จากเด็กไร้บ้านสู่เจ้าพ่อแฟชั่นโลก : หนีออกจากบ้านด้วยมือเปล่า สู่แบรนด์หรูระดับโลก เรื่องจริงของ Louis Vuitton

Louis Vuitton เป็นแบรนด์แฟชั่นหรูที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก ซีอีโอของบริษัท Bernard Arnault ยังเป็นมหาเศรษฐีอันดับที่ห้าของโลกด้วยทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 170 พันล้านดอลลาร์ หากมองความสำเร็จของ Louis Vuitton ในปัจจุบัน หลายท่านคงไม่มีวันเดาได้เลยว่าบริษัทนี้ก่อตั้งโดยชายคนหนึ่งที่เคยไร้บ้านในวัยรุ่น ไม่ได้รับการศึกษา และต้องนอนในป่า

Louis Vuitton เป็นเรื่องราวที่แท้จริงของการต่อสู้จากความยากจนสู่ความร่ำรวย แต่บริษัทก็ต้องเผชิญกับการเข้าครอบงำกิจการแบบไม่เป็นมิตร คดีความมากมาย และข้อถกเถียงอื่นๆ อีกมากมาย

นี่คือเรื่องราวอันน่าทึ่งของ Louis Vuitton และวิธีที่ธุรกิจครอบครัวเล็กๆ พัฒนาจนกลายเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ทรงพลังที่สุดในโลก

Louis Vuitton เกิดในปี 1821 และเติบโตมาโดยทำงานในฟาร์มของครอบครัวในฝรั่งเศส ในหมู่บ้านเล็กๆ ชื่อ Anchay ซึ่งอยู่ห่างไกลความเจริญ ที่นั่นไม่มีไฟฟ้าและน้ำประปา พ่อของ Louis ชื่อ Xavier ทำงานเป็นช่างโม่แป้งและชาวนา ส่วนแม่ของเขาชื่อ Corrine ทำหมวกเพื่อหารายได้เสริม

ไม่มีบันทึกใดๆ ที่แสดงว่า Louis เคยได้รับการศึกษา โรงเรียนที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างออกไป 6 ไมล์ และเชื่อกันว่าเขาทำงานเต็มเวลาในฟาร์มของครอบครัวโดยไม่ได้เรียนรู้การอ่านหรือการเขียนเสียด้วยซ้ำ

Louis ต้องทำงานในทุ่งนาทุกวันตั้งแต่เช้าจรดค่ำเพียงเพื่อให้มีอาหารพอเลี้ยงปากท้องครอบครัว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าครอบครัว Vuitton กำลังประสบปัญหาทางการเงิน และ Louis วัยเยาว์เกิดมาในสถานการณ์ที่น่าจะทำให้เขาไม่มีโอกาสที่จะมีอนาคตที่สดใสเลย

แต่แล้วสถานการณ์ก็ยิ่งแย่ลงไปอีก แม่ของ Louis เสียชีวิตตอนเขาอายุเพียง 10 ขวบ พ่อของเขารีบแต่งงานใหม่กับผู้หญิงอีกคน แต่แม่เลี้ยงของ Louis กลับควบคุมและหลอกใช้เขาอย่างมาก เขาทะเลาะกับเธอบ่อยครั้ง ดังนั้นเมื่ออายุเพียง 13 ปี เขาจึงหนีออกจากบ้านโดยมีแผนจะไปปารีส เขาแอบออกจากบ้านในตอนกลางคืนโดยไม่ได้บอกลาใคร

แต่มีปัญหาอยู่อย่างหนึ่ง ปารีสอยู่ห่างออกไป 225 ไมล์ และ Louis ไม่มีทั้งเงินและอาหารติดตัว เขาจึงถูกบังคับให้เดินไปตามถนนดิน ในแต่ละคืนเขาต้องนอนในป่าด้วยท้องที่ว่างเปล่าและมีเพียงเสื้อคลุมคอยให้ความอบอุ่น

ทุกครั้งที่เขาเดินทางมาถึงหมู่บ้านใหม่ เขาจะทำงานเล็กๆ น้อยๆ เพื่อแลกกับอาหารหรือเศษเหรียญ อย่างไรก็ตาม เขาไม่มีเงินเหลือพอที่จะจ่ายค่าที่พัก จึงยังคงต้องนอนในป่าหรือที่ใดก็ตามที่เขาพอจะหาที่พักพิงได้

และจากการได้ทำงานเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ Louis สามารถเรียนรู้ทักษะจากช่างฝีมือและเรียนรู้วิธีการทำงานกับโลหะ หิน ผ้า และไม้ การสั่งสมทักษะต่างๆ เหล่านี้จะเปลี่ยนชีวิตของเขาในภายหลัง แต่ในขณะนั้นการเดินทางช้ามาก ต้องใช้เวลาถึงสามปีกว่าจะถึงปารีส

ไม่นานหลังจากมาถึงปารีส Louis ได้ทำงานเป็นผู้ฝึกงานทำกล่องและบรรจุหีบห่อ ช่างทำกล่องจะทำกล่องขนาดพิเศษตามความต้องการของลูกค้า รวมทั้งบรรจุและเปิดหีบห่อเมื่อลูกค้ากำลังจะเดินทาง

งานนี้ทำให้เขาได้พบปะผู้คนจากชนชั้นสูงที่กำลังมองหากระเป๋าเดินทางที่ทำขึ้นเป็นพิเศษสำหรับการเดินทางของพวกเขา Louis ทำงานที่นี่หลายปี เรียนรู้งานฝีมือและทำงานอย่างหนัก

จนกระทั่งในปี 1851 พระจักรพรรดินีแห่งฝรั่งเศสได้มาเป็นลูกค้าและสังเกตเห็นฝีมือชั้นเลิศของเขา พระองค์จึงแต่งตั้งให้เขาเป็นช่างทำกล่องและบรรจุหีบห่อส่วนพระองค์ สำหรับช่างทำกล่องส่วนใหญ่ นี่คือเกียรติยศสูงสุดที่ใครๆ ก็ใฝ่ฝันในอาชีพของตน

Louis ได้ก้าวจากเด็กวัยรุ่นไร้บ้านที่ไม่มีอะไรติดตัวมาสู่การทำงานที่มีเกียรติท่ามกลางราชวงศ์ นั่นเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ แต่ Louis Vuitton มีวิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นสำหรับอนาคตของเขา

หลังจากแต่งงานเมื่ออายุ 33 ปี Louis ใช้เงินเก็บของเขาเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง และเปิดโรงงานทำกล่องของตัวเองในปารีสเพื่อเริ่มขายผลิตภัณฑ์ของเขาเอง

Louis สังเกตเห็นข้อบกพร่องสำคัญในกระเป๋าเดินทางในยุคนั้น กล่องทั้งหมดทำจากหนังและมีฝาโค้งนูนเพื่อให้น้ำฝนไหลออกจากด้านบนของกระเป๋า ปัญหาสำคัญคือไม่สามารถวางซ้อนกันได้ ดังนั้นคนขนกระเป๋าจึงต้องขนกล่องทีละใบ

Louis เริ่มทดลองใช้วัสดุต่างๆ แทน และพบว่าผ้าใบนั้นเบากว่า ทนทาน และกันน้ำได้ดีกว่า ซึ่งหมายความว่ากระเป๋าเดินทางสามารถมีฝาแบนได้ นี่ทำให้ทุกอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะทำให้สามารถวางซ้อนกันเป็นกองและบรรจุกระเป๋าเดินทางได้หลายใบพร้อมกัน และที่สำคัญยังมีขนาดกะทัดรัดกว่าด้วย การออกแบบกระเป๋าเดินทางใหม่ของ Louis นำมาสู่ยุคของกระเป๋าเดินทางสมัยใหม่

การออกแบบกระเป๋าเดินทางฝาแบนใหม่ของ Louis นำมาสู่ยุคของกระเป๋าเดินทางสมัยใหม่ (CR:CEO Moddle East)
การออกแบบกระเป๋าเดินทางฝาแบนใหม่ของ Louis นำมาสู่ยุคของกระเป๋าเดินทางสมัยใหม่ (CR:CEO Moddle East)

ในจุดนี้ Louis ได้สร้างชื่อเสียงทางวิชาชีพของเขา รวมถึงการติดต่อกับชนชั้นสูง ดังนั้นเมื่อเขาเปิดตัวกระเป๋าเดินทางรุ่นใหม่ มันจึงประสบความสำเร็จอย่างมากในทันที เขายังสร้างแคตตาล็อก Louis Vuitton เพื่อให้ลูกค้าสามารถดูผลิตภัณฑ์ที่มีจำหน่ายและสั่งทำก่อนที่จะส่งไปที่บ้านของพวกเขา

ภายในสองปีหลังจากสร้างกระเป๋าเดินทางใหม่ของเขา ผลิตภัณฑ์ของ Louis Vuitton ได้ถูกมองว่าเป็นเครื่องประดับที่สง่างามและจำเป็นต้องมีในหมู่คนร่ำรวย เพราะมันกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งสถานะ และแบรนด์นี้กลายเป็นที่นิยมมากจนเขาได้รับคำสั่งซื้อจากทั่วโลก เขายังเริ่มได้รับคำสั่งซื้อจากราชวงศ์จากแดนไกลอย่างอียิปต์

ในปี 1859 Louis ทำกำไรได้มากพอที่จะจ้างทีมช่างฝีมือมาช่วยทำตามคำสั่งซื้อ เขาเปิดโรงงานใหม่นอกปารีสโดยจ้างพนักงาน 20 คน

ในช่วงเวลานั้น ผู้คนเริ่มเดินทางด้วยรถไฟและเรือมากขึ้น ทำให้จำนวนลูกค้าที่มีศักยภาพของเขาเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ การเดินทางไม่ได้เป็นงานอดิเรกที่จำกัดอยู่แค่คนรวยอีกต่อไป ผู้คนจากทุกสาขาอาชีพต่างก็ต้องการกระเป๋าเดินทางคุณภาพสูง

ดูเหมือนว่า Louis จะประสบความสำเร็จและมีอนาคตที่สดใสตลอดชีวิตที่เหลือของเขา แต่น่าเสียดายที่ไม่เป็นเช่นนั้น ฝรั่งเศสกำลังเข้าสู่สงคราม และโศกนาฏกรรมกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้งสำหรับ Louis Vuitton

ในปี 1870 เมื่อ Louis อายุ 49 ปี สงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซียก็ปะทุขึ้น Louis ต้องหนีออกจากบ้านและอาศัยอยู่ในที่พักแออัดกับคนอื่นๆ อีกหลายพันคน เสบียงอาหารมีน้อยมาก และเขากลัวว่าจะเอาชีวิตไม่รอด

เมื่อ Louis สามารถกลับไปที่ร้านของเขาได้ในปี 1871 ทุกอย่างถูกทำลาย หน้าต่างแตกกระจาย อุปกรณ์ที่ใช้ในการหากินถูกขโมย และเขาสูญเสียทุกสิ่งที่เขาทำงานหนักเพื่อให้ได้มา

แต่แทนที่จะยอมแพ้ เขาตัดสินใจใช้เงินเก็บของเขาเพื่อสร้างธุรกิจขึ้นมาใหม่ และปฏิญาณกับตัวเองว่าทุกอย่างมันจะต้องดีกว่าเดิม

ด้วยความที่มีผู้คนมากมายพลัดถิ่นจากสงคราม จึงมีร้านค้าว่างให้เช่าในเมืองมากขึ้น Louis Vuitton จึงฉวยโอกาสนี้เปิดร้านใหม่ในทำเลที่มีชนชั้นสูงอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากในปารีส มันเป็นทำเลที่สมบูรณ์แบบเพราะอยู่ติดกับสถานีรถไฟและโรงแรมหรู ทำให้นักเดินทางที่ต้องการกระเป๋าเดินทางใหม่ไม่ต้องไปไกลเพื่อหาร้าน Louis Vuitton

ภายในปี 1872 เขาออกแบบกระเป๋าเดินทางรูปแบบใหม่ที่ทำจากผ้าใบสีเบจลายทาง ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมาก และผู้คนต่างก็ชอบอวดสไตล์ที่มีรูปแบบทันสมัยนี้

แบรนด์อื่นๆ หลายแบรนด์พยายามเลียนแบบสไตล์ของเขา แต่กระเป๋าของเขามีคุณภาพสูงมากจนลูกค้ายังคงชอบกระเป๋า Louis Vuitton ของแท้มากกว่า

ในช่วง 20 ปีต่อมา Louis ยังคงทำงานที่ร้านใหม่ของเขาในปารีสจนกระทั่งเสียชีวิตเมื่ออายุ 70 ปี แต่มรดกของเขายังคงอยู่ต่อผ่านลูกชายของเขา Georges ซึ่งรับช่วงต่อธุรกิจครอบครัว Georges มุ่งมั่นที่จะขยายแบรนด์ไปทั่วโลก และได้มีการเปิดร้านในเมืองใหญ่ ๆ เช่น ในลอนดอน

ณ จุดนี้ กระเป๋าเดินทาง Louis Vuitton เป็นที่นิยมมากจนช่างทำกระเป๋ารายอื่นๆ เริ่มทำของปลอมเลียนแบบ ดังนั้นในปี 1896 Georges Vuitton จึงนำเสนอโลโก้ LV แบบลายเส้นที่เป็นเอกลักษณ์ในปัจจุบันเพื่อให้ยากต่อการลอกเลียนแบบ

LV เป็นอักษรย่อชื่อของบิดาผู้ก่อตั้งแบรนด์ แต่เขายังคิดค้นแม่กุญแจแบบใหม่ที่ปฏิวัติวงการสำหรับหีบเดินทาง ซึ่งทำให้ขโมยไม่สามารถไขมันได้

Georges Vuitton ผู้คิดค้นโลโก้ LV ที่เป็นตำนานมาถึงทุกวันนี้ (CR:esquiremag)
Georges Vuitton ผู้คิดค้นโลโก้ LV ที่เป็นตำนานมาถึงทุกวันนี้ (CR:esquiremag)

ภายในปี 1900 บริษัทมีพนักงาน 100 คน และยังคงเติบโตขึ้นทุกปี พนักงานทุกคนได้รับการฝึกอบรมเป็นเวลานานเพื่อให้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในการทำกระเป๋า

แม้แต่ทุกวันนี้ พนักงาน Louis Vuitton ก็ยังต้องฝึกอบรมเป็นเวลา 18 เดือนถึง 2 ปีก่อนที่จะได้รับความไว้วางใจให้ทำผลิตภัณฑ์ชิ้นหนึ่งด้วยตัวเอง

บริษัทยังเริ่มขยายไปสู่สายผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งหมด เนื่องจากไอคอนด้านแฟชั่นอีกคนหนึ่งคือ Coco Chanel โดยในปี 1925 เธอสั่งทำกระเป๋าถือทรงโดมขนาดเล็ก ในตอนแรกนี่เป็นดีไซน์ที่เธอคิดขึ้นมาเองและทำเฉพาะสำหรับเธอ

อย่างไรก็ตาม ในภายหลังมันก็ถูกผลิตออกมาเป็นจำนวนมากและได้รับการตั้งชื่อว่า Alma กระเป๋ารุ่นนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก ทำให้ Louis Vuitton ตัดสินใจทำกระเป๋าหนังขนาดเล็กเพิ่มขึ้น เช่น Keepall และ Speedy

ก่อนหน้านี้ กระเป๋าถือ Louis Vuitton มักถูกมองว่าไม่สง่างามและใหญ่เทอะทะ แต่บริษัทมีบทบาทสำคัญในการทำให้กระเป๋าถือกลายเป็นแฟชั่นมากขึ้น

Georges Vuitton เสียชีวิตในปี 1936 และบริษัทถูกส่งต่อไปยังลูกชายของเขา Gaston-Louis อย่างไรก็ตาม Gaston-Louis เข้ามาบริหารบริษัทในช่วงเวลาที่ยากลำบากมาก เพราะในอีกไม่กี่ปีต่อมา ฝรั่งเศสก็กำลังเข้าสู่สงครามอีกครั้ง

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 Gaston-Louis ถูกบังคับให้ปิดโรงงาน Louis Vuitton ปารีสที่อยู่ภายใต้การล้อมของศัตรู

วิธีเดียวที่ Gaston-Louis Vuitton จะสามารถช่วยธุรกิจได้คือการร่วมมือกับนาซีเยอรมนี นักเขียนชื่อ Stephanie Bonvicini เขียนหนังสือชื่อ “Louis Vuitton: A French Saga” ระหว่างการวิจัยจดหมายเหตุของบริษัท เธอได้ขอดูบันทึกจากช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งแน่นอนว่าตัวแทนจากบริษัทพยายามหลีกเลี่ยงการแสดงข้อมูลให้เธอได้เห็น

พวกเขาอ้างว่าเอกสารทั้งหมดจากปี 1930 ถึง 1945 ถูกทำลายในเหตุเพลิงไหม้ แต่หลังจากขุดคุ้ยเอกสารทางประวัติศาสตร์อื่นๆ เป็นจำนวนมาก

Stephanie ค้นพบว่า Louis Vuitton สามารถเปิดหน้าร้านหรูหราบนชั้นล่างในโรงแรม Du Parc ตลอดช่วงการปกครองของนาซี เนื่องจากพวกเขาร่วมมือกับนาซี ในขณะที่แบรนด์อื่นๆ อีกหลายแบรนด์ถูกบังคับให้ปิดตัวลงเพราะปฏิเสธที่จะร่วมมือกับนาซี

เห็นได้ชัดว่าบริษัทละอายใจกับประวัติศาสตร์ส่วนนี้ แต่พวกเขาก็จะโต้แย้งว่า Gaston-Louis ทำในสิ่งที่จำเป็นเพื่อให้บริษัทอยู่รอด

นักออกแบบแฟชั่นคนอื่นๆ เช่น Coco Chanel ก็ร่วมมือกับนาซีเช่นกันเพื่อให้แน่ใจว่าธุรกิจของเธอในปารีสจะไม่ถูกทำลาย หากไม่ใช่เพราะการตัดสินใจทำงานร่วมกับศัตรู แบรนด์ของพวกเขาอาจไม่มีอยู่ในปัจจุบัน

Gaston-Louis เสียชีวิตในปี 1970 ลูกเขยของเขา Henry Racamier เข้ามาจัดการแบรนด์ Louis Vuitton แบรนด์ได้เดินทางมาถึงรุ่นที่สี่ แต่ไม่เหมือนบรรพบุรุษของเขา Henry มีประสบการณ์ทางธุรกิจมากมายจากบริษัทที่เขาเคยบริหารมาก่อน ดังนั้นเมื่อเขาเข้ามาดูแล Louis Vuitton เขาจึงสามารถยกระดับแบรนด์ให้สูงขึ้นไปอีก

Henry เริ่มทำการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับแบรนด์ Louis Vuitton เพื่อพัฒนาจากบริษัทครอบครัวไปสู่บริษัทขนาดใหญ่อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

เขาเปลี่ยนโมเดลธุรกิจของ Louis Vuitton จากการขายส่งเป็นการขายปลีก ภายในปี 1978 เขาขยาย Louis Vuitton ไปยังประเทศอื่นๆ อีกมากมาย รวมถึงญี่ปุ่น และในช่วงเวลาหกปี หากคิดตามอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบัน ยอดขายเพิ่มขึ้นจาก 20 ล้านดอลลาร์เป็น 260 ล้านดอลลาร์

ดังนั้นในปี 1984 Henry จึงตัดสินใจนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ และ Louis Vuitton ขายหุ้น 1 ล้านหุ้นในราคาหุ้นละ 63.63 ดอลลาร์

Henry ใช้โมเมนตัมนี้และเงินทุนที่ไหลเข้ามาเปิดร้านค้าเพิ่มขึ้นทั่วโลก ภายในปี 1987 Louis Vuitton มียอดขายถึง 1 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเกินกว่าที่ Louis ผู้ก่อตั้งจะฝันถึงตอนเปิดร้านแรกในปารีส

Henry ยังตัดสินใจว่าบริษัทควรควบรวมกิจการกับ Moët Hennessy ซึ่งเป็นบริษัทเครื่องดื่มหรูที่ผลิตแชมเปญและคอนยัค และร่วมกันก่อตั้งบริษัทใหม่ชื่อ LVMH ซึ่งในทางทฤษฎีแล้ว การรวมตัวกันจะช่วยให้พวกเขาสามารถรวมทรัพยากรและขยายตัวได้เร็วขึ้น

น่าเสียดายที่หลังการควบรวมกิจการ Henry ไม่สามารถเข้ากับได้ดีกับประธานของ Moët Hennessy ดังนั้น Henry จึงขอให้นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ประสบความสำเร็จที่เขารู้จักชื่อ Bernard Arnault เข้ามาช่วยจัดการสถานการณ์นี้ แต่การเชิญเสือร้ายอย่าง Bernard เข้ามาเป็นนักลงทุนกลับส่งผลร้ายแรง

Bernard แอบซื้อหุ้น 43% ของ Louis Vuitton และได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว Moët และ Hennessy เพื่อให้ได้อำนาจมากขึ้นใน LVMH

Henry รู้สึกว่าถูกหักหลังโดยคนที่เขานำเข้ามาช่วย จึงทำการฟ้องร้อง Bernard โดยเรียกร้องว่าเขาไม่ควรมีหุ้นส่วนใหญ่ใน Louis Vuitton อีกต่อไป

แต่ศาลตัดสินเข้าข้าง Bernard ในที่สุด Henry โกรธมากที่ถูกเพื่อนหักหลัง จึงตัดสินใจลาออกจากการทำงานให้ Louis Vuitton อย่างสิ้นเชิง

เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกในรอบเกือบร้อยปีที่ไม่มีใครจากครอบครัว Vuitton เกี่ยวข้องกับแบรนด์อีกต่อไป หลังจากเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการเข้าครอบงำกิจการแบบไม่เป็นมิตรของ Bernard ยอดขายของ Louis Vuitton เริ่มตกต่ำ นักข่าวไม่ได้รายงานข่าวเกี่ยวกับแบรนด์อีกต่อไป และดูเหมือนว่าบริษัทอาจใกล้ถึงจุดจบ

Bernard Arnault ผู้นำพา LVMH ก้าวขึ้นไปสู่อีกระดับ (CR: history.info)
Bernard Arnault ผู้นำพา LVMH ก้าวขึ้นไปสู่อีกระดับ (CR: history.info)

อย่างไรก็ตาม Bernard รู้วิธีที่จะพลิกโชคชะตาของบริษัท Louis Vuitton สามารถกลับมาได้เมื่อเริ่มร่วมมือกับนักออกแบบแฟชั่นหลายคนในช่วงคอลเลกชันครบรอบ 100 ปี ตัวอย่างเช่น Vivienne Westwood และ Isaac Mizrahi ซึ่งได้สร้างสรรค์มุมมองของตัวเองบนโลโก้ LV แบบลายเส้นอันเป็นเอกลักษณ์ พวกเขาสร้างผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้าไม่เคยเห็นมาก่อน และผู้คนต่างโหยหาที่จะได้กระเป๋า Louis Vuitton มาครอบครองอีกครั้ง

ในท้ายที่สุด การลงทุนของ Bernard ใน Louis Vuitton ก็ให้ผลตอบแทนอย่างมหาศาล ปัจจุบันเขาเป็นซีอีโอของ LVMH และในปี 2021 Forbes ประกาศอย่างเป็นทางการว่าเขาเป็นคนที่รวยที่สุดในโลกด้วยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิกว่า 180 พันล้านดอลลาร์

แน่นอนว่าเมื่อราคาหุ้นเปลี่ยนแปลง อันดับคนรวยเหล่านี้ก็เปลี่ยนแปลงไป แต่เขก็อยู่ใน 5 อันดับแรกของคนที่รวยที่สุดในโลกเสมอ

อย่างไรก็ตาม ในบรรดาคนที่ร่ำรวยที่สุดอย่าง Bezos, Musk, Gates, Buffett นั้น Bernard Arnault เป็นคนที่เป็นที่รู้จักน้อยที่สุดอย่างแน่นอน เนื่องจากเขาชอบอยู่นอกแสงสปอตไลท์

สิ่งที่เรารู้ก็คือเขามีชื่อเสียงที่โหดร้ายในวงการธุรกิจจนได้รับฉายาว่า “หมาป่าในเสื้อคลุมผ้าแคชเมียร์ (The Wolf in Cashmere)” นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมปัจจุบัน LVMH จึงมีแบรนด์มากกว่า 70 แบรนด์ภายใต้การควบคุม ผ่านการเข้าซื้อกิจการและควบรวมกิจการทั้งหมดที่ Bernard ทำสำเร็จ

บริษัทเดียวนี้เป็นเจ้าของแบรนด์หรูหลายแบรนด์ที่สุดในโลก และทั้งหมดนี้เริ่มต้นจากวัยรุ่นที่ยากจนและไร้บ้าน

ในโลกสมัยใหม่ Louis Vuitton ยังคงขยายแบรนด์ด้วยสไตล์ใหม่ๆ ที่มีสีสันซึ่งเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่อายุน้อยลง

ในปี 1997 Marc Jacobs ได้เป็นครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ เขาออกแบบไลน์เสื้อผ้าพร้อมสวมใส่ชุดแรกและยังสร้างไลน์กระเป๋าถือ Monogram Vernis ที่ได้รับความนิยมอย่างสูง

Marc Jacobs ยังขยาย LV ไปสู่นาฬิกา เครื่องประดับ และแว่นตากันแดด แม้ว่าในที่สุดเขาจะออกจาก Louis Vuitton และออกแบบเสื้อผ้าและเครื่องประดับในแบรนด์ของตัวเอง

แน่นอนว่าบริษัทไม่ได้ปราศจากปัญหา Louis Vuitton มีทีมทนายความที่คอยค้นหาการละเมิดลิขสิทธิ์ และพวกเขาไม่ลังเลที่จะฟ้องร้องใครก็ตามที่พวกเขาเชื่อว่ากำลังลอกเลียนแบบโลโก้ของแบรนด์

พวกเขาถึงกับฟ้อง Google เกี่ยวกับผลการค้นหาและโฆษณาที่นำผู้คนไปสู่กระเป๋าปลอม อย่างไรก็ตาม Google ชนะคดี โดยโต้แย้งว่าพวกเขาไม่สามารถควบคุมสิ่งที่ผู้ใช้ของพวกเขาใส่ลงในอินเทอร์เน็ตได้

Louis Vuitton ยังได้ร่วมมือกับแบรนด์อย่าง Supreme เพื่อขยายกลุ่มลูกค้าของพวกเขาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่เชื่อไหมว่า Louis Vuitton เคยฟ้อง Supreme ด้วยเช่นกันในข้อหาลอกเลียนโลโก้ของพวกเขา จนกระทั่งพวกเขาตระหนักว่าการร่วมมือกันจะทำกำไรได้มากกว่า

ปัจจุบัน สินค้า Louis Vuitton x Supreme ขายต่อในราคาที่แพงมาก เช่น หีบหนังขายในราคา 125,000 ดอลลาร์ หรือแม้แต่เสื้อฮู้ด LV x Supreme ก็มีราคากว่า 5,000 ดอลลาร์

แน่นอนว่าปัญหาการปลอมแปลงที่ Louis Vuitton เผชิญมาตั้งแต่ยุคแรกๆ ของธุรกิจยังคงเป็นปัญหาสำหรับแบรนด์จนถึงทุกวันนี้

พวกเขาประมาณการว่าทุกปีพวกเขาสูญเสียรายได้หลายร้อยล้านดอลลาร์ให้กับสินค้าปลอมแปลง อย่างไรก็ตาม แม้จะดำเนินธุรกิจมา 168 ปี แบรนด์ของพวกเขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดความร้อนแรงแต่อย่างใด

Louis Vuitton ยังคงเป็นแบรนด์ที่หลายคนใฝ่ฝันที่จะได้สวมใส่ และเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนดังและคนรวย ปัจจุบันพวกเขาเป็นแบรนด์แฟชั่นอันดับหนึ่งของโลก มีมูลค่า 39 พันล้านดอลลาร์ โดยมีร้านค้ามากกว่า 400 แห่ง ในเกือบทุกเมืองใหญ่ทั่วโลก

ท้ายที่สุด เรื่องราวของ Louis Vuitton เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจของการผสมผสานระหว่างศิลปะ การค้า และวัฒนธรรม จากจุดเริ่มต้นที่เรียบง่ายในฐานะช่างทำกระเป๋าเดินทาง สู่การเป็นสัญลักษณ์ของความหรูหราระดับโลก

Louis Vuitton ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์แฟชั่นและวัฒนธรรมการบริโภค การศึกษาเรื่องราวของแบรนด์นี้จึงไม่เพียงแต่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของบริษัทเท่านั้น แต่ยังเป็นภาพสะท้อนของการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมในช่วงกว่าศตวรรษที่ผ่านมา

ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เรื่องราวของ Louis Vuitton จะยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่ฝันถึงความสำเร็จ และเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจสำหรับนักธุรกิจ นักการตลาด และนักประวัติศาสตร์ในอีกหลายปีข้างหน้า จากเด็กชายที่เดินทางด้วยเท้าเปล่าสู่ปารีส สู่แบรนด์ระดับโลกที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ เรื่องราวของ Louis Vuitton จะยังคงเป็นตำนานแห่งความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในโลกของแฟชั่นและธุรกิจต่อไป

References :
https://www.esquiremag.ph/the-good-life/pursuits/8-things-you-didn-t-know-about-the-founder-of-louis-vuitton-a00184-20170705
https://eu.louisvuitton.com/eng-e1/magazine/articles/a-legendary-history
https://en.wikipedia.org/wiki/Louis_Vuitton
https://www.richdiamonds.com/inspiration/the-history-of-louis-vuitton
https://youtu.be/v2OYxD_7uuI?si=NUU1I9G5hJMBez3P
https://www.savoirflair.com/article/louis-vuitton-history/c353baa3-84bd-4e60-ae12-affe813e9453

Geek Life EP32 : สุขภาพดีเริ่มที่เซลล์ เคล็ดลับสุขภาพแบบใหม่ ที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณตลอดกาล

เมื่อพูดถึงสุขภาพ เรามักนึกถึงอาการภายนอกที่เห็นได้ชัด เช่น น้ำหนักตัว หรือความดันโลหิต แต่ถ้าเราลองมองลึกลงไปในระดับเซลล์ เราจะพบว่าสุขภาพที่แท้จริงเริ่มต้นจากภายใน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากพลังงานที่เซลล์ของเราผลิตขึ้น

Dr. Casey Means แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเมแทบอลิซึม ผู้แต่งหนังสือ Best Seller ของ Amazon อยู่ในขณะนี้อย่าง “Good Energy: The Surprising Connection Between Metabolism and Limitless Health” ได้นำเสนอมุมมองใหม่ที่น่าสนใจ เธอเชื่อว่าสาเหตุหลักของโรคเรื้อรังต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความดันโลหิตสูง เบาหวาน หรือแม้แต่มะเร็ง ล้วนมีจุดกำเนิดมาจากการทำงานที่ผิดปกติของพลังงานในเซลล์ของเรา

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/mr25ebab

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/278zrx5m

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/kRCcszNoPiE

ปฏิวัติพลังงานในตัวคุณ : เปลี่ยนวิถีกิน เปลี่ยนชีวิต สูตรลับเพิ่มพลังงานแบบ Dr. Gundry

ในยุคปัจจุบันที่ผู้คนต่างเร่งรีบและแข่งขันกันอย่างหนัก การมีพลังงานที่เพียงพอตลอดทั้งวันกลายเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง แต่หลายคนกลับพบว่าตนเองเหนื่อยล้าและขาดพลังงาน แม้จะพยายามนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์แล้วก็ตาม ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า “Energy Paradox” ซึ่งเป็นชื่อหนังสือของ Dr. Steven Gundry ที่พยายามไขปริศนานี้

หัวใจสำคัญในการทำความเข้าใจ Energy Paradox อยู่ที่ “ไมโตคอนเดรีย” หรือโรงงานผลิตพลังงานภายในเซลล์ของเรา ร่างกายมนุษย์มีเซลล์มากถึง 30 ล้านล้านเซลล์ และเกือบทุกเซลล์ก็มีไมโตคอนเดรียอยู่ภายใน บางเซลล์อย่างเช่นเซลล์กล้ามเนื้อและตับอาจมีไมโตคอนเดรียมากถึง 2,000 ตัวเลยทีเดียว

ไมโตคอนเดรียทำหน้าที่เสมือนโรงงานขนาดจิ๋วที่แปลงสารอาหารให้กลายเป็นพลังงานในรูปของ Adenosine triphosphate (ATP) ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักของร่างกาย ยิ่งไมโตคอนเดรียผลิต ATP ได้มาก เราก็จะยิ่งมีพลังงานมากขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นคำถามสำคัญก็คือ เราจะกินอย่างไรเพื่อให้ไมโตคอนเดรียผลิต ATP ได้มากที่สุด?

จากการศึกษาหนังสือของ Dr. Gundry พบว่ามีคำสำคัญอยู่ 3 คำที่จะช่วยไขปริศนานี้ได้ นั่นคือ postbiotics (โพสต์ไบโอติกส์), monomals (โมโนมีล) และ metabolic flexibility (การมีระบบเผาผลาญที่ยืดหยุ่น)

เริ่มจากคำแรก postbiotics หรือโพสต์ไบโอติกส์ ซึ่งเป็นสารประกอบที่ผลิตโดยแบคทีเรียในลำไส้ของเรา เมื่อแบคทีเรียเหล่านี้ได้รับอาหารที่ชอบ โดยเฉพาะไฟเบอร์ชนิดที่เรียกว่า prebiotic พวกมันจะผลิต postbiotics ซึ่งเป็นสัญญาณกระตุ้นให้ไมโตคอนเดรียผลิต ATP อย่างเต็มที่

Dr. Gundry อธิบายว่า หากไมโตคอนเดรียไม่ได้รับสัญญาณยืนยันจาก postbiotics จากลำไส้ พวกมันจะทำงานอย่างระมัดระวังและลดการผลิตพลังงานลง เปรียบเสมือนเราเห็นไฟเตือนบนหน้าปัดรถ เราก็จะชะลอความเร็วลงเพื่อประหยัดน้ำมัน

โชคดีที่เราสามารถเพิ่มการผลิต postbiotics ได้ไม่ยาก เพียงแค่เพิ่มการบริโภคไฟเบอร์ชนิด prebiotic ให้มากขึ้น

วิธีง่ายๆ ที่ทำได้คือ ให้ใช้ผงจากรากชิโครีแทนน้ำตาลเพื่อแก้อาการอยากหวาน ปรุงอาหารด้วยหัวหอมและกระเทียมให้มากขึ้น เลือกรับประทานบร็อกโคลีหรือดอกกะหล่ำเป็นผักเคียง และเพิ่มมันเทศในเมนูอาหาร

โดยเฉพาะการปรุงและทำให้เย็นก่อนรับประทานจะช่วยเพิ่มปริมาณแป้งต้านทานการย่อยซึ่งเป็นอาหารชั้นดีของแบคทีเรียในลำไส้

คำสำคัญที่สองคือ monomals หรือโมโนมีล ซึ่งหมายถึงมื้ออาหารที่มีสารอาหารหลักเพียงชนิดเดียว ไม่ว่าจะเป็นคาร์โบไฮเดรต โปรตีน หรือไขมัน

แนวคิดนี้มาจากการสังเกตว่าอาหารที่มีสารอาหารเด่นชัดเพียงอย่างเดียว เช่น อาหารคีโต อาหารมังสวิรัติ หรืออาหารที่เน้นเนื้อสัตว์ล้วน มักช่วยให้ผู้คนลดน้ำหนัก รักษาโรคเบาหวาน และฟื้นฟูพลังงานได้ดี

เหตุผลก็คือ การรับประทานอาหารที่มีสารอาหารเด่นชัดเพียงอย่างเดียวจะช่วยให้ไมโตคอนเดรียทำงานได้ง่ายขึ้น เหมือนกับการฝึกคนงานให้ทำงานเดียวซ้ำๆ พวกเขาก็จะเชี่ยวชาญและทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม การยึดติดกับอาหารแบบนี้เป็นเวลานานอาจส่งผลเสียในระยะยาว เพราะเมื่อเปลี่ยนไปรับประทานอาหารที่หลากหลายขึ้น ไมโตคอนเดรียก็จะปรับตัวได้ยาก ทำให้เกิดอาการพลังงานต่ำ น้ำหนักเพิ่ม และภาวะดื้อต่ออินซูลินได้

ทางออกที่ดีคือการทำให้มื้อแรกของทุกวันเป็น monomal เช่น รับประทานไข่ขาวกับเบคอน (เน้นโปรตีน) หรืออะโวคาโดกับน้ำมันมะกอก (เน้นไขมัน) หรือมันเทศทอดกรอบ (เน้นคาร์โบไฮเดรต) วิธีนี้จะช่วยให้ไมโตคอนเดรียเก่งในการเปลี่ยนสารอาหารนั้นให้เป็น ATP ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เรามีพลังงานมากขึ้นหลังมื้ออาหาร

คำสำคัญสุดท้ายคือ metabolic flexibility หรือ การมีระบบเผาผลาญที่ยืดหยุ่น ซึ่งหมายถึงความสามารถของร่างกายในการสลับไปมาระหว่างการเผาผลาญกลูโคสและไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โดยปกติแล้ว ไมโตคอนเดรียจะเลือกใช้กลูโคสเป็นพลังงานหลัก แต่เมื่อไม่ได้รับอาหารเป็นเวลานาน หรือรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนต่ำ ไมโตคอนเดรียก็จะหันไปใช้กรดไขมันแทน ซึ่งจะให้พลังงานมากกว่า โดยการเผาผลาญกรดไขมันจะผลิต ATP ได้ประมาณ 105 หน่วย เทียบกับ 30 หน่วยจากกลูโคส

นอกจากนี้ เมื่อร่างกายเผาผลาญไขมัน ก็จะเริ่มสร้างคีโตนซึ่งสมองสามารถใช้เป็นพลังงานได้ดี ดังนั้น ยิ่งร่างกายสามารถเผาผลาญไขมันได้มากเท่าไหร่ในระหว่างวัน ก็จะยิ่งมีพลังงานมากขึ้นเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม การรับประทานแต่ไขมันเพียงอย่างเดียวเพื่อให้ร่างกายเผาผลาญแต่ไขมันนั้นทำได้ยากและอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาว นอกจากนี้ ยังทำให้แบคทีเรียในลำไส้ขาดไฟเบอร์ที่จำเป็นต่อการทำงาน

Dr. Gundry จึงแนะนำว่าวิธีที่ยั่งยืนที่สุดในการเพิ่มพลังงานคือการมีระบบเผาผลาญที่ยืดหยุ่น สามารถสลับระหว่างการเผาผลาญกลูโคสและกรดไขมันได้อย่างรวดเร็วในแต่ละช่วงของวัน

วิธีที่จะฝึกให้ร่างกายมีระบบเผาผลาญที่ยืดหยุ่นคือการอดอาหารเป็นช่วงๆ (intermittent fasting) โดยเริ่มจากการค่อยๆ ลดช่วงเวลาการรับประทานอาหารลงทีละน้อย เช่น เริ่มจากรับประทานอาหารระหว่าง 8:00 น. ถึง 22:00 น. แล้วค่อยๆ ปรับให้แคบลงจนเหลือช่วง 11:00 น. ถึง 19:00 น. ซึ่งเป็นช่วง 8 ชั่วโมงที่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพมากที่สุด โดยช่วยลดภาวะดื้อต่ออินซูลิน เพิ่มการเผาผลาญไขมัน และเพิ่มความยืดหยุ่นทางเมตาบอลิซึม

เมื่อนำความรู้ทั้งหมดมารวมกัน เราสามารถสร้างแผนการรับประทานอาหารเพื่อเพิ่มพลังงาน ATP ได้ดังนี้:

  1. เริ่มต้นด้วยการเลื่อนมื้อแรกออกไปทีละ 30 นาทีต่อวัน จนกระทั่งเริ่มรับประทานอาหารในช่วงเที่ยง การฝึกแบบนี้จะช่วยให้ไมโตคอนเดรียสามารถสลับจากการใช้กลูโคสเป็นกรดไขมันได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เรามีพลังงาน ATP มากขึ้นตลอดทั้งวัน
  2. เมื่อถึงเวลารับประทานอาหาร ให้เริ่มด้วย monomal หรือมื้อที่มีสารอาหารหลักเพียงชนิดเดียว ไม่ว่าจะเป็นโปรตีน คาร์โบไฮเดรต หรือไขมัน วิธีนี้จะช่วยให้ไมโตคอนเดรียทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดในการแปลงสารอาหารนั้นให้เป็นพลังงาน
  3. สำหรับมื้ออาหารและอาหารว่างที่ตามมา พยายามบริโภคอาหารที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ชนิด prebiotic ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อกระตุ้นการสร้าง postbiotics ซึ่งจะช่วยเพิ่มการผลิต ATP และทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าตลอดทั้งวัน

การปฏิบัติตามแผนการรับประทานอาหารนี้อย่างต่อเนื่องจะช่วยฝึกให้ร่างกายของเรามีระบบเผาผลาญที่ยืดหยุ่นมากขึ้น สามารถสลับไปมาระหว่างการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตและไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะส่งผลให้เรามีพลังงานสม่ำเสมอตลอดทั้งวัน

อย่างไรก็ตาม มีข้อควรระวังบางประการที่ควรคำนึงถึง:

  1. การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการรับประทานอาหารอย่างกะทันหันอาจส่งผลกระทบต่อร่างกายได้ ดังนั้นควรค่อยๆ ปรับเปลี่ยนทีละน้อยและสังเกตการตอบสนองของร่างกาย
  2. การอดอาหารเป็นช่วงๆ อาจไม่เหมาะกับทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด สตรีมีครรภ์ หรือผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการกินอาหาร ควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการก่อนเริ่มโปรแกรมการรับประทานอาหารแบบใหม่
  3. แม้ว่าการรับประทานอาหารที่มีสารอาหารหลักเพียงชนิดเดียว (monomal) จะมีประโยชน์ แต่ในระยะยาวร่างกายยังคงต้องการสารอาหารที่หลากหลายครบถ้วน จึงควรใช้วิธีนี้เฉพาะมื้อแรกของวันเท่านั้น
  4. การเพิ่มปริมาณไฟเบอร์ในอาหารอย่างรวดเร็วอาจทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือท้องเสียได้ ควรค่อยๆ เพิ่มปริมาณไฟเบอร์ทีละน้อยและดื่มน้ำให้เพียงพอ

นอกจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อการผลิตพลังงานของร่างกายที่ไม่ควรมองข้าม เช่น:

  1. การนอนหลับที่เพียงพอและมีคุณภาพ: การนอนหลับเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ร่างกายซ่อมแซมและฟื้นฟูตัวเอง รวมถึงไมโตคอนเดรียด้วย การนอนหลับไม่เพียงพอหรือคุณภาพการนอนไม่ดีจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการผลิตพลังงานของร่างกาย
  2. การออกกำลังกายสม่ำเสมอ: การออกกำลังกายช่วยกระตุ้นการสร้างไมโตคอนเดรียใหม่และเพิ่มประสิทธิภาพของไมโตคอนเดรียที่มีอยู่ โดยเฉพาะการออกกำลังกายแบบ High-Intensity Interval Training (HIIT) ซึ่งมีงานวิจัยรองรับว่าช่วยเพิ่มจำนวนและคุณภาพของไมโตคอนเดรียได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  3. การจัดการความเครียด: ความเครียดเรื้อรังส่งผลเสียต่อการทำงานของไมโตคอนเดรีย การฝึกสมาธิ โยคะ หรือเทคนิคผ่อนคลายความเครียดอื่นๆ จะช่วยลดผลกระทบของความเครียดต่อการผลิตพลังงานของร่างกายได้
  4. การรับแสงแดดอย่างเพียงพอ: แสงแดดช่วยกระตุ้นการทำงานของไมโตคอนเดรียและระบบนาฬิกาชีวภาพของร่างกาย การออกไปรับแสงแดดในช่วงเช้าจะช่วยปรับสมดุลการผลิตพลังงานของร่างกายตลอดทั้งวัน
  5. การหลีกเลี่ยงสารพิษและมลภาวะ: สารพิษและมลภาวะในสิ่งแวดล้อมสามารถทำลายไมโตคอนเดรียได้ การลดการสัมผัสกับสารเคมี มลพิษทางอากาศ และการสูบบุหรี่จะช่วยปกป้องไมโตคอนเดรียและรักษาประสิทธิภาพในการผลิตพลังงานของร่างกาย

สรุป

การไขปริศนาพลังงานไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปสำหรับคนที่มุ่งมั่นจะดูแลสุขภาพของตนเอง การทำความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทของไมโตคอนเดรีย postbiotics จากแบคทีเรียในลำไส้ การรับประทานอาหารแบบ monomal และการพัฒนาระบบเผาผลาญที่ยืดหยุ่น ล้วนเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้เรามีพลังงานเต็มเปี่ยมตลอดทั้งวัน

การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการรับประทานอาหารและวิถีชีวิตตามแนวทางที่ Dr. Gundry แนะนำอาจต้องใช้เวลาและความอดทน แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือการมีสุขภาพที่ดีขึ้น มีพลังงานมากขึ้น และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ซึ่งนับเป็นรางวัลที่คุ้มค่ากับความพยายามอย่างแน่นอน

References :
หนังสือ The Energy Paradox: What to Do When Your Get-Up-and-Go Has Got Up and Gone โดย Dr. Steven R Gundry MD

มาสด้าเดินหน้าส่งเสริมและสานฝันเยาวชนไทยเปิดตัวโครงการ MAZDA U.S. COLLEGE PREP JUNIOR GOLF CHAMPIONSHIP 2024

มาสด้าเปิดตัวโครงการ “MAZDA U.S. COLLEGE PREP JUNIOR GOLF CHAMPIONSHIP 2024” ซึ่งเป็นโครงการชั้นแนวหน้าในระดับสากลที่จัดขึ้นแบบเอ็กซ์คลูซีพให้กับลูกค้าผู้ใช้รถยนต์มาสด้าและครอบครัว

เพื่อเฟ้นหาและผลักดันเยาวชนไทยที่ชื่นชอบในกีฬากอล์ฟ ให้มีโอกาสไปโลดแล่นบนเวทีการแข่งขันระดับโลก ลุ้นรับทุนการศึกษา เพื่อก้าวสู่เส้นทางโปรกอล์ฟมืออาชีพ พร้อมเปิดตัว “MAZDA EXCLUSIVE TOURNAMENT 2024” อีกหนึ่งโครงการที่จัดขึ้นเพื่อมอบเอกสิทธิ์สำหรับมาสด้าแฟมิลี่ในการเข้าร่วมสนุกออกรอบเล่นกอล์ฟ

พร้อมมอบสิทธิประโยชน์มากมายให้กับลูกค้า โดยทั้งสองโครงการจะจัดการแข่งขันขึ้น ในวันที่ 4 ตุลาคม 2567 นี้ ณ สนาม Alpine Golf Club ซึ่งงานแถลงข่าวครั้งนี้ มีเยาวชนทั้งชายและหญิง พันธมิตรผู้สนับสนุนการแข่งขัน ตัวแทนสมาคมกีฬากอล์ฟแห่งประเทศไทย โปรกอล์ฟ และแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง ณ สนาม Alpine Golf Club จังหวัดปทุมธานี

นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า โครงการ MAZDA U.S. COLLEGE PREP JUNIOR GOLF CHAMPIONSHIP 2024 เป็นโครงการที่ถือกำเนิดขึ้นจากแรงบันดาลใจของมาสด้า

ที่ต้องการต่อเติมเสริมความฝันให้กับเยาวชนไทยทั้งชายและหญิงที่ชื่นชอบในกีฬากอล์ฟ มีโอกาสแสดงศักยภาพของตนเองได้อย่างเต็มที่บนสนามแข่งขันชั้นนำระดับโลก พร้อมผลักดันขีดความสามารถให้ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างไม่หยุดยั้ง

พร้อมทั้งริเริ่มโครงการ MAZDA EXCLUSIVE TOURNAMENT 2024 เพื่อมอบสิทธิประโยชน์แบบเอ็กซ์คลูซีฟให้กับลูกค้าครอบครัวมาสด้าได้เข้าร่วมการแข่งขันกอล์ฟทัวร์นาเม้นต์พิเศษ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่มาสด้ามุ่งมั่นตั้งใจจัดขึ้นเพื่อแทนคำขอบคุณลูกค้า ที่เลือกใช้รถยนต์มาสด้าเป็นยานพาหนะคู่ใจไปตลอดการเดินทาง

การส่งเสริมและยกระดับศักยภาพของผู้คน โดยเฉพาะเยาวชนให้มีโอกาสได้ทำในสิ่งที่ตนเองรัก โดยเฉพาะด้านกีฬาคือสิ่งที่มาสด้าให้ความสำคัญตลอดมา มีวัตถุประสงค์เพื่อผลักดันให้เยาวชนที่ต้องการเดินตามความฝัน ได้มีโอกาสแสดงศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่เพื่อก้าวไปสู่การแข่งขันในระดับโลก

และนำเอาความรู้ทักษะที่ได้รับจากการแข่งขันไปฝึกฝนพัฒนาต่อยอดเป็นนักกีฬาอาชีพต่อไปในอนาคต เช่นเดียวกับการริเริ่มโครงการในครั้งนี้ เพื่อผลักดันเยาวชนคนไทยทั้งชายและหญิงที่มีความสามารถ ให้ก้าวไปสู่เส้นทางการเป็นนักกอล์ฟอาชีพที่ทัดเทียมกับนานาชาติ

มาสด้าเล็งเห็นว่าเยาวชนไทยก็มีความสามารถไม่แพ้นักกีฬาจากประเทศอื่น ๆ ดังนั้น ถ้าหากเรามอบโอกาสและพื้นที่ในการแสดงศักยภาพให้กับเยาวชนกลุ่มนี้ ก็จะมีส่วนช่วยผลักดันให้พวกเขาประสบความสำเร็จบนเส้นทางที่เขาเลือกได้ในอนาคต

โครงการ “MAZDA U.S. COLLEGE PREP JUNIOR GOLF CHAMPIONSHIP 2024” เป็นโครงการที่มาสด้าจัดขึ้นร่วมกับพันธมิตร เพื่อมอบสิทธิประโยชน์แบบเอ็กซ์คลูซีฟให้กับมาสด้าแฟมิลี่ที่ชื่นชอบในกีฬากอล์ฟ ได้มีโอกาสเดินตามความฝันและมุ่งสู่การเป็นนักกอล์ฟมืออาชีพ

โดย เปิดรับสมัครเยาวชนจำนวน 39 คน เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา (แบ่งเป็นชาย 25 คน และหญิง 14 คน) เพื่อเข้าร่วมการแข่งขัน “รอบคัดเลือก” เตรียมจัดขึ้นในวันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม 2567 ณ สนาม Alpine Golf Club จังหวัดปทุมธานี

โดยผู้ชนะเลิศและทำผลงานดีที่สุด 16 อันดับแรกของแต่ละประเภท จะได้รับสิทธิ์เข้าสู่การแข่งขันรอบสุดท้ายในโครงการ “MAZDA U.S. COLLEGE PREP JUNIOR GOLF CHAMPIONSHIP 2024” ในเดือนพฤศจิกายน 2567

ที่สำคัญ ในวันแข่งขันจะมีโค้ชจากมหาวิทยาลัยชั้นนำจากสหรัฐอเมริกาเดินทางมาร่วมสังเกตุทักษะฝีมือการเล่นของแต่ละบุคคล ซึ่งเยาวชนที่มีความสามารถโดดเด่นจะมีโอกาสได้รับการเสนอทุนการศึกษา

เพื่อปูทางสู่การเป็นนักกอล์ฟมืออาชีพ นอกจากนั้น นักกอล์ฟจำนวนครึ่งหนึ่งที่เข้าแข่งขันในรอบ CHAMPIONSHIP ที่ทำผลงานได้ดีที่สุดจะได้รับคัดเลือกเพื่อเดินทางไปเข้าร่วมการแข่งขันที่ประเทศสหรัฐอเมริกาต่อไป 

นอกจากจะมอบโอกาสให้เยาวชน ได้มีโอกาสก้าวสู่การเป็นนักกอล์ฟมืออาชีพในระดับโลกแล้ว มาสด้ายังได้เปิดตัวอีกหนึ่งโครงการพิเศษ เพื่อมอบสิทธิพิเศษให้กับมาสด้าแฟมิลี่โดยเฉพาะ

ด้วยการเชิญชวนลูกค้าผู้ใช้รถยนต์มาสด้าและครอบครัว เข้าร่วมสนุกออกรอบเล่นกอล์ฟเป็น  ก๊วน พร้อมร่วมกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ภายใต้โครงการ “MAZDA EXCLUSIVE TOURNAMENT 2024” ซึ่งมาสด้าได้เปิดรับสมัครนักกอล์ฟลูกค้าเจ้าของรถยนต์มาสด้าจำนวน 46 คัน จำนวนนักกอล์ฟ 89 คน เข้าร่วมการแข่งขันในวันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม 2567 ณ สนามกอล์ฟ Alpine Golf Club จังหวัดปทุมธานี

โดยตั้งแต่เปิดรับสมัครไปเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มีลูกค้าผู้ใช้รถยนต์มาสด้าให้ความสนใจเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้มากกว่า 100 คัน และได้มีการประกาศรายชื่อผู้ที่ผ่านการคัดเลือกเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“ทั้งสองโครงการนี้ เกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นตั้งใจจริงของมาสด้าที่ต้องการยกระดับประสบการณ์และสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า เพื่อขอบคุณที่เลือกใช้รถยนต์มาสด้าเป็นพาหนะคู่ใจของทุกคนในครอบครัวไปตลอดการเดินทาง

ซึ่งนอกจากลูกค้าจะได้รับโอกาสเพื่อออกเดินทางตามความฝันในการเป็นนักกอล์ฟอาชีพในระดับสากลแล้ว ยังได้รับความรู้และสัมผัสประสบการณ์ความสนุกจากการเล่นกอล์ฟออกรอบเป็นก๊วนอีกด้วย ซึ่งถือเป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อดูแลลูกค้าและส่งเสริมให้ได้ทำในสิ่งที่ตนเองรัก

โดยมาสด้าให้ความสำคัญกับการเอาใจใส่ดูแลลูกค้ามาเป็นอันดับหนึ่ง ภายใต้ Customer Experience Management (CXM) หรือการจัดการประสบการณ์ลูกค้า เน้นสร้างความพึงพอใจสูงสุดเพื่อสร้างรากฐานให้มั่นคง

รวมถึงมุ่งมั่นสร้างแบรนด์ผ่านกลยุทธ์ Brand Value Management (BVM) หรือ การสร้างมูลค่าของแบรนด์ เพื่อสร้างการเติบโตให้มั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว ซึ่งเป็นสิ่งที่มาสด้าตั้งใจมอบให้กับลูกค้าทุกคน” นายธีร์ กล่าวเพิ่มเติม

ภายในงานฯ มาสด้ายังได้ร่วมมือกับพันธมิตร ประกอบด้วย Adidas, Taylormade, สิงห์ คอร์ปอเรชั่น และ บริษัท AR รวมทั้ง โปรแพรว ภัทราพร ศรีภัทรประสิทธิ์ นักกอล์ฟสาวไทยดีกรีไม่ธรรมดา

เพราะเป็นถึงเจ้าของตำแหน่ง มิสทัวริซึ่ม ไทยแลนด์ 2020 ร่วมกันจัดกิจกรรม Mazda Golf Clinic ให้กับเยาวชนที่มาร่วมงานแถลงข่าวโดยมีโปรกอล์ฟอาชีพเป็นผู้มอบความรู้และสอนทักษะทั้งการไดร์ฟกอล์ฟ และการพัตต์กอล์ฟ พร้อมทั้งมีการจัดกิจกรรมให้คำแนะนำโดย US College ให้กับนักกีฬา

เพื่อให้ข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการ สิทธิประโยชน์สำหรับผู้เข้าแข่งขันและผู้ชนะเลิศในการเข้าสู่การแข่งขัน JWCI (Junior World Cup Invitational 2025) พร้อมทั้งให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการแข่งขัน “MAZDA U.S. COLLEGE PREP JUNIOR GOLF CHAMPIONSHIP 2024” เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการแข่งขันรอบคัดเลือกที่จะถึงในวันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม 2567 นี้

มาสด้าเชื่อมั่นในศักยภาพของคนไทยที่มี Challenger Spirit เฉกเช่นเดียวกับแบรนด์มาสด้า ที่ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคและพร้อมที่จะก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งมาสด้าจะยังคงเดินหน้าส่งมอบคุณค่าที่มากกว่าคุณค่าที่ได้จากรถยนต์ให้กับลูกค้าทุกคน ด้วยการมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดในทุกช่วงเวลา

เพื่อให้มาสด้ากลายเป็นส่วนหนึ่งในทุกประสบการณ์ความสุข และเพื่อแทนคำมั่นสัญญาว่า มาสด้าจะเป็นแบรนด์หนึ่งเดียวที่มอบความสุขและสร้างรอยยิ้มให้กับลูกค้ากับ Joy Drives Lives แทนคำขอบคุณที่ลูกค้าไว้วางใจและเลือกใช้รถมาสด้าให้เป็นรถคู่ใจไปตลอดการเดินทาง

ทั้งนี้ มาสด้ายังคงเดินหน้าตามแผนการดำเนินธุรกิจสู่ความยั่งยืน Retention Business Model ซึ่งเป็นกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจรูปแบบใหม่ แต่เพิ่มเติมเป้าหมายใหม่ที่ท้าทายยิ่งขึ้น

มุ่งสู่การเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งด้าน Customer Retention และเป็นแบรนด์ที่ลูกค้าเลือก คือ Top Retention Brand ให้บริการที่ลูกค้าพึงพอใจ Top Service Retention นำเสนอคุณค่าของแบรนด์ผ่านประสบการณ์และความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้า ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่มาสด้ามุ่งมั่นให้ความสำคัญกับการสร้างมูลค่าแบรนด์ (Brand Value Management) ก้าวสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต

มาสด้ายังคงยึดมั่นแนวทางในการสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งและยั่งยืนในประเทศไทย เพื่อมุ่งสู่การเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในด้าน Customer Retention และ Service Retention เพื่อแทนคำมั่นสัญญาว่ามาสด้าจะเป็นแบรนด์หนึ่งเดียว ที่มอบความสุขและสร้างรอยยิ้มให้กับลูกค้าทุกคน แทนคำขอบคุณที่ลูกค้าไว้วางใจและเลือกใช้รถมาสด้าให้เป็นพาหนะคู่ใจไปตลอดการเดินทาง นับจากวันนี้และตลอดไป