ตื่นเถอะพ่อแม่! ปฏิวัติการเลี้ยงลูกยุคดิจิทัล รู้เท่าทันภัยสมาร์ทโฟน สร้างภูมิคุ้มกันให้ลูก

ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของเรา หนังสือ “The Anxious Generation: How the Great Rewiring of Childhood Is Causing an Epidemic of Mental Illness” โดย Jonathan Haidt  ได้นำเสนอมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับผลกระทบของสมาร์ทโฟนและสื่อสังคมออนไลน์ต่อสุขภาพจิตของเยาวชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่ม Gen Z

Haidt ได้ชี้ให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวิถีชีวิตของเด็กและวัยรุ่น จากที่เคยเน้นการเล่นและมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นแบบตัวต่อตัวมาสู่การใช้เวลาส่วนใหญ่กับหน้าจอสมาร์ทโฟนได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อพัฒนาการทางจิตใจและอารมณ์ของพวกเขา

จากข้อมูลการสำรวจในสหรัฐอเมริกา พบว่านับตั้งแต่ปี 2012 เป็นต้นมา อัตราการรายงานภาวะซึมเศร้าในเด็กและวัยรุ่นได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ โดยในเด็กผู้หญิงเพิ่มขึ้นถึง 145% และในเด็กผู้ชายเพิ่มขึ้นถึง 161%

นอกจากนี้ยังพบว่านักศึกษามหาวิทยาลัยได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะวิตกกังวลเพิ่มขึ้น 134% ภาวะซึมเศร้าเพิ่มขึ้น 106% ADHD (ภาวะสมาธิสั้น) เพิ่มขึ้น 72% และโรค Bipolar เพิ่มขึ้น 57%

ที่น่าเป็นห่วงไม่แพ้กันคือ การเพิ่มขึ้นของพฤติกรรมทำร้ายตัวเองและการฆ่าตัวตายในกลุ่มเยาวชน โดยเฉพาะในเด็กผู้หญิง ที่มีการเข้ารับการรักษาที่ห้องฉุกเฉินด้วยอาการทำร้ายตัวเองเพิ่มขึ้นถึง 188% และอัตราการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น 167% นับตั้งแต่ปี 2010

ส่วนในกลุ่มเด็กผู้ชาย แม้จะมีตัวเลขที่ต่ำกว่า แต่ก็ยังคงน่าเป็นห่วง โดยมีการเข้ารับการรักษาที่ห้องฉุกเฉินด้วยอาการทำร้ายตัวเองเพิ่มขึ้น 48% และอัตราการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น 91%

Haidt ได้วิเคราะห์ว่า การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันนี้เกิดขึ้นพร้อมๆ กับการแพร่หลายของสมาร์ทโฟนในช่วงปลายทศวรรษ 2000 และต้นทศวรรษ 2010

โดยในปี 2016 พบว่าวัยรุ่นถึง 79% เป็นเจ้าของสมาร์ทโฟน รวมถึงเด็กอายุ 8-12 ปี 28% ที่มีสมาร์ทโฟนเป็นของตัวเอง และที่น่าตกใจคือ รายงานของ Pew ในปี 2022 ระบุว่าวัยรุ่นถึง 46% บอกว่าตนเองออนไลน์แทบตลอดเวลา

การเปลี่ยนแปลงนี้ได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อพัฒนาการทางสังคมและอารมณ์ของเด็กและวัยรุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านดังต่อไปนี้:

  1. การขาดปฏิสัมพันธ์ทางสังคมแบบตัวต่อตัว : นับตั้งแต่ปี 2009 เป็นต้นมา เวลาที่เด็กใช้ในการมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนแบบเห็นหน้าค่าตากันได้ลดลงอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่เมื่ออยู่ด้วยกัน พวกเขาก็มักจะถือโทรศัพท์ไว้ในมือ ซึ่งลดคุณภาพของการมีปฏิสัมพันธ์ลง นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ในครอบครัวด้วย โดยการศึกษาหนึ่งพบว่า 62% ของเด็กอายุ 6-12 ปี รายงานว่าพ่อแม่ของพวกเขาเสียสมาธิเมื่อพวกเขาพยายามจะคุยด้วย โดยสาเหตุหลักคือการใช้สมาร์ทโฟน
  2. การอดนอน : การใช้สมาร์ทโฟนในตอนดึกส่งผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพการนอนของเด็กและวัยรุ่น งานวิจัย 36 ชิ้นสรุปว่ามีความสัมพันธ์อย่างชัดเจนระหว่างการใช้สมาร์ทโฟนและการอดนอนในกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งการอดนอนนี้เชื่อมโยงกับระดับภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล และความก้าวร้าวที่พุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ
  3. ขาดโฟกัส : วัยรุ่นเฉลี่ยได้รับการแจ้งเตือนจากสมาร์ทโฟนถึง 11 ครั้งต่อชั่วโมงในขณะที่ตื่นอยู่ โดยผู้ใช้งานแบบหนัก ๆ อาจได้รับการแจ้งเตือนทุกนาทีของทุกชั่วโมงที่ตื่นอยู่ การถูกรบกวนบ่อยๆ เช่นนี้ส่งผลเสียต่อความสามารถในการจดจ่อกับงานและการคิด
  4. การเสพติด : สมาร์ทโฟนและแอปพลิเคชันต่างๆ ถูกออกแบบมาอย่างแยบยลให้สร้างนิสัยและทำให้เสพติดได้ โดยใช้เทคนิคทางพฤติกรรมขั้นสูง เช่น การให้รางวัล (ไลค์หรือความคิดเห็น) เพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้กลับมาใช้งานอย่างต่อเนื่อง เด็กและวัยรุ่นที่มีสมองที่ยืดหยุ่นกว่ามีความเสี่ยงเป็นพิเศษที่จะเสพติดสิ่งเหล่านี้

Haidt ได้เสนอแนะว่า เพื่อแก้ไขปัญหานี้ จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงทั้งในระดับโครงสร้างสังคมและในระดับครอบครัว

ในระดับโครงสร้างสังคมเสนอให้รัฐบาลดำเนินการดังนี้ :

  • ออกกฎหมายที่บังคับให้บริษัทออนไลน์ต้องปฏิบัติต่อผู้ใช้ที่เป็นผู้เยาว์ด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ
  • เพิ่มอายุของผู้ใหญ่ในอินเทอร์เน็ตเป็น 16 ปี

สำหรับบริษัทเทคโนโลยี Haidt เสนอให้พัฒนาวิธีการยืนยันอายุที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและตัวเลือกการควบคุมของผู้ปกครอง (Parental Control) ที่เข้มงวดมากขึ้นสำหรับเนื้อหาดิจิทัลและการใช้อุปกรณ์ ไม่ใช่ปล่อยปะละเลย และมีช่องโหว่เหมือนที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน

ในระดับครอบครัว Haidt แนะนำให้พ่อแม่ดำเนินการดังนี้:

สำหรับเด็กอายุ 0-5 ปี:

  • จำกัดเวลาหน้าจอให้น้อยที่สุด
  • เพิ่มโอกาสในการเล่นของเด็กอย่างอิสระ
  • ส่งเสริมการเล่นกับเด็กคนอื่นๆ ที่มีช่วงอายุหลากหลาย

สำหรับเด็กวัยประถมศึกษา:

  • ส่งเสริมความเป็นอิสระของเด็ก เช่น การเดินไปโรงเรียนหรือร้านค้าในท้องถิ่นด้วยตนเอง
  • จัดสรรเวลาหลังเลิกเรียนสำหรับกิจกรรมเสริมอื่น ๆ
  • จำกัดเวลาหน้าจอไม่เกิน 2 ชั่วโมงต่อวัน
  • ใช้ระบบการควบคุมโดยผู้ปกครอง (Parental Control) และตัวกรองเนื้อหาอย่างเข้มงวดในอุปกรณ์ทุกชิ้นที่บ้าน

สำหรับเด็กก่อนวัยรุ่นและวัยรุ่น:

  • ส่งเสริมการพัฒนาให้เด็กมีความมั่นใจและความเชื่อมั่นในตัวเองผ่านการฝึกฝนด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การให้ฝึกขี่จักรยานหรือการให้ใช้ระบบขนส่งสาธารณะด้วยตนเอง
  • มอบหมายความรับผิดชอบงานบ้านมากขึ้น เช่น การทำอาหาร การทำความสะอาดบ้าน
  • ส่งเสริมการมีส่วนร่วมกับโลกแห่งความเป็นจริงผ่านงานพาร์ทไทม์ หรือ การเข้าค่ายกับเพื่อนๆ

สำหรับเด็กอายุประมาณ 16 ปี:

  • รักษากฎของครอบครัวเกี่ยวกับเวลาในการใช้มือถือ
  • ติดตามสัญญาณของการเสพติดและปัญหาสุขภาพจิตหรืออารมณ์อย่างใกล้ชิด

Haidt เน้นย้ำว่าอย่างน้อยที่สุด ความสามารถที่เด็กได้รับการสนับสนุนให้พัฒนาในโลกแห่งความเป็นจริงควรเทียบเท่าหรือมากกว่าที่พวกเขาได้รับในโลกเสมือน

การสร้างสมดุลนี้จะช่วยบรรเทาผลกระทบที่เป็นอันตรายจากการใช้สมาร์ทโฟนที่มากเกินไปและช่วยให้เด็กๆ เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดีและมีความสุขมากขึ้น

แม้ว่าการใช้เทคโนโลยีจะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตในยุคปัจจุบันที่หลีกเลี่ยงได้ยาก แต่การตระหนักถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นและการหาวิธีสร้างสมดุลระหว่างโลกดิจิทัลและโลกแห่งความเป็นจริงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง พ่อแม่ ผู้ปกครอง และสังคมโดยรวมต้องร่วมมือกันในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาทางอารมณ์และสังคมของเยาวชนอย่างสมดุล

ข้อเสนอแนะจากหนังสือ “The Anxious Generation” ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อสร้างความกลัวหรือปฏิเสธเทคโนโลยีโดยสิ้นเชิง แต่เพื่อกระตุ้นให้เกิดการตระหนักรู้และการคิดอย่างรอบคอบถึงวิธีที่เราใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเด็กและวัยรุ่นที่กำลังอยู่ในช่วงสำคัญของการพัฒนาทางสมองและอารมณ์

ในขณะที่เราไม่สามารถปิดกั้นเยาวชนจากโลกดิจิทัลโดยสิ้นเชิง เราสามารถสอนพวกเขาให้ใช้เทคโนโลยีอย่างชาญฉลาด ส่งเสริมให้พวกเขาตระหนักถึงคุณค่าของการมีปฏิสัมพันธ์ในโลกแห่งความเป็นจริง และสนับสนุนให้พวกเขาพัฒนาทักษะทางสังคมและอารมณ์ที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต

ท้ายที่สุด เราต้องไม่ลืมว่า เทคโนโลยีเป็นเพียงเครื่องมือ การใช้งานอย่างชาญฉลาดสามารถเพิ่มพูนศักยภาพของชีวิตและเปิดโอกาสใหม่ๆ ได้มากมาย แต่การใช้งานอย่างไม่เหมาะสมก็อาจส่งผลเสียได้เช่นกัน ด้วยความเข้าใจ ความระมัดระวัง และการปรับใช้อย่างสมดุล เราสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตที่ดีของเด็ก ทั้งในโลกดิจิทัลและโลกแห่งความเป็นจริงได้อย่างแน่นอน

References :
หนังสือ “The Anxious Generation: How the Great Rewiring of Childhood Is Causing an Epidemic of Mental Illness” โดย Jonathan Haidt

Geek Life EP34 : 20% ที่ใช่ ชีวิตก็เปลี่ยนได้ ทำน้อยแต่ได้เยอะ กับการปฏิวัติชีวิตด้วยกฎพาเรโต

ต้องบอกว่าหลักการหนึ่งที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้คนได้อย่างมหาศาล คือหลักการ 80/20 หรือที่รู้จักกันในชื่อ “กฎพาเรโต” ซึ่งคิดค้นโดย Vilfredo Pareto นักเศรษฐศาสตร์ชาวอิตาเลียนในช่วงปลายศตวรรษที่ 19

แก่นแท้ของหลักการนี้ก็คือ 80% ของผลลัพธ์มาจาก 20% ของสาเหตุ หรือพูดอีกนัยหนึ่งคือ 80% ของสิ่งที่เราต้องการในชีวิตมาจาก 20% ของสิ่งที่เราทำ แนวคิดนี้อาจฟังดูเรียบง่าย แต่เมื่อนำไปประยุกต์ใช้อย่างชาญฉลาด มันสามารถเปลี่ยนแปลงวิธีที่เราจัดการกับเวลา ทรัพยากร และความสัมพันธ์ได้อย่างสิ้นเชิง

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/2ek8srpf

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/42vw2m2k

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/zcKyJNAIrFg

Geek Monday EP244 : จาก ‘ราชา’ สู่ ‘ซากศพ’ เมื่อความสำเร็จทำให้ตาบอด บทเรียนการล่มสลายของ BlackBerry

ในช่วงต้นทศวรรษ 2000 หากคุณเป็นนักธุรกิจ สิ่งหนึ่งที่คุณต้องมีติดตัวคือ BlackBerry สมาร์ทโฟนที่ผลิตโดยบริษัท Research In Motion หรือ RIM ซึ่งโดดเด่นด้วยฟังก์ชันอีเมลและอินเทอร์เน็ต ระบบการเข้ารหัสที่ปลอดภัย และแป้นพิมพ์ที่ให้ความรู้สึกดีเยี่ยมเมื่อใช้งาน

ในช่วงกลางทศวรรษ 2000 มีผู้ใช้ BlackBerry หลายสิบล้านคนทั่วโลก ส่งผลให้ RIM ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดสมาร์ทโฟนอย่างรวดเร็ว

แต่แล้วเรื่องราวความสำเร็จของ BlackBerry ก็พลิกผัน เมื่อ iPhone เปิดตัวในปี 2007 ภายในเวลาเพียง 5 ปี อุปกรณ์ BlackBerry ที่เคยแพร่หลายก็แทบจะหายไปจากตลาด คำถามที่น่าสนใจคือ Apple บริษัทที่ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านสมาร์ทโฟนมาก่อน สามารถเอาชนะ RIM ผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมนี้ได้อย่างไร?

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/37nhkven

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/268w49fn

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/4d2tkf35

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/yyVWXWNyTY0