เคยสงสัยไหมว่าทำไมบางคนถึงดูมีเสน่ห์และน่าดึงดูดใจอย่างเหลือเชื่อ? ทำไมบางคนถึงสามารถครองหัวใจคนทั้งห้องได้ทันทีที่เดินเข้ามา ในขณะที่คนอื่นดูแทบจะหายไปในฝูงชน? คำตอบอาจอยู่ในแนวคิดที่น่าทึ่งที่ว่ามนุษย์เราเป็น “สิ่งมีชีวิตที่แพร่กระจายได้”
เป็นข้อมูลที่น่าสนใจจากเวที Ted Talks อีกครั้งหนึ่ง ที่ขึ้นเวทีโดย Vanessa Van Edwards วิทยากรของ Science of People และเป็นผู้เขียนหนังสือชื่อดังหลายเล่ม เธอมีความเชี่ยวชาญด้านทักษะการใช้ทรัพยากรมนุษย์ตามหลักการทางวิทยาศาสตร์
ต้องบอกว่าแนวคิดนี้ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นไวรัสหรือแบคทีเรีย มันเปรียบเสมือนการชวนให้ผู้อื่นคล้อยตามไปด้วย ซึ่งมันเป็นความสามารถของมนุษย์ในการส่งและรับสัญญาณทางอารมณ์และพฤติกรรมจากผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว เราไม่เพียงแต่สื่อสารด้วยคำพูดเท่านั้น แต่ยังสื่อสารผ่านภาษากาย การแสดงออกทางสีหน้า และแม้แต่สารเคมีในร่างกายของเรา
ลองนึกถึงครั้งสุดท้ายที่คุณได้เข้าไปในห้องที่เต็มไปด้วยคนที่มีความสุขและกระตือรือร้น คุณรู้สึกถึงพลังงานในมวลอากาศไหม? หรือในทางกลับกัน เมื่อคุณอยู่ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดหรือน่าอึดอัด คุณรู้สึกถึงความกังวลที่แผ่ซ่านไปทั่วไหม? นี่คือตัวอย่างของการแพร่กระจายทางอารมณ์ในการทำงาน
การศึกษาที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ดำเนินการโดยทีมนักวิจัย พวกเขาเก็บตัวอย่างเหงื่อจากคนสองกลุ่ม: กลุ่มแรกเป็นคนที่วิ่งบนลู่วิ่งเพื่อออกกำลังกาย และกลุ่มที่สองเป็นนักกระโดดร่มที่กำลังจะกระโดดร่มเป็นครั้งแรก จากนั้นพวกเขาให้อาสาสมัครดมกลิ่นตัวอย่างเหงื่อเหล่านี้ในขณะที่อยู่ในเครื่องสแกนสมอง fMRI
ผลลัพธ์ที่ได้น่าทึ่งมาก แม้ว่าอาสาสมัครจะไม่รู้ว่ากำลังดมอะไรอยู่ แต่สมองของพวกเขาแสดงการตอบสนองต่อความกลัวเมื่อดมกลิ่นเหงื่อของนักกระโดดร่ม นี่แสดงให้เห็นว่าอารมณ์ของเรา โดยเฉพาะความกลัว สามารถ “ติด” ไปยังผู้อื่นได้แม้แต่ในระดับเคมี
แต่ไม่ใช่แค่ความกลัวเท่านั้นที่แพร่กระจายได้ ความมั่นใจ ความกระตือรือร้น และความสุขก็สามารถแพร่กระจายได้เช่นกัน นี่คือเหตุผลที่ทำให้ผู้นำที่มีพลังและมีเสน่ห์สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้ทีมของพวกเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือทำไมรอยยิ้มของเพื่อนที่ดีถึงสามารถยกระดับอารมณ์ของเราได้ทั้งวัน
แล้วเราจะใช้ความรู้นี้ให้เป็นประโยชน์ได้อย่างไร? มาดูกันว่าเราสามารถแพร่กระจายความมั่นใจและอารมณ์เชิงบวกได้อย่างไรผ่านสามช่องทางหลัก:
1. ภาษากาย: พลังของการสื่อสารที่ไร้เสียง
ภาษากายของเราส่งข้อความที่ทรงพลังมากกว่าที่เราคิด การทดลองที่น่าสนใจในเมือง Portland รัฐ Oregon แสดงให้เห็นว่าการกระทำง่าย ๆ เช่นการมองขึ้นไปบนท้องฟ้าสามารถทำให้คนแปลกหน้าทำตามได้
นักวิจัยยืนอยู่บนถนนและมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ไม่นานนักคนที่เดินผ่านไปมาก็เริ่มมองตาม สร้างฝูงชนที่มองขึ้นไปบนท้องฟ้าโดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน
นี่แสดงให้เห็นว่าเรามีแนวโน้มที่จะเลียนแบบภาษากายของผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว แต่มันไม่ได้หยุดแค่นั้น เมื่อเราเลียนแบบท่าทางหรือการแสดงออกทางร่างกาย เรายังมีแนวโน้มที่จะรับเอาอารมณ์ที่เกี่ยวข้องกับท่าทางนั้นด้วย ซึ่งสิ่งนี้เรียกว่า “facial feedback hypothesis”
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของปรากฏการณ์นี้คือรอยยิ้ม เมื่อเราเห็นใครสักคนยิ้มอย่างจริงใจ เรามีแนวโน้มที่จะยิ้มตอบโดยอัตโนมัติ และการยิ้มนี้จะกระตุ้นความรู้สึกมีความสุขในตัวเรา นี่เป็นวงจรย้อนกลับเชิงบวกที่สามารถยกระดับอารมณ์ของทั้งสองฝ่ายได้
ในทางกลับกัน การแสดงออกทางสีหน้าของความกลัวหรือความวิตกกังวลก็สามารถกระตุ้นการตอบสนองที่คล้ายกันในผู้อื่นได้ นี่เป็นกลไกการอยู่รอดที่ฝังลึกซึ่งช่วยให้เราตอบสนองต่อภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว แม้ก่อนที่เราจะตระหนักถึงมันอย่างรู้ตัวก็ตาม
ดังนั้น หากคุณต้องการแพร่กระจายความมั่นใจและความเป็นมิตร ให้เริ่มต้นด้วยภาษากายของคุณเอง ยืนตัวตรง สบตา และยิ้มอย่างจริงใจ คุณอาจแปลกใจกับผลกระทบที่มีต่อผู้คนรอบตัวคุณ
2. การสื่อสารด้วยวาจา: พลังของคำพูดในการกระตุ้นความสุข
คำพูดของเรามีพลังมากกว่าที่เราคิด และไม่ใช่แค่สิ่งที่เราพูดเท่านั้น แต่ยังรวมถึงวิธีที่เราพูดด้วย การวิจัยได้แสดงให้เห็นว่าแม้แต่ในการสนทนาทางโทรศัพท์ ผู้คนก็สามารถรับรู้ได้ว่าคู่สนทนากำลังยิ้มหรือไม่ เสียงของเรามีความสุข เศร้า หรือโกรธ และสิ่งนี้สามารถส่งผลต่อความประทับใจแรกและความชอบของผู้อื่นที่มีต่อเรา
แต่นอกเหนือจากโทนเสียงแล้ว คำถามที่เราถามก็มีความสำคัญเช่นกัน ในการศึกษาเกี่ยวกับการสร้างเครือข่าย นักวิจัยพบว่าคำถามเริ่มต้นบทสนทนาที่กระตุ้นให้ผู้อื่นคิดถึงสิ่งที่ดีและน่าตื่นเต้นในชีวิตของพวกเขาสามารถสร้างการสนทนาที่มีคุณภาพสูงกว่าและน่าจดจำมากกว่า
ตัวอย่างเช่น แทนที่จะถามคำถามทั่วไปเช่น “คุณทำอะไร?” หรือ “คุณมาจากไหน?” ลองถามว่า “คุณกำลังทำงานที่น่าตื่นเต้นอะไรอยู่บ้างไหมช่วงนี้?” หรือ “มีอะไรดี ๆ เกิดขึ้นกับคุณเร็ว ๆ นี้บ้างไหม?” คำถามเหล่านี้กระตุ้นให้สมองค้นหาความคิดเชิงบวกและปลดปล่อยโดปามีน ซึ่งเป็นสารเคมีในสมองที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกมีความสุขและพึงพอใจ
นอกจากนี้ การถามคำถามที่กระตุ้นความคิดเชิงบวกยังช่วยให้คุณเป็นที่จดจำได้มากขึ้น เนื่องจากสมองมีแนวโน้มที่จะสร้างสิ่งที่เรียกว่า “บันทึกย่อทางจิตใจ (mental post-it note)” เมื่อมีการกระตุ้นโดปามีน
ดังนั้นด้วยการถามคำถามที่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกดี คุณไม่เพียงแต่สร้างการสนทนาที่น่าพึงพอใจมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังเพิ่มโอกาสที่พวกเขาจะจำคุณได้ในเชิงบวกด้วย
3. การแพร่กระจายทางอารมณ์: พลังของทัศนคติเชิงบวก
อารมณ์ของเราไม่เพียงแต่ส่งผลต่อตัวเราเองเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อผู้คนรอบข้างด้วย การศึกษาที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ดำเนินการโดยให้นักเรียนร้องเพลง “Don’t Stop Believing” ลงในซอฟต์แวร์วัดความแม่นยำ
นักเรียนถูกแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม: กลุ่มแรกเพียงแค่ร้องเพลง กลุ่มที่สองต้องพูดว่า “ฉันรู้สึกประหม่า” ก่อนร้อง และกลุ่มสุดท้ายต้องพูดว่า “ฉันรู้สึกตื่นเต้น” ก่อนร้อง ผลลัพธ์ที่ได้น่าทึ่งมาก กลุ่มที่พูดว่ารู้สึกประหม่าได้คะแนนความแม่นยำเพียง 53% กลุ่มแรกได้ 69% ส่วนกลุ่มที่พูดว่ารู้สึกตื่นเต้นได้คะแนนสูงถึง 80%
สิ่งที่น่าสนใจคือความวิตกกังวลและความตื่นเต้นเป็นอารมณ์ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันมาก ทั้งสองอารมณ์ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น มือเหงื่อออก และทำให้รู้สึกกระวนกระวาย ความแตกต่างหลักอยู่ที่วิธีที่เรามองสถานการณ์นั้น ๆ เมื่อเรามองว่าความรู้สึกเหล่านี้เป็นความตื่นเต้นแทนที่จะเป็นความวิตกกังวล เราสามารถเปลี่ยนประสบการณ์ของเราได้อย่างสิ้นเชิง
การทดลองนี้แสดงให้เห็นถึงพลังของการ “แพร่กระจาย” อารมณ์เชิงบวกให้กับตัวเอง เมื่อเราเลือกที่จะมองสถานการณ์ที่ท้าทายด้วยความตื่นเต้นแทนที่จะเป็นความกลัว เราไม่เพียงแต่รู้สึกดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีแนวโน้มที่จะทำได้ดีขึ้นด้วย
นอกจากนี้ อารมณ์เชิงบวกของเรายังสามารถส่งผลกระทบต่อผู้อื่นได้ เมื่อเราเข้าสู่สถานการณ์ด้วยทัศนคติที่มีความกระตือรือร้นและมองโลกในแง่ดี เรามีแนวโน้มที่จะสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายและสร้างสรรค์มากขึ้นสำหรับทุกคนที่เกี่ยวข้อง
การนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
แล้วเราจะนำแนวคิดเรื่อง “การแพร่กระจาย” นี้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร? ต่อไปนี้คือเคล็ดลับบางประการที่สามารถนำไปทดลองใช้:
- ใส่ใจกับภาษากายของคุณ: ฝึกยืนตัวตรง สบตา และยิ้มอย่างจริงใจ แม้ในสถานการณ์ที่คุณรู้สึกไม่มั่นใจ การแสดงออกถึงความมั่นใจทางร่างกายสามารถช่วยให้คุณรู้สึกมั่นใจมากขึ้นและส่งผลกระทบเชิงบวกต่อผู้อื่นได้
- ใช้ท่าทางมือให้มากขึ้น: การวิจัยแสดงให้เห็นว่าผู้พูดที่ใช้ท่าทางมือมากกว่ามักจะได้รับการตอบรับที่ดีกว่าและมีประสิทธิภาพมากกว่าในการสื่อสารแนวคิดของพวกเขา อย่ากลัวที่จะใช้มือของคุณเพื่อเน้นย้ำสิ่งที่คุณกำลังพูด
- ถามคำถามที่กระตุ้นความคิดเชิงบวก: ในการสนทนา พยายามถามคำถามที่ทำให้ผู้อื่นนึกถึงสิ่งที่ดีในชีวิตของพวกเขา เช่น “คุณกำลังตื่นเต้นกับอะไรในชีวิตบ้างตอนนี้?” หรือ “มีอะไรดี ๆ เกิดขึ้นกับคุณเร็ว ๆ นี้บ้างไหม?”
- มองความท้าทายเป็นโอกาส: เมื่อคุณเผชิญกับสถานการณ์ที่ทำให้รู้สึกกังวล ลองเปลี่ยนมุมมองและมองว่ามันเป็นโอกาสที่น่าตื่นเต้น การเปลี่ยนกรอบความคิดง่าย ๆ นี้สามารถเปลี่ยนประสบการณ์ของคุณได้อย่างมาก
- เริ่มต้นวันด้วยทัศนคติเชิงบวก: ก่อนที่คุณจะเริ่มต้นวันใหม่ ให้ใช้เวลาสักครู่เพื่อคิดถึงสิ่งที่คุณรู้สึกขอบคุณหรือสิ่งที่คุณตื่นเต้นที่จะได้ทำในวันนั้น การตั้งโทนอารมณ์เชิงบวกตั้งแต่เช้าสามารถส่งผลกระทบต่อทั้งวันของคุณได้
- ใส่ใจกับสภาพแวดล้อมของคุณ: ตระหนักว่าอารมณ์และพฤติกรรมของผู้อื่นสามารถส่งผลกระทบต่อคุณได้เช่นกัน พยายามอยู่ล้อมรอบด้วยคนที่มีทัศนคติเชิงบวกและสร้างแรงบันดาลใจให้คุณ
- ฝึกฝนการฟังอย่างตั้งใจ: เมื่อคุณให้ความสนใจอย่างเต็มที่กับสิ่งที่ผู้อื่นกำลังพูด คุณไม่เพียงแต่เข้าใจพวกเขาได้ดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังทำให้พวกเขารู้สึกมีคุณค่าและเข้าใจมากขึ้นด้วย สิ่งนี้สามารถสร้างความไว้วางใจและความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นขึ้นได้
- เฉลิมฉลองความสำเร็จของผู้อื่น: เมื่อคนรอบข้างคุณประสบความสำเร็จ ให้แสดงความยินดีกับพวกเขาอย่างจริงใจ ความสุขเป็นหนึ่งในอารมณ์ที่แพร่กระจายได้ง่ายที่สุด และการเฉลิมฉลองร่วมกันสามารถยกระดับความรู้สึกของทุกคนได้
การเข้าใจว่าเราเป็น “สิ่งมีชีวิตที่แพร่กระจายได้” เปิดโอกาสมากมายสำหรับการเติบโตและการปรับปรุงความสัมพันธ์ของเรา ด้วยการใส่ใจกับวิธีที่เราสื่อสารทั้งด้วยคำพูดและไม่ใช่คำพูด เราสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อโลกรอบตัวเราได้
ท้ายที่สุด การแพร่กระจายไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของการส่งอิทธิพลไปยังผู้อื่นเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับการเปิดใจรับพลังงานเชิงบวกจากโลกรอบตัวเราด้วย เมื่อเราเริ่มมองเห็นการเชื่อมโยงที่ลึกซึ้งระหว่างเรากับผู้อื่น เราจะเริ่มเห็นโอกาสมากมายในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก ไม่ว่าจะเป็นการยิ้มให้กับคนแปลกหน้า การแสดงความกรุณาต่อเพื่อนร่วมงาน หรือการแบ่งปันความกระตือรือร้นของเรากับคนที่เรารัก
ดังนั้น ครั้งต่อไปที่คุณรู้สึกท้อแท้หรือขาดแรงจูงใจ ให้จำไว้ว่าคุณมีพลังที่จะเปลี่ยนแปลงไม่เพียงแต่อารมณ์ของตัวเองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอารมณ์ของคนรอบข้างคุณด้วย ด้วยการเลือกที่จะแพร่กระจายความมั่นใจ ความสุข และความกระตือรือร้น คุณไม่เพียงแต่ยกระดับชีวิตของตัวเองเท่านั้น แต่ยังมีส่วนร่วมในการสร้างโลกที่เต็มไปด้วยความหวังที่มากขึ้นสำหรับทุกคน
เพราะในท้ายที่สุด เราทุกคนต่างเชื่อมโยงกันในเครือข่ายอันซับซ้อนของความสัมพันธ์ ทุกการกระทำ ทุกคำพูด และทุกรอยยิ้มของเรามีศักยภาพที่จะสร้างผลกระทบที่กว้างไกล ดังนั้น ให้เลือกที่จะแพร่กระจายสิ่งที่ดีที่สุดในตัวคุณ และดูว่าโลกจะตอบสนองอย่างไร คุณอาจประหลาดใจกับพลังที่คุณมีในการสร้างการปลี่ยนแปลงเชิงบวกนี้
References :
You are contagious | Vanessa Van Edwards | TEDxLondon
https://youtu.be/cef35Fk7YD8?si=u_7-9HND-AiL403W