เมื่อจิตใต้สำนึกหลอกคุณ! รู้ทันกลโกงของสมอง วิธีเอาชนะความคิดที่ทำร้ายตัวเอง

มนุษย์เราต่างภาคภูมิใจในความสามารถที่จะควบคุมความคิดและการตัดสินใจของตนเอง แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่า แท้จริงแล้วการตัดสินใจของเราถูกชี้นำโดยกลไกที่ซ่อนอยู่ในจิตใต้สำนึก ซึ่งส่งผลต่อมุมมองและการรับรู้โลกรอบตัวของเราอย่างลึกซึ้ง

บทความนี้จะพาท่านสำรวจกับดักทางความคิดที่น่าสนใจ ซึ่งเป็นข้อมูลจาก Daniel Kahneman นักจิตวิทยาผู้ได้รับรางวัล Nobel Prize และผู้แต่งหนังสือชื่อดังอย่าง “Thinking Fast and Slow”

เมื่อความคิดขัดแย้งกันเอง: Cognitive Dissonance

เคยได้ยินนิทานอีสปเรื่องสุนัขจิ้งจอกกับองุ่นไหม? สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งพยายามกระโดดคว้าองุ่นสุกฉ่ำที่ห้อยอยู่สูง แต่ไม่ว่าจะพยายามกี่ครั้งก็ไม่สามารถเอื้อมถึง สุดท้ายมันจึงปลอบใจตัวเองว่า “เป็นแค่องุ่นเปรี้ยว ไม่น่ากินอยู่แล้ว” แล้วเดินจากไป

นิทานเรื่องนี้เป็นที่มาของสำนวน “องุ่นเปรี้ยว (Sour grapes)” และสะท้อนให้เห็นภาวะที่เรียกว่า Cognitive Dissonance หรือภาวะความไม่ลงรอยกันของความคิด ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเรามีความเชื่อหรือความคิดสองอย่างที่ขัดแย้งกัน เช่น อยากได้องุ่นแต่เอื้อมไม่ถึง แทนที่จะยอมรับว่าตนเองไม่มีความสามารถมากพอ กลับเลือกที่จะสร้างความเชื่อใหม่ว่าองุ่นไม่น่ากิน

ภาวะนี้เกิดขึ้นบ่อยในชีวิตประจำวัน เช่น เมื่อไม่ผ่านการสัมภาษณ์งาน แทนที่จะยอมรับว่าตนเองอาจยังไม่พร้อม กลับคิดว่างานนั้นไม่ดีพออยู่แล้ว หรือกรรมการสัมภาษณ์อคติ ซึ่งความขัดแย้งภายในจิตใจเช่นนี้อาจนำไปสู่ความเครียดและความวิตกกังวลได้

เมื่อทุกสายตาจับจ้องมาที่เรา: The Spotlight Effect

คุณเคยรู้สึกอึดอัดเมื่อมาทำงานสายเพียงไม่กี่นาที ราวกับว่าทุกคนในออฟฟิศกำลังจับตามองและตัดสินคุณไหม? หรือรู้สึกประหม่าเมื่อเริ่มออกกำลังกายที่ฟิตเนส คิดว่าทุกคนกำลังมองดูท่วงท่าการออกกำลังกายที่ยังไม่คล่องแคล่วของคุณ? นี่คือตัวอย่างของ The Spotlight Effect หรือผลกระทบจากการเป็นจุดสนใจ

ความจริงก็คือ คนอื่นแทบไม่ได้สังเกตหรือใส่ใจการกระทำของเราเท่าที่เราคิด พวกเขามักยุ่งอยู่กับความคิดและกิจกรรมของตัวเอง การตระหนักถึงความจริงข้อนี้จะช่วยลดความวิตกกังวลและทำให้เราใช้ชีวิตได้อย่างผ่อนคลายมากขึ้น

The Anchoring Effect

เมื่อต้องคาดเดาหรือประเมินค่าอะไรสักอย่าง สมองของเราจะยึดโยงกับตัวเลขหรือข้อมูลแรกที่ได้รับ แม้ว่าข้อมูลนั้นจะไม่เกี่ยวข้องกันเลยก็ตาม

งานวิจัยที่น่าสนใจชิ้นหนึ่งได้ทดลองกับผู้พิพากษาที่มีประสบการณ์ในเยอรมนี โดยให้พวกเขาทอยลูกเต๋าที่ถูกดัดแปลงให้ออกแค่เลข 3 หรือ 9 ก่อนที่จะตัดสินคดีลักทรัพย์ ผลปรากฏว่าผู้พิพากษาที่ทอยได้เลข 9 มีแนวโน้มจะตัดสินจำคุกนานกว่าผู้ที่ทอยได้เลข 3 อย่างมีนัยสำคัญ

ในชีวิตประจำวัน เราพบเห็นการใช้ประโยชน์จากผลกระทบนี้บ่อยครั้ง โดยเฉพาะในการขายและการเจรจาต่อรอง เช่น การติดป้ายราคาสูงไว้ก่อนแล้วค่อยลดราคา ทำให้ราคาที่ลดแล้วดูคุ้มค่ากว่าความเป็นจริง แม้เราจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงอิทธิพลของ The Anchoring Effect ได้ แต่การตระหนักรู้จะช่วยให้เราตัดสินใจได้รอบคอบขึ้น

The Halo Effect

ลองจินตนาการว่าคุณกำลังอ่านประวัติของคนสองคน คนแรกถูกอธิบายว่าเป็นคนฉลาด ขยัน หุนหันพลันแล่น ชอบวิจารณ์ ดื้อรั้น และอิจฉา ส่วนคนที่สองถูกอธิบายว่าเป็นคนอิจฉา ดื้อรั้น ชอบวิจารณ์ หุนหันพลันแล่น ขยัน และฉลาด แม้คุณลักษณะทั้งหมดจะเหมือนกัน แต่คนส่วนใหญ่มักมองคนแรกในแง่ดีกว่า นี่คือตัวอย่างของ The Halo Effect ที่ข้อมูลแรกที่เราได้รับจะมีอิทธิพลต่อการตีความข้อมูลที่ตามมาทั้งหมด

ปรากฏการณ์นี้มีผลกระทบอย่างมากในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในเรื่องความสัมพันธ์และการทำงาน เช่น ในช่วงเริ่มต้นความสัมพันธ์ เรามักมองข้ามข้อบกพร่องของอีกฝ่ายเพราะถูกบดบังด้วย The Halo Effect ของคุณสมบัติดีๆ ที่เราประทับใจตั้งแต่แรก หรือในการสัมภาษณ์งาน ผู้สมัครที่จบจากมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงมักได้รับการประเมินว่ามีความสามารถสูงในด้านอื่นๆ ด้วย แม้จะยังไม่ได้พิสูจน์ตัวเองเลยก็ตาม

Gambler’s Fallacy

เคยสงสัยไหมว่าทำไมนักพนันถึงเชื่อว่าหลังจากที่ลูกเต๋าออกเลข 6 มาหลายครั้งติดกัน ครั้งต่อไปต้องออกเลขอื่นแน่ๆ? นี่คือความเชื่อผิดที่เรียกว่า Gambler’s Fallacy ที่คนมักคิดว่าต้องมีแรงสมดุลบางอย่างในธรรมชาติ แต่ความจริงแล้ว เหตุการณ์แต่ละครั้งเป็นอิสระต่อกัน ลูกเต๋าไม่มีความทรงจำว่าครั้งที่แล้วออกเลขอะไร

ความเชื่อผิดนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในคาสิโน แต่ยังส่งผลต่อการตัดสินใจสำคัญในชีวิตจริง เช่น จากการศึกษาพบว่า ผู้พิพากษาคดีลี้ภัยมีแนวโน้มที่จะปฏิเสธคำร้องขอลี้ภัยมากขึ้น หากก่อนหน้านี้พวกเขาเพิ่งอนุมัติคำร้องติดต่อกันหลายคำร้อง เพราะเชื่อว่าต้องมีการปฏิเสธบ้างเพื่อความสมดุล

เมื่อความแตกต่างบิดเบือนการตัดสินใจ: The Contrast Effect

จินตนาการว่าคุณกำลังเลือกซื้อรถยนต์ราคา 2 ล้านบาท และมีตัวเลือกเบาะหนังราคา 100,000 บาท หลายคนอาจรู้สึกว่าค่าเบาะเป็นเงินจำนวนเล็กน้อยเมื่อเทียบกับราคารถ แต่ถ้าเป็นการซื้อเก้าอี้ทำงาน เบาะหนังราคาเดียวกันนี้อาจดูแพงเกินไป นี่คือผลกระทบความแตกต่างที่ทำให้เรามองคุณค่าของสิ่งต่างๆ แตกต่างกันขึ้นอยู่กับบริบทแวดล้อม

อคติที่ยืนยันความเชื่อเดิม: Confirmation Bias

มนุษย์เรามีแนวโน้มที่จะเลือกรับข้อมูลที่สอดคล้องกับความเชื่อที่มีอยู่เดิม และมองข้ามข้อมูลที่ขัดแย้ง ยิ่งในยุคดิจิทัลที่อัลกอริทึมของโซเชียลมีเดียคอยนำเสนอเนื้อหาที่ตรงกับความสนใจของเรา ยิ่งทำให้เกิดปรากฏการณ์ “echo chambers” ที่เราได้ยินแต่ความคิดเห็นที่คล้ายคลึงกัน จนอาจนำไปสู่ความเชื่อที่สุดโต่งได้

ปรากฏการณ์ที่เห็นบ่อยขึ้นอย่างประหลาด: Baader-Meinhof Phenomenon

เคยสังเกตไหมว่าหลังจากซื้อรถยนต์ยี่ห้อหนึ่ง จู่ๆ คุณก็เริ่มเห็นรถยี่ห้อนี้บนท้องถนนบ่อยขึ้น? หรือหลังจากเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ คุณก็เริ่มได้ยินคำนี้ทุกที่? นี่คือปรากฏการณ์ Baader-Meinhof ที่เกิดจากการที่สมองของเราให้ความสนใจกับสิ่งที่เพิ่งรับรู้มากเป็นพิเศษ ทำให้รู้สึกว่าพบเห็นบ่อยขึ้น ทั้งที่จริงๆ แล้วความถี่ในการพบเห็นอาจไม่ได้เปลี่ยนแปลง

Zeigarnik Effect

เคยรู้สึกหงุดหงิดกับงานที่ยังทำไม่เสร็จจนนอนไม่หลับไหม? นั่นเป็นเพราะสมองของเราจดจำงานที่ยังไม่เสร็จได้ดีกว่างานที่เสร็จแล้ว ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า Zeigarnik Effect งานวิจัยพบว่าเพียงแค่การวางแผนว่าจะจัดการกับงานค้างอย่างไร ก็สามารถช่วยบรรเทาความกังวลนี้ได้แล้ว

ความย้อนแย้งของการมีตัวเลือกมากเกินไป: The Paradox of Choice

ในโลกปัจจุบันที่เรามีตัวเลือกมากมาย เราอาจคิดว่านี่คือสิ่งที่ดี แต่งานวิจัยกลับชี้ให้เห็นว่า การมีตัวเลือกมากเกินไปอาจทำให้เราตัดสินใจได้ยากขึ้น และอาจนำไปสู่ความไม่พอใจในสิ่งที่เลือกในที่สุด เช่น การทดลองที่ซูเปอร์มาร์เก็ตพบว่า เมื่อวางแยมให้เลือก 24 ชนิด แม้จะดึงดูดลูกค้าได้มาก แต่กลับขายได้น้อยกว่าการวางแยมเพียง 6 ชนิด

ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นในหลายแง่มุมของชีวิตสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกซื้อสินค้า การหาคู่ผ่านแอพพลิเคชันออนไลน์ หรือแม้แต่การเลือกเส้นทางอาชีพ การมีตัวเลือกมากเกินไปอาจทำให้เกิดความเครียดและความกังวลว่าจะเลือกผิด จนบางครั้งอาจนำไปสู่การไม่เลือกอะไรเลย

สุดท้ายแล้ว การเข้าใจกับดักความคิดเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าเราจะสามารถกำจัดมันได้ทั้งหมด แต่เข้าใจสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น และสามารถตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในสถานการณ์ต่างๆ เพราะบางครั้ง การรู้ว่าเรากำลังตกอยู่ในกับดักความคิดแบบไหน ก็เป็นก้าวแรกที่สำคัญในการพัฒนาการคิดและการตัดสินใจของเราให้ดีขึ้นได้นั่นเองครับผม

References :
21 Mind Traps : The Ultimate Guide to your most common Thinking errors
https://youtu.be/nYYkRaU0xh8?si=95vbLX_oorvNVJPG

Geek Story EP242 : ยุคทองรถยนต์ไฟฟ้ากำลังจะจบ? กับความจริงที่ซ่อนอยู่ ทำไมยักษ์ใหญ่ถึงถอยหนี

แม้ว่ารถยนต์ไฟฟ้า (EV) จะยังคงเป็นที่กล่าวถึงในพาดหัวข่าว… “รถยนต์ไฟฟ้ากำลังมาแรง” “ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้ากำลังเติบโตทั่วโลก” “ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าคาดว่าจะพุ่งสูงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า” “กระแสรถยนต์ไฟฟ้ามาเพื่อจะอยู่”

แล้วทำไมทั้งผู้ขับขี่และผู้ผลิตรถยนต์จึงหันกลับมาให้ความสนใจกับเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ท่ามกลางวิกฤตสภาพภูมิอากาศ?

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/bdvphzf8

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/y3wazddz

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/muhausvx

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/BTEIEYWyCUY

Geek Life EP89 : ทฤษฎีปล่อยวาง อยากมีความสุข ต้องรู้จักปล่อย บทเรียนชีวิตที่คุณต้องอ่าน

ในโลกที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและความคาดหวังที่ไม่มีที่สิ้นสุด มนุษย์เรามักพยายามควบคุมทุกแง่มุมของชีวิต ตั้งแต่ความสัมพันธ์ส่วนตัวไปจนถึงเส้นทางอาชีพ แม้กระทั่งพฤติกรรมของผู้อื่น ด้วยแรงขับเคลื่อนที่ไม่หยุดนิ่งนี้ได้นำพาความเครียด ความวิตกกังวล และความไม่พึงพอใจมาสู่จิตใจของผู้คน

หนังสือ The Let Them Theory: A Life-Changing Tool That Millions of People Can’t Stop Talking About หรือ “ทฤษฎีปล่อยวาง” โดย Mel Robbins ได้นำเสนอเครื่องมือในการปรับเปลี่ยนกรอบความคิด ช่วยให้ผู้คนได้รู้จักการปล่อยวาง และค้นพบความสงบสุขที่แท้จริงภายในจิตใจ

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/m43yxtbv

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/6h499jt3

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/h-OAhO8aXoM

เคล็ดลับเกษียณเร็ว : พบกับ Pete ต้นแบบ FIRE Movement ที่จะเปลี่ยนมุมมองการเงินของคุณ

ในโลกที่ผู้คนต่างวิ่งไล่ตามความมั่งคั่ง มีชายคนหนึ่งที่เลือกเดินสวนทางกับกระแสสังคม เขาคือ Pete เจ้าของบล็อก Mr Money Mustache ที่สร้างปรากฏการณ์สะเทือนวงการการเงินด้วยแนวคิดการใช้ชีวิตเรียบง่ายและเกษียณเร็ว

Pete คือพ่อวัย 49 ปีที่อาศัยอยู่ใน Longmont เขาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้บุกเบิกแนวคิด FIRE (Financial Independence, Retire Early) หรือการเป็นอิสระทางการเงินและเกษียณเร็ว หลังจากที่เขาสามารถเกษียณได้ตั้งแต่อายุ 30 ปี

ย้อนกลับไปเมื่อเกือบ 20 ปีก่อน Pete และภรรยาในตอนนั้นตัดสินใจลาออกจากงานเพื่อทุ่มเทเวลาให้กับการเลี้ยงลูก ด้วยพื้นฐานการเป็นผู้อพยพชาวแคนาดา เขามองว่าการใช้ชีวิตอย่างพอเพียงและเก็บออมเงินที่เหลือเป็นเรื่องปกติธรรมดา

เมื่อ Pete เริ่มแบ่งปันเรื่องราวผ่านบล็อก เขาไม่คาดคิดว่าจะได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของกระแส FIRE ที่แพร่กระจายไปทั่วโลก ตลอด 12 ปีที่ผ่านมา มีผู้คนมากมายที่ได้แรงบันดาลใจจากเขาในการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและมุ่งสู่อิสรภาพทางการเงิน

Pete มีตำแหน่งที่น่าสนใจในโปรไฟล์ LinkedIn ของเขา นั่นคือ Leisure Engineer (วิศวกรการพักผ่อน) และ Owner Janitor (เจ้าของและภารโรง) ที่สำนักงานใหญ่ Mr Money Mustache สะท้อนให้เห็นถึงทัศนคติที่ผ่อนคลายและไม่ยึดติดกับตำแหน่งหน้าที่

แม้ว่าเงินเฟ้อจะส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพ แต่ Pete ยังคงใช้ชีวิตด้วยงบประมาณเพียงปีละ 35,000 ดอลลาร์ แม้แต่งงานและมีลูกหนึ่งคนแล้ว เขาพบว่าไม่จำเป็นต้องใช้จ่ายมากไปกว่านี้เพื่อมีคุณภาพชีวิตที่ดี

Pete แบ่งปันสูตรง่ายๆ ในการคำนวณเงินที่ต้องการสำหรับการเกษียณ นั่นคือการนำค่าใช้จ่ายต่อปีคูณด้วย 25 ตัวอย่างเช่น หากใช้จ่ายปีละ 40,000 ดอลลาร์ คุณจะต้องมีเงินลงทุน 1 ล้านดอลลาร์เพื่อเกษียณได้อย่างสบาย

หลายคนมักเข้าใจผิดว่าแนวคิด FIRE เหมาะสำหรับคนรายได้สูงหรือคนทำงานในวงการเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ Pete มองว่าการลดค่าใช้จ่ายสามารถสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่กว่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย โดยเฉพาะในแง่ของคุณภาพชีวิตและความมั่นคงของครอบครัว

Pete มีภารกิจลับที่น่าสนใจ นั่นคือการพยายามลดการบริโภคของคนรวย เนื่องจากพวกเขามักเป็นกลุ่มที่ใช้ทรัพยากรธรรมชาติมากที่สุด แต่เขาเลือกที่จะไม่พูดเรื่องนี้ตรงๆ เพราะไม่อยากให้คนรู้สึกถูกตำหนิเรื่องไลฟ์สไตล์

คำวิจารณ์ที่ Pete ได้ยินบ่อยที่สุดคือ “ผมจะเบื่อถ้าไม่มีงานทำ” แต่เขามองว่านี่เป็นเรื่องน่ายินดีที่คนๆ นั้นมีงานที่รัก เพราะผลสำรวจชี้ว่าคนส่วนใหญ่ในประเทศพัฒนาแล้วไม่พอใจกับงานของตัวเอง

Pete ไม่ได้สนับสนุนให้คนหยุดทำงานโดยสิ้นเชิง แต่เขาเชื่อว่าการมีความมั่นคงทางการเงินจะช่วยให้ผู้คนมีอิสระในการเลือกทำสิ่งที่รักและมีความหมายมากขึ้น เขาเองก็ยังคงทำงานที่หลากหลาย รวมถึงการให้สัมภาษณ์ TED Talk

ในการพูด TED Talk Pete เลือกที่จะใช้วิธีสัมภาษณ์แทนการท่องบทพูด เพราะเขารู้สึกว่าการเตรียมบทพูดสร้างความเครียดให้เขามากเกินไป และในฐานะคนที่เกษียณแล้ว เขาต้องการความเป็นธรรมชาติมากกว่า

เมื่อพูดถึงเรื่องการวิจารณ์ออนไลน์ Pete มักเผชิญกับความเห็นในแง่ลบอยู่เสมอ แต่เขาเรียนรู้ที่จะรับมือด้วยท่าทีที่เป็นมิตรมากขึ้น แม้บางครั้งจะยังคงใช้ภาษาที่กวนๆ บ้างเพื่อความสนุก

บทความใน New Yorker เคยเรียก Pete ว่า “The Scold (จอมดุ)” ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตส่วนตัวของเขา แต่เขามองว่านี่เป็นราคาที่ต้องจ่ายสำหรับการเป็นบุคคลสาธารณะ

สิ่งที่ Pete ภูมิใจที่สุดคือการได้รับฟีดแบ็กจากผู้อ่านที่บอกว่าแนวคิดของเขาช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตพวกเขา โดยเฉพาะในแง่ของการได้ใช้เวลากับครอบครัวมากขึ้น

Pete เชื่อว่าทุกคนสามารถมีชีวิตที่ดีขึ้นได้หากพ้นจากความกังวลเรื่องเงิน และเขาหวังว่างานเขียนของเขาจะช่วยให้ผู้คนพึงพอใจกับสิ่งที่มี รู้จักใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่ และชี้ให้เห็นว่าความสุขและคุณภาพชีวิตที่ดีไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการใช้จ่ายหรือการบริโภคที่มากเกินไป แต่อยู่ที่การรู้จักพอและใช้เวลาอย่างมีคุณค่านั่นเองครับผม

References :
How To Retire a Few Decades Early | Pete Adeney | TEDxBoulder
https://youtu.be/G0eepuvMc00?si=VopBOE2ModQ4Eui4

“มาชิตะ” ผู้นำตลาดสาหร่ายอบสไตล์เกาหลี เปิดตัวรสใหม่ “ซี่โครงย่างหมักซอสโคชูจัง” ซิกเนเจอร์เมนูยอดฮิตจากซูกิชิ

โคจรมาร่วมมือกันอีกครั้ง สำหรับ “มาชิตะ” สาหร่ายอบอันดับ 1 ของเมืองไทยและ “ซูกิชิ” ร้านปิ้งย่างสไตล์เกาหลี ดึงอีกหนึ่งเมนูซิกเนเจอร์ของร้าน สร้างสรรค์รสชาติใหม่ “ซี่โครงย่างหมักซอสโคชูจัง” ชูจุดแข็งวัตถุดิบสาหร่ายคุณภาพเกรดพรีเมี่ยมจากเกาหลี และไม่มีผงชูรส (No msg) พร้อมความอร่อยเข้มข้นสไตล์เกาหลีแท้ๆ 100%

คุณพรรณทิพย์ ลีตะชีวะ ผู้อำนวยการกลุ่มการตลาดแบรนด์น็อนแอลกอฮออล์ บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด เปิดเผยว่า จากเทรนด์ผู้บริโภครักสุขภาพ ส่งผลให้ตลาดสาหร่ายอบมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมาชิตะ ถือเป็นอันดับ 1 ในตลาดสาหร่ายอบ ในช่องทางร้านสะดวกซื้อ

ด้วยจุดเด่นการใช้วัตถุดิบสาหร่ายคุณภาพเกรด พรีเมี่ยมเกาหลีแท้ 100% และไม่มีผงชูรส (No msg) รวมถึงการพัฒนารสชาติใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค สร้างสีสันและความตื่นเต้นอยู่เสมอ ล่าสุด สาหร่ายมาชิตะได้กลับมาจับมือกับร้านซูกิชิอีกครั้ง โดยครั้งนี้ได้ดึงซิกเนเจอร์เมนูมาพัฒนาเป็นรสชาติใหม่ “ซี่โครงย่างหมักซอสโคชูจัง” ที่เต็มไปด้วยความอร่อย เข้มข้นกว่าเดิม ถึงรสชาติซอสโคชูจังเต็มขั้นสไตล์เกาหลี

ทั้งนี้ มาชิตะเคยจับมือกับซูกิชิ ออกรสซี่โครงย่างหมักซอสเกาหลีมาแล้ว ซึ่งได้รับผลตอบรับจากกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างดี และการกลับมาร่วมกันในครั้งนี้ คาดว่าจะขยายกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น เพราะเป็นสินค้าที่เข้าถึงวัยรุ่น วัยทำงาน และเป็นรสชาติที่คนนิยม สำหรับรสซี่โครงย่างหมักซอสโคชูจัง เป็นสินค้ารูปแบบลิมิเต็ด วางจำหน่ายเพียง 3 เดือน ในขนาด 8 กรัม ราคา 29 บาท เฉพาะที่ร้านเซเว่นอีเลฟเว่น และหน้าร้านซูกิชิเท่านั้น หาซื้อได้ตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายนนี้ เป็นต้นไป

มาชิตะ ถือเป็นแบรนด์ลีดเดอร์ ของตลาดสาหร่ายอบ และคงเป็นผู้นำการเติบโตต่อเนื่อง สอดคล้องกับภาพรวมตลาดสาหร่ายมีมูลค่าประมาณ 3,200 ล้านบาท โดยตลาดสาหร่ายอบมีมูลค่า 1,200 ล้านบาท เติบโตกว่า 38% และมีแนวโน้มจะโตต่อเนื่องจากเทรนด์ผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ และมาชิตะได้มีการสร้างสีสันตลาดอยู่เสมอ โดยเฉพาะการร่วมมือกับพันธมิตร เพื่อออกสินค้ารสชาติใหม่ๆ ที่ตอกย้ำความเป็นสาหร่ายสไตล์เกาหลีตัวจริง กระตุ้นให้เกิดการทดลอง ควบคู่กับการรับเทรนด์ และความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายด้วย