ในโลกที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและความเร่งรีบ มนุษย์มักพบว่าตนเองหลงทางในการไล่ตามความสำเร็จและความสมบูรณ์แบบ หนังสือ “Essentialism :The Disciplined Pursuit of Less” โดย Greg McKeown เสนอมุมมองที่แตกต่างออกไป นำเสนอแนวคิดที่ว่าการโฟกัสไปที่สิ่งที่จำเป็นอย่างแท้จริงสามารถนำไปสู่ชีวิตที่มีความหมายและประสบความสำเร็จมากขึ้น
บทความนี้จะมาพูดถึง 7 บทเรียนสำคัญจากหนังสือเล่มนี้ ซึ่งสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงมุมมองและวิธีการดำเนินชีวิตของคุณได้อย่างสิ้นเชิง
บทเรียนที่ 1: ความยุ่งไม่ใช่ตัวชี้วัดความสำเร็จ
มนุษย์มักเข้าใจผิดว่าการทำงานหนักและยุ่งตลอดเวลาคือหนทางสู่ความสำเร็จ แต่ความจริงแล้ว ความยุ่งอาจเป็นเพียงภาพลวงตาของความก้าวหน้า McKeown ชี้ให้เห็นว่า การทำกิจกรรมมากมายไม่ได้หมายความว่าคุณกำลังทำสิ่งที่มีความหมายหรือมีผลกระทบต่อเป้าหมายของคุณ
ตัวอย่างเช่น พนักงานคนหนึ่งอาจใช้เวลาทั้งวันตอบอีเมลและเข้าร่วมประชุม แต่เมื่อสิ้นสุดวัน เขาอาจพบว่าตัวเองไม่ได้ทำงานที่สำคัญใดๆ เลย ในทางกลับกัน ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จอาจใช้เวลาส่วนใหญ่คิดและวางแผนกลยุทธ์ ซึ่งดูเหมือนไม่ยุ่ง แต่กลับสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ต่อธุรกิจ
การเปลี่ยนจากการวัดความสำเร็จด้วยความยุ่งมาเป็นการวัดด้วยผลกระทบที่แท้จริง เป็นก้าวแรกสู่การใช้ชีวิตที่มีความหมายมากขึ้น
บทเรียนที่ 2: เลือกสิ่งที่สำคัญจริงๆ
ในโลกที่เต็มไปด้วยโอกาสมากมาย การเลือกว่าจะทุ่มเทให้กับอะไรเป็นทักษะที่สำคัญ McKeown แนะนำให้เราถามตัวเองว่า “เราเต็มใจที่จะทุ่มเทให้กับอะไร” แทนที่จะคิดว่า “เราต้องสละอะไรบ้าง”
การเปลี่ยนมุมมองนี้ช่วยให้เราเห็นคุณค่าของสิ่งที่เราเลือก แทนที่จะรู้สึกเสียดายสิ่งที่เราต้องปฏิเสธ ตัวอย่างเช่น นักศึกษาที่ต้องเลือกวิชาเรียน แทนที่จะคิดว่า “วิชาไหนที่อาจมีประโยชน์ในอนาคต” ควรถามตัวเองว่า “วิชาไหนที่ฉันจะรักที่จะเรียนรู้อย่างลึกซึ้ง”
การเลือกด้วยวิธีนี้อาจทำให้เราทำน้อยลง แต่สิ่งที่เราทำจะมีคุณค่าและความหมายมากขึ้น เปรียบเสมือนการปลูกต้นไม้เพียงไม่กี่ต้น แต่ดูแลอย่างดีจนเติบโตแข็งแรง แทนที่จะปลูกมากมายแต่ไม่มีเวลาดูแล
บทเรียนที่ 3: การกำหนดขอบเขตคือกุญแจสู่อิสรภาพ
การพูด “ไม่” เป็นทักษะที่สำคัญในการรักษาจุดมุ่งหมายของชีวิต McKeown เน้นย้ำว่า การปฏิเสธสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับเป้าหมายหลักของเราเป็นสิ่งจำเป็น แม้ว่าบางครั้งอาจทำให้เรารู้สึกไม่สบายใจก็ตาม
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือกรณีของ Johnson & Johnson ในปี 1982 เมื่อเกิดเหตุการณ์ยา Tylenol ถูกปนเปื้อนด้วยไซยาไนด์ บริษัทตัดสินใจเรียกคืนผลิตภัณฑ์ทั้งหมดทันที แม้จะทำให้สูญเสียเงินกว่า 100 ล้านดอลลาร์ แต่การตัดสินใจนี้สอดคล้องกับค่านิยมหลักของบริษัทที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของลูกค้าเหนือสิ่งอื่นใด
การกำหนดขอบเขตไม่ได้หมายความว่าเราจะปฏิเสธทุกสิ่ง แต่หมายถึงการเลือกอย่างชาญฉลาดว่าอะไรคือสิ่งที่สอดคล้องกับค่านิยมและเป้าหมายของเรา เปรียบเสมือนการเลือกเส้นทางเดินในป่าใหญ่ เราไม่สามารถเดินทุกเส้นทางได้ แต่การเลือกเส้นทางที่ถูกต้องจะนำเราไปสู่จุดหมายที่ต้องการ
บทเรียนที่ 4: ตัดขาดจากความสูญเสียที่ผ่านมา
มนุษย์มักติดกับดักของ “ต้นทุนจม (sunk cost)” คือการยึดติดกับการตัดสินใจในอดีตเพียงเพราะเราได้ลงทุนเวลาหรือทรัพยากรไปแล้ว McKeown แนะนำให้เราเปลี่ยนมุมมองโดยถามตัวเองว่า “ถ้าฉันยังไม่ได้เริ่มสิ่งนี้ ฉันจะยอมเสียสละอะไรเพื่อให้ได้มันมา”
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการตัดสินใจระหว่างการไปเล่นสกีที่จ่ายเงินไปแล้ว 50 ดอลลาร์ กับการไปพักผ่อนในชนบทที่จ่ายไป 100 ดอลลาร์ แม้ว่าการไปชนบทจะแพงกว่า แต่ถ้าเราชอบเล่นสกีมากกว่า การเลือกไปเล่นสกีก็เป็นตัวเลือกที่ดีกว่า เพราะมันให้ความสุขและคุณค่ามากกว่า
การตัดขาดจากความสูญเสียที่ผ่านมาเปรียบเสมือนการตัดกิ่งไม้ที่ตายแล้วออกจากต้นไม้ แม้จะรู้สึกเสียดาย แต่มันจะช่วยให้ต้นไม้เติบโตได้ดีขึ้นในอนาคต
บทเรียนที่ 5: ให้ความสำคัญกับสามสิ่งหลัก: การคิด การเล่น และการนอน
McKeown เน้นย้ำว่ามีสามสิ่งที่จำเป็นสำหรับทุกคน: การใช้เวลาคิด การเล่น และการนอน แม้ว่าสิ่งเหล่านี้อาจดูเหมือนเป็นการ “เสียเวลา” ในสายตาของคนที่ยุ่งตลอดเวลา แต่มันเป็นรากฐานสำคัญของชีวิตที่มีประสิทธิภาพและมีความสุข
การคิดช่วยให้เราสามารถจัดระเบียบความคิดและลำดับความสำคัญของชีวิต เปรียบเสมือนการจัดระเบียบตู้เสื้อผ้า การสละเวลาเพื่อคิดและวางแผนอาจดูเหมือนเสียเวลาในตอนแรก แต่มันจะช่วยประหยัดเวลาและพลังงานในระยะยาว
การเล่นไม่ใช่เรื่องไร้สาระ แต่เป็นกุญแจสำคัญสู่ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม บริษัทชั้นนำหลายแห่ง เช่น Google หรือ IDEO ส่งเสริมให้พนักงานมีเวลาเล่นและทำกิจกรรมสร้างสรรค์ เพราะพวกเขารู้ว่ามันจะนำไปสู่ไอเดียและโซลูชันใหม่ๆ ที่มีคุณค่า
การนอนเป็นกลยุทธ์เพิ่ม Productivity ที่ทรงพลังที่สุด การวิจัยแสดงให้เห็นว่าการนอนหลับที่เพียงพอช่วยเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ ความจำ และความสามารถในการแก้ปัญหา ผู้นำที่ประสบความสำเร็จหลายคน เช่น Jeff Bezos ผู้ก่อตั้ง Amazon ให้ความสำคัญกับการนอนหลับ 8 ชั่วโมงต่อคืน เพื่อรักษาประสิทธิภาพในการทำงาน
บทเรียนที่ 6: เป็นทั้งนักเขียนและบรรณาธิการของชีวิตตัวเอง
McKeown เปรียบเทียบทักษะในการใช้ชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพกับการเป็นทั้งนักเขียนและบรรณาธิการ นักเขียนสร้างเนื้อหา ในขณะที่บรรณาธิการตัดทอนและขัดเกลาให้สมบูรณ์ ในชีวิตจริง เราต้องทำทั้งสองบทบาท
การเป็นนักเขียนของชีวิตหมายถึงการสร้างวิสัยทัศน์และเป้าหมายที่ชัดเจน เช่นเดียวกับที่ Johnson & Johnson มีคำอธิบายพันธกิจที่ชัดเจนว่า “ความรับผิดชอบแรกของเราคือต่อแพทย์ พยาบาล และผู้ป่วย” เราควรมีเป้าหมายที่ชัดเจนและเฉพาะเจาะจงสำหรับชีวิตของเราเช่นกัน
ตัวอย่างของเป้าหมายที่ชัดเจนและสร้างแรงบันดาลใจ เช่น “เพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตแก่ประชากรทั้งหมดของสหราชอาณาจักรภายในสิ้นปี 2012” เป้าหมายเช่นนี้ไม่เพียงแต่ชัดเจนและวัดผลได้ แต่ยังสร้างแรงบันดาลใจและให้ทิศทางที่ชัดเจนแก่ทุกคนในองค์กร
ในขณะเดียวกัน การเป็นบรรณาธิการของชีวิตหมายถึงการตัดทอนสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป เช่นเดียวกับที่บรรณาธิการตัดทอนข้อความที่ไม่จำเป็นออกจากบทความ เราต้องตัดทอนกิจกรรม ความสัมพันธ์ และภาระผูกพันที่ไม่สอดคล้องกับเป้าหมายหลักของเราออกไป
การเป็นทั้งนักเขียนและบรรณาธิการของชีวิตตัวเองเปรียบเสมือนการเป็นทั้งสถาปนิกและช่างก่อสร้างบ้านของเราเอง เราต้องออกแบบแผนชีวิตที่เราต้องการ และในขณะเดียวกันก็ต้องเลือกวัสดุที่ดีที่สุด ตัดทอนส่วนที่ไม่จำเป็น เพื่อสร้างชีวิตที่มีคุณค่าและความหมาย
บทเรียนที่ 7: โฟกัสการก้าวหน้าไปทีละน้อย
McKeown เน้นย้ำถึงความสำคัญของการโฟกัสความก้าวหน้าไปทีละน้อย แทนที่จะพยายามทำทุกอย่างให้สมบูรณ์แบบในคราวเดียว แนวคิดนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ทั้งในระดับองค์กรและชีวิตส่วนตัว
ในองค์กร การโฟกัสไปที่ “จุดอ่อนที่สุด” หรือ “สมาชิกที่ช้าที่สุด” สามารถสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ได้ เช่น ในกรณีของทีมที่กำลังปีนเขา การช่วยเหลือคนที่ช้าที่สุดให้เดินได้เร็วขึ้นจะช่วยให้ทั้งทีมเคลื่อนที่ได้เร็วขึ้น ในบริษัท การช่วยพนักงานที่มีประสิทธิภาพต่ำสุดให้ทำงานได้ดีขึ้นอาจสร้างผลกระทบมากกว่าการจ้างพนักงานใหม่หลายคน
ในชีวิตส่วนตัว การโฟกัสความก้าวหน้าทีละน้อยหมายถึงการให้ความสำคัญกับการทำสิ่งเล็กๆ ให้สำเร็จ แทนที่จะรอให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ McKeown แนะนำให้:
- เน้นการทำให้เสร็จมากกว่าการทำให้สมบูรณ์แบบ
- เริ่มต้นเร็วและเล็กดีกว่าเริ่มช้าและใหญ่
- ทำให้แน่ใจว่าคุณสามารถเห็นความก้าวหน้าของตัวเอง
ตัวอย่างเช่น หากคุณกำลังพยายามเลิกกินน้ำตาล การบันทึกจำนวนวันที่คุณไม่กินน้ำตาลลงในปฏิทินจะช่วยให้คุณเห็นความก้าวหน้าและสร้างแรงจูงใจให้ทำต่อไป
การโฟกัสความก้าวหน้าทีละน้อยเปรียบเสมือนการสร้างบ้านทีละก้อนอิฐ แม้ว่าแต่ละก้อนอาจดูเล็กและไม่สำคัญ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ก้อนอิฐเหล่านั้นจะรวมกันเป็นบ้านที่แข็งแรงและสวยงาม
บทสรุป
แนวคิดของ Greg McKeown ในหนังสือ “Essentialism : The Disciplined Pursuit of Less” ไม่ได้เป็นเพียงชุดของเทคนิคหรือกลยุทธ์ แต่เป็นบทเรียนที่เน้นการให้ความสำคัญกับสิ่งที่จำเป็นอย่างแท้จริง การนำแนวคิดนี้ไปปฏิบัติอาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือชีวิตที่มีความหมาย มีจุดมุ่งหมาย และมีความสุขมากขึ้น
การเน้นสิ่งที่จำเป็นไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องลดทอนชีวิตให้เหลือน้อยที่สุด แต่หมายถึงการเลือกอย่างชาญฉลาดว่าอะไรคือสิ่งที่มีคุณค่าและความหมายสำหรับเรา เปรียบเสมือนการเป็นศิลปินที่เลือกใช้สีเพียงไม่กี่สีบนผืนผ้าใบ แต่สามารถสร้างสรรค์ภาพที่งดงามและทรงพลัง
ในโลกที่เต็มไปด้วยตัวเลือกและการรบกวนมากมาย การฝึกฝนตามแนวคิดนี้จะช่วยให้เราสามารถนำทางชีวิตไปสู่สิ่งที่มีความหมายอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นในด้านอาชีพ ความสัมพันธ์ หรือการพัฒนาตนเอง การเน้นสิ่งที่จำเป็นจะช่วยให้เราสามารถสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ในโลกได้ โดยไม่ต้องสูญเสียตัวตนหรือความสุขของเราไป
References :
หนังสือ Essentialism : The Disciplined Pursuit of Less. Crown Business. โดย Greg McKeown