Geek Story EP228 : เมื่อแถวเติมน้ำมันกลายเป็นคิวชาร์จไฟ เหตุใดเรายังไม่มีพลังงานเพียงพอสำหรับรถยนต์ EV

ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ด้านสภาพภูมิอากาศ การเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicles หรือ EV) อย่างแพร่หลายดูเหมือนจะเป็นทางออกที่สดใส

แต่เส้นทางนี้ก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสียทีเดียว หนึ่งในความท้าทายที่สำคัญที่สุดคือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการชาร์จ EV ให้ทันกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/2hwwuuwx

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/yc2mc789

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/mrxkhcrb

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/sBwis6JOyok

หลุดพ้นจาก 70% คนเกลียดงาน : เลิกทนกับงานที่เกลียด! วิธีค้นหาอาชีพที่ใช่ภายใน 2 ปี

ในโลกแห่งการทำงานทุกวันนี้ พบว่ามีคนจำนวนมากถึง 70% ที่รู้สึกเสียใจกับอาชีพของตนเอง ซึ่งถือได้ว่าเป็นตัวเลขที่น่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง และสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่ซ่อนอยู่ในวัฒนธรรมการทำงานของเรา

ต้องบอกว่าโลกแห่งโอกาสในยุคปัจจุบันมันได้เปิดกว้างมากขึ้นกว่าที่เคย ข้อมูลต่างๆ เข้าถึงได้ง่ายดายเพียงปลายนิ้ว แม้แต่ในอุตสาหกรรมที่เคยปิดกั้น อย่างเช่น Venture Capital ก็เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่เข้าถึงได้มากขึ้น

นอกจากนี้ การทำงานทางไกล (remote work) ยังเปิดโลกใหม่ให้คนทั่วโลกเข้าถึงงานที่ใฝ่ฝันได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน และแพลตฟอร์มต่างๆ ก็เอื้อให้เราสามารถเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองหรืองานเสริมได้ง่ายขึ้น เช่น การสร้าง content บน YouTube

เป็นข้อมูลที่น่าสนใจจากช่อง youtube “Wayne Hu” ซึ่งจากประสบการณ์ส่วนตัวของ Hu ตัวเขาเองเคยผ่านการทำงานมาเกือบ 10 ปี ตั้งแต่ทำงานในธนาคารยักษ์ใหญ่อย่าง Goldman Sachs ไปเป็นที่ปรึกษาที่ McKinsey จนถึงบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกอย่าง Google

Hu ได้เล่าถึงประสบการณ์ที่ตัวเองเคยเดินตามกระแสเปลี่ยนงานไปเรื่อย ๆ ส่วนหนึ่งเพราะไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรดี ซึ่ง Hu เองก็ได้ยอมรับว่าเขารู้สึกทุกข์ทรมานกับมันเป็นส่วนใหญ่

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อ Hu ตัดสินใจไปเรียนต่อปริญญาโทบริหารธุรกิจ เพื่อเปิดมุมมองให้กว้างขึ้น และที่นั่นเขาได้พบกับอาจารย์ท่านหนึ่งที่ไม่ใช่แค่นักวิชาการ แต่เคยก่อตั้งบริษัทเทคโนโลยีมาแล้วถึง 8 แห่ง อาจารย์ได้แบ่งปันกรอบความคิดที่ว่าเราควรโฟกัสอะไรในอาชีพเพื่อให้มีความสุขและรู้สึกเติมเต็มชีวิตได้อย่างแท้จริง

หลังจากนั้น Hu ก็ได้นำคำแนะนำนั้นมาปฏิบัติ และเข้าสู่วงการ Venture Capital ประมาณ 10 ปี ซึ่งเป็นงานในฝันของเขาตั้งแต่นั้นมา Hu เคยพูดหลายครั้งว่าจะทำงานนี้ไปจนกว่าจะถูกไล่ออกหรือเกษียณ

Hu จึงได้แบ่งปันเคล็ดลับสำคัญที่จะช่วยให้คุณค้นพบจุดที่ใช่ในอาชีพของคุณ และหลีกเลี่ยงการเป็นส่วนหนึ่งของ 70% ที่เสียใจกับอาชีพของตนเอง โดยมีหัวใจสำคัญ 5 ประการดังนี้:

  1. เก่งในสิ่งที่คุณทำ
  2. ได้รับการยอมรับและรางวัลตอบแทนจากสิ่งที่คุณทำ
  3. พบความท้าทายที่มีความหมายในงานของคุณ
  4. ทำงานร่วมกับคนที่คุณชอบ
  5. เชื่อในจุดมุ่งหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าสำหรับงานของคุณ

ถ้าคุณมีคุณสมบัติทั้ง 5 ข้อนี้ในงานของคุณ คุณจะเป็นส่วนหนึ่งของคนส่วนน้อยที่มีความสุขกับอาชีพของตนเอง แต่การเดินทางไปสู่จุดนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย มาดูกันว่าเราจะทำอย่างไรให้บรรลุเป้าหมายนี้ จากคำแนะนำของ Hu

การค้นพบจุดมุ่งหมายของคุณ

คำถามแรกที่หลายคนสงสัยคือ “เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราจะเก่งอะไร หรือแม้แต่งานประเภทไหนที่เราจะสนุกด้วย?” โดยเฉพาะเมื่อคุณเพิ่งเริ่มต้น บางประเภทของงานที่คุณอาจจะได้ทำในอนาคตอาจจะยังไม่มีอยู่ด้วยซ้ำ

หลายคนเชื่อว่าสามารถค้นพบสิ่งนี้ได้ผ่านการคิดด้วยตัวเองอย่างถี่ถ้วน แต่ความจริงแล้ววิธีเดียวที่จะค้นพบว่าคุณเก่งอะไรคือการลงมือทำงานนั้นจริงๆ และดูว่าคุณสามารถพัฒนาได้เร็วแค่ไหน

แต่คุณจะเริ่มลองจากด้านไหนก่อนล่ะ? Hu แนะนำว่าในช่วงแรกๆ เราอาจต้องคาดเดาอย่างมีเหตุผล แต่มันไม่เป็นไรถ้าเดาผิด ตราบใดที่เราสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับตัวเองได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งรสนิยมของเราอาจเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่ให้สังเกตสิ่งที่กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของเราเป็นระยะเวลานาน และดูว่าเราถูกดึงดูดโดยธรรมชาติไปหาคนประเภทไหนในสาขาต่างๆ

ให้ความสนใจเป็นพิเศษกับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันที่ดูเหมือนจะทำให้คนอื่นเบื่อหรือรู้สึกรังเกียจ แต่กลับทำให้คุณหลงใหล นั่นเป็นสัญญาณที่ชัดเจนมากว่าคุณกำลังค้นพบบางสิ่งที่อาจเป็นจุดแข็งของคุณ

การให้เวลากับสิ่งที่คุณทำ

คำถามที่พบบ่อยคือ เราควรลองทำอะไรสักอย่างนานแค่ไหนก่อนที่จะตัดสินใจว่ามันไม่ใช่และเปลี่ยนไปทำอย่างอื่นและแน่นอนว่าเราก็ไม่อยากเป็นหนึ่งในคนที่เปลี่ยนงานบ่อยๆ ทุก 6 ถึง 18 เดือน จนเหล่า Recruiter เลิกสนใจเรา แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ไม่อยากเสียเวลาหลายปีไปกับงานที่ไม่มีอนาคตซึ่งไม่เหมาะกับเรา

คำแนะนำของ Hu คือ ให้คิดถึงระยะเวลาที่เหมาะสม คือช่วงเวลาที่เรามุ่งมั่นที่จะทำงานหนักที่สุดเท่าที่จะทำได้ในช่วงเวลาก่อนที่จะมีการประเมินผลใหม่ ระยะเวลานี้อาจแตกต่างกันไปมากตามอุตสาหกรรม แต่โดยปกติแล้ว Hu มองว่าประมาณ 2 ปีเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม

ยกตัวอย่างเช่น ในการจัดการผลิตภัณฑ์หรือวิศวกรรม คุณอาจต้องการทำงานกับผลิตภัณฑ์จนกว่าจะเปิดตัวและดูผลลัพธ์ ซึ่งอาจใช้เวลาสักสองปี งานที่ดีไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน Venture Capital นั้นมีความพิเศษตรงที่สตาร์ทอัพที่คุณลงทุนอาจใช้เวลา 10 ถึง 15 ปีกว่าจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ ดังนั้นอาจต้องใช้เวลานานกว่าจะรู้ว่าคุณเก่งหรือไม่

แต่กระนั้น คุณน่าจะพอมีความรู้สึกได้จากช่วงสองปีแรกหลังจากที่คุณลงทุนในช่วงแรกๆ เมื่อบริษัทเหล่านั้นกำลังเข้าสู่ตลาดและพยายามระดมทุนรอบต่อไป

ถ้าสองปีดูเหมือนนานเกินไปสำหรับคุณ Hu บอกว่ามันจะผ่านไปในพริบตาเดียว อย่างที่ Hu กล่าวว่าเขาใช้เวลา 10 ปีในงานที่ไม่ใช่ตัวเขาจริงๆ เพื่อค้นหาจุดที่ใช่ที่สุดของเขาเอง

เมื่อเวลาผ่านไป อาจมีช่วงที่แรงจูงใจและความชอบของเราต่องานนั้นลดลงในแต่ละวัน ดังนั้นอย่าประเมินผลทุกวัน ให้มุ่งมั่นกับช่วงเวลาการเรียนรู้ขั้นต่ำนี้ แล้วค่อยทำการประเมินผลอย่างละเอียดรอบคอบมากขึ้นในภายหลัง

การวางแผนอาชีพระยะยาว

หลายคนอาจได้ยินเรื่องแผน 5 ปีหรือ 10 ปี แต่ส่วนตัวของ Hu คิดว่าสิ่งเหล่านี้เกินความจำเป็นเมื่อยังหนุ่มสาวและยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณอยากทำอะไร

Hu เองก็รู้สึกตกใจเมื่อได้ยินจากคนที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก เช่น John Doerr นักลงทุน Venture Capital ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล ว่าความบังเอิญมีบทบาทสำคัญในเส้นทางอาชีพของพวกเขามากแค่ไหน

ดังนั้น แทนที่จะวางแผนระยะยาว ควรเพิ่มโอกาสให้ตัวเองโชคดีให้มากที่สุด วิธีการคือต้องกระตือรือร้นและอยากรู้อยากเห็น ลองทำหลายๆ อย่าง พบปะผู้คนมากมาย เรียนรู้ให้มาก ถามคำถามให้มาก

ตัวอย่างของ Hu เขาชอบที่จะมองหารูปแบบจากต้นแบบ เช่น ถ้าคุณได้แรงบันดาลใจจาก CTO ของ OpenAI คุณก็สามารถหาจุดร่วมกันได้

เมื่อสงสัย ให้เลือกสองสิ่งนี้:

  1. พื้นที่ที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่น AI ซึ่งเทคโนโลยีดูเหมือนจะเปลี่ยนแปลงทุกวัน พื้นที่เหล่านี้เอื้อประโยชน์ต่อคนที่เรียนรู้เร็วมากกว่าคนที่สั่งสมความรู้มาเป็นทศวรรษ
  2. เลือกพื้นที่ที่คุณสามารถทำงานกับคนเก่งๆ ที่คุณชอบได้ กระแสอย่างคริปโตอาจมาแล้วก็ไป แต่การได้เรียนรู้จากคนเก่งๆ และสร้างความสัมพันธ์กับพวกเขายังคงมีค่าเสมอ

การได้รับการยอมรับและรางวัลตอบแทน

แม้ว่าคุณจะทำทั้งหมดนี้และพบที่ที่เหมาะกับพรสวรรค์ของคุณแล้ว ก็ยังเป็นไปได้ที่จะทำงานที่ยอดเยี่ยมโดยไม่ได้รับรางวัลตอบแทนที่เหมาะสม

Hu ได้ยกตัวอย่าง Franz Kafka ทำงานอย่างไม่มีความสุขในบริษัทประกันและเสียชีวิตด้วยโรควัณโรคโดยไม่ได้ตีพิมพ์งานเขียนที่มีชื่อเสียงของเขาเลย นั่นเป็นตัวอย่างที่สุดโต่ง แต่ก็มีคนที่ทำงานยอดเยี่ยมแต่ถูกฝังอยู่ในกองภูเขาของระบบราชการ หรือถูกมองว่าไม่สำคัญเนื่องจากการเมืองในบริษัทใหญ่

ดังนั้น คุณต้องเข้าใจบริบทขององค์กรที่คุณกำลังจะเข้าร่วม โดยธรรมชาติแล้ว มันจะง่ายกว่าถ้าคุณเข้าร่วมสตาร์ทอัพขนาดเล็กหรือบริษัทที่มีโครงสร้างแบน Flat  ซึ่งงานของทุกคนเห็นได้ชัดเจนสำหรับทุกคน แต่ถ้าคุณกำลังเข้าร่วมบริษัทที่ใหญ่กว่า คุณต้องถามคำถามสำคัญๆ เช่น:

  • บริษัทนั้นทำงานอย่างไร?
  • อะไรคือโมเดลธุรกิจของพวกเขาและพวกเขาทำเงินได้อย่างไร?
  • ทีมที่คุณกำลังจะเข้าร่วมนั้นเชื่อมโยงกับสิ่งนั้นมากแค่ไหน?
  • ผู้จัดการของคุณมีอำนาจในบริษัทหรือไม่?
  • พวกเขาถูกมองอย่างไรโดยผู้บริหาร?
  • ผู้จัดการเพิ่งเข้ามาใหม่หรืออยู่มานานแล้ว?
  • พวกเขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งหลายครั้งและชัดเจนว่าเป็นดาวรุ่งหรือไม่?
  • บทบาทของคุณเข้ากับทีมนั้นและงานของผู้จัดการอย่างไร?

สิ่งนี้สำคัญมากเพราะเมื่อคุณเข้าร่วมแล้ว โดยเฉพาะถ้าคุณเป็นระดับเริ่มต้น มักจะมีอำนาจและการเมืองในบริษัทที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของคุณ และมันสามารถทำลายคุณได้แม้ว่าคุณจะทำงานได้ดีก็ตาม ปัจจัยด้านองค์กรเหล่านี้มักถูกมองข้ามโดยคนหนุ่มสาวจำนวนมาก

การเผชิญความท้าทาย

แม้ว่าคุณจะเก่งในงานของคุณและอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี แต่คุณก็ยังสามารถติดขีดจำกัดของ Learning Curve ได้ง่ายๆ งานที่ดีที่สุดควรจะน่าสนใจมากขึ้นและท้าทายมากขึ้นเมื่อคุณทุ่มเทให้กับมัน

คนที่มีความทะเยอทะยานต้องการความท้าทายนั้น ไม่ใช่แค่การเข้างานแล้วกลับบ้าน เพราะการเป็นคนเก่งในบางสิ่งมักต้องใช้เวลาหมกมุ่นกับทักษะนั้นในปริมาณที่คนส่วนใหญ่คิดว่ามันไม่สมเหตุสมผล

กุญแจสำคัญคือความสม่ำเสมอที่ยาวนานเป็นปีๆ คนที่มีอาชีพที่ยอดเยี่ยมจะหาวิธีที่จะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น 1% ทุกวัน ซึ่งเมื่อทบต้นแล้วจะทำให้คุณเก่งขึ้นหลายเท่าในเวลาเพียงปีเดียว ไม่ต้องพูดถึงทศวรรษ

สิ่งที่ยากที่สุดคือการเริ่มต้นทำงานอย่างจริงจัง ดังนั้นบ่อยครั้งคุณจะต้องหลอกตัวเองให้ข้ามผ่านจุดนั้นไปให้ได้ มันเป็นเรื่องปรกติที่จะบอกกับตัวเองว่า “ฉันจะแค่เขียนย่อหน้าแรกของบันทึกนี้” หรือ “ฉันจะแค่ตรวจทานสคริปต์ YouTube ของฉัน” และบ่อยครั้งคุณจะพบว่าตัวเองอยู่ในสภาวะ flow หลังจากนั้น 5 นาทีก็พร้อมที่จะทำงานต่อ

คนที่มีความทะเยอทะยานสูงและประสบความสำเร็จมากกว่าคนอื่นมักมีบางสิ่งในตัวที่ผลักดันพวกเขาให้ไปไกลกว่า ไม่ว่าจะเป็นความต้องการที่จะชนะ โชคชะตา หรือความรู้สึกลึกๆ ถึงภาระหน้าที่ หรืออาจจะเป็นแค่ต้องการพิสูจน์ให้คนอื่นเห็นว่าพวกเขาคิดผิด

การทำงานร่วมกับคนที่คุณชอบ

แม้ว่างานของคุณจะตรงเป้าหมายพอดิบพอดีแล้วก็ตาม แต่คุณก็ต้องชอบคนที่คุณทำงานด้วยด้วยเช่นกัน

คนที่มุ่งมั่นในอาชีพจะใช้เวลากับเพื่อนร่วมงานมากกว่าครอบครัวของตัวเอง ดังนั้นคุณควรเคารพคนที่คุณทำงานด้วย และที่สำคัญคือต้องมีบางสิ่งบางอย่างที่จะเรียนรู้จากพวกเขา

วิธีที่จะทำให้แน่ใจว่าจะได้รับสิ่งเหล่านี้คือ การหาคนที่มีวิธีการทำงานที่เข้ากันได้กับเรา มีจุดเด่นที่เสริมกัน ไม่ใช่แค่คนที่เหมือนกับเราทุกประการ

ความสามารถของเราในการประเมินคุณภาพของคนที่เราทำงานด้วยและหาคนที่สามารถเติมเต็มจุดบอดของเราได้ เป็นตัวขับเคลื่อนความสำเร็จในอาชีพของเราในระยะยาว

การเชื่อในจุดมุ่งหมายที่ยิ่งใหญ่กว่า

Hu มองว่าข้อสุดท้ายนี้อาจเป็นเกณฑ์ที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องนามธรรมและยากที่สุดที่จะจัดการ คนรุ่นใหม่จำนวนมากพูดถึงการมีเป้าหมายเป็นแรงขับเคลื่อน แต่พวกเขาก็หลงทางในการหาเป้าหมายนั้นในช่วงแรกๆ ของการทำงาน

Hu เคยได้ยินคำกล่าวจากอดีต VP ฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ YouTube เกี่ยวกับผู้หญิงสองคนที่กำลังวางอิฐ เมื่อถูกถามว่าพวกเขาทำอะไร คนหนึ่งตอบว่า “ฉันวางอิฐเรียงกันไป” และอีกคนตอบว่า “ฉันกำลังสร้างมหาวิหาร” นั่นคือการบอกว่าเป้าหมายเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นด้วยตนเอง มันไม่ใช่สิ่งที่เผอิญเจอมันโดยโชคชะตาหรือเกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เกิดจากการเปิดใจและการลงทุนด้านเวลาและความพยายามที่สั่งสมขึ้นทีละน้อย

บทสรุป

การค้นหาอาชีพในฝันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ด้วยการเปิดใจ เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตัวเองทุกวัน

Hu กล่าวว่าเราทุกคนสามารถค้นพบเส้นทางที่จะนำไปสู่ความสำเร็จและความพึงพอใจในอาชีพได้ จงจำไว้ว่า ไม่มีใครรู้จักคุณดีไปกว่าตัวคุณเอง ดังนั้นจงเชื่อมั่นในตัวเอง กล้าที่จะลองสิ่งใหม่ๆ และอย่ากลัวที่จะล้มเหลว เพราะทุกความล้มเหลวคือบทเรียนที่จะนำคุณไปสู่ความสำเร็จในที่สุด

References :
#1 Most Valuable Lesson I Learned at Harvard Business School: How to Avoid Regret
https://youtu.be/YkvqiSMaTfM?si=ogQQZuczMrRG5y-w

Geek Life EP66 : กล้ามเนื้อแห่ง empathy อีกหนึ่งทักษะที่โรงเรียนไม่เคยสอน แต่เป็นสิ่งที่ชีวิตเราต้องการ

ในยุคปัจจุบันคำว่า “empathy” หรือ ความเห็นอกเห็นใจ ความเข้าใจในความคิดและความรู้สึกของผู้อื่นกลายเป็นทักษะที่สำคัญยิ่งต่อการอยู่ร่วมกันในสังคม แต่การจะเข้าใจจิตใจของคนอื่นนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

เป็นข้อมูลที่น่าสนใจจากเวที Ted Talks ล่าสุดที่เพิ่งมีการปล่อยออกมาโดย Alison Jane Martingano (Ph.D.) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-กรีนเบย์ (UWGB) การวิจัยเกี่ยวกับความเห็นอกเห็นใจของเธอได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการต่างๆ และเธอยังแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกทางจิตวิทยากับสาธารณชนทั่วไปเป็นประจำผ่านบล็อก Psychology Today และพอดแคสต์ Psychology & Stuff

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/53b63cux

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/4d3mfxsh

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/TFQoQjfq4J4