มนุษย์เรามักไม่รู้ขีดความสามารถที่แท้จริงของตนเอง จนกว่าจะได้ลงมือทำสิ่งนั้นจริงๆ ประสบการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นการสอบได้คะแนนยอดเยี่ยม การเลื่อนตำแหน่งในที่ทำงาน หรือแม้แต่การจัดการเรื่องยุ่งยากให้สำเร็จลุล่วง สิ่งเหล่านี้อาจดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ในตอนแรก แต่เมื่อเราลงมือทำ เราก็จะค้นพบว่าตัวเองมีศักยภาพมากกว่าที่คิด
เป็นข้อมูลทีน่าสนใจจากเวที Ted Talks อีกครั้ง โดย Paneez Oliai จาก Harvard Law School เธอจบการศึกษาสาขาประวัติศาสตร์และจิตวิทยาที่มหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ ที่ได้มาพูดถึงพลังที่ซ่อนอยู่ภายในตัวเรา
Oliai ได้นำเสนอมุมมองใหม่ โดยใช้หลักการทางจิตวิทยาที่เรียกว่า “Mind Over Matter” หรือ การให้เรามีสติ ควบคุมจิตใจให้ดี เพื่อต่อสู้กับปัญหา มาอธิบายให้เห็นถึงพลังที่แท้จริงของจิตใจมนุษย์
จิตใจของเรามีพลังมหาศาลในการเปลี่ยนแปลงความเป็นจริง ดังจะเห็นได้จากปรากฏการณ์ทางการรับรู้ที่น่าทึ่งอย่าง Bezold Effect ที่ค้นพบโดย Wilhelm Von Bezold
ให้ลองนึกภาพแถบสีเทาที่วางอยู่บนพื้นหลังที่มีการไล่ระดับสีจากอ่อนไปเข้ม แม้แถบสีเทาจะเป็นสีเดียวกันตลอดทั้งแถบ แต่สมองของเรากลับรับรู้ว่ามีการไล่ระดับสีในทิศทางตรงกันข้ามกับพื้นหลัง นี่คือตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าการรับรู้ของเราไม่ได้สะท้อนความเป็นจริงเสมอไป
ภาพลวงตาอีกชิ้นที่น่าสนใจคือ Checker Shadow Illusion ที่สร้างโดย Edward Adelson เป็นภาพกระดานหมากรุกที่มีช่องสีเทาสองช่องถูกทำเครื่องหมายไว้ด้วยตัวอักษร A และ B แม้ทั้งสองช่องจะเป็นสีเทาเข้มเท่ากัน แต่สมองของเรากลับรับรู้ว่าช่อง A มืดกว่าช่อง B อย่างชัดเจน เพราะอิทธิพลของแสงและเงาในภาพ
อีกหนึ่งตัวอย่างที่น่าสนใจคือ Cafe Wall Illusion ที่พบครั้งแรกบนผนังร้านกาแฟ ภาพประกอบด้วยแถวของสี่เหลี่ยมสีขาวดำที่วางสลับกัน โดยแต่ละแถวมีการเยื้องเล็กน้อย แม้เส้นแนวนอนที่กั้นระหว่างแถวจะขนานกันอย่างสมบูรณ์ แต่สมองของเรากลับรับรู้ว่าเส้นเหล่านั้นเอียงและกำลังจะบรรจบกัน
ภาพลวงตาเหล่านี้ไม่ได้มีไว้เพื่อทำให้เราสับสนหรือหวาดระแวงในการรับรู้ของตัวเอง แต่เป็นการแสดงให้เห็นว่าสมองของเรามีวิธีจัดการกับข้อมูลที่ได้รับอย่างไร
ในอดีตการแยกแยะความแตกต่างระหว่างวัตถุได้อย่างรวดเร็วเป็นสิ่งสำคัญต่อการอยู่รอด สมองจึงพัฒนากลไกการรับรู้ที่ไวต่อความแตกต่างของแสง เงา และสี เพื่อช่วยให้เราตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากการรับรู้ทางสายตาแล้ว พลังของจิตใจยังแสดงออกผ่านปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “ปรากฏการณ์ยาหลอก (Placebo Effect)” ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการที่ความเชื่อสามารถเปลี่ยนแปลงร่างกายได้จริง เมื่อคนไข้ได้รับยาหลอกที่ไม่มีสารออกฤทธิ์ใดๆ แต่เชื่อว่าเป็นยาจริง ร่างกายก็จะตอบสนองราวกับได้รับยาจริง โดยสมองจะหลั่งสารโดพามีนและเอนดอร์ฟินที่ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดและทำให้รู้สึกดีขึ้น
อีกหนึ่งเทคนิคที่แสดงให้เห็นพลังของจิตใจคือ Biofeedback วิธีการนี้ช่วยให้คนเราสามารถควบคุมการทำงานของร่างกายได้โดยการรับรู้และตอบสนองต่อข้อมูลทางสรีรวิทยาแบบทันที เช่น อัตราการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิต หรือคลื่นสมอง เพียงแค่การมีสมาธิจดจ่อกับข้อมูลที่ได้รับ คนเราก็สามารถเรียนรู้ที่จะควบคุมการทำงานของร่างกายได้อย่างน่าทึ่ง
การตระหนักถึงพลังของจิตใจไม่เพียงช่วยในการจัดการกับความเครียดและความวิตกกังวล แต่ยังช่วยให้เราเข้าใจตัวเองและผู้อื่นได้ดีขึ้น เมื่อเราเข้าใจว่าการรับรู้และความเชื่อมีอิทธิพลต่อประสบการณ์ชีวิตมากเพียงใด เราก็จะสามารถปรับเปลี่ยนมุมมองและพฤติกรรมเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ดีขึ้นได้
การจัดการกับปัญหาการผัดวันประกันพรุ่งเป็นตัวอย่างที่ดีของการใช้แนวคิดนี้ แทนที่จะปล่อยให้ความเคยชินเดิมๆ ครอบงำ เราสามารถสร้างกำหนดเวลาจำลองที่เร็วกว่าความเป็นจริง เพื่อกระตุ้นให้ตัวเองลงมือทำงานเร็วขึ้น วิธีนี้ไม่เพียงช่วยให้งานเสร็จตามเวลา แต่ยังช่วยลดความเครียดและทำให้มีเวลาพักผ่อนมากขึ้นด้วย
การเปลี่ยนมุมมองต่อเวลายังช่วยจัดการกับ “การคิดหายนะ (Catastrophization)” หรือแนวโน้มที่จะคิดถึงสถานการณ์แย่ที่สุดเมื่อเกิดปัญหาเล็กๆ การถามตัวเองว่าปัญหาที่กำลังเผชิญจะสำคัญแค่ไหนในอีก 1 ปี 5 ปี หรือ 10 ปีข้างหน้า ช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมและจัดการกับความวิตกกังวลได้ดีขึ้น
การเชื่อมโยงความรู้และประสบการณ์จากหลากหลายสาขาเข้าด้วยกันเป็นอีกวิธีที่แสดงให้เห็นพลังของจิตใจ เมื่อเราตระหนักว่าทุกศาสตร์ล้วนเชื่อมโยงกับการทำความเข้าใจมนุษย์ เราก็จะสามารถสร้างความรู้และความเข้าใจใหม่ๆ ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ซึ่งไม่เพียงเป็นประโยชน์ต่อตัวเราเอง แต่ยังสามารถส่งต่อไปยังผู้อื่นและสร้างผลกระทบในวงกว้าง
Mind Over Matter ไม่ได้หมายความว่าเราสามารถควบคุมทุกสิ่งได้ แต่เป็นการตระหนักว่าวิธีที่เรารับรู้และตีความโลกนั้นมีอิทธิพลอย่างมากต่อประสบการณ์ชีวิตของเรา การเข้าใจความจริงข้อนี้ช่วยให้เรามองเห็นศักยภาพที่แท้จริงของตัวเอง และเป็นก้าวแรกสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ทั้งในชีวิตส่วนตัวและการสร้างผลกระทบต่อสังคม
เมื่อเราเข้าใจและยอมรับว่าพลังแห่งจิตใจสามารถเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงได้ เราจะเริ่มมองเห็นโอกาสและความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาตนเอง การสร้างความสัมพันธ์ หรือการทำงานเพื่อส่วนรวม ทุกสิ่งล้วนเริ่มต้นจากความเชื่อและการรับรู้ของเราทั้งสิ้น
สิ่งสำคัญที่สุดคือการตระหนักว่า แม้เราไม่สามารถควบคุมทุกสิ่งในชีวิตได้ แต่เรามีอำนาจเหนือวิธีที่เรามองและตอบสนองต่อสิ่งต่างๆ นี่คือของขวัญล้ำค่าที่ธรรมชาติมอบให้กับมนุษย์ทุกคน และเป็นหน้าที่ของเราที่จะใช้มันเพื่อสร้างชีวิตและโลกที่ดีกว่าสำหรับทุกคน
References :
Mind over Matter: Why You’re Capable of More Than You Think | Paneez Oliai | TEDxGeorgetown
https://youtu.be/I5x1wQ6kHX0?si=X_7mtCxpaSdGVnHY