Geek Story EP235 : จากเด็กไร้บ้านสู่เจ้าพ่อแฟชั่นโลก หนีออกจากบ้านด้วยมือเปล่า สู่แบรนด์หรูระดับโลก

Louis Vuitton เป็นแบรนด์แฟชั่นหรูที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก ซีอีโอของบริษัท Bernard Arnault ยังเป็นมหาเศรษฐีอันดับที่ห้าของโลกด้วยทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 170 พันล้านดอลลาร์ หากมองความสำเร็จของ Louis Vuitton ในปัจจุบัน หลายท่านคงไม่มีวันเดาได้เลยว่าบริษัทนี้ก่อตั้งโดยชายคนหนึ่งที่เคยไร้บ้านในวัยรุ่น ไม่ได้รับการศึกษา และต้องนอนในป่า

Louis Vuitton เป็นเรื่องราวที่แท้จริงของการต่อสู้จากความยากจนสู่ความร่ำรวย แต่บริษัทก็ต้องเผชิญกับการเข้าครอบงำกิจการแบบไม่เป็นมิตร คดีความมากมาย และข้อถกเถียงอื่นๆ อีกมากมาย

นี่คือเรื่องราวอันน่าทึ่งของ Louis Vuitton และวิธีที่ธุรกิจครอบครัวเล็กๆ พัฒนาจนกลายเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ทรงพลังที่สุดในโลก

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/4w5zcc4m

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/ef5skaue

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/3xwkvr4w

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/PXt6XorVg80

Geek Life EP76 : 4 กลยุทธ์เด็ดพิชิตใจคู่เจรจา เปลี่ยนชีวิตด้วยทักษะการเจรจา กับเทคนิคจาก Harvard

หากคุณเคยรู้สึกว่าการเจรจาต่อรองเป็นเรื่องยาก หรือมักจบลงด้วยความรู้สึกว่าตัวเองเสียเปรียบ บทความนี้อาจช่วยเปลี่ยนมุมมองของคุณได้ เป็นอีกหนึ่งข้อมูลที่น่าสนใจจากหนังสือ “Getting to Yes” ผลงานของ William Ury และ Roger Fisher ผู้ก่อตั้งโครงการเจรจาต่อรองของมหาวิทยาลัย Harvard (Harvard negotiation project) ที่จะช่วยให้คุณกลายเป็นนักเจรจาต่อรองที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/y7rtp6m9

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/2p8c8uwe

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/fNj43MLZVrU

ทำไมคนเราถึงถูกชักจูงได้ง่ายนัก? จิตวิทยาการชักจูงใจ ความลับที่ซ่อนอยู่ภายในจิตใต้สำนึก

มนุษย์เราถูกชักจูงได้ง่ายกว่าที่คิด โดยเฉพาะในระดับจิตใต้สำนึกที่เราไม่ทันรู้ตัว การศึกษาทางจิตวิทยาหลายชิ้นได้พิสูจน์ให้เห็นว่า การตัดสินใจของเราถูกกำหนดโดยปัจจัยเล็กๆ น้อยๆ ที่แทบจะไม่น่าเชื่อว่าจะมีผลกระทบ แต่กลับส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อพฤติกรรมของเรา

อิทธิพลของสภาพแวดล้อมที่มองไม่เห็น

การทดลองที่น่าสนใจหลายชิ้นได้แสดงให้เห็นถึงพลังของสภาพแวดล้อมที่มีต่อการตัดสินใจของมนุษย์ ตัวอย่างเช่น การทดลองที่ให้ชายหนุ่มรูปร่างหน้าตาดีเข้าไปขอเบอร์โทรศัพท์จากผู้หญิงในห้างสรรพสินค้า

ผลปรากฏว่าเขาได้รับการตอบรับมากที่สุดเมื่อขอเบอร์จากผู้หญิงที่อยู่หน้าร้านดอกไม้ ทั้งที่ร้านดอกไม้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการขอเบอร์โทรศัพท์โดยตรง แต่บรรยากาศความโรแมนติกของร้านดอกไม้ได้ส่งผลต่อจิตใต้สำนึกของผู้หญิงเหล่านั้น

ในทำนองเดียวกัน การทดลองกับร้านเฟอร์นิเจอร์ออนไลน์พบว่า ผู้ซื้อที่เห็นภาพพื้นหลังเป็นเมฆนุ่มๆ จะให้ความสำคัญกับความสบายของเฟอร์นิเจอร์ ในขณะที่ผู้ที่เห็นภาพเหรียญจะพิจารณาเรื่องราคาเป็นหลัก แม้ว่าผู้เข้าร่วมการทดลองจะยืนยันว่าภาพพื้นหลังไม่มีผลต่อการตัดสินใจของพวกเขาเลย

พลังของคำพูดที่เลือกใช้

การเลือกใช้คำพูดอย่างพิถีพิถันสามารถสร้างผลกระทบอย่างมหาศาล ดังเห็นได้จากกรณีของพนักงานขายที่ประสบความสำเร็จในการขายผลิตภัณฑ์ราคา 75,000 ดอลลาร์ โดยเพียงแค่พูดติดตลกก่อนว่า “แน่นอนว่าผมไม่สามารถคิดราคาล้านดอลลาร์สำหรับผลิตภัณฑ์นี้ได้” ประโยคเพียงประโยคเดียวนี้ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า 75,000 ดอลลาร์เป็นราคาที่สมเหตุสมผล

เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? เพราะ 75,000 ดอลลาร์ดูเป็นจำนวนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับหนึ่งล้านดอลลาร์ แต่ทั้งที่การพูดติดตลกถึงราคาหนึ่งล้านดอลลาร์ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับผลิตภัณฑ์ราคา 75,000 ดอลลาร์ และไม่ควรเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้คน แต่นั่นไม่ใช่ความเป็นจริง ความจริงคือมันส่งผลกระทบต่อการรับรู้เรื่องราคาของผู้คนในระดับจิตใต้สำนึก

ในการทดลองหนึ่ง นักการตลาดต้องการให้ลูกค้าทดลองดื่มเครื่องดื่มชูกำลังใหม่เพื่อรับฟังความคิดเห็น หลายคนไม่ยอมรับ ซึ่งก็เข้าใจได้เพราะผลิตภัณฑ์เป็นของใหม่และอาจสร้างความลังเลใจ นักการตลาดจึงลองใช้กลยุทธ์อื่น คราวนี้ก่อนที่จะขอให้ทดลองดื่ม พวกเขาถามคนเหล่านั้นว่าพวกเขาคิดว่าตัวเองเป็นคนชอบผจญภัยหรือไม่ หลายคนตอบว่าใช่ พวกเขาเป็นคนชอบผจญภัย และเมื่อได้รับข้อเสนอให้ลองดื่มเครื่องดื่มชูกำลังใหม่ พวกเขาก็ตกลง

หลักการ Unity: พลังแห่งความเป็นหนึ่งเดียว

Robert Cialdini ผู้เขียนหนังสือ “Pre-Suasion: A Revolutionary Way to Influence and Persuade” ได้นำเสนอแนวคิดเรื่อง “Unity” หรือความเป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งเป็นหนึ่งในหลักการชักจูงใจที่ทรงพลังที่สุด Unity หมายถึงอัตลักษณ์ร่วมที่ทำให้ผู้คนรู้สึกเป็นพวกเดียวกัน เช่น การเป็นครอบครัว การเป็นนักศึกษาในสถาบันเดียวกัน หรือการมีความสนใจร่วมกัน

หากผู้สื่อสารสามารถแสดงให้เห็นว่าเขาหรือเธอเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเดียวกับเราก่อนที่จะส่งสารนั้น เราก็จะเปิดใจที่จะร่วมมือหรือเชื่อคนๆ นั้นมากขึ้น

ยกตัวอย่าง ความกังวลใหญ่ของนักลงทุนมาโดยตลอดคือ อะไรจะเกิดขึ้นกับบริษัท Berkshire Hathaway ของ Buffett เมื่อเขาไม่ได้บริหารอีกต่อไป ในจดหมายถึงผู้ถือหุ้นเกี่ยวกับแผนการสืบทอดตำแหน่ง Buffett เขียนว่า “ผมจะบอกคุณในสิ่งที่ผมจะพูดกับครอบครัวของผมในวันนี้ หากพวกเขาถามผมเกี่ยวกับอนาคตของ Berkshire”

ด้วยภาษาแบบนั้น Buffett สามารถสร้างความน่าเชื่อถืออย่างมาก เพราะเขาบอกว่าเขากำลังให้คำแนะนำแก่ผู้อ่านในแบบเดียวกับที่เขาจะให้คำแนะนำกับสมาชิกในครอบครัว

รูปแบบที่ทรงพลังที่สุดของ Unity คือในครอบครัว ผู้คนยอมทำทุกอย่างแม้กระทั่งเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเหลือญาติสนิท Robert แสดงให้เห็นว่าคุณสามารถใช้ Unity ที่ขับเคลื่อนด้วยครอบครัวได้แม้แต่เมื่อคุณพยายามมีอิทธิพลต่อคนที่ไม่ใช่ญาติของคุณเอง

สำหรับการทดลองที่น่าทึ่งที่สุดเกี่ยวกับ Unity เกิดขึ้นในประเทศเบลเยียม นักวิจัยรวบรวมกลุ่มคนมาและแสดงภาพของสิ่งของในบ้านแต่มีภาพพื้นหลังต่างกัน โดยแบ่งคนออกเป็นสามกลุ่ม ในภาพพื้นหลังของกลุ่มแรกมีคนยืนคนเดียว กลุ่มที่สองมีคนสองคนยืนแยกกัน และในกลุ่มที่สามมีคนสองคนยืนชิดไหล่กัน

ระหว่างการทดลอง นักวิจัยแกล้งทำของตกพื้นหลายชิ้นเพื่อดูว่าใครในสามกลุ่มนี้จะลงไปคุกเข่าช่วยเก็บ ทั้งกลุ่มแรกและกลุ่มที่สองมีเพียง 20% ของคนที่ช่วย แต่ผลลัพธ์สูงขึ้นสามเท่าในกลุ่มที่สามที่มีภาพพื้นหลังเป็นคนสองคนยืนชิดไหล่กัน

แต่นี่ไม่ใช่ส่วนที่น่าสนใจที่สุดของการทดลอง ส่วนที่น่าสนใจที่สุดคือผู้เข้าร่วมการทดลองนี้เป็นเด็กอายุเพียง 18 เดือนที่ยังพูดแทบไม่ได้ และแทบจะไม่เข้าใจเรื่องตรรกะหรือเหตุผลใด ๆ เลย

บทสรุป

การเข้าใจกลไกการชักจูงใจมีประโยชน์สองด้าน:

  1. ช่วยให้เราปกป้องตัวเองจากการถูกชักจูงโดยไม่รู้ตัว
  2. สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิต การทำงาน และธุรกิจ

สิ่งสำคัญที่สุดคือการตระหนักว่า การตัดสินใจของเราไม่ได้เกิดจากเหตุผลล้วนๆ เสมอไป แต่มีปัจจัยในระดับจิตใต้สำนึกที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของเราอย่างมาก การเข้าใจความจริงข้อนี้จะช่วยให้เราตัดสินใจได้อย่างรอบคอบและชาญฉลาดมากขึ้น

References :
หนังสือ Pre-Suasion: A Revolutionary Way to Influence and Persuade โดย Robert B. Cialdini 

มาสด้า CX-5 รถอเนกประสงค์ครอสโอเวอร์เอสยูวีรุ่นบุกเบิก ต้นกำเนิดเทคโนโลยีสกายแอคทีฟที่ครองใจลูกค้าทั่วโลก

เมื่อกล่าวถึงรถอเนกประสงค์ครอสโอเวอร์เอสยูวีรุ่นยอดนิยมของมาสด้าแล้ว ใครหลายคนต้องนึกถึง มาสด้า CX-5 อย่างแน่นอน เพราะหากมองย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ปฏิเสธไม่ได้ว่าตลาดรถอเนกประสงค์ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยมีสัดส่วนการขายไม่มากนัก

แต่การบุกเบิกของมาสด้า ด้วยการส่ง CX-5 ลงสู่ตลาดได้กลายเป็นตัวเปลี่ยนเกมส่งผลให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป ผู้คนเริ่มหันมาให้ความนิยมรถยนต์ประเภทนี้มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันยิ่งได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ หลายค่ายต่างเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อเข้าสู่สนามการแข่งขันและช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาด

มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น เดินหน้าพัฒนารถยนต์รุ่นนี้อย่างจริงจัง และส่งลงตลาดครั้งแรก ในฐานะรถอเนกประสงค์ครอสโอเวอร์เอสยูวีที่มีรูปโฉมสง่างาม มาพร้อมสมรรถนะอันทรงพลังของเครื่องยนต์สกายแอคทีฟ ที่ให้ทั้งพละกำลังแรงและประหยัดน้ำมัน และมีเครื่องยนต์ให้เลือกมากที่สุดในตลาดถึง 3 แบบ ที่สำคัญให้ความอเนกประสงค์และตอบโจทย์การใช้งานหลากหลายสไตล์

ส่งผลให้มาสด้า CX-5 กลายเป็นรถเรือธงอันเลื่องชื่อในยุคนั้น ความสำเร็จที่เกิดขึ้นล้วนมาจากปณิธาน “กล้าที่จะแตกต่าง” มาสด้ากล้าที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางเลือกใหม่ ในสมัยนั้นยังไม่เป็นที่นิยมมากเท่าใดนัก นั่นคือโจทย์ที่ท้าทายอย่างยิ่ง แต่มาสด้ากลับมองตรงข้าม เล็งเห็นถึงโอกาสที่ยานยนต์ประเภทนี้จะตอบสนองความต้องการของลูกค้ายุคใหม่

ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้มาสด้า CX-5 ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว กลายเป็นรุ่นยอดนิยมของลูกค้าทั้งในประเทศไทยและนานาประเทศนับแต่นั้นมา จนถึงปัจจุบันมีลูกค้าจากทั่วโลกครอบครองรถยนต์รุ่นนี้ไปแล้วเกือบ 5 ล้านคัน และหนึ่งในนั้นคือลูกค้าชาวไทยที่เป็นเจ้าของกว่า 33,000 คัน

จะเนื่องด้วยเหตุผลกลใดจึงทำให้ มาสด้า CX-5 เจเนอเรชั่นแรก เปิดตัวครั้งแรกที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี 2555 ถูกจับตามองเรียกความสนใจจากผู้คนทั่วโลกเป็นอย่างมาก กลายเป็นรถครอสโอเวอร์ที่สร้างชื่อให้กับมาสด้าอย่างรวดเร็ว พร้อมคว้ารางวัลความสำเร็จมากมาย อาทิ Japan Car of The Year ประจำปี 2555 – 2556 และรางวัล JNCAP Five-star award ประเทศญี่ปุ่น ปี 2556

จนถึงปัจจุบันมาสด้า CX-5 มียอดขายสะสมทั่วโลกสูงถึง 4.6 ล้านคัน นับเป็นยนตรกรรมแห่งความภาคภูมิใจของชาวมาสด้าต่อการพัฒนาด้านวิศวกรรมยานยนต์ เพื่อส่งมอบความสุขและความสนุกสนานในการขับขี่ให้ลูกค้าทั่วโลก อันเป็นปณิธานสูงสุดที่มาสด้ายึดมั่น

มาสด้า CX-5 เดินทางมาถึงประเทศไทยในเดือนพฤศจิกายน 2556 กลายเป็นรถครอสโอเวอร์เอสยูวีรุ่นแรกที่สร้างชื่อเสียงอันโด่งดังให้กับแบรนด์มาสด้าจนผงาดขึ้นแถวหน้าของตลาด

โดยอัดแน่นด้วยเทคโนโลยีสกายแอคทีฟทั้งคัน ผนวกกับการออกแบบตามแนวทาง Kodo design – Soul of motion หรือ จิตวิญญาณแห่งการเคลื่อนไหวอันสง่างาม เกิดจากเส้นสายที่แสดงออกถึงความแข็งแกร่งอันทรงพลัง และความคล่องแคล่วปราดเปรียวของเสือชีต้าห์ที่กำลังกระโจนเข้าตะครุบเหยื่อซึ่งเป็นท่วงท่าที่สง่างาม

นั่นคือแรงบันดาลใจของนักออกแบบ จึงกลายเป็นรถรุ่นยอดนิยมในตลาดประเทศไทยอย่างรวดเร็ว โดยมียอดขายสะสมสูงถึง 17,365 คัน ส่วนเจเนอเรชั่นที่สองเปิดตัวเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2560 ปัจจุบันมียอดขายรวม 15,767 คัน เมื่อรวมทั้งสองเจเนอเรชั่นแล้ว มาสด้า CX-5 มีอยู่ในการครอบครองของลูกค้าไปแล้วถึง 33,132 คัน โดยปัจจัยหลักสำคัญที่ส่งผลทำให้ มาสด้า CX-5 ประสบความสำเร็จจนได้รับการตอบรับอย่างรวดเร็ว ประกอบด้วย

  • เทคโนโลยีสกายแอคทีฟ

ความสำเร็จของมาสด้า CX-5 ล้วนมาจากองค์ประกอบที่สำคัญหลากหลายด้าน โดยเฉพาะในเรื่องของเทคโนโลยีสกายแอคทีฟอันเลื่องชื่อที่ให้ทั้งพละกำลังแรงและประหยัดน้ำมันเป็นเลิศ มาพร้อมเครื่องยนต์สกายแอคทีฟที่มีให้เลือกถึง 3 เครื่องยนต์

ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์เบนซิน Skyactiv-G 2.0 ประหยัดน้ำมันและมอบความคุ้มค่าคุ้มราคา เครื่องยนต์เบนซิน Skyactiv-G 2.5 เทอร์โบ ให้สมรรถนะอันทรงพลัง และเครื่องยนต์คลีนดีเซล Skyactiv-D 2.2 ทั้งแรงและประหยัดน้ำมัน มาสด้า CX-5 ยังมาพร้อมกับระบบควบคุมสมรรถนะการขับขี่อัจฉริยะขั้นสูง GVC Plus ผสานและควบคุมการทำงานของรถทั้งคันประสานกันอย่างมีประสิทธิภาพ จึงทำให้ได้สมรรถนะการขับขี่ที่ยอดเยี่ยมตอบโจทย์ทุกการใช้งานอย่างลงตัว

นอกจากองค์ประกอบที่สำคัญของเทคโนโลยีสกายแอคทีฟแล้ว ยังรวมถึงระบบความปลอดภัยระดับโลก ด้วยโครงสร้างตัวถังสกายแอคทีฟที่มีน้ำหนักเบาแต่ความแข็งแรงสูงและทนต่อแรงบิดมากขึ้น ให้ความปลอดภัยขั้นสูงสุดหากเกิดการชนปะทะ ระบบช่วงล่างและระบบบังคับเลี้ยวสกายแอคทีฟ แน่นหนึบทุกการเข้าโค้ง และเกียร์อัตโนมัติสกายแอคทีฟ 6 สปีด เป็นต้น

องค์ประกอบที่สมบูรณ์แบบเหล่านี้ คือองค์ประกอบสำคัญที่ส่งผลทำให้รถยนต์รุ่นนี้ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายในกลุ่มผู้ใช้งานอย่างแท้จริง

  • การออกแบบที่เรียบง่ายแต่งดงาม ตามแนวทาง Kodo – Soul of motion 

ไม่เพียงเทคโนโลยีสกายแอคทีฟเท่านั้นที่ครองใจลูกค้า แม้แต่ผู้ที่พบเห็นยังได้ยลโฉมรูปลักษณ์อันงดงามที่ตราตรึงใจ จากการออกแบบ “Kodo design” Soul of Motion หรือ จิตวิญญาณแห่งการเคลื่อนไหวอันสง่างาม

โดยได้รับการถ่ายทอดแรงบันดาลใจจากสุนทรียศาสตร์สไตล์ญี่ปุ่น เรียบง่ายแต่งดงาม Less is More และถูกบรรจงสรรค์สร้างเข้าไปในรถยนต์มาสด้าทุกรุ่นจนถึงปัจจุบัน นี่คือจุดเริ่มต้นความสำเร็จครั้งสำคัญของมาสด้าที่หลอมรวมทุกองค์ประกอบสำคัญ ๆ มาพัฒนาจนเกิดประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อส่งมอบให้กับลูกค้าทั่วโลก

  • อุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายครบครัน

มาสด้า CX-5 ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างลงตัว เพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบาย ด้วยการออกแบบฟังก์ชั่นและการจัดวางอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในตัวรถให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมตามหลักปรัชญามนุษย์เป็นศูนย์กลาง เพื่อให้สัมผัสได้ถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างคนกับรถ หรือ จินบะ-อิตไต

รวมถึงระบบการเชื่อมต่อการสื่อสารแบบไร้ขีดจำกัดผ่านระบบ Mazda Connect มาพร้อม Apple CarPlay® และระบบ Android Auto™ ที่แสดงผลบนหน้าจอสี Center Display แบบทัชสกรีน รวมถึงอุปกรณ์ที่อำนวยความสะดวกสบายที่ใส่มาแบบครบครันที่รถเอสยูวีจะมอบให้ได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้มาสด้า CX-5 ตอบโจทย์และกลายเป็นรถครอสโอเวอร์เอสยูวีที่ถูกใจใครต่อใครหลายคน

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ คือ เรื่องราวความเป็นมาและองค์ประกอบโดยสังเขปของมาสด้า CX-5 ที่ได้สร้างความสำเร็จให้เกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัยและวิธีคิด “กล้าที่จะแตกต่าง” Defy convention ด้วยการลงมือทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้กลายเป็นจริง ทำให้อุปสรรคกลายเป็นความท้าทายบทใหม่ ที่พร้อมจะผลักดันให้มาสด้าก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดนิ่ง

ในอนาคตก้าวต่อจากนี้ไปน่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง ในขณะที่อุตสาหกรรมยานยนต์กำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีไปสู่อนาคต มาสด้ากำลังเดินหน้าตามวิถีทางด้วยความมุ่งมั่นตามพันธสัญญา เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนให้ดียิ่งขึ้น โดยนำเสนอเทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบันที่ตอบโจทย์ของคนส่วนใหญ่ แล้วนำมาพัฒนาให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อส่งมอบความสุขในการขับขี่ให้กับลูกค้าทุกคน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน เพื่อสร้างสรรค์สังคมให้น่าอยู่มากขึ้น และเพื่อรักษาโลกของเราให้สดใสสวยงามไปสู่ลูกหลานของเราตลอดไป

เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส รับมอบโล่ประกาศเกียรติคุณ องค์กรสนับสนุนจ้างงานคนพิการ

เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส ประเทศไทย ผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ชั้นนำระดับโลก  นำโดย คุณพิมพ์ชนก เจียมสมบัติ ผู้จัดการแผนกทรัพยากรบุคคล เป็นผู้แทนรับโล่ประกาศเกียรติคุณ จากมูลนิธิช่วยคนปัญญาอ่อนแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์  ในฐานะองค์กรที่สนับสนุนจ้างงานคนพิการทางสติปัญญา

โดยมี ดร. สายสม วงศาสุลักษณ์ เป็นผู้มอบโล่ประกาศเกียรติคุณ พิธีดังกล่าวจัดขึ้น ณ  หอประชุมหทัยนเรศวร์ สำนักงานมูลนิธิช่วยคนปัญญาอ่อนแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร

มูลนิธิช่วยคนปัญญาอ่อนฯ เป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2505 ภายใต้พระบรมราชินูปถัมภ์ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

โดยมีพันธกิจในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของคนพิการทางสติปัญญาและครอบครัว ผ่านการฟื้นฟูสมรรถภาพ ด้านการแพทย์ การศึกษา การฝึกอาชีพ การสังคมและสวัสดิการสังคมต่าง ๆ เพื่อให้คนพิการทางสติปัญญาได้รับการพัฒนาตามศักยภาพ สามารถประกอบอาชีพ ช่วยเหลือตนเองและครอบครัว ตลอดจนอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีศักดิ์ศรีเต็มภาคภูมิ

เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส ในฐานะผู้นำด้านบริการขนส่ง ตระหนักถึงความสำคัญในการสร้างสังคมที่เท่าเทียม จึงได้เปิดโอกาสให้ผู้พิการทางสติปัญญาเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร และแสดงศักยภาพได้อย่างเต็มที่ ซึ่งการได้รับรางวัลในครั้งนี้ ถือเป็นความภาคภูมิใจขององค์กรที่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างสังคมที่เอื้อต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้พิการทางสติปัญญา อีกทั้งยังเป็นแรงบันดาลใจแก่ภาคเอกชนอื่น ๆ เพื่อร่วมกันสร้างสังคมที่ดีและน่าอยู่ยิ่งขึ้น