เมื่อโรคร้ายไม่อาจหยุดความสุข : 3 วิธีมองโลกที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณ จากเด็กหนุ่มผู้ไม่ยอมแพ้ Sam Berns

เรื่องราวของหนุ่มน้อยคนหนึ่งที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนทั่วโลก Sam Berns เด็กหนุ่มวัย 17 ปี ผู้เกิดมาพร้อมกับโรคหายากที่เรียกว่า Progeria แต่เขาไม่ยอมให้โรคนี้มากำหนดตัวตนหรือความสุขในชีวิตของเขา

เป็นหนึ่งในผลงานในเวที Ted Talks ที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนทั่วโลกมากที่สุดเลยก็ว่าได้นะครับ สำหรับการขึ้นมาพูดบนเวทีของ Sam Berns ในหัวข้อ My philosophy for a happy life

Sam เล่าว่าตั้งแต่เด็ก เขามีความฝันอยากเล่นกลองสแนร์ในวงดุริยางค์เดินแถวของโรงเรียนมัธยม Foxboro แต่ด้วยน้ำหนักตัวเพียง 50 ปอนด์ การแบกกลองสแนร์ที่หนักถึง 40 ปอนด์ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

แต่ Sam ไม่ยอมแพ้ เขาและครอบครัวร่วมมือกับวิศวกรเพื่อออกแบบสายรัดกลองสแนร์ที่เบาและเหมาะกับเขา จนในที่สุดพวกเขาก็สามารถสร้างอุปกรณ์ที่มีน้ำหนักเพียง 6 ปอนด์ ทำให้ Sam สามารถเล่นกลองสแนร์ในวงดุริยางค์ได้สมใจ

เรื่องราวของ Sam ไม่ได้จบลงเพียงแค่นั้น เขายังได้แบ่งปันปรัชญาการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขของเขา ซึ่งประกอบด้วยสามแง่มุมสำคัญ

แง่มุมแรก คือการยอมรับในสิ่งที่ทำไม่ได้ และโฟกัสไปที่สิ่งที่ทำได้ Sam เล่าว่าแม้เขาจะเป็นโรค Progeria แต่เขาไม่ได้คิดถึงมันตลอดเวลา เขาเลือกที่จะโฟกัสกับสิ่งที่เขาหลงใหล ไม่ว่าจะเป็นลูกเสือ ดนตรี หนังสือการ์ตูน หรือทีมกีฬาโปรดของเขาในบอสตัน

Sam ยังเน้นย้ำว่าบางครั้งเราอาจต้องหาวิธีอื่นในการทำบางสิ่งบางอย่าง โดยการปรับเปลี่ยนเพื่อให้สามารถทำได้ เหมือนกับที่เขาทำกับกลองสแนร์

แง่มุมที่สอง คือการล้อมรอบตัวเองด้วยคนที่มีคุณภาพ Sam กล่าวถึงความโชคดีที่มีครอบครัวที่คอยสนับสนุนเขา และกลุ่มเพื่อนสนิทที่โรงเรียนที่เห็นคุณค่าในตัวเขา เขาเน้นย้ำว่าการอยู่ท่ามกลางคนที่เราชื่นชอบนั้นสำคัญมาก เพราะพวกเขาสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกที่มีความหมายอย่างแท้จริงในชีวิตของเรา

Sam ยังกล่าวถึงความรู้สึกดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของวงดนตรี ซึ่งทำให้เขารู้สึกว่าดนตรีที่พวกเขาสร้างร่วมกันนั้นอยู่เหนือโรค Progeria

แง่มุมที่สาม คือการก้าวต่อไปข้างหน้าเสมอ Sam ยึดถือคำพูดของ Walt Disney ที่ว่า “Keep moving forward” เขาพยายามมีสิ่งที่ตัวเองรอคอยอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยอย่างการรอคอยหนังสือการ์ตูนเล่มใหม่ หรือเรื่องใหญ่อย่างการวางแผนอนาคต

สิ่งเหล่านี้ช่วยให้เขามีจุดโฟกัสและเห็นถึงอนาคตที่สดใส Sam ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการไม่ปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความรู้สึกแย่ แต่ให้ยอมรับมัน และหาทางก้าวผ่านมันไปให้ได้

Sam เล่าถึงความฝันในวัยเด็กที่อยากเป็นวิศวกรและนักประดิษฐ์ ซึ่งอาจมาจากความรักในการต่อเลโก้ แต่ในภายหลังความสนใจของเขาเปลี่ยนไปสู่วงการชีววิทยา ไม่ว่าจะเป็นชีววิทยาของเซลล์ พันธุศาสตร์ หรือชีวเคมี เขาเชื่อมั่นว่าไม่ว่าจะเลือกเส้นทางไหน เขาสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ และในขณะที่พยายามทำเช่นนั้น เขาจะมีความสุข

Sam ยังได้แบ่งปันประสบการณ์การถ่ายทำสารคดีเกี่ยวกับชีวิตของเขาชื่อ “Life According to Sam” ซึ่งถ่ายทำโดย HBO ซึ่งเขากล่าวว่าแม้มุมมองของเขาต่อหลายสิ่งจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่ทัศนคติและปรัชญาในการดำเนินชีวิตของเขายังคงเหมือนเดิม

ในช่วงท้ายของการพูด Sam เล่าถึงประสบการณ์ที่ท้าทายที่สุดของเขา เมื่อต้องเข้าโรงพยาบาลด้วยอาการป่วยหนัก เขาถูกแยกออกจากทุกสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกเป็นตัวของตัวเอง แต่ด้วยความคิดที่ว่าเขาจะหายดีและการมองไปข้างหน้าถึงเวลาที่จะรู้สึกดีอีกครั้ง ทำให้เขาสามารถก้าวผ่านช่วงเวลานั้นมาได้

Sam ยอมรับว่าบางครั้งก็ไม่ง่าย เขามีวันที่แย่เหมือนกัน แต่เขาตระหนักว่าความกล้าหาญไม่ได้หมายความว่าต้องง่ายเสมอไป

Sam สรุปการพูดของเขาด้วยความหวังว่าทุกคน ไม่ว่าจะเผชิญกับอุปสรรคใด ก็สามารถมีชีวิตที่มีความสุขได้เช่นกัน โดยการยึดหลักปรัชญาสามข้อของเขา: ยอมรับในสิ่งที่ทำไม่ได้และโฟกัสไปที่สิ่งที่ทำได้ ล้อมรอบตัวเองด้วยคนที่มีคุณภาพ และก้าวต่อไปข้างหน้าเสมอ

เรื่องราวของ Sam Berns เป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คนทั่วโลก แม้ว่าเขาจะจากโลกนี้ไปในปี 2014 ด้วยวัยเพียง 17 ปี แต่มรดกทางความคิดและทัศนคติของเขายังคงอยู่ และสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนมากมาย

มูลนิธิ Progeria Research Foundation ที่ก่อตั้งโดยพ่อแม่ของ Sam ยังคงทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อหาวิธีรักษาโรค Progeria และช่วยเหลือเด็ก ๆ ที่เป็นโรคนี้ทั่วโลก

ชีวิตของ Sam Berns เป็นบทเรียนที่ล้ำค่าสำหรับเราทุกคน ไม่ว่าเราจะเผชิญกับความท้าทายใดในชีวิต เราสามารถเลือกที่จะมองหาความสุขและความหมายได้เสมอ การยอมรับข้อจำกัดของตัวเอง แต่ไม่ยอมให้มันมากำหนดตัวตนของเรา การล้อมรอบตัวเองด้วยคนที่สนับสนุนและเข้าใจเรา และการมองไปข้างหน้าด้วยความหวังและความมุ่งมั่น ล้วนเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่ชีวิตที่มีความสุขและมีความหมาย

แม้ว่าโรค Progeria จะเป็นโรคที่หายากและรุนแรง แต่ Sam ไม่ได้ปล่อยให้มันมากำหนดชีวิตของเขา เขาเลือกที่จะมองมันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของตัวตน ไม่ใช่ทั้งหมด

การที่เขาสามารถมองโรคนี้ในแง่ของวิทยาศาสตร์ – เป็นเพียงโปรตีนที่ผิดปกติที่ทำให้โครงสร้างของเซลล์อ่อนแอลง – ช่วยให้เขาสามารถปลดเปลื้องภาระบางสิ่งออกไปได้ นี่เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับเราทุกคนในการมองปัญหาหรือความท้าทายในชีวิตอย่างเป็นกลางและตามความเป็นจริง

ท้ายที่สุด Sam เตือนใจเราว่า ชีวิตนั้นมีค่าและควรใช้ให้คุ้มค่าทุกวินาที เขาปิดท้ายการพูดของเขาด้วยการชวนทุกคนไปร่วมงานเต้นรำฉลองการกลับบ้าน ซึ่งเป็นการเน้นย้ำว่า แม้ในยามที่เราต้องเผชิญกับความท้าทายในชีวิต เราก็ไม่ควรลืมที่จะมีความสุขและสนุกกับช่วงเวลาดี ๆ ในชีวิต

เรื่องราวของ Sam Berns ไม่ใช่แค่เรื่องของเด็กหนุ่มที่ต้องการเอาชนะโรคร้าย แต่เป็นบทเรียนสำหรับเราทุกคนในการใช้ชีวิตอย่างมีความหมายและมีความสุข ไม่ว่าเราจะเผชิญกับความท้าทายใดก็ตาม ด้วยทัศนคติที่ถูกต้อง การสนับสนุนจากคนรอบข้าง และความมุ่งมั่นที่จะก้าวไปข้างหน้า เราทุกคนสามารถสร้างชีวิตที่มีคุณค่าและสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อโลกใบนี้ได้ เช่นเดียวกับที่ Sam ได้ทำไว้นั่นเองครับผม

References :
My philosophy for a happy life | Sam Berns | TEDxMidAtlantic
https://youtu.be/36m1o-tM05g?si=atRXyegfTyXEDW6S

Geek Life EP50 : วิธีเรียนรู้แบบ MIT ใน 1 ปี กับ 9 เคล็ดลับวิธีเรียนรู้แบบไร้ขีดจำกัดด้วย Ultra Learning

คุณเคยจินตนาการไหมว่าชีวิตของคุณจะเป็นอย่างไร หากคุณสามารถเรียนรู้ทักษะใดก็ได้ที่คุณปรารถนาได้อย่างรวดเร็วและเข้าใจมันอย่างลึกซึ้ง

ลองนึกภาพว่าถ้าเราสามารถพูดภาษาต่างประเทศได้อย่างคล่องแคล่ว หรือก้าวขึ้นเป็นนักพูดในที่สาธารณะระดับโลกได้ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน หรือแม้กระทั่งได้รับความรู้เทียบเท่าการศึกษาจาก MIT ในเวลาน้อยกว่าหนึ่งปี สิ่งเหล่านี้จะส่งผลต่ออาชีพการงานของเราอย่างไรบ้าง

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/3u2f47hw

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/4ed9d4j3

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/S0pO45r6Sb4

Geek Story EP220 : ทำไมสิงคโปร์ถึงโครตรวย ถอดรหัสความมั่งคั่งของสิงคโปร์ บทเรียนสำหรับประเทศกำลังพัฒนา

สิงคโปร์ ดินแดนเล็กๆ ที่มีขนาดเล็กกว่านครนิวยอร์ก แต่กลับเป็นประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในเอเชียและติดอันดับต้นๆ ของโลก เรื่องราวของสิงคโปร์เป็นบทเรียนอันทรงคุณค่าสำหรับประเทศกำลังพัฒนาที่ต้องการก้าวกระโดดทางเศรษฐกิจ

เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีต สิงคโปร์เริ่มต้นจากการเป็นเพียงเมืองท่าการค้าในยุคอาณานิคม แต่ภายในเวลาเพียงหกทศวรรษ ประเทศเล็กๆ แห่งนี้ได้พลิกโฉมตัวเองจนกลายเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่ทั่วโลกต้องจับตามอง ความสำเร็จนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากการวางแผนอย่างรอบคอบและการดำเนินนโยบายอย่างต่อเนื่องโดยพรรคการเมืองที่ครองอำนาจมาตั้งแต่ได้รับเอกราช

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/ydes82rm

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/3y453zm5

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/yckkvs2

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/3wSn3kH2tCs

ฟิลิปส์ ร่วมรณรงค์วันหัวใจโลก เชิญแพทย์ผู้เชี่ยวชาญร่วมแบ่งปันความรู้ พร้อมจัดเวิร์คช้อปหวังพัฒนาขีดความสามารถบุคลากรทางการแพทย์

จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข ปี 2565 มีผู้เสียชีวิตจากโรคหัวใจในประเทศไทยมากถึง 7 หมื่นราย หรือเฉลี่ยชั่วโมงละ 8 คน และยังพบผู้ป่วยโรคหัวใจตั้งแต่อายุ 15 ปี เห็นได้ว่าผู้ป่วยโรคหัวใจพบได้ตั้งแต่อายุยังน้อย

ดังนั้น ฟิลิปส์ ผู้นำด้านเทคโนโลยีด้านการดูแลสุขภาพระดับโลกจึงอยากร่วมรณรงค์ให้คนไทยตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลโรคหัวใจ เนื่องในวันหัวใจโลก (World Heart Day) ที่ตรงกับวันที่ 29 กันยายนของทุกปี โดยได้เชิญแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจมาร่วมให้ความรู้เกี่ยวกับโรคหัวใจ

พร้อมจัดเวิร์คช้อปเพื่อยกระดับความรู้ในการตรวจโรคหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจขั้นสูงให้แก่บุคลากรทางการแพทย์กว่า 60 ท่าน ในงาน “2nd Primer in 3D Echo” 

โรคหัวใจถือเป็นโรคที่อันตราย เพราะอาจจะไม่แสดงอาการอะไรเลยจนอาจเกิดการเสียชีวิตเฉียบพลัน โดยโรคหัวใจมีหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด หรือโรคหัวใจที่เกิดจากไลฟ์สไตล์และการบริโภคอาหารที่ไม่ถูกหลักโภชนาการ อาทิ โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคกล้ามเนื้อหัวใจ และโรคลิ้นหัวใจ เป็นต้น

โดยในผู้ป่วยโรคหัวใจอาจจะมีอาการเหนื่อยหอบง่าย นอนราบแล้วอึดอัดต้องลุกขึ้นมานั่งช่วงกลางคืน เจ็บหน้าอกซึ่งมีลักษณะเฉพาะ ใจสั่นเต้นเร็ว หรือเป็นลมหมดสติที่ไม่ได้เกิดจากการเป็นลมแดดหรือการยืนนาน เป็นต้น ดังนั้น การสังเกตความผิดปกติ และการเข้ารับการตรวจหรือปรึกษาแพทย์จึงเป็นสิ่งสำคัญในการดูแลโรคหัวใจตั้งแต่เนิ่นๆ

ศาสตราธิคุณแพทย์หญิง สมนพร บุณยะรัตเวช สองเมือง อุปนายก สมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และประธานชมรมคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “ผู้ป่วยโรคหัวใจเพิ่มขึ้นทุกปีโดยเฉพาะโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน เพราะวิถีชีวิตของคนในปัจจุบันที่ค่อนข้างเครียด เร่งรีบ อาหารที่รับประทานมีส่วนประกอบของแป้งและไขมันเพิ่มขึ้น การออกกำลังกายน้อยลง รวมถึงข้อจำกัดในการเข้าถึงแพทย์และการตรวจเฉพาะทางต่างๆ แนะนำให้เข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นประจำ แพทย์จะซักถามประวัติ ตรวจร่างกาย ตรวจโลหิตเพื่อประเมินเบื้องต้น และพิจารณาส่งตรวจเพิ่มเติมทางหัวใจและหลอดเลือดตามข้อบ่งชี้ โดยหนึ่งในการตรวจทางหัวใจที่สำคัญ คือ การตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ (Echocardiography) ใช้หลักการของคลื่นอัลตราซาวด์ส่งผ่านหน้าอกผู้ป่วยไปยังหัวใจและสะท้อนกลับมาแสดงเป็นภาพหัวใจในขณะเคลื่อนไหว สามารถดูหัวใจทุกส่วนประกอบที่สำคัญ โดยการตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจนี้ไม่ใช้รังสีหรือสารทึบแสง ดังนั้นถือว่ามีความปลอดภัย และมีความสำคัญในการวินิจฉัยแยกโรคโรคหัวใจประเภทต่างๆ เพราะการวินิจฉัยที่แม่นยำย่อมนำมาซึ่งการรักษาที่ถูกต้องและได้ผลลัพธ์ที่ดี”

ปัจจุบันการพัฒนาการตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ จากภาพ 2 มิติ มาเป็นการใช้งานเทคโนโลยี 3 มิติ หรือ 3D Echocardiography (3D Echo) มีบทบาทสำคัญในการใช้คลื่นเสียงสะท้อนหัวในการตรวจวินิจฉัยได้ละเอียดและชัดเจนยิ่งขึ้น 

ฟิลิปส์ หนึ่งในผู้นำด้านเทคโนโลยี 3D Echo  เล็งเห็นความสำคัญของการส่งเสริมความรู้และเพิ่มขีดความสามารถให้กับบุคลากรทางการแพทย์ในการใช้เทคโนโลยีการตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ เพื่อตรวจวินิจฉัยผู้ป่วยโรคหัวใจในประเทศไทยจึงได้จัดงานเวิร์คช้อป Primer in 3D Echo ครั้งที่2 ขึ้น ณ โรงแรม Conrad กรุงเทพฯ

พร้อมเชิญแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจมาเป็นวิทยากร โดยหัวข้อหลักในปีนี้คือ “Basic to intermediate using 3D Echo in daily practice” มุ่งเน้นการพัฒนาองค์ความรู้และทักษะของการใช้งานเทคโนโลยีการหัวใจด้วยเสียงสะท้อนแบบ 3 มิติ ในการวินิจฉัยและวางแผนการรักษาโรคหัวใจ

เนื้อหาครอบคลุมตั้งแต่การเลือกใช้เครื่องมือต่างๆบนโปรแกรมของเครื่องตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนชนิด 3 มิติให้เหมาะสม  การจัดการข้อมูลภาพ 3 มิติ และมีการฝึกปฏิบัติเพื่อให้ผู้เข้าอบรมได้ทดลองใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีจริง โดยหวังว่าประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากงานนี้จะช่วยยกระดับคุณภาพการรักษาและการวินิจฉัยโรคหัวใจ เพื่อให้การดูแลผู้ป่วยมีประสิทธิภาพมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการเข้ารับการตรวจโรคหัวใจตั้งแต่เนิ่นๆ ยังจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่การดูแลสุขภาพหัวใจเชิงป้องกันก็สำคัญเช่นกันเพราะการดูแลสุขภาพต้องเริ่มต้นที่ตัวเราเอง การป้องกันไม่ให้ป่วยเป็นโรคหัวใจย่อมดีกว่าการรักษา

“สิ่งสำคัญในการดูแลสุขภาพให้ห่างไกลโรคหัวใจก็คือ การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น การรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เลี่ยงอาหารมัน ทอด หวาน พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และเข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปี หรือหากพบความผิดปกติก็รีบปรึกษาแพทย์ เพียงเท่านี้ เราก็จะมีสุขภาพที่แข็งแรงและสามารถลดความรุนแรงของโรคได้” ศาสตราธิคุณแพทย์หญิง สมนพร บุณยะรัตเวช สองเมือง กล่าวปิดท้าย