ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เราคุ้นเคยกับการอัปเดตแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน การอัปเกรดโปรแกรมป้องกันไวรัส และการปรับปรุงระบบปฏิบัติการของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ แต่เราเคยคิดถึงการอัปเกรด “ระบบปฏิบัติการสมอง” ของเราบ้างหรือไม่? เราใช้เวลาคิดเกี่ยวกับวิธีที่เราคิดมากแค่ไหน? ทั้ง ๆ ที่เราคิดอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งในยามหลับเราก็ยังฝัน
เป็นอีกหนึ่งข้อมูลที่น่าสนใจจากเวที Ted Talks โดย Chris Thomason นักออกแบบ วิศวกร นักคิด และนักเขียน ที่ได้ทำการศึกษาแนวคิด Freaky Thinking ซึ่งเป็นแนวทางใหม่ในการคิดในที่ทำงานเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่มีการพัฒนาการระดมความคิดเมื่อ 70 ปีก่อน
Thomason ได้แนะนำวิธีการอัปเกรดระบบปฏิบัติการสมองแบบใหม่ ที่จะช่วยปฏิวัติวิธีคิดของเราซึ่งเปรียบเสมือนการติดตั้งซอฟต์แวร์ใหม่ให้กับสมองของเรา ที่จะช่วยให้เรามองโลกในมุมมองที่แตกต่างและสร้างสรรค์ยิ่งขึ้น
Thomason เริ่มต้นด้วยการให้ลองสำรวจตัวเอง โดยให้ลองนึกย้อนไปถึงช่วงเวลาที่เรารู้สึกว่าความคิดของเราแล่นฉิวและมีประสิทธิภาพมากที่สุด เราอยู่ที่ไหน? กำลังทำอะไร?
จากการสำรวจความคิดเห็นของพนักงานในธนาคารยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งของสหราชอาณาจักร พบว่าคำตอบส่วนใหญ่มักเป็นช่วงเวลาที่พวกเขาอยู่นอกที่ทำงาน เช่น ตอนอาบน้ำ เดินเล่นกับสุนัข ออกกำลังกายที่ยิม หรือขับรถ น่าแปลกใจที่แทบไม่มีใครตอบว่าพวกเขาเกิดไอเดียดี ๆ ตอนอยู่ที่ทำงาน และไม่มีใครเลยที่บอกว่าได้ความคิดที่ดีที่สุดในระหว่างการประชุมระดมสมอง
ความจริงที่น่าสนใจนี้ได้รับการยืนยันจากงานวิจัยในปี 2012 โดยมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ที่ศึกษาเกี่ยวกับเทคนิคการคิดที่แปลกใหม่ โดยให้ผู้เข้าร่วมคิดหาวิธีใช้งานที่แหวกแนวสำหรับสิ่งของในชีวิตประจำวัน เช่น ไม้จิ้มฟัน ยางรัดของ หรือคลิปหนีบกระดาษ ภายในเวลาจำกัด
ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มที่ได้ทำกิจกรรมที่ไม่ต้องใช้ความคิดมากในช่วงพัก เช่น การดูตัวเลขบนจอแล้วบอกว่าเป็นเลขคู่หรือคี่ สามารถคิดไอเดียใหม่ ๆ ได้ดีขึ้นถึง 40% ในการทดสอบครั้งที่สอง ซึ่งดีกว่ากลุ่มอื่น ๆ อย่างมีนัยสำคัญ
สิ่งนี้สอดคล้องกับประสบการณ์ส่วนตัวของเราที่มักจะเกิดไอเดียดี ๆ ในขณะทำกิจวัตรประจำวันที่ไม่ต้องใช้ความคิดมาก เช่น อาบน้ำ เดินเล่น หรือขับรถบนถนนที่คุ้นเคย แต่ถ้าเราต้องขับรถในเมืองที่พลุกพล่าน เราจะต้องใช้สมาธิทั้งหมดไปกับการขับรถ ไม่มีพื้นที่ให้ความคิดสร้างสรรค์ได้ทำงาน
จากข้อมูลนี้ เราสามารถสรุปได้ว่าการคิดที่มีประสิทธิภาพมักเกิดขึ้นควบคู่ไปกับการทำกิจกรรมที่ไม่ต้องใช้ความคิดมากนัก ดังนั้นหากเราต้องการแก้ปัญหาสำคัญหรือต้องการความคิดสร้างสรรค์ เราควรจัดสรรเวลาและสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับการคิด
แต่ทำไมเราถึงยังคงใช้วิธีการระดมสมองในที่ทำงาน ทั้ง ๆ ที่มันอาจไม่ใช่วิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุด? การระดมสมองเป็นเครื่องมือที่ถูกคิดค้นขึ้นโดย Alex Osborne ผู้บริหารด้านการโฆษณาในปี 1953 และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าจะมีอายุมากกว่า 70 ปีแล้ว แต่เรายังคงใช้มันเมื่อต้องการแก้ปัญหาใหญ่หรือพัฒนาโอกาสใหม่ ๆ
อย่างไรก็ตาม งานวิจัยล่าสุดโดย Keith Sawyer นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ได้ทำการวิเคราะห์เกี่ยวกับการระดมสมอง โดยศึกษาผลงานวิจัยหลายร้อยชิ้น ข้อสรุปของเขาคือ “งานวิจัยหลายทศวรรษเกี่ยวกับการระดมสมองได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า กลุ่มที่ระดมสมองคิดไอเดียได้น้อยกว่าการให้แต่ละคนคิดคนเดียวแล้วนำไอเดียมารวมกันในภายหลัง”
แล้วเราจะปรับปรุงวิธีการคิดในที่ทำงานอย่างไร? Daniel Kahneman นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลได้เสนอแนวคิดการคิดสองระบบในหนังสือ “Thinking, Fast and Slow” ของเขา
ระบบ 1 เป็นการคิดแบบรวดเร็ว เหมาะสำหรับการตอบคำถามในเกมตอบปัญหา แต่ไม่เหมาะกับการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนในที่ทำงาน ส่วนระบบ 2 เป็นการคิดที่รอบคอบ เหมาะสำหรับการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนและต้องการความคิดสร้างสรรค์
ในที่ทำงาน เรามักจะเจอกับ นักคิดที่พยายามตอบคำถามยาก ๆ ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยใช้การคิดแบบระบบ 1 กับคำถามที่ต้องการการคิดแบบระบบ 2
วิธีแก้ปัญหานี้คือการใช้เทคนิค “10 วินาทีแห่งความเงียบ” เมื่อคุณถามคำถามสำคัญที่ต้องใช้ความคิด ให้ขอให้ทุกคนใช้เวลาเงียบ ๆ คิด 10 วินาทีก่อนที่จะพูด วิธีนี้จะช่วยให้ผู้เข้าร่วมประชุมมีเวลาคิดไตร่ตรองมากขึ้น และอาจนำไปสู่ไอเดียที่ดีกว่า
นอกจากนี้ เราสามารถใช้วิธี “proactive procrastination” ได้ แทนที่จะทำการระดมสมองในที่ประชุม ให้แจ้งหัวข้อหรือคำถามสำคัญที่ต้องการคำตอบล่วงหน้า และขอให้ทุกคนคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ในช่วงเวลาจนถึงการประชุมครั้งหน้า วิธีนี้จะช่วยให้ทุกคนมีเวลาคิดในสถานที่และเวลาที่เหมาะสมกับตนเอง ซึ่งอาจเป็นช่วงเวลาที่พวกเขาคิดได้ดีที่สุด
ในยุคที่การทำงานแบบไฮบริดกำลังเป็นที่นิยม เราสามารถใช้ประโยชน์จากเวลาที่อยู่ที่บ้านในการคิดสร้างสรรค์ได้ ลองใช้เวลาครึ่งชั่วโมงพาสุนัขไปเดินเล่น หรือแม้แต่พาตัวเองไปเดินเล่น พร้อมกับนำประเด็นที่ต้องคิดติดตัวไปด้วย เพราะนั่นอาจเป็นช่วงเวลาที่คุณคิดได้ดีที่สุด
เมื่อถึงการประชุมครั้งต่อไป แทนที่จะเริ่มต้นด้วยการระดมสมอง ให้แต่ละคนนำเสนอไอเดียที่ได้คิดมาล่วงหน้า จากนั้นจึงอภิปรายและพัฒนาต่อยอดร่วมกัน วิธีนี้จะช่วยให้การประชุมมีประสิทธิภาพมากขึ้น และได้ไอเดียที่ผ่านการกลั่นกรองมาแล้วในระดับหนึ่ง
การอัปเกรดระบบปฏิบัติการสมองของเราไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องอาศัยความตั้งใจและการฝึกฝน เมื่อคุณเริ่มนำวิธีการเหล่านี้ไปใช้ คุณจะพบว่าตัวเองสามารถจัดการกับคำถามที่ท้าทายและซับซ้อนได้ดีขึ้น คุณจะสามารถมองเห็นมุมมองใหม่ ๆ ที่ไม่เคยนึกถึงมาก่อน และสร้างสรรค์ไอเดียที่แปลกใหม่ได้มากขึ้น
ลองนึกถึงนักคิดและนวัตกรที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ เช่น Leonardo da Vinci, Albert Einstein, หรือ Steve Jobs พวกเขาไม่ได้คิดตามกรอบเดิม ๆ แต่กล้าที่จะมองโลกในมุมที่แตกต่าง และนั่นคือสิ่งที่ทำให้พวกเขาสามารถสร้างสรรค์สิ่งที่เปลี่ยนแปลงโลกได้
การปฏิวัติความคิดของคุณอาจเริ่มต้นจากเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น การแก้ปัญหาในที่ทำงาน การปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือการคิดค้นผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ ๆ แต่เมื่อคุณฝึกฝนและพัฒนาทักษะการคิดนอกกรอบอย่างต่อเนื่อง คุณอาจพบว่าตัวเองสามารถสร้างนวัตกรรมที่ส่งผลกระทบในวงกว้างได้
นอกจากนี้ การปรับเปลี่ยนวิธีคิดยังช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นทางความคิด (cognitive flexibility) ซึ่งเป็นทักษะสำคัญในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นทุกวันนี้ เมื่อเราฝึกมองปัญหาจากหลาย ๆ มุม เราจะสามารถปรับตัวกับสถานการณ์ใหม่ ๆ ได้ดีขึ้น และพร้อมรับมือกับความท้าทายที่ไม่คาดคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การอัปเกรดระบบปฏิบัติการสมองของเรายังช่วยเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ (creativity) ซึ่งเป็นทักษะที่มีความต้องการสูงในตลาดแรงงานปัจจุบัน องค์กรต่าง ๆ กำลังมองหาบุคลากรที่สามารถคิดนอกกรอบและสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ ๆ เพื่อแก้ปัญหาที่ซับซ้อนและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน การฝึกฝนทักษะการคิดแบบใหม่จึงไม่เพียงแต่จะช่วยพัฒนาตัวเราเอง แต่ยังเพิ่มมูลค่าให้กับตัวเราในฐานะมืออาชีพอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงวิธีคิดไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ในชั่วข้ามคืน มันต้องอาศัยความพยายามและความอดทน ซึ่งเราอาจพบว่าในช่วงแรก การคิดนอกกรอบเป็นเรื่องที่ท้าทายและอึดอัด เพราะสมองของเรามักจะชอบอยู่ในพื้นที่ที่คุ้นเคยและปลอดภัย แต่เมื่อเราฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง ก็จะพบว่าการคิดนอกกรอบกลายเป็นธรรมชาติมากขึ้นเรื่อย ๆ
หนึ่งในวิธีที่จะช่วยพัฒนาทักษะการคิดนอกกรอบคือการเปิดรับประสบการณ์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ ลองทำสิ่งที่เราไม่เคยทำมาก่อน เช่น เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ อ่านหนังสือในหมวดหมู่ที่เราอาจจะไม่เคยสนใจ หรือพูดคุยกับผู้คนที่มีภูมิหลังแตกต่างจากเรา การเปิดรับประสบการณ์ใหม่ ๆ จะช่วยเพิ่มมุมมองและกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ของเรา
นอกจากนี้ การฝึกสติ (mindfulness) ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยพัฒนาทักษะการคิดของเรา การฝึกสติจะช่วยให้เราตระหนักถึงความคิดของตัวเองมากขึ้น ทำให้เราสามารถสังเกตเห็นรูปแบบความคิดที่เป็นอุปสรรคต่อความคิดสร้างสรรค์ และฝึกปล่อยวางความคิดเหล่านั้นได้
การจดบันทึกความคิด (journaling) ก็เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการพัฒนาทักษะการคิด การเขียนความคิดของเราลงบนกระดาษจะช่วยให้เราเห็นภาพรวมของความคิดได้ชัดเจนขึ้น และอาจทำให้เราเห็นความเชื่อมโยงระหว่างไอเดียต่าง ๆ ที่เราอาจจะไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน
ท้ายที่สุด การแบ่งปันความคิดของเรากับผู้อื่นก็เป็นวิธีที่ดีในการพัฒนาทักษะการคิด การพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้อื่นจะช่วยให้เราได้รับมุมมองใหม่ ๆ และอาจนำไปสู่การต่อยอดไอเดียที่เราไม่เคยนึกถึงมาก่อน
การอัปเกรดระบบปฏิบัติการสมองของเราไม่ใช่จุดหมายปลายทาง แต่เป็นการเดินทางที่ไม่มีวันสิ้นสุด เมื่อเราเริ่มต้นการเดินทางนี้ ก็จะพบว่าโลกรอบตัวเราเต็มไปด้วยโอกาสและความเป็นไปได้ที่รอให้เราค้นพบ เราจะมองเห็นปัญหาเป็นความท้าทายที่น่าตื่นเต้น และเราจะพบว่าตัวเองมีพลังที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงในทางที่เราไม่เคยคิดว่าเป็นไปได้มาก่อน
ดังนั้น จงเริ่มต้นการปฏิวัติความคิดของคุณตั้งแต่วันนี้ ให้ความสำคัญกับช่วงเวลาที่คุณคิดได้ดีที่สุด ท้าทายตัวเองให้มองปัญหาจากมุมมองที่แตกต่าง และอย่ากลัวที่จะคิดนอกกรอบ เพราะนั่นคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่
การปฏิวัติความคิดของคุณอาจเริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามง่าย ๆ กับตัวเอง เช่น “มีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้หรือไม่?” “ถ้าเราลองทำแบบนี้ล่ะ?” หรือ “เราจะแก้ปัญหานี้อย่างไรถ้าเรามีทรัพยากรไม่จำกัด?” คำถามเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นให้สมองของคุณคิดนอกกรอบและมองหาโอกาสใหม่ ๆ ที่คุณอาจไม่เคยนึกถึงมาก่อน
เมื่อคุณเริ่มปฏิบัติตามแนวคิดเหล่านี้ คุณจะพบว่าความคิดของคุณมีพลังมากขึ้น คุณจะสามารถแก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างสรรค์นวัตกรรมที่น่าตื่นเต้น และมีส่วนร่วมในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับโลกรอบตัวคุณ
จงจำไว้ว่า การเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นจากความคิดเพียงหนึ่งเดียว และความคิดนั้นอาจมาจากคุณ ดังนั้น จงเริ่มต้นอัปเกรดระบบปฏิบัติการสมองของคุณตั้งแต่วันนี้ และเตรียมพร้อมที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงอันน่าอัศจรรย์ที่จะเกิดขึ้นในชีวิตของคุณและโลกรอบตัวคุณ
References :
How to think better at work | Chris Thomason | TEDxReigate
https://youtu.be/1cjtYJLL81Y?si=dHulGQD9XFQrhu2t