ตื่นตี 5 เปลี่ยนชีวิต : อย่าเพิ่งกดเลื่อนนาฬิกาปลุก เพราะนี่คือเวลาทองของคุณ เคล็ดลับจาก The 5 AM Club

ในยุคที่ทุกคนต่างมุ่งแสวงหาความสำเร็จ การจัดการเวลาให้มีประสิทธิภาพกลายเป็นทักษะที่สำคัญยิ่ง หนังสือ The 5 AM Club โดย Robin Sharma ผู้เชี่ยวชาญด้านภาวะผู้นำระดับโลก ได้นำเสนอแนวคิดที่อาจฟังดูเรียบง่ายแต่ทรงพลัง นั่นคือการตื่นนอนตั้งแต่ตี 5

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่เคยชินกับการกดเลื่อนนาฬิกาปลุกหลายครั้ง แล้วต้องรีบแต่งตัวออกจากบ้านอย่างเร่งรีบเพื่อไปทำงานให้ทัน บทความนี้จะพาคุณไปเรียนรู้วิธีเปลี่ยนแปลงชีวิตด้วยการเริ่มต้นวันใหม่ตั้งแต่เช้าตรู่

ต้องบอกว่าเวลา 5 นาฬิกาของทุกวันคือช่วงเวลาพิเศษที่มีความเงียบสงบมากที่สุด เป็นช่วงที่คนส่วนใหญ่ยังไม่ตื่น ไร้ซึ่งเสียงรบกวนและสิ่งดึงดูดความสนใจ ความสงบในยามเช้าตรู่นี้มีค่ามากกว่าที่หลายคนคิด มันเป็นโอกาสทองที่จะได้ใช้เวลากับตัวเองอย่างมีคุณภาพ ทำงานที่สำคัญ หรือพัฒนาตนเองในด้านต่างๆ

Sharma ได้แบ่งปันประสบการณ์ว่า แต่ก่อนเขาเคยตื่นเวลา 8 นาฬิกา รีบเร่งแต่งตัวเพื่อไปทำงานให้ทันเวลา 9 โมง เมื่อถึงตอนเย็นมักรู้สึกหงุดหงิดที่ทำงานได้ไม่เต็มที่ และมีเวลาส่วนตัวน้อยนิดในช่วงค่ำ วันแล้ววันเล่าที่ชีวิตวนเวียนอยู่ในวงจรเดิมๆ จนกระทั่งได้ค้นพบพลังของการตื่นแต่เช้า

ช่วงเวลาระหว่าง 5 ถึง 8 นาฬิกา กลายเป็นช่วงเวลาทองที่เขาได้เริ่มต้นทำงานสำคัญโดยปราศจากการรบกวน สามารถใช้สมาธิอย่างเต็มที่กับงานที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์ การตื่นเช้าจึงไม่ใช่เรื่องน่าหวาดกลัวอีกต่อไป แต่กลับกลายเป็นความตื่นเต้นที่จะได้ควบคุมชีวิตและความสำเร็จด้วยตัวเอง

หนึ่งในแนวคิดสำคัญที่ Robin Sharma นำเสนอคือ ชั่วโมงแรกและชั่วโมงสุดท้ายของวันมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด วิธีที่เราใช้เวลาในช่วงแรกของวันจะกำหนดทิศทางของวันที่เหลือทั้งหมด

ซึ่งปัจจุบันคนส่วนใหญ่มักเริ่มต้นวันด้วยการหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูข้อความ เล่นโซเชียลมีเดีย หรืออ่านข่าว และจบวันด้วยกิจกรรมเหล่านี้เช่นกัน พฤติกรรมดังกล่าวทำให้สมองต้องประมวลผลข้อมูลมากมายที่ส่วนใหญ่ไม่จำเป็น ส่งผลให้สูญเสียพลังงานสมองที่ควรเก็บไว้ใช้กับงานสำคัญ

แทนที่จะเริ่มต้นวันด้วยการจมอยู่กับหน้าจอ Sharma แนะนำให้ใช้เวลา 60-90 นาทีแรกของวันไปกับงานที่สำคัญที่สุด เพราะนี่คือช่วงที่เรามีพลังงาน สมาธิ และความมุ่งมั่นสูงสุด

ส่วนชั่วโมงสุดท้ายของวันควรใช้เวลาทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น เรียนรู้บทเรียนจากวันนั้น หรือระลึกถึงสิ่งที่ควรรู้สึกขอบคุณ การจบวันด้วยจิตใจที่สงบจะช่วยให้หลับสบายและตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่นในวันใหม่

หัวใจสำคัญของการตื่นตี 5 คือสูตร 20/20/20 ซึ่งแบ่งเวลาหนึ่งชั่วโมงแรกของวันออกเป็นสามช่วง ช่วงละ 20 นาที โดยเริ่มจากการออกกำลังกาย แม้บางครั้งอาจรู้สึกไม่อยากลุกจากที่นอน แต่การเคลื่อนไหวร่างกายคือสิ่งแรกที่เราควรทำในตอนเช้า เพราะจะช่วยกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึกสดชื่น และลดระดับคอร์ติซอลหรือฮอร์โมนความเครียดที่มักสูงในช่วงเช้า

20 นาทีต่อมาควรอุทิศให้กับการทำสมาธิและไตร่ตรองความคิด ความเงียบยามเช้าตรู่เป็นโอกาสดีที่จะได้ทำความเข้าใจตัวเอง เขียนไดอารี่ หรือวางแผนสิ่งที่ต้องการทำในวันนั้น การฝึกสติในช่วงนี้จะช่วยให้จิตใจสงบและพร้อมรับมือกับความท้าทายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น

ส่วน 20 นาทีสุดท้าย ควรใช้เวลากับการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือที่ให้แง่คิดดีๆ หรือฟังพอดแคสต์จากผู้นำที่น่าสนใจ การสร้างนิสัยรักการเรียนรู้จะช่วยให้เราเติบโตและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม การจะตื่นตี 5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการนอนที่ดีเป็นอันดับแรก ปัจจุบันเราอยู่ในยุคที่ผู้คนทั่วโลกกำลังประสบปัญหาการนอนไม่เพียงพอ เพราะผู้คนส่วนใหญ่มักเชื่อมโยงความสำเร็จและความขยันกับการอดหลับอดนอน แต่ความจริงแล้ว การพักผ่อนไม่เพียงพอจะส่งผลเสียต่อทั้งร่างกายและสมอง ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลงอย่างมาก

จากการศึกษาพบว่า การนอนหลับ 7-9 ชั่วโมงต่อคืนเป็นปริมาณที่เหมาะสมสำหรับผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ การตื่นตี 5 จึงหมายความว่าคุณควรเข้านอนประมาณ 4 ทุ่ม และหากรู้สึกเหนื่อยล้าระหว่างวัน การงีบสั้นๆ 20 นาทีก็เป็นวิธีเพิ่มประสิทธิภาพที่ได้ผลดี

การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การปรับปรุงเล็กๆ น้อยๆ อย่างต่อเนื่องสามารถสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ได้ เริ่มจากการตื่นเร็วขึ้น 15 นาทีในสัปดาห์แรก แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้นในสัปดาห์ถัดไป การพัฒนาแค่ 1% ต่อวันจะกลายเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อเวลาผ่านไป

ปัจจัยสำคัญอีกประการที่ Robin Sharma เน้นย้ำคือการลดการพึ่งพาเทคโนโลยี โทรศัพท์มือถือได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตจนแทบแยกไม่ออก แม้จะมีประโยชน์มากมาย แต่การติดอุปกรณ์เหล่านี้กำลังขโมยศักยภาพด้านความคิดสร้างสรรค์ของเราไป เพราะเรามักใช้มันเพื่อความบันเทิงมากกว่าการทำงานที่ต้องใช้สมาธิอย่างลึกซึ้ง

นอกจากนี้ Sharma ยังชี้ให้เห็นว่าสังคมได้หล่อหลอมให้เราเชื่อในเส้นทางชีวิตแบบตายตัว เช่น ต้องเรียนจบปริญญา ทำงานประจำ 9-5 จึงจะประสบความสำเร็จ

แต่ความจริงแล้ว ชีวิตของแต่ละคนมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ถูกหล่อหลอมจากประสบการณ์และสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน การกล้าเลือกเส้นทางที่แตกต่างจึงเป็นสิ่งสำคัญ แม้บางครั้งอาจดูแปลกแยกในสายตาผู้อื่น เช่น การตื่นตี 5 แต่หากคุณต้องการเป็นคนกลุ่มแรก 5% ที่ประสบความสำเร็จ ก็ต้องกล้าที่จะไม่ทำตัวเหมือนอีก 95%

สิ่งสำคัญที่สุดที่ The 5 AM Club นำเสนอคือแนวคิดเรื่องการสร้างสมดุลชีวิตที่สมบูรณ์ ในขณะที่หนังสือพัฒนาตนเองส่วนใหญ่มักเน้นเรื่อง mindset หรือกรอบความคิด

Robin Sharma ได้นำเสนอแนวคิดเรื่อง “Interior Empires” ที่ประกอบด้วยปัจจัยสามประการ ได้แก่ Healthset หรือสุขภาพกายที่แข็งแรง ซึ่งจะช่วยให้มีพลังงานมากขึ้น ความเครียดน้อยลง และมีความสุขมากขึ้น Heartset หรือความมั่นคงทางอารมณ์ที่ช่วยให้เราสามารถจัดการกับความรู้สึกได้อย่างเหมาะสม และ Soulset หรือจิตวิญญาณที่เชื่อมโยงกับตัวตนที่แท้จริง การรู้จักและเข้าใจตนเองอย่างลึกซึ้งจะช่วยให้เรารู้ว่าต้องการจะเป็นอะไรและต้องการบรรลุอะไรในชีวิต

การตื่นตี 5 จึงไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนเวลาตื่นนอน แต่เป็นการปฏิวัติวิถีชีวิตทั้งหมด เป็นการให้โอกาสตัวเองได้ใช้ช่วงเวลาที่มีคุณภาพที่สุดของวันเพื่อพัฒนาตนเองในทุกมิติ ทั้งร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ ความสงบในยามเช้าตรู่จะกลายเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่เราได้เชื่อมต่อกับตัวเอง ได้ทำงานที่มีความหมาย และได้ก้าวไปสู่เป้าหมายที่ตั้งใจอย่างมั่นคง

การศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่า คนที่ตื่นเช้ามีแนวโน้มจะประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่า มีความสุขมากกว่า และมีสุขภาพดีกว่าคนที่ตื่นสาย เพราะแสงธรรมชาติในตอนเช้าช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย ทำให้วงจรการนอนหลับเป็นปกติ และยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคซึมเศร้าอีกด้วย

The 5 AM Club ไม่ใช่แค่หนังสือที่สอนให้ตื่นเช้า แต่เป็นคู่มือที่จะพาคุณค้นพบพลังที่ซ่อนอยู่ในตัวเอง ผ่านการใช้เวลายามเช้าอย่างมีคุณค่า วิธีที่คุณใช้ชั่วโมงแรกของวันจะกำหนดคุณภาพของชีวิตที่เหลือทั้งหมด คำถามสำคัญคือ คุณพร้อมจะลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองตั้งแต่วันนี้หรือยัง?

References :
หนังสือ The 5AM Club: Own Your Morning. Elevate Your Life โดย Robin Sharma

Geek Life EP105 : รักตัวเองไม่เป็นไม่เป็นไร บทเรียนจาก Focus Group เมื่อความรักไม่จำเป็นต้องเริ่มที่ตัวเอง

สิ่งที่เราได้ยินบ่อยครั้งว่า “คุณต้องรักตัวเองก่อนถึงจะรักคนอื่นได้” แต่นั้นอาจไม่เป็นความจริงเสมอไป Karen Faith ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัยเชิงคุณภาพและผู้ดำเนินการสนทนากลุ่ม (Focus Group Moderator) ได้แบ่งปันมุมมองในเวที Ted Talks ที่น่าสนใจผ่านประสบการณ์การทำงานของเธอ เธอค้นพบว่าความรักนั้นไม่มีเงื่อนไขและไม่จำเป็นต้องเริ่มจากการรักตัวเองอย่างที่หลาย ๆ คนพร่ำบอกมา

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/nenmc4vk

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/yc52eexa

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/aOK5ffwjDxk

Geek Daily EP257 : ค่าเปลี่ยนแบต EV จะถูกกว่าซ่อม ICE กับเหตุว่าทำไมรถ EV จะกลายเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

ราคาแบตเตอรี่ที่แพงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ยังไม่แพร่หลาย ราคารถยนต์ไฟฟ้าใหม่ยังสูง และผู้คนก็กังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนแบตเตอรี่สำหรับรถมือสองเมื่อหมดระยะประกัน แต่วันที่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้ากำลังจะหมดไป

เมื่อสถาบันการเงินระดับโลกอย่าง Goldman Sachs ได้เปิดเผยรายงานล่าสุดที่ชี้ให้เห็นว่า ภายในปี 2026 ราคาแบตเตอรี่จะลดลงเหลือเพียง 80 ดอลลาร์ต่อ kWh ซึ่งเท่ากับครึ่งหนึ่งของราคาในปี 2023

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/yaj8an83

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/4cuktj55

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/bdt8zw8x

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/HwI4Ox7a3ic

Human-First x AI-First กับกลยุทธ์ Transformation ของ KBTG ในยุค Agentic AI

ในช่วงเวลาที่เทคโนโลยี AI กำลังเปลี่ยนแปลงโลก KBTG หรือกลุ่มบริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป ได้วางรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรสู่อนาคต โดยมุ่งเน้นการผสานพลังระหว่างศักยภาพของมนุษย์และความก้าวหน้าของเทคโนโลยี AI ภายใต้วิสัยทัศน์ “Human-First x AI-First Transformation” พร้อมตั้งเป้าสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจที่มากกว่า 10,000 ล้านบาทภายใน 5 ปีข้างหน้า

ต้องบอกว่าเป็นอีกหนึ่งในองค์กรที่น่าสนใจมาก ๆ ในการขับเคลื่อนภาคธุรกิจทางด้านเทคโนโลยีของประเทศไทยสำหรับ KBTG ซึ่งถือเป็นองค์กรทางด้านเทคโนโลยีระดับท็อปที่ดึงดูดเอาบุคลากรมากความสามารถไปรวมตัวกันอยู่ในองค์กรแห่งนี้

ส่วนตัวมองว่าประเทศไทยเราก็มีคนศักยภาพด้านเทคโนโลยีอยู่ไม่น้อย แต่ถ้าสังเกตในภาพปัจจุบันจะเห็นได้ว่าคนเก่ง ๆ มักจะไปกองรวมตัวกันที่อุตสาหกรรมทางด้านการเงินซะเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูงกว่าในอุตสาหกรรมอื่น ๆ

นายเรืองโรจน์ พูนผล (คุณกระทิง) ประธานกลุ่มบริษัท KBTG ได้เผยถึงความสำเร็จในปี 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งองค์กรได้สร้างนวัตกรรม AI ที่หลากหลาย ตั้งแต่ AINU ระบบตรวจสอบและยืนยันตัวตนด้วยใบหน้า, THaLLE แบบจำลองภาษาที่พัฒนาขึ้นเฉพาะสำหรับภาษาไทย, Future You แอปพลิเคชันวางแผนการเงินส่วนบุคคล, คู่คิด ผู้ช่วยอัจฉริยะสำหรับเยาวชน, AI-Enabled VDO Analytics ระบบวิเคราะห์วิดีโอ และ Document OCR ระบบแปลงเอกสารให้เป็นข้อมูลดิจิทัล

คุณเรืองโรจน์ พูนผล ประธานกลุ่มบริษัท KBTG ที่มาเล่าถึงการ Transformation องค์กรครั้งใหญ่
คุณเรืองโรจน์ พูนผล ประธานกลุ่มบริษัท KBTG ที่มาเล่าถึงการ Transformation องค์กรครั้งใหญ่

ความสำเร็จที่โดดเด่นอีกประการหนึ่งคือการพัฒนา AthenaMind แพลตฟอร์มสร้าง AI Agent ที่ช่วยให้องค์กรสามารถพัฒนาโมเดล AI เฉพาะทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย AI Agent ตัวแรกที่เปิดให้พนักงานใช้งานคือ HR Chat Agent ที่ช่วยตอบคำถามเกี่ยวกับสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ต่างๆ ของพนักงาน

จะเห็นได้ว่าหลากหลายเทคโนโลยีเหล่านี้ เป็นผลงานระดับท็อปแทบจะทั้งสิ้น และได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ มีการไปตีพิมพ์ในวารสารทางด้านวิชาการระดับนานาชาติ

ผลงานวิจัยของ KBTG ยังได้รับการตีพิมพ์ในการประชุมวิชาการระดับนานาชาติ The 62nd Annual Meeting of the Association for Computational Linguistics (ACL 2024) พร้อมทั้งมีผลงานตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติรวม 30 ฉบับ รวมถึงสื่อยักษ์ใหญ่มากมายทั่วโลกที่ให้การยอมรับผลงานของ KBTG

ดร. มนต์ชัย เลิศสุทธิวงค์ Principal Research Engineer and Head of AI Research ที่มาเล่าถึงผลงานวิจัยที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติมากมาย
ดร. มนต์ชัย เลิศสุทธิวงค์ Principal Research Engineer and Head of AI Research ที่มาเล่าถึงผลงานวิจัยที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติมากมาย

และ KBTG ยังเป็นองค์กรไทยเพียงแห่งเดียวที่ได้รับรางวัล The Innovators 2024 จาก Global Finance ในสาขา Compliance/Risk Innovation จากผลงาน Face Liveness Detection ที่ช่วยยกระดับความปลอดภัยในการทำธุรกรรมทางการเงิน

การสร้างพันธมิตรทางวิชาการและนวัตกรรมทั้งในและต่างประเทศก็เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จที่สำคัญ โดย KBTG ได้ร่วมมือกับหน่วยงานชั้นนำมากมาย เช่น กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา, สมาคมปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย, AI Singapore, Google Research, MIT Media Lab และ AI Fund

สำหรับปี 2568 KBTG ได้วางยุทธศาสตร์การพัฒนาองค์กรผ่านสามแกนหลักที่น่าสนใจมาก ๆ ได้แก่ Agentic Platformization การพัฒนาแพลตฟอร์มสำหรับสร้างและจัดการ AI Agent, Agentic Orchestration การออกแบบกระบวนการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และ AI และ Agentic Humanization การพัฒนาศักยภาพของบุคลากรให้พร้อมทำงานร่วมกับ AI

ในด้านการพัฒนาบุคลากร KBTG ได้สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เอื้อต่อการเรียนรู้และพัฒนาทักษะด้าน AI อย่างต่อเนื่อง โดยมีการจัดตั้งชุมชนแห่งการเรียนรู้ภายในองค์กร เช่น M.A.D. Guild และ K-DAI Council ที่ช่วยส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ระหว่างพนักงาน และพนักงานภายใต้องค์กรของ KBTG 100% ได้มีการอัพเกรดความรู้ในด้านเทคโนโลยี AI ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถือว่าโหดมาก ๆ เมื่อเทียบกับองค์กรส่วนใหญ่ในประเทศไทยในขณะนี้

ผมมองว่าส่วนนี้ค่อนข้างน่าสนใจเพราะองค์กรใหญ่อย่าง KBTG ที่มีพนักงานระดับท็อปมากมายในสาขานี้ ได้ทำการทดลองแล้วว่าผลของการใช้ AI First เพียงอย่างเดียวนั้นมันไม่ work ในบริบทงานด้านอุตสาหกรรมการเงินของประเทศไทย ซึ่งสุดท้ายต้องมีการผสานระหว่าง AI และ Human ที่จะได้ผลลัพธ์จริงที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

วิสัยทัศน์ “KBTG AI For Thailand” สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นขององค์กรในการใช้เทคโนโลยี AI เพื่อพัฒนาสังคมไทย ผ่านโครงการต่างๆ เช่น AI เพื่อการศึกษา AI เพื่อเป็นที่ปรึกษาสำหรับเยาวชน และ AI เพื่อการแพทย์ โดยมีเป้าหมายที่จะยกระดับขีดความสามารถของประเทศไทยสู่การเป็นผู้นำด้าน AI ในระดับภูมิภาค

การเปลี่ยนผ่านสู่องค์กรที่ขับเคลื่อนด้วย AI ของ KBTG ไม่เพียงแต่จะสร้างประโยชน์ทางธุรกิจ แต่ยังเป็นต้นแบบให้กับองค์กรอื่นๆ ในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI อย่างมีความรับผิดชอบและยั่งยืน โดยคำนึงถึงการพัฒนาทั้งด้านเทคโนโลยีและทรัพยากรมนุษย์ไปพร้อมกันนั่นเองครับผม

#KBTG
#KBTGHumanFirstxAlFirst
#AgenticAl
#KBTGTheYearOfAgenticAl2025

ลีโอ เปิดตัว “ลีโอ สุพรีม” แตกต่างอย่างลงตัวด้วย Hops สายพันธุ์ใหม่

ลีโอตอกย้ำแบรนด์ครองใจผู้บริโภคอันดับ 1 ล่าสุดเปิดตัว “ลีโอ สุพรีม” (LEO SUPREME) ที่เลือกใช้ ฮอปส์ (Hops) 2 สายพันธุ์พิเศษที่นิยมใช้ปรุงเบียร์ระดับโลกเป็นวัตถุดิบ ทำให้ได้เครื่องดื่มที่ลงตัว สร้างความแตกต่างและเพิ่มทางเลือกใหม่ให้กับผู้บริโภค                     

คุณธิติพร ธรรมาภิมุขกุล Chief Marketing Officer บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด เปิดเผยว่า ลีโอถือเป็นเครื่องดื่มที่ทำตลาดมายาวนานถึง 26 ปี ด้วยจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ที่โดนใจกลุ่มเป้าหมาย ทำให้สามารถสร้างการเติบโตและครองส่วนแบ่งเป็นอันดับ 1 ในตลาดเบียร์ได้อย่างแข็งแกร่งมาอย่างยาวนาน

ภายใต้แนวทางการทำตลาดที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ในการพัฒนาสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการผู้บริโภค ล่าสุดเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ “ลีโอ สุพรีม” (LEO SUPREME) ซึ่งมีจุดเด่นด้วยการนำ Special Hops ถึง 2 สายพันธุ์มาใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเจ้าแรกในไทย และนำมาผ่านกระบวนการผลิตที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้ได้เป็น LEO SUPREME Signature Edition Brew

“ลีโอ สุพรีม” ถือเป็นเบียร์แบรนด์เดียวและแบรนด์แรกของไทยที่นำ Special Hops 2 สายพันธุ์จากเยอรมันมาเป็นวัตถุดิบ ซึ่งสร้างความแตกต่างอย่างลงตัวเสิร์ฟให้กับผู้บริโภค และการออกผลิตภัณฑ์ใหม่นี้ ไม่เพียงมุ่งมั่นตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายแต่ยังเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยรักษาความแข็งแกร่งของลีโอในการเป็นผู้นำตลาดเบียร์ด้วย 

สำหรับ ลีโอ สุพรีม ออกมาในรูปแบบบรรจุภัณฑ์กระป๋อง ขนาด 490 มล. และแบบขวด ขนาด  620 มล. โดยผลิตภัณฑ์ได้วางจำหน่ายแล้วในทุกช่องทางทั้งร้านค้าปลีก ร้านโมเดิร์นเทรด ร้านค้าชั้นนำทั่วประเทศ และจะมีวางจำหน่ายใน 7-Eleven ในช่วงต้นเดือนธันวาคมนี้