั้นที่จะทำกำไรได้

บทเรียนสำคัญที่ Tim ได้เรียนรู้จาก Steve คือการให้คุณค่ากับนวัตกรรมและการกล้าที่จะคิดต่าง การรู้จักรวมตัวคนเก่งที่มีทักษะแตกต่างกันเข้ามาทำงานร่วมกัน และที่สำคัญคือการไม่ยึดติดกับความคิดเดิมๆ พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงเมื่อมีข้อมูลหรือมุมมองใหม่ที่ดีกว่า

ปัจจุบัน Tim ยังคงรักษาความกระตือรือร้นในการทำงาน เขาตื่นแต่เช้าเพื่ออ่านอีเมลจากลูกค้าทั้งคำชมและคำติชม ซึ่งช่วยให้เขารับรู้ถึงสถานการณ์ของบริษัท Tim มองว่าการรับฟังคำวิจารณ์อย่างเปิดใจและพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเป็นสิ่งสำคัญ แทนที่จะรีบปกป้องตัวเองหรือปฏิเสธความคิดเห็นของผู้อื่น

แม้จะประสบความสำเร็จอย่างสูง แต่ Tim ยังคงรักษาความถ่อมตนและความสนุกในการทำงาน เขามองว่างานของเขายอดเยี่ยมมาก ในขณะที่ CEO คนอื่นๆ มักบ่นว่างานของพวกเขาแย่แค่ไหน

Tim เชื่อว่าความสำเร็จไม่ได้มาจากการวางแผนอย่างเดียว แต่อยู่ที่การรู้จักคว้าโอกาสเมื่อประตูเปิด และกล้าที่จะก้าวเดินผ่านประตูบานนั้น เพราะชีวิตมักจะพาเราไปไกลเกินกว่าแผนที่วางไว้เสมอ

References :
Apple CEO Tim Cook on How Steve Jobs Recruited Him and More | The Job Interview
https://youtu.be/m4RVTK7iU1c?si=KyWLy2TA4Ss9cOtU

“Betagro Ventures” ร่วมลงทุน “Plantible” รอบ Series B  มุ่งสร้างระบบอาหารที่มั่นคงและยั่งยืน ด้วยนวัตกรรม Rubi Protein® ตอบโจทย์อาหารแห่งอนาคต

“BETAGRO Ventures” หน่วยงานด้านการลงทุนและพัฒนานวัตกรรม ภายใต้ “บริษัท  เบทาโกร จำกัด (มหาชน)” หรือ “BTG” บริษัทอาหารครบวงจรชั้นนำของไทย ประกาศความสำเร็จในการร่วมลงทุน “Plantible” รอบ Series B ร่วมกับพันธมิตรนักลงทุนเชิงกลยุทธ์และการเงินระดับโลก ภายใต้วงเงินรวม 30 ล้านเหรียญสหรัฐ ในการสนับสนุนสตาร์ทอัพด้าน Functional ingredient ที่โดดเด่นที่สุดในปี 2567 เพื่อสร้างความยั่งยืนด้านอาหาร

  • การระดมทุนรอบ Series B ของ Plantible มูลค่า 30 ล้านเหรียญสหรัฐ นำโดย Piva Capital และ Siddhi Capital พร้อมการสนับสนุนจาก Betagro Ventures, Chipotle Mexican Grill, Griffith Foods และ Astanor Ventures
  • Plantible บริษัทด้านเทคโนโลยีชีวภาพในสหรัฐอเมริกาที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2561 มีฐานการผลิตในรัฐแคลิฟอร์เนียและเท็กซัส ที่มุ่งเน้นการพัฒนาและผลิตโปรตีนจากพืช โดยเฉพาะ Rubi Protein® ซึ่งเป็นโปรตีนที่มีคุณสมบัติโดดเด่นด้านคุณค่าทางโภชนาการ และการใช้งานเป็นวัตถุดิบในผลิตภัณฑ์อาหารได้หลากหลาย ทั้งในผลิตภัณฑ์อาหารจากพืช เนื้อสัตว์ และเบเกอรี่ ตลอดจนผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ โดยการระดมทุนของ Plantible ครั้งนี้จะถูกนำไปใช้ในการขยายกำลังการผลิตในโรงงานขนาด 100 เอเคอร์ในรัฐเท็กซัส และตั้งเป้าเพิ่มรายได้ถึง 10 เท่าภายใน 12 เดือน
  • การลงทุนของ Betagro Ventures ใน Plantible รวมถึงความร่วมมืออื่น ๆ ที่อยู่ระหว่างการดำเนินงาน จะช่วยสนับสนุนธุรกิจอาหาร และอาหารสัตว์ของเบทาโกร ในการเป็นพันธมิตรกับสตาร์ทอัพที่มีนวัตกรรม เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนและมีฉลากสะอาด (clean label) พร้อมทั้งสำรวจการใช้งานในรูปแบบเฉพาะทางในพอร์ตผลิตภัณฑ์ของเบทาโกรต่อไป

นายชยธร แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่ กลุ่มงานกลยุทธ์และนวัตกรรม บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ BTG และกรรมการผู้จัดการ Betagro Ventures กล่าวว่า Plantible เป็นสตาร์ทอัพที่ตอบโจทย์ความต้องการของเบทาโกร ทั้งในด้านนวัตกรรมการผลิตโปรตีนจากพืชที่ทันสมัย และมีศักยภาพในการสร้างผลกระทบเชิงกลยุทธ์สำหรับเบทาโกรในระดับสูง โดยเฉพาะความสามารถในการนำเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์มาใช้เพื่อตอบโจทย์ความต้องการร่วมกันได้อย่างชัดเจน 

“ความร่วมมือกับ Plantible ที่นำโดย “นายโทนี่ มาร์เทนส์ เฟคินี” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ “นายมอริทส์ แวน เดอ เวน” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ จะช่วยเสริมสร้างการเติบโตของธุรกิจของเบทาโกร เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของธุรกิจอาหารและอาหารสัตว์ รวมถึงสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีความยั่งยืน ตอบโจทย์ตลาดในระยะยาวอีกด้วย”

ขณะที่ นายโทนี่ มาร์เทนส์ เฟคินี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Plantible กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีที่ได้ร่วมมือกับ BETAGRO Ventures ในฐานะพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ที่มีวิสัยทัศน์ร่วมกันในการปฏิวัติระบบอาหารโลก โดยการลงทุนครั้งนี้เป็นการนำศักยภาพของ Rubi Protein® ในการตอบสนองความต้องการตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีความต้องการสารอาหารที่มีคุณภาพสูงอย่างเพียงพอและต่อเนื่อง ผสานกับความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารของเบทาโกร ซึ่งเรามั่นใจว่าจะสามารถขยายธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงสร้างผลกระทบเชิงบวกที่ต่อภูมิภาคนี้ ตลอดจนสร้างระบบอาหารที่มั่นคงและยั่งยืนในระดับโลกต่อไป”

การลงทุนครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการสนับสนุนการเติบโตของ Plantible แต่ยังเป็นก้าวสำคัญสำหรับเบทาโกรในการร่วมมือกับสตาร์ทอัพที่มีนวัตกรรมระดับโลก เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในอนาคตอย่างแท้จริง นายชยธร กล่าวทิ้งท้าย

ย้อนตำนานต้นกำเนิดปิกอัพมาสด้าในประเทศไทยกว่า 74 ปี ยังคงสรรสร้างยนตรกรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะไม่เหมือนใคร

การไหลผ่านของเวลาที่ล่วงเลยมาอย่างยาวนานของมาสด้า คือบทพิสูจน์บนเส้นทางแห่งความสำเร็จในการมุ่งมั่นพัฒนายานยนต์ไปพร้อมกับการสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า และความภาคภูมิใจแห่งยนตรกรรม ตลอดระยะเวลาอันยาวนานยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเอง ด้วยก้าวย่างที่มั่นคง แข็งแรง สร้างพื้นฐานไว้อย่างแน่นหนา จวบจนปัจจุบัน เป็นบทสรุปแห่งความสำเร็จกว่า 74 ปี ในประเทศไทย

“มาสด้า” ก่อตั้งโดย “คุณจูจิโร่ มัทซึดะ” เริ่มต้นจากอุตสาหกรรมจุกไม้คอร์กในปี พ.ศ. 2463 ต่อมาเริ่มผลิตเครื่องมือกลไกในปี พ.ศ. 2472 เนื่องจากเป็นผู้ที่หลงใหลในเทคโนโลยีของรถมอเตอร์ไซค์ ทำให้ มร. มัทสึดะ ก้าวเข้าสู่โลกของการผลิตมอเตอร์ไซค์ กระทั่งในปี พ.ศ. 2474 จึงได้เริ่มผลิตรถบรรทุกสามล้อ เรียกว่า “มาสด้า โก” เป็นรถคันแรกที่ผลิตออกสู่ตลาดในนาม “มาสด้า” ก่อนที่จะได้เริ่มผลิตเครื่องยนต์ 2 จังหวะ เป็นรายแรกของโลก ปัจจุบัน “มาสด้าเป็นผู้ผลิตเพียงรายเดียวที่ผลิตเครื่องยนต์โรตารี่”

ตำนานที่คงอยู่ตลอดกาล หลังจากเริ่มนำรถมาสด้าเข้ามาให้คนได้รู้จัก ในปี พ.ศ. 2507 โดย บริษัท กมลสุโกศล ได้นำเข้าปักอัพมาสด้าตัวแรก รุ่น 800 ซีซี 4 สูบ เข้ามาจำหน่ายในชื่อรุ่น “Familia 800” ความจุ 782 ซีซี 48 แรงม้า แบบ 4 ประตู ซึ่งได้รับความนิยมและถูกกล่าวขานมาจนถึงปัจจุบัน

Familia 800

ลงทุนสร้างโรงงานในไทยปักหลักตลาดสำคัญฐานผลิตและส่งออกทั่วโลก

ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2538 มาสด้าได้ตกลงร่วมทุนกับพันธมิตรก่อตั้ง บริษัท ออโต้อัลลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นโรงงานผลิตและประกอบรถยนต์แห่งใหม่ที่จังหวัดระยอง และเริ่มทำการผลิตเต็มอัตราในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2540 บนเนื้อที่ 529 ไร่ ด้วยเงินลงทุนถึง 500 ล้านเหรียญสหรัฐ มีกำลังการผลิต 135,000 คันต่อปี และผลิตรถกระบะขนาด 1 ตัน รุ่น B2500 สำหรับส่งออก และจำหน่ายภายในประเทศ รวมถึงรถยนต์นั่งรุ่น 323 โปรทีเจ

มาถึงปี พ.ศ. 2542 ด้วยความเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทย มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น จึงได้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้น จัดตั้งคณะผู้บริหารใหม่ เปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่ เป็น “บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด” มุ่งเน้นแนวทางการบริหารไปที่ด้านการตลาด การขาย การบริการลูกค้า และการสนับสนุนผู้จำหน่าย

เพื่อนำเสนอรถยนต์มาสด้ารุ่นต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น ทำให้มาสด้าเริ่มต้นการผลิตรถปิกอัพที่ ชื่อว่า มาสด้า ไฟเตอร์ โฉมใหม่ ถือเป็นผู้บุกเบิกรถปิกอัพที่มีประตูแค็บเปิดได้เป็นครั้งแรกของโลก และทำให้มาสด้าประสบความความสำเร็จอย่างสูง โดยมียอดขายสะสมสูงกว่า 55,000 คัน

จุดเริ่มต้นตำนาน MAZDA BT-50

เมื่อเดือนมีนาคม 2549 มาสด้าเปิดตัวแนะนำรถสปอร์ตปิกอัพ MAZDA BT-50 เครื่องยนต์คอมมอลเรล ให้พลังแรงเต็มพิกัด ด้วยรูปลักษณ์โฉบเฉี่ยวทั้งภายนอกและภายใน พิถีพิถันใส่ใจทุกรายละเอียด ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ซูม-ซูม” โชว์เทคโนโลยีด้านวิศวกรรมยานยนต์สุดล้ำแห่งอนาคต พร้อมระบบความปลอดภัยเต็มคัน สร้างชื่อเสียงของแบรนด์มาสด้าให้กระหึ่มทั่วโลกอีกครั้ง

รถปิกอัพมาสด้า BT-50 ได้รับการออกแบบภายใต้ DNA ของมาสด้า ประกอบด้วยดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยว พิถีพิถันทุกรายละเอียด และขีดสุดแห่งพลังที่สอดคล้องเป็นหนึ่งเดียว เป็นรถปิกอัพโฉมเฉี่ยวสไตล์ ซูม-ซูม รวมถึงเครื่องยนต์อันทรงพลัง คอมมอนเรล ชื่อ มาสด้า BT-50 เป็นชื่อที่ใช้สำหรับตลาดทั่วโลก

คำว่า มาสด้า BT-50 มาจาก B-Series Truck ซึ่งเป็นรหัสที่ใช้เรียกรถปิกอัพมาสด้ามาอย่างยาวนานและถือเป็นตำนานรถปิกอัพมาสด้า ส่วนตัวเลข 50  หมายถึงความสมดุลที่อยู่กึ่งกลางของน้ำหนักการบรรทุกของปิกอัพครึ่งตัน และมีน้ำหนักบรรทุกมากกว่า 1 ตัน

ซึ่งสร้างความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อรถรุ่นนี้ได้เปิดตัวที่ประเทศไทยเป็นแห่งแรกของโลก โดยผลิตจากโรงงานออโต้อัลลายแอนซ์ มีมาตรฐานเดียวกับโรงงานมาสด้า ประเทศญี่ปุ่น ควบคุมดูแลโดยทีมวิศวกรมาสด้า ผลิตและจำหน่ายภายในประเทศและส่งออกไปยังกว่า 130 ประเทศ ทั่วโลก

มาสด้า BT-50 เครื่องยนต์ใหม่ล่าสุด ดีเซล ไดเรคท์อินเจ็คชัน เทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ พร้อมระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิงเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด คอมมอนเรล มีให้เลือกทั้งแบบ MZR-CD 3,000 ซีซี 156 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 380 นิวตันเมตร และ MZR-CD 2,500 ซีซี 143 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 330   นิวตันเมตร ถือได้ว่าเป็นเครื่องยนต์ที่แรงที่สุดในรถกระบะเมืองไทย เพราะให้แรงบิดสูงสุดมหาศาลอย่างต่อเนื่อง

สร้างมาตรฐานปิกอัพใหม่แนะนำฟรีสไตล์แค็ปเจ้าแรกจนเป็นที่นิยมในตลาด 

ต่อมาในเดือนมกราคม 2555 มาสด้าเริ่มสตาร์ทอีกครั้ง ด้วยการแนะนำ มาสด้า บีที-50 โปร ใหม่ มาพร้อมคอนเซ็ปต์แบบฮีโร่ “ขับเคลื่อนทุกสิ่ง…ให้เป็นจริงได้” ซึ่งเป็นรถปิกอัพรุ่นใหม่ล่าสุดจากสายการผลิตในประเทศไทยที่พร้อมอวดโฉมอันสง่างามดุจรถยนต์นั่งระดับหรู ที่ลบภาพความเป็นปิกอัพแบบเดิมๆ จนหมดสิ้น

เหนือชั้นด้วยรูปลักษณ์ดีไซน์ที่สปอร์ตโฉบเฉี่ยวสไตล์ ซูม-ซูม มาพร้อมเครื่องยนต์อันทรงพลังแรงสุดในตลาด ดีไอ-ธันเดอร์ โปร (Di-THUNDER PRO) อัดแน่นด้วยออพชั่นที่ใส่มาแบบเต็มๆ รูปลักษณ์การออกแบบที่งดงามทั้งภายนอกและภายในดุจรถอเนกประสงค์สุดหรูและมีมิติขนาดที่ใหญ่สุดในตลาด

ซึ่งมาสด้า บีที-50 โปร ใหม่ มีให้ลูกค้าได้เลือกหลายรุ่นทั้ง ฟรีสไตล์แค็ป หรือบานแค็ปเปิดได้ และดับเบิ้ลแค็ป 4 ประตู มาใน 2 เครื่องยนต์ คือ ดีไอ-ธันเดอร์ โปร 3.2 ลิตร 200 แรงม้า แรงบิด 470 นิวตันเมตร  และ ดีไอ-ธันเดอร์ โปร 2.2 ลิตร 150 แรงม้า แรงบิด 375 นิวตันเมตร ที่ให้ทั้งความแรงและประหยัดน้ำมัน

มีทั้งแบบขับเคลื่อน 2 ล้อ และ 4 ล้อ โดยเฉพาะรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อแบบยกสูง หรือ Hi-Racer จะเป็นจุดขายที่สำคัญของมาสด้าซึ่งจะทำให้มาสด้าบรรลุเป้าหมายการขายรถปิกอัพที่ตั้งไว้ในปีนี้  22,000 คันอย่างแน่นอน

ปิกอัพมาสด้า บีที-50 โปร ใหม่ ได้ฉีกทุกกฎของการออกแบบปิกอัพแบบเดิมๆ ด้วยการผสมผสานแนวคิดการออกแบบที่เน้นความสวยงามมีสไตล์ ควบคู่กับการใช้งานของปิกอัพที่มากกว่ารถเก๋ง

ออกแบบภายใต้แนวคิด “นากาเร่” เป็นความงดงามที่อยู่ในธรรมชาติ ด้วยเส้นสายที่พลิ้วไหวและดุดันมาประยุกต์ให้เข้ากับแนวคิดการออกแบบ “โคโดะ” หรือจิตวิญญาณแห่งการเคลื่อนไหว ด้วยแรงบันดาลใจจากภาพของเสือชีต้าห์อันสง่างาม น่าเกรงขาม แต่คงไว้ซึ่งความปราดเปรียวและพลังที่ดุดัน พร้อมกระโจนไปข้างหน้าอย่างว่องไว

ทำให้มาสด้า บีที -50 โปร ใหม่ เป็นปิกอัพคันแรกของโลกที่มีเส้นสายที่สวยงามพลิ้วไหวอยู่รอบคันตั้งแต่ด้านหน้าจรดท้าย ให้อารมณ์ความสปอร์ตและมีบุคลิกที่โดดเด่น ฉีกออกจากรถปิกอัพแบบเดิม ๆ นอกจากนี้สิ่งอำนวยความสะดวกที่มาพร้อมรูปลักษณ์อันสง่างามทันสมัยนี้ คือความลงตัวใหม่สำหรับทุกรูปแบบการใช้งาน และยังมีขนาดของมิติตัวถังที่ใหญ่สุดในตลาดรถปิกอัพของประเทศไทย สร้างความสำเร็จอย่างมากด้วยยอดขายสะสมสูงถึง 110,000 คัน 

มาสด้า นักสู้ผู้ไม่เคยย่อท้อ

ล่าสุดเมื่อเดือนมกราคม 2564 ท่ามกลางการเผชิญหน้ากับวิกฤตโคโรน่าไวรัส แต่มาสด้าไม่เคยย่อท้อต่ออุปสรรคใด ๆ มาสด้าเปิดตัวปิกอัพที่ลูกค้าทั่วโลกใฝ่ฝันและเฝ้ารอมานาน กับ All-New Mazda BT-50 เจเนอเรชั่นใหม่ ด้วยการผนวกคุณสมบัติของรถปิกอัพที่ดีที่สุดในโลกรวมเป็นหนึ่งเดียว คือ รถปิกอัพที่ถูกออกแบบอย่างสง่างามที่สุดโลก คัดสรรด้วยวัสดุคุณภาพระดับพรีเมี่ยม ประหยัดน้ำมันมากที่สุด มีความทนทานสูงสุด รวมทั้งค่าดูแลรักษาต่ำสุด  กลับมายึดฐานลูกค้าเพื่อสร้างความตื่นเต้นให้กับตลาดรถปิกอัพอีกครั้ง

All-New Mazda BT-50 เจนเนอเรชั่นใหม่ “พร้อม…กับทุกด้านของชีวิต” เติมเต็มทุกมิติของชีวิตดุจ Life-Partner สัมผัสแห่งดีไซน์อันสง่างามจาก “โคโดะ ดีไซน์” เน้นความเรียบง่ายแต่งดงาม เฉกเช่นเดียวกับรถยนต์นั่งและรถเอสยูวีตระกูล CX Series เจเนอเรชั่นใหม่ของมาสด้า ที่ผสานกับรูปลักษณ์อันทรงพลังสไตล์ปิกอัพ โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยล้ำสมัย มอบความสะดวกสบายเสมือนรถเอสยูวี และคุ้มค่าด้วยอัตราประหยัดน้ำมันมากที่สุดในคลาส

การผนวกรวมจุดเด่นทั้งหมดเหล่านี้ และความต้องการของลูกค้าที่อยากจะเห็นจากรถปิกอัพในปัจจุบัน ทำให้ All-New Mazda BT-50 เป็นปิกอัพที่มีความอเนกประสงค์และตอบโจทย์การใช้งานได้หลากหลายรูปแบบที่ตรงต่อความต้องการของลูกค้าในปัจจุบัน เป็นการปรับภาพลักษณ์ครั้งใหญ่ให้กับตลาดปิกอัพ ตั้งแต่การใช้งานได้ในทุกโอกาส ขยายกลุ่มลูกค้าเป้าหมายให้กว้างขึ้นและเพิ่มโอกาสทางการขายให้มากขึ้น

ปัจจุบันผู้ซื้อรถปิกอัพ ไม่ได้มองเพียงแค่ความแข็งแกร่ง ความทนทานในการใช้งาน หรืออัตราการประหยัดน้ำมันเท่านั้น วันนี้ลูกค้าใส่ใจในทุกรายละเอียด ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์และดีไซน์มากขึ้น การผสมผสานความแข็งแกร่ง อึด ทน ในรถสไตล์รถปิกอัพเข้ากับ โคโดะ ดีไซน์ ที่เน้นความเรียบง่าย แต่งดงาม จึงเกิดเป็นความโดดเด่น แตกต่างไม่เหมือนใคร

บ่งบอกได้ว่า นี่คือ ปิกอัพสายพันธุ์ใหม่ของมาสด้า เกิดเป็นความแข็งแกร่งควบคู่กับความสง่างามของรถปิกอัพยุคใหม่ ตอบโจทย์รูปแบบการเชื่อมต่อการสื่อสารในยุคปัจจุบันได้มากยิ่งขึ้น ด้วยระบบ Infotainment รองรับการเชื่อมต่อได้ทั้ง Apple CarPlay® แบบไร้สาย และ Android Auto™* ซึ่งสามารถใช้งาน Miracast แบบไร้สายผ่าน Wifi และรองรับการเชื่อมต่อแบบ MirrorLink อีกทั้งยังมีระบบนำทางที่ติดตั้งมาให้พร้อมใช้งานโดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต

ก้าวที่มั่นคงสู่อนาคตที่ยั่งยืนของมาสด้าในประเทศไทย

ปัจจุบันมาสด้าลงทุนรวมกว่า 56,300 ล้านบาท มีกำลังการผลิตสูงถึง 240,000 คัน ส่งออกไปทั่วโลกกว่า 130 ประเทศ ในอาเซียน เอเชียแปซิฟิก ยุโรป ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อเมริกากลาง แอฟริกา รวมถึงส่งกลับไปจำหน่ายที่ประเทศญี่ปุ่น

ปัจจุบันผลิตรถยนต์มาสด้า2, มาสด้า3, CX-3 และ CX-30 และลงทุนสร้างโรงงานแห่งใหม่ขึ้นเมื่อปี 2556 ภายใต้ชื่อ บริษัท มาสด้า พาวเวอร์เทรน เมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ MPMT จังหวัดชลบุรี บนเนื้อที่กว่า 800 ไร่ ผลิตเครื่องยนต์สกายแอคทีฟคลีนดีเซลและสกายแอคทีฟเบนซิน จำนวน 100,000 ลูก/ปี เกียร์อัตโนมัติสกายแอคทีฟไดร์ฟ 400,000 ลูก/ปี

ซึ่งเป็นโรงงานผลิตเกียร์อัตโนมัตินอกประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก ด้วยเงินลงทุนกว่า 26,000 ล้านเยน หรือประมาณ 11,000 ล้านบาท และเพิ่มเงินลงทุนอีกประมาณ 22,100 ล้านเยน หรือประมาณ 7,500 ล้านบาท

น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับเรื่องราวความเป็นมาของรถปิกอัพมาสด้า นับจากอดีตจวบจนถึงปัจจุบัน ก้าวผ่านเรื่องราวผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านอุปสรรคต่าง ๆ มาแล้วมากมาย แต่ด้วยสปิริต ความเป็นมาสด้า เพราะเรากล้าที่จะแตกต่าง ไม่เคยย่อท้อต่ออุปสรรคเฉกเช่นเดียวกับชาวฮิโรชิมา กว่า 104 ปี ของมาสด้าญี่ปุ่น กว่า 74 ปี ในประเทศไทย

มาสด้ายังคงเดินหน้าตามแผนการดำเนินธุรกิจสู่ความยั่งยืนในระยะยาว พร้อมสร้างความรัก ความผูกพัน ให้ลูกค้าสัมผัสได้ถึงประสบการณ์ที่ดี และเป็นเจ้าของรถยนต์มาสด้าได้ทุกรุ่น ทุกช่วงเวลาของชีวิต กลายเป็น “มาสด้า แฟมิลี่”  นั่นคือแก่นแท้ของการดำเนินธุรกิจในรูปแบบของมาสด้าในประเทศไทย