ในโลกที่เต็มไปด้วยความผันผวนทางการเงิน การเรียนรู้หลักการบริหารเงินที่ยืนหยัดผ่านกาลเวลามาหลายพันปีอาจเป็นเข็มทิศนำทางชีวิตทางการเงินของเราได้อย่างดี
หนังสือ The Richest Man in Babylon ได้ถ่ายทอดภูมิปัญญาทางการเงินผ่านเรื่องเล่าอันทรงคุณค่า โดยมี Arkad ผู้เป็นเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในนครบาบิโลนโบราณเป็นผู้ถ่ายทอดหลักปรัชญาแห่งความมั่งคั่ง
เรื่องราวเริ่มต้นจากชายหนุ่มสองคนที่เบื่อหน่ายกับชีวิตที่ยากจน พวกเขาตัดสินใจไปขอคำปรึกษาจาก Arkad เพื่อนเก่าที่กลายเป็นคนร่ำรวยที่สุดในเมือง คำสอนของ Arkad ไม่เพียงเปลี่ยนชีวิตของชายหนุ่มทั้งสอง แต่ยังกลายเป็นตำนานที่เล่าขานสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน
หัวใจสำคัญประการแรกของการสร้างความมั่งคั่งคือการเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับเงิน Arkad สอนว่า “ส่วนหนึ่งของรายได้ทั้งหมดที่คุณหามาได้ คุณจะต้องเก็บไว้”
หลักการนี้อาจฟังดูง่าย แต่คนส่วนใหญ่มักมองข้าม พวกเขามักจะจ่ายเงินออกไปก่อน ไม่ว่าจะเป็นค่าเช่า ค่าอาหาร ค่าสาธารณูปโภค หรือความบันเทิง หนี้สิน จนกระทั่งสิ้นเดือนก็พบว่าไม่เหลืออะไรเก็บออมเลย
วิธีการที่มีประสิทธิภาพคือการ “จ่ายให้ตัวเองก่อน” ทันทีที่ได้รับเงินเดือน ให้แบ่งส่วนหนึ่งเข้าบัญชีออมทรัพย์ก่อนที่จะใช้จ่ายอย่างอื่น การตั้งระบบโอนเงินอัตโนมัติจากบัญชีหลักไปยังบัญชีออมทรัพย์เป็นวิธีที่ดี เริ่มต้นที่ 5% ของรายได้สุทธิ แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้นตามรายได้ที่เพิ่มขึ้นเป็น 10%, 15%, 20% ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม การออมเงินเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ Arkad เน้นย้ำถึงความสำคัญของการควบคุมรายจ่าย โดยเฉพาะสิ่งที่เราเรียกว่า “รายจ่ายจำเป็น” ซึ่งมักจะเพิ่มขึ้นเท่ากับรายได้เสมอหากไม่ระวัง ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า “Lifestyle Creep” หรือการที่เราเพิ่มการใช้จ่ายตามรายได้ที่เพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น
ตัวอย่างที่พบได้บ่อยของ Lifestyle Creep ได้แก่ การเปลี่ยนจากการทำอาหารทานเองเป็นสั่งเดลิเวอรี่เป็นประจำ การอัพเกรดที่พักอาศัยทั้งที่ที่เดิมยังใช้งานได้ดีอยู่ หรือการเปลี่ยนรถใหม่ทั้งที่คันเก่ายังวิ่งได้ดี เพียงเพราะรู้สึกว่ามีกำลังจ่ายมากขึ้น
แม้การควบคุมรายจ่ายจะสำคัญ แต่ Arkad ก็ไม่ได้สนับสนุนให้ใช้ชีวิตอย่างตระหนี่จนเกินไป เขากล่าวว่า “ชีวิตนั้นดีและเต็มไปด้วยสิ่งที่น่าเพลิดเพลิน”
แนวคิดนี้สอดคล้องกับหนังสือ “Die with Zero” ที่เสนอว่าเป้าหมายทางการเงินที่แท้จริงไม่ใช่การตายพร้อมเงินในบัญชีมหาศาล แต่เป็นการใช้เงินเป็นเครื่องมือสร้างชีวิตที่มีความหมาย
การสร้างความมั่งคั่งที่แท้จริงต้องอาศัยการทำให้เงินทำงาน Arkad เปรียบเทียบว่า “ทองในกระเป๋าอาจสร้างความพึงพอใจ แต่มันไม่งอกเงย ทองที่ถูกนำไปใช้จะสร้างผลตอบแทนมากกว่าทองที่เก็บไว้เฉยๆ” หลักการนี้แสดงให้เห็นความแตกต่างระหว่างการออมเงินกับการลงทุน
การศึกษาด้านการเงินพบว่า การลงทุนในดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 10% ต่อปีในระยะยาว ซึ่งสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารที่มักต่ำกว่า 1% ต่อปีอย่างมีนัยสำคัญ ด้วยพลังของดอกเบี้ยทบต้น เงิน 1,000 บาทที่ลงทุนในดัชนี S&P 500 อาจเติบโตเป็นมากกว่า 17,000 บาทในเวลา 30 ปี ในขณะที่การฝากธนาคารอาจได้เพียง 1,300 บาทในระยะเวลาเดียวกัน
นอกจากการลงทุนแล้ว การสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาวยังเกี่ยวข้องกับการวางแผนสำหรับอนาคต เรื่องราวของพ่อค้าอูฐในหนังสือเป็นบทเรียนที่ดี แม้เขาจะเคยมีชีวิตที่สุขสบายกับฝูงอูฐจำนวนมาก แต่การใช้จ่ายอย่างไม่ยั้งคิดโดยไม่เผื่อไว้สำหรับยามแก่ ทำให้เขาต้องประสบความยากลำบากในบั้นปลายชีวิต
การศึกษาด้านการเงินการวางแผนเกษียณพบว่า คนอเมริกันกว่า 45% ไม่มีเงินออมสำหรับวัยเกษียณเลย และอีก 64% คาดว่าจะต้องทำงานหลังเกษียณเพื่อหารายได้เสริม นี่เป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงและสะท้อนให้เห็นความสำคัญของการวางแผนการเงินระยะยาว
การเพิ่มความสามารถในการหารายได้เป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญที่ Arkad เน้นย้ำ หลายคนติดกับดักความคิดว่ารายได้ของตนเองคงที่ และวิธีเดียวที่จะก้าวหน้าคือการออมเงินให้มากขึ้นจากรายได้ที่มีจำกัด แต่ความจริงแล้ว โอกาสในการเพิ่มรายได้มีอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาทักษะใหม่ การหางานเสริม หรือการเริ่มธุรกิจของตัวเอง
ในด้านการปกป้องทรัพย์สิน Arkad เล่าถึงบทเรียนราคาแพงที่เขาได้รับจากการลงทุนในอัญมณีปลอมตามคำชักชวนของช่างทำอิฐที่ไม่มีความรู้เรื่องอัญมณีเลย เขาสรุปว่า “จงปกป้องทรัพย์สินของเจ้าจากการสูญเสีย โดยลงทุนเฉพาะที่เงินต้นของเจ้าปลอดภัย”
หลักการนี้ยังคงทันสมัยในยุคที่มีการลงทุนเก็งกำไรในสินทรัพย์ความเสี่ยงสูงมากมาย และการหลอกหลวงโดยเฉพาะแชร์ลูกโซ่ที่มีมาในหลากหลายรูปแบบในทุกยุคทุกสมัย
ในช่วงปี 2021 เกิดปรากฏการณ์ FOMO (Fear of Missing Out) ในตลาดคริปโตเคอร์เรนซี ทำให้นักลงทุนจำนวนมากเทเงินเข้าไปด้วยความหวังว่าจะรวยเร็ว แต่เมื่อตลาดปรับตัวลง หลายคนสูญเสียเงินออมไปเป็นจำนวนมาก นี่เป็นตัวอย่างที่ดีของการละเลยหลักการปกป้องเงินต้นของ Arkad
การแสวงหาคำแนะนำจากผู้รู้เป็นอีกหนึ่งหลักการสำคัญ ในยุคที่ข้อมูลท่วมท้น การแยกแยะระหว่างคำแนะนำที่มีคุณค่ากับเสียงรบกวนเป็นเรื่องท้าทาย Arkad แนะนำให้เราฟังจากผู้ที่ประสบความสำเร็จและมีประสบการณ์จริง ไม่ใช่แค่ตามกระแสหรือคำแนะนำจากผู้ที่ไม่เคยประสบความสำเร็จมาก่อน
บทเรียนสุดท้ายที่น่าสนใจคือเรื่องของโชคและความสำเร็จ Arkad กล่าวว่า “คนที่ลงมือทำคือคนที่ได้รับความโปรดปรานจากเทพีแห่งโชค” หลายคนมักโทษโชคชะตาเมื่อไม่ประสบความสำเร็จ แต่ความจริงแล้ว สิ่งที่เรามองว่าเป็นโชคนั้น มักเป็นผลลัพธ์ของการเตรียมพร้อมและการลงมือทำอย่างต่อเนื่อง
การศึกษาด้านจิตวิทยาพบว่า มนุษย์มักจะมี “self-serving bias” คือมองความสำเร็จว่าเกิดจากความสามารถของตนเอง แต่โทษปัจจัยภายนอกเมื่อล้มเหลว การเข้าใจอคติเช่นนี้จะช่วยให้เรามองความสำเร็จและความล้มเหลวได้อย่างสมดุลมากขึ้น
แม้ว่าหลักการเหล่านี้จะถูกเขียนขึ้นในรูปแบบนิทานโบราณ แต่แก่นแท้ของมันยังคงทันสมัยและใช้ได้จริงในยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายตัวเองก่อน การควบคุมรายจ่าย การลงทุนอย่างชาญฉลาด การวางแผนระยะยาว การพัฒนาตนเอง การระวังความเสี่ยง การเรียนรู้จากผู้รู้ และการลงมือทำอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดนี้คือกุญแจสู่ความมั่งคั่งที่ยั่งยืน
บทเรียนจาก The Richest Man in Babylon ได้รับการพิสูจน์ผ่านงานวิจัยทางการเงินสมัยใหม่มากมาย โดยเฉพาะในด้านพฤติกรรมการออมและการลงทุน การศึกษาพบว่าผู้ที่เริ่มออมและลงทุนแต่เนิ่นๆ โดยใช้หลักการลงทุนแบบเรียบง่ายและสม่ำเสมอ มักจะประสบความสำเร็จในการสร้างความมั่งคั่งในระยะยาวมากกว่าผู้ที่พยายามเก็งกำไรระยะสั้น
References :
หนังสือ The Richest Man in Babylon โดย George S. Clason