ในยุคที่การทำงานหนักจนหมดไฟกลายเป็นเรื่องปกติ มีคนจำนวนไม่น้อยที่กำลังมองหาวิธีทำงานให้มีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องทุกข์ทรมาน หนังสือ “Feelgood Productivity” โดย Ali Abdaal นำเสนอมุมมองใหม่ที่น่าสนใจเกี่ยวกับการทำงานอย่างมีความสุขและมีประสิทธิภาพไปพร้อมกัน
Ali Abdaal เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของคนที่สามารถทำงานหลายอย่างได้อย่างประสบความสำเร็จ เขาทำงานเป็นแพทย์เต็มเวลาควบคู่ไปกับการสร้างช่อง YouTube ที่มีผู้ติดตามหลายล้านคน
แต่สิ่งที่น่าสนใจคือเขาทำทั้งหมดนี้โดยแทบไม่ได้ทุกข์ทรมานมากนัก แนวคิดหลักของ Ali คือ “การรู้สึกดีมาก่อน แล้วการทำสิ่งสำคัญจะตามมา” ซึ่งตรงข้ามกับความเชื่อทั่วไปที่ว่าต้องทำงานหนักให้ประสบความสำเร็จก่อนแล้วค่อยมีความสุข
Ali ค้นพบว่าการรู้สึกดีขณะทำงานเป็นกุญแจสำคัญที่นำไปสู่การเพิ่มพลังงานและความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งส่งผลให้ประสิทธิภาพในการทำงานสูงขึ้น และเมื่อเราทำงานได้ดีขึ้น เราก็จะยิ่งรู้สึกดี กลายเป็นวงจรบวกที่เสริมแรงซึ่งกันและกัน
คำถามสำคัญที่ Ali แนะนำให้ถามตัวเองบ่อยๆ คือ “ฉันจะทำให้งานนี้สนุกขึ้นได้อย่างไร?” การตั้งคำถามนี้ซ้ำๆ จะช่วยกระตุ้นให้เราคิดหาวิธีสร้างสรรค์ที่จะทำให้งานกลายเป็นประสบการณ์ที่น่าสนุก
Ali เสนอว่ามีเงื่อนไขสำคัญสามประการที่ช่วยให้เรารู้สึกดีขณะทำงาน ได้แก่ ความอยากรู้อยากเห็น (Curiosity) การเชื่อมต่อ (Connection) และความมั่นใจ (Confidence)
เงื่อนไขทั้งสามนี้เปรียบเสมือนสวิตช์ที่เราสามารถเปิดก่อนเริ่มทำงาน เพื่อกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึกดี เช่น โดปามีน ออกซิโตซิน และเซโรโทนิน ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนให้เราอยู่ในสภาวะที่มีประสิทธิภาพสูงและรู้สึกดีไปพร้อมกัน
วิธีหนึ่งที่ดีที่สุดในการเปิดสวิตช์ความอยากรู้อยากเห็น คือการสร้าง “ภารกิจเสริม (Side Quest)” ให้ตัวเองทุกวัน Matthew Dicks นักเล่าเรื่องระดับแชมป์โลกและนักเขียนนวนิยายขายดี เป็นตัวอย่างที่ดีของการใช้กลยุทธ์นี้ เมื่อครั้งที่เขาทำงานที่แมคโดนัลด์ในวัยยี่สิบ Matthew สร้างเกมการขายเพิ่มเพื่อทำให้วันทำงานของเขาน่าตื่นเต้น เขาเล่าว่า “บางวันผมตัดสินใจว่าจะเป็นวันซอสบาร์บีคิว และตลอดทั้งวันผมจะเพิ่มการเสนอขายเล็กๆ น้อยๆ ในทุกออเดอร์ที่ลูกค้าสั่งซื้อ” การสร้างภารกิจเสริมแบบนี้ช่วยเปลี่ยนงานธรรมดาๆ ให้กลายเป็นการผจญภัยที่น่าตื่นเต้น
นอกจากนี้ เรายังสามารถสร้างภารกิจเสริมในรูปแบบอื่นๆ ได้อีก เช่น การสร้างเพลย์ลิสต์ดนตรีที่เหมาะกับงานของเรา การลองทำงานในสถานที่แปลกใหม่ หรือการตั้งเวลาสั้นๆ เพื่อท้าทายตัวเองว่าจะทำงานได้มากแค่ไหนในเวลาจำกัด
เราอาจวางแผนภารกิจเสริมระหว่างช่วงเวลาทำงานด้วย เช่น การใช้เวลา 5 นาทีระหว่างการทำงานเพื่อฝึกสมาธิ หรือการทดลองใช้เครื่องมือใหม่ๆ เช่น ChatGPT เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน การมีภารกิจเสริมเหล่านี้จะช่วยให้เรารู้สึกตื่นเต้นและอยากรู้อยากเห็นตลอดวันทำงาน
สำหรับการเปิดสวิตช์การเชื่อมต่อ วิธีที่ง่ายที่สุดคือการหาเพื่อนร่วมทางในการทำงาน แม้ว่าจะฟังดูยาก แต่จริงๆ แล้วเราสามารถทำได้โดยไม่ต้องพูดคุยกับใครเลย
Ali ยกตัวอย่างประสบการณ์ของเขาในการเข้าร่วม virtual co-working space ที่เรียกว่า “The Writer’s Hour” ซึ่งจัดโดย London Writers’ Salon
Ali เล่าว่า “ทุกวันทำงาน วันละสี่ครั้ง นักเขียนหลายร้อยคนมารวมตัวกันผ่าน Zoom ซึ่งผู้ดำเนินรายการใช้เวลา 5 นาทีในการแบ่งปันเรื่องราวที่สร้างแรงบันดาลใจ จากนั้นขอให้ผู้เข้าร่วมโพสต์ในแชทออนไลน์ว่าพวกเขาตั้งใจจะทำอะไรในช่วงเวลาเขียน จากนั้นเป็นเวลา 50 นาที ทุกคนย่อหน้าต่าง Zoom ของตนและทำงานที่คอมพิวเตอร์”
Ali กล่าวว่าการทำงานพร้อมกับคนอื่นๆ แม้จะเป็นคนละงาน ช่วยเพิ่มความสามารถในการโฟกัสและทำให้เขารู้สึกดีขึ้นอย่างมาก ปัจจุบันมีบริการ virtual co-working space หลายแห่ง เช่น Focusmate, Flow Club และ Cave Day ที่เราสามารถลองใช้ได้
หากไม่สะดวกที่จะเข้าร่วมพื้นที่เหล่านี้ เราอาจลองใช้เวลาสั้นๆ ก่อนเริ่มทำงานเพื่อนึกถึงคนอื่นๆ ที่กำลังทำงานคล้ายกับเรา และรู้สึกเสมือนว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่กำลังมุ่งสู่เป้าหมายร่วมกัน
สุดท้ายคือการเปิดสวิตช์ความมั่นใจ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญเมื่อเราต้องเผชิญกับงานที่ท้าทายที่มักจะทำให้เรากลัวหรือไม่ค่อยมั่นใจ วิธีหนึ่งที่น่าสนใจในการเพิ่มความมั่นใจคือการเลียนแบบผู้เชี่ยวชาญ
มีการศึกษาที่น่าสนใจจากมหาวิทยาลัย Clemson ที่แสดงให้เห็นว่านักศึกษาที่ได้ดูวิดีโอของนักปีนผาผู้เชี่ยวชาญก่อนลงมือปีนเอง มีความมั่นใจมากขึ้น สนุกกับการปีนมากขึ้น และสามารถบรรลุเป้าหมายในการปีนได้เร็วกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ดูวิดีโอ
Ali เองก็ใช้เทคนิคนี้เมื่อครั้งที่เขาทำงานเป็นนักมายากลในงานปาร์ตี้ต่างๆ ระหว่างเรียน เมื่อรู้สึกไม่มั่นใจ เขาจะนึกถึงนักมายากลระดับมาสเตอร์และแสร้งทำเป็นว่าตัวเองมีความมั่นใจเหมือนพวกเขา ซึ่งช่วยให้เขาสนุกกับงานและแสดงมายากลได้อย่างราบรื่น
เราสามารถนำเทคนิคนี้มาใช้ได้ในหลายรูปแบบ เช่น การดูวิดีโอ YouTube ของผู้เชี่ยวชาญในงานที่เรากำลังจะทำ หรือการจินตนาการถึงผู้เชี่ยวชาญที่กำลังทำงานนั้นอย่างมั่นใจ จากนั้นลองเลียนแบบความมั่นใจของพวกเขาในช่วงแรกของการทำงาน วิธีนี้มักช่วยให้เราเริ่มต้นงานได้ง่ายขึ้นและค่อยๆ สร้างแรงขับเคลื่อนในการทำงานต่อไป
สรุปแล้ว แนวคิดหลักของการสร้างผลงานอย่างมีความสุขตามแนวทางของ Ali Abdaal คือการเริ่มต้นด้วยการทำให้ตัวเองรู้สึกดีก่อน แล้วประสิทธิภาพในการทำงานจะตามมาเอง เราสามารถทำได้โดย:
- สร้างภารกิจเสริมที่น่าสนุกเพื่อกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็น
- หาเพื่อนร่วมทางหรือเข้าร่วม virtual co-working space เพื่อสร้างความรู้สึกเชื่อมต่อกับผู้อื่น
- เลียนแบบความมั่นใจของผู้เชี่ยวชาญเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเอง
การนำแนวคิดเหล่านี้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน อาจเริ่มต้นได้ด้วยการตั้งคำถามกับตัวเองทุกครั้งก่อนเริ่มงานว่า “ฉันจะทำให้งานนี้สนุกขึ้นได้อย่างไร?” จากนั้นลองคิดหาวิธีสร้างสรรค์ที่จะทำให้งานกลายเป็นกิจกรรมที่น่าสนุก ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเกมเล็กๆ น้อยๆ ให้กับตัวเอง การหาเพื่อนร่วมทำงาน หรือการจินตนาการว่าเราเป็นผู้เชี่ยวชาญในงานนั้นๆ
สิ่งสำคัญคือการเปลี่ยนมุมมองจากการมุ่งเน้นแต่ผลลัพธ์ มาให้ความสำคัญกับกระบวนการทำงานมากขึ้น เมื่อเรารู้สึกดีและสนุกกับการทำงาน ประสิทธิภาพที่ดีจะตามมาเอง และเราจะสามารถบรรลุเป้าหมายได้โดยไม่ต้องทุกข์ทรมานจนเกินไป
ในท้ายที่สุด แนวคิดการสร้างผลงานอย่างมีความสุขของ Ali Abdaal เสนอมุมมองที่น่าสนใจและท้าทายต่อวิธีคิดแบบดั้งเดิมเกี่ยวกับการทำงานและความสำเร็จ แม้ว่าอาจไม่ใช่วิธีการที่เหมาะสมกับทุกคนหรือทุกสถานการณ์ แต่การลองเปิดใจและนำแนวคิดบางส่วนไปปรับใช้ อาจช่วยให้เราค้นพบวิธีการทำงานที่มีความสุขและมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้
ซึ่งข้อมูลในหนังสือ “Feelgood Productivity” อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับผู้ที่สนใจจะเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวคิดนี้ และค้นหากลยุทธ์ที่เหมาะสมกับตัวเอง
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือการเปิดใจ ทดลอง และปรับใช้แนวคิดเหล่านี้อย่างยืดหยุ่น โดยคำนึงถึงบริบทและความต้องการของตนเองและองค์กร เพื่อสร้างสมดุลระหว่างความสุขในการทำงานและการบรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพได้ในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม
References :
หนังสือ Feel-Good Productivity: How to Do More of What Matters to You โดย Ali Abdaal