เปิดโมเดลธุรกิจ 5-25-30 : จาก 0 ถึง 1 ล้านดอลลาร์ ใน 1 ปี วิธีสร้างแบรนด์แบบ Ryan Moran

ในโลกธุรกิจที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน การสร้างธุรกิจให้เติบโตจนมีมูลค่าถึงหลักล้านดอลลาร์ภายในเวลาเพียงหนึ่งปีอาจฟังดูเป็นเรื่องเพ้อฝัน แต่ Ryan Moran ผู้เขียนหนังสือ “12 Months to 1 Million” เชื่อว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ และได้วางแผนกลยุทธ์ที่ชัดเจนเพื่อบรรลุเป้าหมายนี้

แนวคิดจากหนังสือของ Moran มีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก ซึ่งเราสามารถนําหลักการเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดดโดยอาจจะใช้เวลาเพียงแค่ 1 ปีเพียงเท่านั้น

เริ่มต้นด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน

ให้ลองจินตนาการภาพนี้: คุณเพิ่งเปิดตัวผลิตภัณฑ์แรกในฐานะผู้ประกอบการหน้าใหม่ ในวันแรกคุณขายได้เพียง 5 ชิ้น แต่แล้วคําวิจารณ์ในแง่บวกก็เริ่มทยอยเข้ามา ทําให้ยอดขายของคุณพุ่งขึ้นเป็น 25 ชิ้นต่อวันอย่างรวดเร็ว

ความสําเร็จเบื้องต้นนี้ทําให้คุณเริ่มคิดถึงความเป็นไปได้ใหม่ๆ คุณเริ่มมองเห็นโอกาสในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมอีก 4 รายการที่จะตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบถ้วน

คุณนําบทเรียนและกําไรจากความสําเร็จครั้งแรกมาต่อยอด และเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สองออกสู่ตลาด ซึ่งสามารถทํายอดขายได้ถึง 25 ชิ้นต่อวันเร็วกว่าผลิตภัณฑ์แรกมาก ก่อนสิ้นปี คุณสามารถเปิดตัวผลิตภัณฑ์ได้ครบทั้ง 5 รายการ โดยมีราคาเฉลี่ยชิ้นละ 30 ดอลลาร์ และแต่ละผลิตภัณฑ์สามารถทํายอดขายได้เฉลี่ย 25 ชิ้นต่อวัน

นั่นหมายความว่าคุณประสบความสําเร็จแล้ว! เพราะคุณสามารถสร้างธุรกิจและแบรนด์ที่สร้างรายได้มากกว่า 1 ล้านดอลลาร์ต่อปี นี่คือพลังของการทําตามแนวทาง 5-25-30:

  • 5 ผลิตภัณฑ์
  • ขายได้ 25 ชิ้นต่อวัน
  • ราคาเฉลี่ย 30 ดอลลาร์ต่อชิ้น (ประมาณ 1,000 บาท)

แม้ว่าเป้าหมายนี้อาจดูเหมือนความฝันที่ไกลเกินเอื้อม แต่ Moran เชื่อว่าทุกคนสามารถทําได้โดยเริ่มจากจุดเล็กๆ และมุ่งเน้นการตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าหลักอย่างแม่นยํา

กําหนดกลุ่มลูกค้าหลักของคุณ

ก้าวแรกสู่ความสําเร็จคือการระบุกลุ่มลูกค้าหลักของคุณให้ชัดเจน Moran แนะนําให้คิดถึงคนที่มีความหลงใหลในสิ่งที่พวกเขาสนใจ และยินดีจ่ายเงินเพื่อสิ่งนั้น อาจเป็นคนที่เรารู้จักเป็นการส่วนตัว เช่น เพื่อน สมาชิกในครอบครัว

ยกตัวอย่างเช่น:

  • คนรักสุขภาพวัย 30 ปี ที่ชื่นชอบการออกกําลังกายและพร้อมลงทุนกับอาหารเสริมคุณภาพสูงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการออกกําลังกาย
  • คุณแม่วัย 40 ปี ที่เพิ่งเริ่มสนใจการฝึกโยคะ และต้องการอุปกรณ์คุณภาพดีที่ช่วยให้รู้สึกมั่นใจระหว่างการฝึก
  • คอกาแฟวัย 35 ปี ที่หลงใหลในการชงกาแฟแบบ specialty และชอบทดลองวิธีการชงแบบต่างๆ

สิ่งที่น่าสนใจคือลูกค้าเหล่านี้มักไม่ได้ซื้อเพียงผลิตภัณฑ์เดียว แต่มีแนวโน้มที่จะซื้อหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกัน เช่น คอกาแฟอาจลงทุนซื้อทั้งเมล็ดกาแฟคุณภาพสูง เครื่องบดกาแฟ อุปกรณ์ชงแบบ pour-over และเครื่องชงกาแฟพกพาสำหรับเดินทาง ในขณะที่คนรักการออกกําลังกายอาจซื้อทั้งโปรตีนผง อาหารเสริมก่อนออกกําลังกาย และชุดออกกําลังกายที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ

หน้าที่ของเราคือการระบุความสนใจเฉพาะด้านที่ลูกค้าพร้อมจะจ่ายเงินซื้อผลิตภัณฑ์ 3-5 รายการ ด้วยแนวคิด “ตะกร้าสินค้าในฝัน” ที่มี 3-5 ผลิตภัณฑ์ของลูกค้าจะช่วยให้เราเข้าใจความต้องการและคุณค่าที่ลูกค้าให้ความสําคัญได้อย่างลึกซึ้ง และสามารถกําหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

การคิดผลิตภัณฑ์ 3-5 รายการที่เราต้องการขายยังช่วยให้กําหนดแนวทางของแบรนด์ได้ชัดเจนขึ้นด้วย ผู้คนมักซื้อแบรนด์ที่พวกเขารู้สึกมีความเชื่อมโยง และยินดีจ่ายเงินเพิ่มสําหรับผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับแบรนด์นั้น

ตัวอย่างที่น่าสนใจคือ Bulletproof Coffee ของ Dave Asprey แม้จะเข้าสู่ตลาดกาแฟที่มีการแข่งขันสูงอยู่แล้ว แต่ Bulletproof Coffee ก็ประสบความสําเร็จอย่างมาก เพราะพวกเขาไม่ได้ขายแค่กาแฟ แต่ขายไลฟ์สไตล์และแนวคิดเรื่องสุขภาพทั้งหมด ลูกค้าซื้อเพราะพวกเขาชื่นชอบแนวคิดและภาพลักษณ์ของแบรนด์

กรอบความคิดแบบล้านดอลลาร์

Moran เน้นย้ำว่าการคิดถึงแบรนด์ควรมาก่อนการคิดถึงตัวผลิตภัณฑ์ หากเราสามารถสร้างแบรนด์ที่ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์ 3-5 รายการที่มีคนประมาณ 1,000 คนรักมาก และรู้สึกว่าแบรนด์ของเราสร้างมาเพื่อพวกเขาโดยเฉพาะ พวกเขาจะไม่เพียงแค่ซื้อผลิตภัณฑ์ของเราเท่านั้น แต่จะกลายเป็นแฟนพันธุ์แท้ที่ช่วยบอกต่อและแนะนําผลิตภัณฑ์ของเราให้คนอื่นๆ รู้จัก

นอกจากนี้ โอกาสที่หนึ่งในลูกค้าหลัก 1,000 คนนั้นจะเป็น influencer ที่มีผู้ติดตามในโซเชียลมีเดียจํานวนมาก หรือมีเครือข่ายที่แข็งแกร่งซึ่งสามารถแนะนําแบรนด์ของเราให้กลุ่มคนที่กว้างขึ้นก็มีสูง

ให้ทุ่มเทความพยายามทั้งหมดในการสื่อสารและให้บริการลูกค้าหลัก 1,000 คนแรกอย่างดีที่สุด และพวกเขาจะช่วยดูแลการเติบโตของคุณเอง ลูกค้าหลัก 1,000 คนนี้มีความสําคัญต่อความสําเร็จของเรามาก Moran แนะนําให้เริ่มดึงดูดพวกเขาซักระยะเวลาหนึ่งก่อนที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์แรก

ในความเป็นจริง เมื่อเราพร้อมที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ เราก็ควรมีผู้ติดตามในโซเชียลมีเดียอย่างน้อย 1,000 คน หรือมีรายชื่ออีเมลผู้รับข่าวสาร (Mailing list) 1,000 รายชื่อที่ชื่นชอบแนวคิดและภาพลักษณ์ของแบรนด์เรา

วิธีรวบรวมผู้ติดตาม 1,000 คนแรก

การสร้างฐานผู้ติดตาม 1,000 คนแรกอาจดูเป็นงานที่ยาก แต่ Moran มีกลยุทธ์ที่น่าสนใจดังนี้:

  1. สร้างตัวตนบนโซเชียลมีเดีย: เลือกแพลตฟอร์มที่กลุ่มเป้าหมายของเราใช้งานบ่อย อาจเป็น Facebook, Instagram, TikTok หรือ YouTube ขึ้นอยู่กับลักษณะของธุรกิจและกลุ่มลูกค้าของเรา
  2. แจกคอนเทนต์ที่มีประโยชน์ฟรี: สร้างคู่มือ แนวทางปฏิบัติ หรือเคล็ดลับที่เกี่ยวข้องกับความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย เช่น “คู่มือโยคะสําหรับผู้เริ่มต้น” หรือ “รายการอุปกรณ์กาแฟที่ต้องมีสําหรับการชงกาแฟที่บ้าน” การให้ข้อมูลที่มีคุณค่าโดยไม่คิดเงินจะช่วยสร้างความไว้วางใจและดึงดูดผู้ติดตามที่สนใจจริงๆ
  3. แบ่งปันเรื่องราวการเรียนรู้และพัฒนา: เล่าถึงกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาความเข้าใจของเราในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ การแสดงให้เห็นว่าตัวเราเองก็เป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิตจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและความเชื่อมั่นในตัวเรา

Moran ยกตัวอย่างว่าเขาสามารถดึงดูดผู้ติดตามหลายพันคนมายังเพจ Facebook “I Love Yoga” ของเขาโดยใช้งบโฆษณา Facebook เพียงวันละ 300 บาท จากนั้นเขาใช้เพจนี้เป็นพื้นที่บันทึกการเดินทางสู่การสร้างผลิตภัณฑ์โยคะชิ้นแรก โดยโพสต์รูปภาพ แสดงขั้นตอนการทําต้นแบบ และนําความคิดเห็นที่ได้รับจากคนในกลุ่ม Facebook มาปรับปรุงผลิตภัณฑ์

ตัวอย่างเช่น เมื่อมีคนแสดงความเห็นว่าอยากได้เสื่อโยคาที่มีสายรัดหนาขึ้น เขาก็นําข้อมูลนี้ไปปรับปรุงผลิตภัณฑ์ทันที การทําเช่นนี้ไม่เพียงช่วยให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ตรงใจลูกค้ามากขึ้น แต่ยังทําให้ผู้ติดตามรู้สึกมีส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วย

เลือกผลิตภัณฑ์แรก

ในขณะที่เรากําลังสร้างกลุ่มผู้ติดตามที่อาจเป็นลูกค้าหลัก Moran แนะนําให้เราตัดสินใจว่าผลิตภัณฑ์ 3-5 รายการที่พวกเขาอาจซื้อคืออะไร จากนั้นพิจารณาว่าอะไรควรจะเป็น “ผลิตภัณฑ์เริ่มต้น (Gateway product)”

ผลิตภัณฑ์เริ่มต้นคือสิ่งที่ลูกค้ามีแนวโน้มจะซื้อก่อน และอาจนําไปสู่การซื้อผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่เราวางแผนไว้ในอนาคต ยกตัวอย่างเช่น สําหรับคนรักการออกกําลังกาย อาจเป็นอาหารเสริมก่อนออกกําลังกายที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและกระตุ้นให้พวกเขาออกกําลังกายอย่างต่อเนื่อง

เมื่อเรามีไอเดียผลิตภัณฑ์เริ่มต้นแล้ว Moran แนะนําให้ทําการวิจัยตลาดอย่างละเอียด โดยมองหาเวอร์ชันที่ขายดีที่สุดของผลิตภัณฑ์นั้นบน e-commerce platform ยอดนิยม ถ้าเป็นในประเทศไทยก็เช่น Shopee หรือ Lazada ที่มีรีวิวแบบละเอียด จากนั้นพิจารณาว่าผลิตภัณฑ์ขายดีเหล่านั้นยังไม่ตอบโจทย์ลูกค้าของเราตรงจุดไหนบ้าง

ให้ความสนใจเป็นพิเศษกับข้อร้องเรียนที่พบบ่อยที่สุด แล้วระดมความคิดหาวิธีปรับปรุงผลิตภัณฑ์ขายดีในตลาดของเรา เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องเหล่านั้นและเพิ่มความแตกต่างที่สําคัญอย่างน้อยหนึ่งอย่าง

Moran ยกตัวอย่างจากประสบการณ์ของตัวเอง เมื่อเขากําลังคิดผลิตภัณฑ์แรกสําหรับธุรกิจอาหารเสริม Sheer Strength ของเขา เขาได้ตัดสินใจเพิ่มส่วนผสมพิเศษอีกหนึ่งอย่างคือสารสกัดจากบีทรูทลงในอาหารเสริมก่อนออกกําลังกายทั่วไป ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและกลายเป็นจุดขายสําคัญที่ทําให้ผลิตภัณฑ์ของเขาโดดเด่นในตลาด ความแตกต่างเพียงเล็กน้อยนี้กลายเป็นรากฐานของธุรกิจที่เขาสามารถขายได้ในราคา 300 ล้านบาทในเวลาต่อมา

การพัฒนาผลิตภัณฑ์

เมื่อเรารู้แล้วว่าต้องการปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่อย่างไร ขั้นตอนต่อไปคือการหาผู้ผลิตที่สามารถทําตามแนวคิดของเราได้ Moran แนะนําให้ค้นหาผู้ผลิต OEM บนแพลตฟอร์มอย่าง Alibaba ที่สามารถทำวิศวกรรมย้อนกลับ  (Reverse Engineering) และปรับแต่งผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ได้

ในบริบทของประเทศไทย อาจพิจารณาหาผู้ผลิตในประเทศหรือในภูมิภาคอาเซียนเพื่อลดต้นทุนการขนส่งและภาษีนําเข้า นอกจากนี้การทํางานกับผู้ผลิตในพื้นที่ใกล้เคียงยังช่วยให้การสื่อสารและการแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

พูดคุยกับผู้ผลิตที่เราเลือกและปรับปรุงจนได้ต้นแบบผลิตภัณฑ์ที่เราคิดว่าลูกค้าจะชอบ Moran แนะนําให้สั่งผลิตในจํานวนน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในครั้งแรก หากรุ่นแรกยังไม่ดีพอที่จะขาย ให้ส่งออกไปเป็นตัวอย่างให้ลูกค้าที่มีศักยภาพและขอคําติชมเฉพาะเจาะจงเพื่อปรับปรุงการผลิตครั้งต่อไป

การทําเช่นนี้ไม่เพียงช่วยให้เราได้ผลิตภัณฑ์ที่ตรงใจลูกค้ามากขึ้น แต่ยังเป็นการสร้างความผูกพันกับลูกค้าตั้งแต่ก่อนที่ผลิตภัณฑ์จะวางจําหน่ายจริง ทําให้พวกเขารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการพัฒนาและมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนผลิตภัณฑ์ของเราเมื่อวางจําหน่ายจริง

เตรียมพร้อมสําหรับวันเปิดตัว

เมื่อเรามีผลิตภัณฑ์เริ่มต้นที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแล้ว Moran แนะนําให้สร้างความตื่นเต้นสําหรับวันเปิดตัวโดยให้ผู้ติดตามได้เห็นตัวอย่างก่อนใคร และมอบสิทธิพิเศษสําหรับผู้ซื้อก่อน

ในบริบทของประเทศไทย อาจพิจารณาทําแคมเปญพรีออเดอร์พร้อมส่วนลดพิเศษ หรือของแถมสําหรับ 100 คนแรกที่สั่งซื้อ การสร้างความรู้สึกเร่งด่วนและการมีของจํากัดเช่นนี้มักได้ผลดีในการกระตุ้นยอดขายช่วงเปิดตัว

Moran เชื่อว่าเมื่อเรามีผู้ติดตามในโซเชียลมีเดียมากกว่า 1,000 คน หรือมีรายชื่ออีเมลมากกว่า 1,000 รายชื่อ ยอดขายจะเริ่มทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เมื่อเป็นเช่นนั้น อย่าลังเลที่จะขอรีวิวจากลูกค้า ซึ่งเราต้องมีการสร้าง social proof เพื่อให้ผู้ติดตามคนอื่นๆ กล้าตัดสินใจซื้อ

ในประเทศไทย การใช้รีวิวจากลูกค้าจริงและการร่วมมือกับ micro-influencer ในช่วงแรกอาจช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและกระตุ้นยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ขยายธุรกิจ

เมื่อยอดขายเริ่มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง Moran แนะนำให้ใช้กำไรส่วนหนึ่งมาลงทุนในการโฆษณาและการทำการตลาดเพื่อขยายฐานลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาแนะนำให้จ่ายค่าโฆษณาให้กับเหล่า micro-influencers ที่พูดถึงกลุ่มเป้าหมายของเรา เพื่อแนะนำผลิตภัณฑ์ของเราให้กับผู้ติดตามของพวกเขา

Moran เน้นย้ำให้มุ่งเป้าไปที่ influencer ที่มีผู้ติดตามระหว่าง 10,000 ถึง 30,000 คน เหตุผลก็คือ influencer เหล่านี้มักมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับผู้ชมของพวกเขา และการรับรองของพวกเขาสามารถสร้างผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายในการทำงานร่วมกับ micro-influencers มักจะต่ำกว่าการจ้าง macro-influencers ที่มีผู้ติดตามหลายแสนหรือหลายล้านคน

ในบริบทของประเทศไทย อาจพิจารณาใช้แพลตฟอร์มอย่าง Instagram, TikTok หรือ YouTube ซึ่งเป็นที่นิยมในกลุ่มผู้บริโภคชาวไทย การทำงานร่วมกับ micro-influencers ท้องถิ่นที่มีความเชี่ยวชาญหรือความสนใจตรงกับผลิตภัณฑ์ของเราอาจให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนกับดาราหรือคนดังระดับประเทศ

นอกจากนี้ การใช้กลยุทธ์การตลาดแบบปากต่อปาก (word-of-mouth marketing) ก็เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในสังคมไทย อาจพิจารณาสร้างโปรแกรมแนะนำเพื่อน (referral program) ที่ให้ส่วนลดหรือของรางวัลแก่ลูกค้าที่แนะนำเพื่อนมาซื้อผลิตภัณฑ์ของเรา

Moran แนะนำให้ปฏิบัติตามแผนการนี้อย่างต่อเนื่อง และตรวจสอบให้แน่ใจเสมอว่ามีสินค้าคงคลังเพียงพอที่จะรองรับยอดขายที่เพิ่มขึ้น หากทำได้ตามนี้ เราจะสามารถบรรลุเป้าหมายยอดขาย 25 ชิ้นต่อวันสำหรับผลิตภัณฑ์แรกของเราได้อย่างแน่นอน

เมื่อถึงจุดนี้ Moran แนะนำให้เริ่มพัฒนาผลิตภัณฑ์ถัดไป โดยใช้สูตรเดียวกับที่เราใช้กับผลิตภัณฑ์แรก เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ถัดไปสามารถทำยอดขายได้ 25 ชิ้นต่อวันเช่นกัน

ซึ่งเราอาจพบว่าการบรรลุเป้าหมายนั้นง่ายขึ้นมากในครั้งที่สอง เพราะเรามีฐานลูกค้าหลัก รายชื่ออีเมล และความสัมพันธ์กับ influencer อยู่แล้ว นอกจากนี้ ลูกค้าหลักของเราจะช่วยให้เราสามารถสร้างต้นแบบและปรับปรุงผลิตภัณฑ์ได้เร็วขึ้น และเกือบจะรับประกันได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่พวกเขาชื่นชอบ

ในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่แต่ละครั้ง เราจะสามารถต่อยอดความสำเร็จจากการเปิดตัวครั้งก่อน และค่อยๆ สร้างแบรนด์มูลค่าหนึ่งล้านดอลลาร์ได้อย่างมั่นคง สิ่งนี้เกิดขึ้นได้เพราะเรามุ่งเน้นการให้บริการลูกค้าหลักแบบเฉพาะเจาะจงตั้งแต่เริ่มต้น

ดังที่ Moran กล่าวไว้ว่า “กุญแจสำคัญสู่การเติบโตอย่างรวดเร็วคือการเจาะจงกลุ่มเป้าหมายให้แคบลงอย่างมาก ยิ่งคุณสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้เฉพาะเจาะจงมากเท่าไหร่ คุณก็จะเติบโตได้เร็วขึ้นเท่านั้น”

บทสรุป

แนวคิดของ Ryan Moran ใน “12 Months to 1 Million” นำเสนอแนวทางที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการสร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างรวดเร็ว แม้ว่าการสร้างธุรกิจมูลค่าล้านดอลลาร์ภายใน 12 เดือนอาจเป็นเป้าหมายที่ท้าทายสำหรับผู้ประกอบการส่วนใหญ่ แต่หลักการพื้นฐานที่ Moran นำเสนอสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้กับธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สิ่งสำคัญที่สุดคือการโฟกัสที่กลุ่มลูกค้าเฉพาะเจาะจง สร้างผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของพวกเขาอย่างแท้จริง และสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับลูกค้าหลักของเรา การทำเช่นนี้จะช่วยให้เราสามารถสร้างฐานลูกค้าที่ภักดีและพร้อมจะสนับสนุนธุรกิจของเราในระยะยาว

นอกจากนี้ การใช้กลยุทธ์การตลาดดิจิทัลและการทำงานร่วมกับ micro-influencers ก็เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการขยายฐานลูกค้าโดยไม่ต้องใช้งบประมาณมหาศาล ซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการรายใหม่ที่อาจมีทรัพยากรจำกัด

แม้ว่าเส้นทางสู่ความสำเร็จอาจไม่ได้ราบรื่นเสมอไป แต่ด้วยความมุ่งมั่น การวางแผนที่ดี และการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง เราก็สามารถนำแนวคิดเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้เพื่อสร้างธุรกิจที่ประสบความสำเร็จและเติบโตอย่างยั่งยืนได้ในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

References :
หนังสือ 12 Months to $1 Million: How to Pick a Winning Product, Build a Real Business, and Become a Seven-Figure Entrepreneur โดย Ryan Daniel Moran

Geek Life EP58 : 3 รหัสโกงชีวิต เล่นชีวิตให้เป็นเห็นทางรวย ด้วยวิธีคิดแบบ Clear Thinking

ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารท่วมท้น การตัดสินใจในชีวิตประจำวันกลายเป็นเรื่องท้าทายมากขึ้นเรื่อยๆ เราต่างเผชิญกับสถานการณ์ที่ต้องคิดวิเคราะห์และตัดสินใจอยู่ตลอดเวลา ซึ่งมันแทบไม่ต่างจากการเล่นเกม Tetris ที่ต้องจัดการกับบล็อกที่ร่วงหล่นลงมาไม่หยุดหย่อน Shane Parish ผู้เขียนหนังสือ “Clear Thinking” ได้นำเสนอแนวคิดที่น่าสนใจ เปรียบเทียบชีวิตกับเกม Tetris อันโด่งดัง

ลองนึกภาพว่าปัญหาในชีวิตคือบล็อกใน Tetris ที่ค่อยๆ สะสมขึ้นมาเรื่อยๆ หากเราไม่สามารถจัดการกับมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ บล็อกเหล่านั้นก็จะพอกพูนจนล้นจอ นำไปสู่การ “Game Over” ในชีวิตจริง เช่น การสูญเสียงาน ธุรกิจล้มเหลว หรือความสัมพันธ์จบลง

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/53cr6ez9

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/ywwdt53a

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/5O_I1CP0sco

Geek Daily EP247 : จุดจบของมนุษยชาติ? ผู้ชนะโนเบล Geoffrey Hinton เมื่อ AI กำลังฉลาดเกินควบคุม

ในห้วงเวลาแห่งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี มนุษย์เราได้สร้างสรรค์สิ่งมหัศจรรย์มากมาย แต่ไม่มีสิ่งใดที่จะส่งผลกระทบต่ออนาคตของเราเท่ากับปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่กำลังพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน

Geoffrey Hinton ศาสตราจารย์เกียรติคุณแห่งมหาวิทยาลัยโทรอนโต ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่ง AI” และเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ได้รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ประจำปี 2024 จากผลงานวิจัยด้าน machine learning ได้ให้สัมภาษณ์ที่น่าสนใจเกี่ยวกับความก้าวหน้าและความเสี่ยงของเทคโนโลยี AI ในงาน mtech ของ MIT Technology Review

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/uwfwmpfz

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/4xn2md7u

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/3r832s28

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/Q_mXzvetEt8