ในโลกที่เต็มไปด้วยเสียงรบกวนและข้อมูลมากมาย บางครั้งเราอาจลืมไปว่าคำพูดธรรมดาๆ ที่เราใช้ทุกวันนั้นมีพลังมหาศาลในการเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราและผู้อื่น หนังสือ “Magic Words” ของ Jonah Burger ได้เปิดเผยให้เห็นถึงพลังอันน่าทึ่งของคำบางคำที่สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม อารมณ์ และแม้กระทั่งอัตลักษณ์ของเราได้
เรื่องราวของการค้นพบนี้เริ่มต้นขึ้นในห้องทดลองเล็กๆ แห่งหนึ่ง ที่ซึ่งนักจิตวิทยาสองท่านกำลังทำการทดสอบพลังของคำสี่ตัวอักษรที่ดูเหมือนธรรมดา แต่กลับมีผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง พวกเขาต้องการรู้ว่าคำเพียงคำเดียวสามารถเพิ่มความสามารถในการต้านทานสิ่งล่อใจอย่างช็อกโกแลตแท่งอันแสนอร่อยได้มากแค่ไหน
ในการทดลอง ผู้เข้าร่วมถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกได้รับคำแนะนำให้พูดกับตัวเองว่า “I can’t” (ฉันไม่สามารถ) เมื่อเผชิญกับการล่อลวงของช็อกโกแลตแท่งอันแสนอร่อย เช่น “ฉันไม่สามารถกินเค้กช็อกโกแลตชิ้นนี้ได้” ในขณะที่กลุ่มที่สองได้รับคำแนะนำให้ใช้คำว่า “I don’t” (ฉันไม่) แทน เช่น “ฉันไม่กินเค้กช็อกโกแลต”
ผลลัพธ์ที่ได้นั้นน่าตื่นตาตื่นใจ แม้ว่าการเปลี่ยนจาก “I can’t” เป็น “I don’t” จะดูเหมือนเป็นการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย แต่มันส่งผลกระทบอย่างมหาศาล เมื่อผู้เข้าร่วมทั้งหมดทำแบบสำรวจสุ่มเสร็จสิ้น พวกเขาได้รับข้อเสนอให้รับช็อกโกแลตแท่ง ผลปรากฏว่าผู้ที่ใช้คำว่า “I don’t” ปฏิเสธช็อกโกแลตแท่งนั้นบ่อยกว่าผู้ที่ใช้คำว่า “I can’t” ถึงสองเท่า
แต่ทำไมคำเพียงคำเดียวจึงสร้างความแตกต่างได้มากมายเช่นนี้? คำตอบอยู่ที่จิตวิทยาลึกๆ ของมนุษย์ การพูดว่า “I can’t” ทำให้เรารู้สึกว่าถูกควบคุมโดยแรงภายนอก เสมือนว่ามีกฎเกณฑ์หรือข้อจำกัดบางอย่างที่ห้ามเราไม่ให้ทำสิ่งที่เราต้องการ เช่น “ฉันไม่สามารถออกไปข้างนอกคืนนี้ได้ เพราะภรรยาจะโกรธ” หรือ “ฉันไม่สามารถกินเบอร์เกอร์ชีสนั่นได้ เพราะหมอต้องการให้ฉันหลีกเลี่ยงอาหารจานด่วน” คำพูดแบบนี้ทำให้เรารู้สึกถูกจำกัดและขาดอิสระ
ในทางตรงกันข้าม การพูดว่า “I don’t” เป็นการย้ายจุดควบคุมเข้าสู่ภายในตัวเรา มันเป็นการแสดงถึงการตัดสินใจด้วยตนเอง และเพิ่มความรู้สึกเป็นอิสระ
เมื่อเราพูดว่า “ฉันไม่ออกไปกินข้าวนอกบ้านในวันธรรมดา เพราะฉันกำลังเก็บเงินเพื่อดาวน์บ้าน” เราฟังดูเหมือนคนที่ควบคุมชีวิตตัวเองได้ และมีแนวโน้มที่จะบรรลุเป้าหมายส่วนตัวมากขึ้น
นอกจากนี้ “I don’t” ยังช่วยหยุดการชักจูงจากภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะมันฟังดูเด็ดขาดและไม่สามารถต่อรองได้
แต่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น Jonah Burger ยังได้เสนอวิธีการเพิ่มพลังให้กับ “I don’t” ด้วยการใช้คำว่า “because” (เพราะ) และ “choose to” (เลือกที่จะ) ตัวอย่างเช่น:
“ฉันไม่กดปุ่มเลื่อนปลุกและนอนอยู่บนเตียงหลังจากนาฬิกาปลุกดัง เพราะฉันเลือกที่จะเริ่มต้นวันอย่างกระตือรือร้นและตรงเวลา”
“ฉันไม่หาข้ออ้างเพื่อหลีกเลี่ยงการออกกำลังกาย เพราะฉันเลือกที่จะให้ความสำคัญกับสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของฉัน”
“ฉันไม่เช็คอีเมลจนกว่าจะทำสิ่งที่มีความหมายสำเร็จ เพราะฉันเลือกที่จะโฟกัสไปที่งานสำคัญก่อน”
การใช้คำว่า “because” ช่วยให้เหตุผลสนับสนุนการตัดสินใจของเรา ทำให้คำพูดมีน้ำหนักและความน่าเชื่อถือมากขึ้น ในขณะที่คำว่า “choose to” เน้นย้ำถึงอิสระในการเลือกและการควบคุมตนเอง ทำให้เรารู้สึกเป็นเจ้าของการตัดสินใจนั้นอย่างแท้จริง
แต่พลังของคำไม่ได้จำกัดอยู่แค่การควบคุมตนเองเท่านั้น มันยังสามารถช่วยเราในการจัดการกับความเครียดและความกังวลได้อีกด้วย
Burger เล่าถึงการศึกษาที่น่าสนใจจาก University of Michigan ในปี 2014 ที่แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนวิธีการพูดกับตัวเองเพียงเล็กน้อยสามารถส่งผลกระทบอย่างมากต่อประสิทธิภาพของเราในสถานการณ์ที่กดดัน
ในการศึกษานี้ ผู้เข้าร่วมต้องกล่าวแนะนำตนเองสำหรับงานใหม่ต่อหน้ากลุ่มผู้ประเมินจำนวนมาก โดยมีเวลาเตรียมตัวเพียง 5 นาที สถานการณ์นี้สร้างความเครียดอย่างมากให้กับผู้เข้าร่วมเป็นอย่างมาก
แต่นักวิจัยพบว่าผู้ที่ได้รับคำแนะนำให้พูดกับตัวเองโดยใช้ชื่อของตนเองหรือคำว่า “you” แทนที่จะใช้ “I” สามารถลดฮอร์โมนความเครียด cortisol ได้อย่างมีนัยสำคัญ รู้สึกมั่นใจมากขึ้น และทำผลงานได้ดีกว่าคนอื่น ๆ ในกลุ่ม
เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์นี้คือการเปลี่ยนมุมมอง เมื่อเราใช้คำว่า “you” หรือชื่อของตัวเองในการพูดกับตัวเอง เราเสมือนกำลังสวมบทบาทเป็นโค้ชที่คอยสนับสนุนตัวเอง การมองสถานการณ์จากมุมมองของบุคคลที่สาม ช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมได้ชัดเจนขึ้น ลดอารมณ์ทางลบ และคิดหากลยุทธ์ในการรับมือกับสถานการณ์ได้ดีขึ้น
ตัวอย่างเช่น แทนที่จะพูดกับตัวเองว่า “ฉันรู้สึกประหม่า” หรือ “ฉันไม่รู้ว่าฉันจะทำได้หรือไม่” ลองเปลี่ยนเป็น “คุณเตรียมพร้อมแล้ว” หรือ “Nathan นี่คือสิ่งที่คุณฝึกฝนมา” หรือ “Nate หายใจลึกๆ” การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ นี้สามารถสร้างความแตกต่างอย่างมากในการจัดการกับความเครียดและความวิตกกังวล
แต่พลังของคำไม่ได้จำกัดอยู่แค่การพัฒนาตนเองเท่านั้น มันยังสามารถใช้เพื่อช่วยเหลือและสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่นได้อีกด้วย Burger แนะนำให้ใช้คำถามที่เริ่มต้นด้วยคำว่า “could” (สามารถ) เมื่อต้องการช่วยเหลือคนที่กำลังเผชิญกับความท้าทายหรือกำลังติดกับปัญหา
เมื่อเราใช้คำว่า “could” ในคำถาม เราเปิดโอกาสให้ผู้อื่นได้คิดและหาทางออกด้วยตนเอง แทนที่จะบอกว่าพวกเขาควรทำอะไร ตัวอย่างเช่น หากลูกของคุณขี้เกียจทำการบ้าน แทนที่จะบ่นหรือสั่งให้ทำ ลองพูดว่า “พ่อ/แม่รู้ว่าลูกไม่รู้สึกอยากทำการบ้านในตอนนี้ แต่ลูกสามารถทำอะไรในชั่วโมงถัดไปเพื่อให้มีความคืบหน้าได้บ้าง” หรือหากเพื่อนของคุณติดแหง็กอยู่กับงานที่ไม่น่าพอใจ ลองถามว่า “ฉันรู้ว่างานของเธอแย่ แต่เธอสามารถทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ เพื่อปรับปรุงชีวิตการทำงานของเธอได้บ้าง”
คำถามแบบนี้ช่วยให้ผู้คนหยุดโฟกัสที่ปัญหาและเริ่มคิดถึงวิธีแก้ไขที่เป็นไปได้ มันกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นและความคิดสร้างสรรค์ ทำให้พวกเขารู้สึกว่าได้รับการเสริมพลังในการแก้ปัญหาด้วยตนเอง แทนที่จะรู้สึกว่าถูกสั่งหรือถูกบังคับ
นอกจากนี้ การถามในรูปแบบ “คุณสามารถทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ ได้บ้าง” ยังเป็นเทคนิคที่โค้ชมืออาชีพใช้เพื่อช่วยให้ผู้อื่นค้นพบวิธีแก้ปัญหาด้วยตนเอง
โค้ชที่มีประสบการณ์รู้ดีว่าผู้คนมีแนวโน้มที่จะลงมือทำตามความคิดของตนเองมากกว่าคำแนะนำหรือคำสั่งจากผู้อื่น ดังนั้น การใช้คำถามแบบนี้จึงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนา
แต่พลังของคำไม่ได้จำกัดอยู่แค่การถามคำถามเท่านั้น Burger ยังเสนอแนวคิดที่น่าสนใจเกี่ยวกับการใช้คำที่เกี่ยวข้องกับอัตลักษณ์เพื่อกระตุ้นพฤติกรรมที่ต้องการ แทนที่จะบอกให้ผู้คนทำสิ่งต่างๆ เราสามารถให้พวกเขามีอัตลักษณ์ที่สอดคล้องกับพฤติกรรมนั้นๆ
ตัวอย่างเช่น แทนที่จะสั่งให้ลูกช่วยเก็บของ ลองกระตุ้นพวกเขาให้เป็น “ผู้ช่วยที่ดี” การศึกษาในโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่งในแคลิฟอร์เนียแสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนี้สามารถเพิ่มพฤติกรรมการช่วยเหลือได้เกือบหนึ่งในสาม ในที่ทำงาน แทนที่จะสอนพนักงานให้ทำงานเสร็จตรงเวลา ลองถามพวกเขาว่าต้องการเป็น “ผู้มีผลงานยอดเยี่ยม” หรือไม่ หรือในทีมกีฬา แทนที่จะกระตุ้นให้เพื่อนร่วมทีมเข้าร่วมการฝึกซ้อม ลองพูดว่า “เป็นผู้เล่นที่ดีของทีม” หรือ “ทำตัวเหมือนนักกีฬาชั้นยอด”
เหตุผลที่การเปลี่ยนการกระทำให้เป็นอัตลักษณ์มีประสิทธิภาพ เพราะมนุษย์เรามีแนวโน้มที่จะพยายามรักษาภาพลักษณ์ที่ดีของตนเองและหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้เราดูแย่ เมื่อเราให้อัตลักษณ์ที่ดูดีแก่ใครสักคน พวกเขาจะมีแรงจูงใจภายในที่จะทำพฤติกรรมที่สอดคล้องกับอัตลักษณ์นั้น
การศึกษาหลายชิ้นได้ยืนยันประสิทธิภาพของวิธีการนี้ ตัวอย่างเช่น การศึกษาหนึ่งพบว่าเมื่อแคมเปญการเลือกตั้งพูดถึงการเป็น “ผู้ลงคะแนนเสียง” แทนที่จะขอให้ผู้คนไปลงคะแนนเสียงเพียงอย่างเดียว สามารถเพิ่มจำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งได้ถึง 15%
อีกการศึกษาหนึ่งพบว่านักเรียนที่ได้ยินคำว่า “อย่าเป็นคนโกง” โกงน้อยลงครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับนักเรียนที่ได้รับคำสั่ง “อย่าโกง” เห็นได้ชัดว่าการเชื่อมโยงพฤติกรรมกับอัตลักษณ์มีผลกระทบอย่างมากต่อการตัดสินใจของผู้คน
นอกจากนี้ การใช้คำที่เกี่ยวข้องกับอัตลักษณ์ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการสร้างนิสัยใหม่ๆ ได้อีกด้วย เช่น หากคุณต้องการเริ่มออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แทนที่จะบอกตัวเองว่า “ฉันต้องไปยิม” ลองเปลี่ยนเป็น “ฉันเป็นคนรักสุขภาพ” หรือ “ฉันเป็นนักกีฬา” การให้อัตลักษณ์แก่ตัวเองในลักษณะนี้จะช่วยสร้างแรงจูงใจภายในและทำให้การรักษานิสัยใหม่ๆ เป็นเรื่องง่ายขึ้น
อย่างไรก็ตาม การใช้คำที่เกี่ยวข้องกับอัตลักษณ์ควรทำด้วยความระมัดระวัง โดยเฉพาะเมื่อใช้กับเด็กๆ เพราะอัตลักษณ์ที่ติดตัวไปอาจส่งผลกระทบต่อความคิดและพฤติกรรมในระยะยาว ดังนั้น ควรใช้อัตลักษณ์ในเชิงบวกและสร้างสรรค์ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาตนเองและความมั่นใจ แทนที่จะใช้เพื่อการควบคุมหรือสร้างความรู้สึกด้านลบ
ในท้ายที่สุด Jonah Burger สรุปว่า “คำพูดมีผลกระทบที่น่าทึ่ง และด้วยการทำความเข้าใจว่าเมื่อไหร่ ทำไม และอย่างไร พวกมันจึงได้ผล เราสามารถใช้มันเพื่อเพิ่มพลังให้กับเราได้” ซึ่งนี่คือแก่นสำคัญของหนังสือ “Magic Words” ที่เน้นย้ำถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของภาษาในการเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราและผู้อื่น
การตระหนักถึงพลังของคำพูดไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องระมัดระวังทุกคำที่เราพูดจนเกินไป แต่เป็นการเปิดโอกาสให้เราได้ใช้ภาษาอย่างมีสติและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการพูดกับตัวเอง การสื่อสารกับผู้อื่น หรือการสร้างแรงบันดาลใจให้กับทีม การเลือกใช้คำอย่างชาญฉลาดสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในทุกด้านของชีวิตได้ในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม
References :
หนังสือ Magic Words โดย Jonah Berger