ทฤษฎีปล่อยวาง : อยากมีความสุข ต้องรู้จักปล่อย บทเรียนชีวิตที่คุณต้องอ่าน

ในโลกที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและความคาดหวังที่ไม่มีที่สิ้นสุด มนุษย์เรามักพยายามควบคุมทุกแง่มุมของชีวิต ตั้งแต่ความสัมพันธ์ส่วนตัวไปจนถึงเส้นทางอาชีพ แม้กระทั่งพฤติกรรมของผู้อื่น ด้วยแรงขับเคลื่อนที่ไม่หยุดนิ่งนี้ได้นำพาความเครียด ความวิตกกังวล และความไม่พึงพอใจมาสู่จิตใจของผู้คน

หนังสือ The Let Them Theory: A Life-Changing Tool That Millions of People Can’t Stop Talking About หรือ “ทฤษฎีปล่อยวาง” โดย Mel Robbins ได้นำเสนอเครื่องมือในการปรับเปลี่ยนกรอบความคิด ช่วยให้ผู้คนได้รู้จักการปล่อยวาง และค้นพบความสงบสุขที่แท้จริงภายในจิตใจ

จุดเริ่มต้นแห่งการปล่อยวาง

แนวคิดของทฤษฎีปล่อยวางเกิดขึ้นจากประสบการณ์ตรงของ Robbins ที่พบว่าความเครียดส่วนใหญ่ในชีวิตล้วนเชื่อมโยงกับการที่เธอพยายามควบคุมการกระทำของผู้อื่น

เหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นเมื่อ Robbins พยายามเปลี่ยนการตัดสินใจของเพื่อนสนิท ความพยายามนั้นนำมาซึ่งความเหนื่อยล้าและขุ่นเคืองใจ จนกระทั่งวันหนึ่งที่ Robbins ตัดสินใจถอยออกมาและปล่อยให้เพื่อนตัดสินใจด้วยตนเอง ความรู้สึกโล่งใจและอิสระที่เกิดขึ้นได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ นำไปสู่การพัฒนาแนวคิดการปล่อยวางอย่างเป็นระบบ

งานวิจัยทางจิตวิทยาหลายชิ้นได้ยืนยันถึงความเชื่อมโยงระหว่างความเครียดกับความต้องการควบคุมสภาพแวดล้อม ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการจัดงานสังสรรค์กลุ่ม เมื่อผู้จัดรู้สึกหงุดหงิดที่ผู้อื่นไม่ตอบรับด้วยความกระตือรือร้นอย่างที่คาดหวัง การปล่อยให้แต่ละคนตัดสินใจด้วยตนเองไม่เพียงช่วยประหยัดพลังงาน แต่ยังส่งเสริมให้เกิดบรรยากาศที่ผ่อนคลายและเป็นธรรมชาติมากขึ้น

พลังแห่งการปล่อยวาง

การปล่อยวางไม่ได้หมายถึงการละทิ้งหรือไม่ใส่ใจ แต่เป็นการเปลี่ยนจุดโฟกัสไปที่สิ่งที่เราควบคุมได้จริง นั่นคือการตอบสนองและการเลือกของเราเอง ในขณะที่ให้อิสระแก่ผู้อื่นในการตัดสินใจ การปล่อยวางสามารถบรรเทาความเครียดได้ในหลายสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานร่วมกับผู้อื่น หรือการจัดการกับความสัมพันธ์ส่วนตัว

เมื่อเราเลิกคอยเช็คพิกัดที่อยู่ของแฟน หรือเลิกกังวลเมื่อเพื่อนไม่ตอบกลับข้อความในทันที เราจะพบว่าการปล่อยให้ผู้อื่นใช้เวลาและตัดสินใจเองนั้น ไม่เพียงช่วยลดความเครียดของเรา แต่ยังทำให้เกิดความไว้วางใจและความเคารพซึ่งกันและกัน

ความสัมพันธ์และการควบคุม

ความสัมพันธ์มักเป็นพื้นที่ที่การควบคุมแสดงออกชัดเจนที่สุด ผู้คนเริ่มต้นความสัมพันธ์ด้วยความคาดหวัง และเมื่อความสัมพันธ์ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ความตึงเครียดก็เกิดขึ้น การนำแนวคิดการปล่อยวางมาใช้ในความสัมพันธ์ โดยเฉพาะเมื่อต้องจัดการกับความแตกต่างส่วนบุคคล จะช่วยลดความขัดแย้งที่ไม่จำเป็นและเสริมสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งได้มากยิ่งขึ้น

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือคู่สามีภรรยาที่มีความชอบต่างกัน ฝ่ายหนึ่งชอบความเงียบสงบในวันหยุด ขณะที่อีกฝ่ายชื่นชอบการสังสรรค์ปาร์ตี้ แทนที่จะพยายามเปลี่ยนแปลงกัน การเรียนรู้ที่จะยอมรับและให้พื้นที่แก่กันในการทำตามความชอบส่วนตัว จะนำมาซึ่งความสมดุลของความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น

อิสรภาพแห่งการยอมรับ

การยอมรับเป็นหัวใจสำคัญของทฤษฎีปล่อยวาง ไม่ใช่เพียงการยอมรับผู้อื่น แต่รวมถึงการยอมรับตนเองด้วย การยอมรับไม่ได้หมายความว่าเราต้องเห็นด้วยกับทุกการกระทำของผู้อื่น แต่เป็นการตระหนักว่าทุกคนมีสิทธิที่จะใช้ชีวิตตามวิถีทางของตน การยอมรับเช่นนี้จะนำพาความสงบมาสู่จิตใจ ลดความจำเป็นในการพยายามแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงความคิดของผู้อื่น

การปลดปล่อยความสมบูรณ์แบบ

Robbins กล่าวว่า ความต้องการควบคุมมักเริ่มต้นจากความปรารถนาที่จะให้ทุกสิ่งสมบูรณ์แบบ ทั้งในชีวิตของเราเองและชีวิตของผู้อื่น แต่การไล่ตามความสมบูรณ์แบบนี้กลับนำมาซึ่งความเครียดที่ไม่รู้จบ เพราะแม้ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้เรารู้สึกล้มเหลวได้ ทฤษฎีปล่อยวางของ Robbins นั้นสนับสนุนให้เราปล่อยวางความเข้มงวดเหล่านี้ และหันมาให้คุณค่ากับความเป็นธรรมชาติมากขึ้น

การประยุกต์ใช้ในที่ทำงาน

สถานที่ทำงานเป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่การควบคุมมักแสดงออกอย่างชัดเจน ผ่านการบริหารจัดการที่เข้มงวดหรือบรรยากาศการแข่งขัน การนำทฤษฎีปล่อยวางมาใช้ในที่ทำงานเน้นย้ำถึงสิ่งสำคัญนั่นก็คือ “ความไว้วางใจ”

การให้อิสระแก่ทีมในการควบคุมงานของตนเองไม่เพียงสร้างบรรยากาศแห่งความร่วมมือ แต่ยังกระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์และประสิทธิภาพการทำงานที่สูงขึ้น

ค้นพบความสงบภายใน

การฝึกฝนทฤษฎีปล่อยวางนำไปสู่การค้นพบความสงบภายในที่แท้จริง แทนที่จะตอบสนองต่อสถานการณ์ด้วยอารมณ์ชั่ววูบ เราสามารถฝึกการมีสติ สังเกตปฏิกิริยาของตนเอง และเลือกที่จะปล่อยวาง

การฝึกฝนเช่นการหายใจลึกๆ การเขียนบันทึก และการทำสมาธิ ล้วนช่วยเสริมสร้างความสามารถในการปล่อยวางได้ดียิ่งขึ้น

เอาชนะการตัดสินและวิพากษ์วิจารณ์

การตัดสินและวิพากษ์วิจารณ์มักเป็นผลพวงของความต้องการที่จะควบคุม เมื่อสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวัง เรามักรู้สึกว่าต้องแสดงความเห็นหรือตัดสินมัน ทฤษฎีปล่อยวางของ Robbins สนับสนุนให้เราฝึกฝนการยอมรับ ปล่อยให้ผู้อื่นเป็นตัวของตัวเองโดยไม่ต้องยัดเยียดความคิดของเราให้กับพวกเขา

การปล่อยวางในยามเผชิญความยากลำบาก

แม้ในยามที่ต้องเผชิญกับความไม่เป็นธรรมหรือการกระทำที่สร้างความเจ็บปวด (ที่เกิดขึ้นกับตัวเราเอง) ทฤษฎีปล่อยวางก็ยังสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ โดย Robbins ให้เราโฟกัสไปที่การตอบสนองต่อตัวเราเองมากกว่าพฤติกรรมของผู้อื่น การรู้จักให้อภัย และการมองหาโอกาสในการเติบโต จะช่วยให้เราก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากได้

บทสรุป : สู่วิถีแห่งการปล่อยวาง

ทฤษฎีปล่อยวางอาจดูเหมือนเป็นสิ่งเรียบง่าย แต่ผลกระทบที่มีต่อชีวิตนั้นมันยิ่งใหญ่ การปลดปล่อยตนเองจากการต้องไปควบคุมความคิดของผู้อื่น ไม่เพียงนำมาซึ่งความสัมพันธ์ที่จริงใจมากขึ้น แต่ยังเปิดประตูสู่ชีวิตที่เติมเต็มและมีความหมาย เมื่อเราเลือกที่จะปล่อยวาง เราจะพบว่าพลังที่เคยใช้ในการควบคุมผู้อื่นนั้น สามารถนำมาใช้ในการพัฒนาตนเองและสร้างสรรค์สิ่งที่มีความหมายได้อีกมากมายนั่นเองครับผม

References :
หนังสือ The Let Them Theory: A Life-Changing Tool That Millions of People Can’t Stop Talking About โดย Mel Robbins

Geek Story EP237 : จากวิศวกร Audi สู่ผู้ปฏิวัติรถยนต์จีน Wan Gang บิดาแห่งรถไฟฟ้า ผู้ท้าชน Elon Musk

ตลอด 140 ปีของวงการยานยนต์โลกที่ผ่านมา มีบริษัทมากมายที่พยายามสร้างตลาด Mass สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า แต่ก็ล้มเหลวไปแทบจะทั้งหมด ความเชื่อส่วนใหญ่ก็คือหากใครสักคนจะทำสำเร็จ คน ๆ นั้นต้องเป็น Elon Musk ซีอีโอ Tesla ผู้มั่งคั่งและทะเยอทะยาน แต่เมื่อเขียนประวัติศาสตร์ยานยนต์ไฟฟ้าจริง ๆ แล้วนั้นต้องบอกว่าชายที่มีชื่อว่า Wan Gang อาจเป็นผู้ที่ยืนหยัดอยู่ในจุดที่สูงที่สุด

เรื่องราวของชายที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาผู้ถือกำเนิดรถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีน มีความน่าสนใจอย่างไร ไปรับฟังกันได้เลยครับผม

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/43s5wp2b

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/sbjbpu6e

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/mvx87225

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/_ZGJDrI1xbo

Geek Life EP79 : หมดยุค To-Do List แบบเดิมๆ เพิ่มประสิทธิภาพแบบก้าวกระโดดด้วยเทคนิค MMM-ACE-LLL

ในโลกที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและภาระงานมากมาย การจัดการเวลาและงานอย่างมีประสิทธิภาพกลายเป็นทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับทุกคน ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้บริหาร พนักงานออฟฟิศ หรือแม้แต่นักศึกษา การมีระบบจัดการงานที่ดีจะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

Damon Zahariats ผู้เขียนหนังสือ “To-Do List Formula: A Stress-Free Guide To Creating To-Do Lists That Work!” ได้นำเสนอแนวคิดที่น่าสนใจในการปรับปรุงวิธีการจัดการ To-Do List ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/4eacpv5x

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/43v33r6s

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/wigpcM8vh7o

มีคนแบบนี้ในทีม รีบจัดการด่วน! เมื่อทีมมีคนทัศนคติแย่ จัดการอย่างไรให้ทีมไม่พัง

ในโลกของการทำงานที่มีความซับซ้อนและท้าทาย การจัดการกับสมาชิกในทีมที่มีทัศนคติด้านลบถือเป็นความท้าทายที่สำคัญสำหรับผู้นำองค์กรและผู้จัดการทีม

Jess Coles ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารที่มีประสบการณ์มากกว่า 25 ปีจากบริษัทชั้นนำระดับโลกอย่าง Innocent Drinks, Fosters และ EY ได้แบ่งปันมุมมองและแนวทางการจัดการปัญหานี้ผ่านประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมา

ทัศนคติด้านลบของสมาชิกในทีมเปรียบเสมือนไวรัสที่สามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการทำงาน ประสิทธิภาพ และความสุขของทีมโดยรวม การปล่อยปละละเลยปัญหานี้อาจนำไปสู่วัฒนธรรมองค์กรที่เป็นพิษและยากต่อการแก้ไขในภายหลัง

การเริ่มต้นจัดการกับปัญหาต้องเริ่มจากการยอมรับว่าปัญหานี้มีอยู่จริง ผู้จัดการทีมจำเป็นต้องรวบรวมข้อมูลและหลักฐานที่เป็นรูปธรรมเกี่ยวกับพฤติกรรมที่เป็นปัญหา โดยอาจรับฟังความคิดเห็นจากสมาชิกคนอื่นในทีม สังเกตการณ์พฤติกรรมในที่ประชุม หรือตรวจสอบการสื่อสารทางอีเมลที่แสดงถึงทัศนคติด้านลบ

การค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาเป็นขั้นตอนที่สำคัญ บ่อยครั้งที่ทัศนคติด้านลบมีรากฐานมาจากความไม่พึงพอใจในการทำงาน ความกดดันจากชีวิตส่วนตัว หรือความขัดแย้งภายในองค์กร การจัดการประชุมแบบตัวต่อตัวในบรรยากาศที่เป็นส่วนตัวและเป็นมิตรจะช่วยให้เข้าใจถึงสาเหตุที่แท้จริงได้ดียิ่งขึ้น

ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาองค์กรพบว่า พนักงานที่มีทัศนคติด้านลบมักมีแนวโน้มที่จะขาดความมั่นใจในตนเอง รู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับการยอมรับ หรือมีความกังวลเกี่ยวกับอนาคตในการทำงาน การเข้าใจถึงปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้ผู้จัดการสามารถวางแผนการแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด

การประเมินว่าทัศนคติด้านลบนั้นเป็นปัญหาชั่วคราวหรือถาวรเป็นอีกปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจเลือกวิธีการแก้ไข พนักงานที่มีประวัติการทำงานดีแต่เพิ่งแสดงทัศนคติด้านลบอาจต้องการเพียงการสนับสนุนและกำลังใจในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ในทางกลับกัน พนักงานที่แสดงทัศนคติด้านลบตั้งแต่เริ่มต้นการทำงานอาจเป็นสัญญาณของปัญหาที่ลึกซึ้งกว่านั้น

การกำหนดแผนแบบรายบุคคลที่เป็นลายลักษณ์อักษรเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการสร้างความชัดเจนและความรับผิดชอบ แผนนี้ควรประกอบด้วยเป้าหมายที่วัดผลได้ กรอบเวลาที่ชัดเจน และตัวชี้วัดความสำเร็จ โดยทั่วไปแล้ว ระยะเวลาสามเดือนถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการประเมินความก้าวหน้า

การติดตามผลอย่างสม่ำเสมอและการให้ข้อเสนอแนะที่สร้างสรรค์เป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ ผู้จัดการควรจัดให้มีการประชุมติดตามผลทุกสัปดาห์หรือทุกสองสัปดาห์ เพื่อให้กำลังใจและคำแนะนำที่เป็นประโยชน์

อย่างไรก็ตาม หากไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นหลังจากได้ให้โอกาสและการสนับสนุนอย่างเต็มที่แล้ว ผู้จัดการอาจต้องพิจารณาทางเลือกที่เด็ดขาดมากขึ้น เช่น การโยกย้ายตำแหน่ง หรือการยุติการจ้างงาน การตัดสินใจเช่นนี้แม้จะยาก แต่บางครั้งก็จำเป็นเพื่อรักษาสมดุลและประสิทธิภาพของทีมโดยรวม

ประสบการณ์จากผู้บริหารหลายท่านแสดงให้เห็นว่า การปล่อยให้สมาชิกทีมที่มีทัศนคติด้านลบอยู่ในองค์กรโดยไม่มีการจัดการที่เหมาะสม มักนำไปสู่การสูญเสียพนักงานที่มีความสามารถคนอื่นๆ ในระยะยาว

การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็งและมีประสิทธิภาพต้องอาศัยความกล้าหาญในการจัดการกับปัญหาทัศนคติด้านลบอย่างตรงไปตรงมา การให้โอกาสในการปรับปรุงตัวควบคู่ไปกับการกำหนดความคาดหวังที่ชัดเจนจะช่วยให้ทั้งองค์กรและพนักงานเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน

References :

  1. Harvard Business Review – How to Manage a Toxic Employee: https://hbr.org/2016/10/how-to-manage-a-toxic-employee
  2. Respect but Don’t Accept Negative Employee Attitudes: https://www.shrm.org/topics-tools/news/managing-smart/respect-dont-accept-negative-employee-attitudes
  3. How To Handle Team Members with Bad Attitudes -> https://youtu.be/voLLWI8424s?si=2b0HplVZ2lf_MKPo

Geek Story EP236 : จาก No Name สู่คู่แข่ง Tesla เมื่อเด็กไอทีจีนท้าชนเบอร์หนึ่งบนเส้นทางปฏิวัติวงการยานยนต์

เรื่องราวของเด็กหนุ่มคนหนึ่งจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยและเริ่มสำรวจธุรกิจอินเทอร์เน็ตอยู่สักพัก ด้วยความที่เป็นคนมีไหวพริบ เขารู้สึกอึดอัดกับการทำงานเป็นลูกจ้างอย่างรวดเร็วและเกิดแรงผลักดันอย่างแรงกล้าที่จะเริ่มธุรกิจด้วยตัวเอง

เขาได้ทำอะไรบางอย่างที่ชาญฉลาดกับซอฟต์แวร์ และผลงานของเขาก็กลายเป็นที่นิยมข้ามคืน ณ จุดสูงสุดแห่งความสำเร็จ เขาตัดสินใจขายกิจการ ด้วยเงินมากมายเกินกว่าจะจินตนาการได้ เขาเริ่มธุรกิจที่สองของเขา: การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะในชื่อแบรนด์ XPeng

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/mz6mxjc3

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/mwe6nmre

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/39rdzfbt

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/Q–JOjp0i4g