Louis Vuitton เป็นแบรนด์แฟชั่นหรูที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก ซีอีโอของบริษัท Bernard Arnault ยังเป็นมหาเศรษฐีอันดับที่ห้าของโลกด้วยทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 170 พันล้านดอลลาร์ หากมองความสำเร็จของ Louis Vuitton ในปัจจุบัน หลายท่านคงไม่มีวันเดาได้เลยว่าบริษัทนี้ก่อตั้งโดยชายคนหนึ่งที่เคยไร้บ้านในวัยรุ่น ไม่ได้รับการศึกษา และต้องนอนในป่า
Louis Vuitton เป็นเรื่องราวที่แท้จริงของการต่อสู้จากความยากจนสู่ความร่ำรวย แต่บริษัทก็ต้องเผชิญกับการเข้าครอบงำกิจการแบบไม่เป็นมิตร คดีความมากมาย และข้อถกเถียงอื่นๆ อีกมากมาย
นี่คือเรื่องราวอันน่าทึ่งของ Louis Vuitton และวิธีที่ธุรกิจครอบครัวเล็กๆ พัฒนาจนกลายเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ทรงพลังที่สุดในโลก
Louis Vuitton เกิดในปี 1821 และเติบโตมาโดยทำงานในฟาร์มของครอบครัวในฝรั่งเศส ในหมู่บ้านเล็กๆ ชื่อ Anchay ซึ่งอยู่ห่างไกลความเจริญ ที่นั่นไม่มีไฟฟ้าและน้ำประปา พ่อของ Louis ชื่อ Xavier ทำงานเป็นช่างโม่แป้งและชาวนา ส่วนแม่ของเขาชื่อ Corrine ทำหมวกเพื่อหารายได้เสริม
ไม่มีบันทึกใดๆ ที่แสดงว่า Louis เคยได้รับการศึกษา โรงเรียนที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างออกไป 6 ไมล์ และเชื่อกันว่าเขาทำงานเต็มเวลาในฟาร์มของครอบครัวโดยไม่ได้เรียนรู้การอ่านหรือการเขียนเสียด้วยซ้ำ
Louis ต้องทำงานในทุ่งนาทุกวันตั้งแต่เช้าจรดค่ำเพียงเพื่อให้มีอาหารพอเลี้ยงปากท้องครอบครัว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าครอบครัว Vuitton กำลังประสบปัญหาทางการเงิน และ Louis วัยเยาว์เกิดมาในสถานการณ์ที่น่าจะทำให้เขาไม่มีโอกาสที่จะมีอนาคตที่สดใสเลย
แต่แล้วสถานการณ์ก็ยิ่งแย่ลงไปอีก แม่ของ Louis เสียชีวิตตอนเขาอายุเพียง 10 ขวบ พ่อของเขารีบแต่งงานใหม่กับผู้หญิงอีกคน แต่แม่เลี้ยงของ Louis กลับควบคุมและหลอกใช้เขาอย่างมาก เขาทะเลาะกับเธอบ่อยครั้ง ดังนั้นเมื่ออายุเพียง 13 ปี เขาจึงหนีออกจากบ้านโดยมีแผนจะไปปารีส เขาแอบออกจากบ้านในตอนกลางคืนโดยไม่ได้บอกลาใคร
แต่มีปัญหาอยู่อย่างหนึ่ง ปารีสอยู่ห่างออกไป 225 ไมล์ และ Louis ไม่มีทั้งเงินและอาหารติดตัว เขาจึงถูกบังคับให้เดินไปตามถนนดิน ในแต่ละคืนเขาต้องนอนในป่าด้วยท้องที่ว่างเปล่าและมีเพียงเสื้อคลุมคอยให้ความอบอุ่น
ทุกครั้งที่เขาเดินทางมาถึงหมู่บ้านใหม่ เขาจะทำงานเล็กๆ น้อยๆ เพื่อแลกกับอาหารหรือเศษเหรียญ อย่างไรก็ตาม เขาไม่มีเงินเหลือพอที่จะจ่ายค่าที่พัก จึงยังคงต้องนอนในป่าหรือที่ใดก็ตามที่เขาพอจะหาที่พักพิงได้
และจากการได้ทำงานเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ Louis สามารถเรียนรู้ทักษะจากช่างฝีมือและเรียนรู้วิธีการทำงานกับโลหะ หิน ผ้า และไม้ การสั่งสมทักษะต่างๆ เหล่านี้จะเปลี่ยนชีวิตของเขาในภายหลัง แต่ในขณะนั้นการเดินทางช้ามาก ต้องใช้เวลาถึงสามปีกว่าจะถึงปารีส
ไม่นานหลังจากมาถึงปารีส Louis ได้ทำงานเป็นผู้ฝึกงานทำกล่องและบรรจุหีบห่อ ช่างทำกล่องจะทำกล่องขนาดพิเศษตามความต้องการของลูกค้า รวมทั้งบรรจุและเปิดหีบห่อเมื่อลูกค้ากำลังจะเดินทาง
งานนี้ทำให้เขาได้พบปะผู้คนจากชนชั้นสูงที่กำลังมองหากระเป๋าเดินทางที่ทำขึ้นเป็นพิเศษสำหรับการเดินทางของพวกเขา Louis ทำงานที่นี่หลายปี เรียนรู้งานฝีมือและทำงานอย่างหนัก
จนกระทั่งในปี 1851 พระจักรพรรดินีแห่งฝรั่งเศสได้มาเป็นลูกค้าและสังเกตเห็นฝีมือชั้นเลิศของเขา พระองค์จึงแต่งตั้งให้เขาเป็นช่างทำกล่องและบรรจุหีบห่อส่วนพระองค์ สำหรับช่างทำกล่องส่วนใหญ่ นี่คือเกียรติยศสูงสุดที่ใครๆ ก็ใฝ่ฝันในอาชีพของตน
Louis ได้ก้าวจากเด็กวัยรุ่นไร้บ้านที่ไม่มีอะไรติดตัวมาสู่การทำงานที่มีเกียรติท่ามกลางราชวงศ์ นั่นเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ แต่ Louis Vuitton มีวิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นสำหรับอนาคตของเขา
หลังจากแต่งงานเมื่ออายุ 33 ปี Louis ใช้เงินเก็บของเขาเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง และเปิดโรงงานทำกล่องของตัวเองในปารีสเพื่อเริ่มขายผลิตภัณฑ์ของเขาเอง
Louis สังเกตเห็นข้อบกพร่องสำคัญในกระเป๋าเดินทางในยุคนั้น กล่องทั้งหมดทำจากหนังและมีฝาโค้งนูนเพื่อให้น้ำฝนไหลออกจากด้านบนของกระเป๋า ปัญหาสำคัญคือไม่สามารถวางซ้อนกันได้ ดังนั้นคนขนกระเป๋าจึงต้องขนกล่องทีละใบ
Louis เริ่มทดลองใช้วัสดุต่างๆ แทน และพบว่าผ้าใบนั้นเบากว่า ทนทาน และกันน้ำได้ดีกว่า ซึ่งหมายความว่ากระเป๋าเดินทางสามารถมีฝาแบนได้ นี่ทำให้ทุกอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะทำให้สามารถวางซ้อนกันเป็นกองและบรรจุกระเป๋าเดินทางได้หลายใบพร้อมกัน และที่สำคัญยังมีขนาดกะทัดรัดกว่าด้วย การออกแบบกระเป๋าเดินทางใหม่ของ Louis นำมาสู่ยุคของกระเป๋าเดินทางสมัยใหม่
ในจุดนี้ Louis ได้สร้างชื่อเสียงทางวิชาชีพของเขา รวมถึงการติดต่อกับชนชั้นสูง ดังนั้นเมื่อเขาเปิดตัวกระเป๋าเดินทางรุ่นใหม่ มันจึงประสบความสำเร็จอย่างมากในทันที เขายังสร้างแคตตาล็อก Louis Vuitton เพื่อให้ลูกค้าสามารถดูผลิตภัณฑ์ที่มีจำหน่ายและสั่งทำก่อนที่จะส่งไปที่บ้านของพวกเขา
ภายในสองปีหลังจากสร้างกระเป๋าเดินทางใหม่ของเขา ผลิตภัณฑ์ของ Louis Vuitton ได้ถูกมองว่าเป็นเครื่องประดับที่สง่างามและจำเป็นต้องมีในหมู่คนร่ำรวย เพราะมันกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งสถานะ และแบรนด์นี้กลายเป็นที่นิยมมากจนเขาได้รับคำสั่งซื้อจากทั่วโลก เขายังเริ่มได้รับคำสั่งซื้อจากราชวงศ์จากแดนไกลอย่างอียิปต์
ในปี 1859 Louis ทำกำไรได้มากพอที่จะจ้างทีมช่างฝีมือมาช่วยทำตามคำสั่งซื้อ เขาเปิดโรงงานใหม่นอกปารีสโดยจ้างพนักงาน 20 คน
ในช่วงเวลานั้น ผู้คนเริ่มเดินทางด้วยรถไฟและเรือมากขึ้น ทำให้จำนวนลูกค้าที่มีศักยภาพของเขาเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ การเดินทางไม่ได้เป็นงานอดิเรกที่จำกัดอยู่แค่คนรวยอีกต่อไป ผู้คนจากทุกสาขาอาชีพต่างก็ต้องการกระเป๋าเดินทางคุณภาพสูง
ดูเหมือนว่า Louis จะประสบความสำเร็จและมีอนาคตที่สดใสตลอดชีวิตที่เหลือของเขา แต่น่าเสียดายที่ไม่เป็นเช่นนั้น ฝรั่งเศสกำลังเข้าสู่สงคราม และโศกนาฏกรรมกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้งสำหรับ Louis Vuitton
ในปี 1870 เมื่อ Louis อายุ 49 ปี สงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซียก็ปะทุขึ้น Louis ต้องหนีออกจากบ้านและอาศัยอยู่ในที่พักแออัดกับคนอื่นๆ อีกหลายพันคน เสบียงอาหารมีน้อยมาก และเขากลัวว่าจะเอาชีวิตไม่รอด
เมื่อ Louis สามารถกลับไปที่ร้านของเขาได้ในปี 1871 ทุกอย่างถูกทำลาย หน้าต่างแตกกระจาย อุปกรณ์ที่ใช้ในการหากินถูกขโมย และเขาสูญเสียทุกสิ่งที่เขาทำงานหนักเพื่อให้ได้มา
แต่แทนที่จะยอมแพ้ เขาตัดสินใจใช้เงินเก็บของเขาเพื่อสร้างธุรกิจขึ้นมาใหม่ และปฏิญาณกับตัวเองว่าทุกอย่างมันจะต้องดีกว่าเดิม
ด้วยความที่มีผู้คนมากมายพลัดถิ่นจากสงคราม จึงมีร้านค้าว่างให้เช่าในเมืองมากขึ้น Louis Vuitton จึงฉวยโอกาสนี้เปิดร้านใหม่ในทำเลที่มีชนชั้นสูงอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากในปารีส มันเป็นทำเลที่สมบูรณ์แบบเพราะอยู่ติดกับสถานีรถไฟและโรงแรมหรู ทำให้นักเดินทางที่ต้องการกระเป๋าเดินทางใหม่ไม่ต้องไปไกลเพื่อหาร้าน Louis Vuitton
ภายในปี 1872 เขาออกแบบกระเป๋าเดินทางรูปแบบใหม่ที่ทำจากผ้าใบสีเบจลายทาง ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมาก และผู้คนต่างก็ชอบอวดสไตล์ที่มีรูปแบบทันสมัยนี้
แบรนด์อื่นๆ หลายแบรนด์พยายามเลียนแบบสไตล์ของเขา แต่กระเป๋าของเขามีคุณภาพสูงมากจนลูกค้ายังคงชอบกระเป๋า Louis Vuitton ของแท้มากกว่า
ในช่วง 20 ปีต่อมา Louis ยังคงทำงานที่ร้านใหม่ของเขาในปารีสจนกระทั่งเสียชีวิตเมื่ออายุ 70 ปี แต่มรดกของเขายังคงอยู่ต่อผ่านลูกชายของเขา Georges ซึ่งรับช่วงต่อธุรกิจครอบครัว Georges มุ่งมั่นที่จะขยายแบรนด์ไปทั่วโลก และได้มีการเปิดร้านในเมืองใหญ่ ๆ เช่น ในลอนดอน
ณ จุดนี้ กระเป๋าเดินทาง Louis Vuitton เป็นที่นิยมมากจนช่างทำกระเป๋ารายอื่นๆ เริ่มทำของปลอมเลียนแบบ ดังนั้นในปี 1896 Georges Vuitton จึงนำเสนอโลโก้ LV แบบลายเส้นที่เป็นเอกลักษณ์ในปัจจุบันเพื่อให้ยากต่อการลอกเลียนแบบ
LV เป็นอักษรย่อชื่อของบิดาผู้ก่อตั้งแบรนด์ แต่เขายังคิดค้นแม่กุญแจแบบใหม่ที่ปฏิวัติวงการสำหรับหีบเดินทาง ซึ่งทำให้ขโมยไม่สามารถไขมันได้
ภายในปี 1900 บริษัทมีพนักงาน 100 คน และยังคงเติบโตขึ้นทุกปี พนักงานทุกคนได้รับการฝึกอบรมเป็นเวลานานเพื่อให้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในการทำกระเป๋า
แม้แต่ทุกวันนี้ พนักงาน Louis Vuitton ก็ยังต้องฝึกอบรมเป็นเวลา 18 เดือนถึง 2 ปีก่อนที่จะได้รับความไว้วางใจให้ทำผลิตภัณฑ์ชิ้นหนึ่งด้วยตัวเอง
บริษัทยังเริ่มขยายไปสู่สายผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งหมด เนื่องจากไอคอนด้านแฟชั่นอีกคนหนึ่งคือ Coco Chanel โดยในปี 1925 เธอสั่งทำกระเป๋าถือทรงโดมขนาดเล็ก ในตอนแรกนี่เป็นดีไซน์ที่เธอคิดขึ้นมาเองและทำเฉพาะสำหรับเธอ
อย่างไรก็ตาม ในภายหลังมันก็ถูกผลิตออกมาเป็นจำนวนมากและได้รับการตั้งชื่อว่า Alma กระเป๋ารุ่นนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก ทำให้ Louis Vuitton ตัดสินใจทำกระเป๋าหนังขนาดเล็กเพิ่มขึ้น เช่น Keepall และ Speedy
ก่อนหน้านี้ กระเป๋าถือ Louis Vuitton มักถูกมองว่าไม่สง่างามและใหญ่เทอะทะ แต่บริษัทมีบทบาทสำคัญในการทำให้กระเป๋าถือกลายเป็นแฟชั่นมากขึ้น
Georges Vuitton เสียชีวิตในปี 1936 และบริษัทถูกส่งต่อไปยังลูกชายของเขา Gaston-Louis อย่างไรก็ตาม Gaston-Louis เข้ามาบริหารบริษัทในช่วงเวลาที่ยากลำบากมาก เพราะในอีกไม่กี่ปีต่อมา ฝรั่งเศสก็กำลังเข้าสู่สงครามอีกครั้ง
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 Gaston-Louis ถูกบังคับให้ปิดโรงงาน Louis Vuitton ปารีสที่อยู่ภายใต้การล้อมของศัตรู
วิธีเดียวที่ Gaston-Louis Vuitton จะสามารถช่วยธุรกิจได้คือการร่วมมือกับนาซีเยอรมนี นักเขียนชื่อ Stephanie Bonvicini เขียนหนังสือชื่อ “Louis Vuitton: A French Saga” ระหว่างการวิจัยจดหมายเหตุของบริษัท เธอได้ขอดูบันทึกจากช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งแน่นอนว่าตัวแทนจากบริษัทพยายามหลีกเลี่ยงการแสดงข้อมูลให้เธอได้เห็น
พวกเขาอ้างว่าเอกสารทั้งหมดจากปี 1930 ถึง 1945 ถูกทำลายในเหตุเพลิงไหม้ แต่หลังจากขุดคุ้ยเอกสารทางประวัติศาสตร์อื่นๆ เป็นจำนวนมาก
Stephanie ค้นพบว่า Louis Vuitton สามารถเปิดหน้าร้านหรูหราบนชั้นล่างในโรงแรม Du Parc ตลอดช่วงการปกครองของนาซี เนื่องจากพวกเขาร่วมมือกับนาซี ในขณะที่แบรนด์อื่นๆ อีกหลายแบรนด์ถูกบังคับให้ปิดตัวลงเพราะปฏิเสธที่จะร่วมมือกับนาซี
เห็นได้ชัดว่าบริษัทละอายใจกับประวัติศาสตร์ส่วนนี้ แต่พวกเขาก็จะโต้แย้งว่า Gaston-Louis ทำในสิ่งที่จำเป็นเพื่อให้บริษัทอยู่รอด
นักออกแบบแฟชั่นคนอื่นๆ เช่น Coco Chanel ก็ร่วมมือกับนาซีเช่นกันเพื่อให้แน่ใจว่าธุรกิจของเธอในปารีสจะไม่ถูกทำลาย หากไม่ใช่เพราะการตัดสินใจทำงานร่วมกับศัตรู แบรนด์ของพวกเขาอาจไม่มีอยู่ในปัจจุบัน
Gaston-Louis เสียชีวิตในปี 1970 ลูกเขยของเขา Henry Racamier เข้ามาจัดการแบรนด์ Louis Vuitton แบรนด์ได้เดินทางมาถึงรุ่นที่สี่ แต่ไม่เหมือนบรรพบุรุษของเขา Henry มีประสบการณ์ทางธุรกิจมากมายจากบริษัทที่เขาเคยบริหารมาก่อน ดังนั้นเมื่อเขาเข้ามาดูแล Louis Vuitton เขาจึงสามารถยกระดับแบรนด์ให้สูงขึ้นไปอีก
Henry เริ่มทำการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับแบรนด์ Louis Vuitton เพื่อพัฒนาจากบริษัทครอบครัวไปสู่บริษัทขนาดใหญ่อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
เขาเปลี่ยนโมเดลธุรกิจของ Louis Vuitton จากการขายส่งเป็นการขายปลีก ภายในปี 1978 เขาขยาย Louis Vuitton ไปยังประเทศอื่นๆ อีกมากมาย รวมถึงญี่ปุ่น และในช่วงเวลาหกปี หากคิดตามอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบัน ยอดขายเพิ่มขึ้นจาก 20 ล้านดอลลาร์เป็น 260 ล้านดอลลาร์
ดังนั้นในปี 1984 Henry จึงตัดสินใจนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ และ Louis Vuitton ขายหุ้น 1 ล้านหุ้นในราคาหุ้นละ 63.63 ดอลลาร์
Henry ใช้โมเมนตัมนี้และเงินทุนที่ไหลเข้ามาเปิดร้านค้าเพิ่มขึ้นทั่วโลก ภายในปี 1987 Louis Vuitton มียอดขายถึง 1 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเกินกว่าที่ Louis ผู้ก่อตั้งจะฝันถึงตอนเปิดร้านแรกในปารีส
Henry ยังตัดสินใจว่าบริษัทควรควบรวมกิจการกับ Moët Hennessy ซึ่งเป็นบริษัทเครื่องดื่มหรูที่ผลิตแชมเปญและคอนยัค และร่วมกันก่อตั้งบริษัทใหม่ชื่อ LVMH ซึ่งในทางทฤษฎีแล้ว การรวมตัวกันจะช่วยให้พวกเขาสามารถรวมทรัพยากรและขยายตัวได้เร็วขึ้น
น่าเสียดายที่หลังการควบรวมกิจการ Henry ไม่สามารถเข้ากับได้ดีกับประธานของ Moët Hennessy ดังนั้น Henry จึงขอให้นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ประสบความสำเร็จที่เขารู้จักชื่อ Bernard Arnault เข้ามาช่วยจัดการสถานการณ์นี้ แต่การเชิญเสือร้ายอย่าง Bernard เข้ามาเป็นนักลงทุนกลับส่งผลร้ายแรง
Bernard แอบซื้อหุ้น 43% ของ Louis Vuitton และได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว Moët และ Hennessy เพื่อให้ได้อำนาจมากขึ้นใน LVMH
Henry รู้สึกว่าถูกหักหลังโดยคนที่เขานำเข้ามาช่วย จึงทำการฟ้องร้อง Bernard โดยเรียกร้องว่าเขาไม่ควรมีหุ้นส่วนใหญ่ใน Louis Vuitton อีกต่อไป
แต่ศาลตัดสินเข้าข้าง Bernard ในที่สุด Henry โกรธมากที่ถูกเพื่อนหักหลัง จึงตัดสินใจลาออกจากการทำงานให้ Louis Vuitton อย่างสิ้นเชิง
เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกในรอบเกือบร้อยปีที่ไม่มีใครจากครอบครัว Vuitton เกี่ยวข้องกับแบรนด์อีกต่อไป หลังจากเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการเข้าครอบงำกิจการแบบไม่เป็นมิตรของ Bernard ยอดขายของ Louis Vuitton เริ่มตกต่ำ นักข่าวไม่ได้รายงานข่าวเกี่ยวกับแบรนด์อีกต่อไป และดูเหมือนว่าบริษัทอาจใกล้ถึงจุดจบ
อย่างไรก็ตาม Bernard รู้วิธีที่จะพลิกโชคชะตาของบริษัท Louis Vuitton สามารถกลับมาได้เมื่อเริ่มร่วมมือกับนักออกแบบแฟชั่นหลายคนในช่วงคอลเลกชันครบรอบ 100 ปี ตัวอย่างเช่น Vivienne Westwood และ Isaac Mizrahi ซึ่งได้สร้างสรรค์มุมมองของตัวเองบนโลโก้ LV แบบลายเส้นอันเป็นเอกลักษณ์ พวกเขาสร้างผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้าไม่เคยเห็นมาก่อน และผู้คนต่างโหยหาที่จะได้กระเป๋า Louis Vuitton มาครอบครองอีกครั้ง
ในท้ายที่สุด การลงทุนของ Bernard ใน Louis Vuitton ก็ให้ผลตอบแทนอย่างมหาศาล ปัจจุบันเขาเป็นซีอีโอของ LVMH และในปี 2021 Forbes ประกาศอย่างเป็นทางการว่าเขาเป็นคนที่รวยที่สุดในโลกด้วยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิกว่า 180 พันล้านดอลลาร์
แน่นอนว่าเมื่อราคาหุ้นเปลี่ยนแปลง อันดับคนรวยเหล่านี้ก็เปลี่ยนแปลงไป แต่เขก็อยู่ใน 5 อันดับแรกของคนที่รวยที่สุดในโลกเสมอ
อย่างไรก็ตาม ในบรรดาคนที่ร่ำรวยที่สุดอย่าง Bezos, Musk, Gates, Buffett นั้น Bernard Arnault เป็นคนที่เป็นที่รู้จักน้อยที่สุดอย่างแน่นอน เนื่องจากเขาชอบอยู่นอกแสงสปอตไลท์
สิ่งที่เรารู้ก็คือเขามีชื่อเสียงที่โหดร้ายในวงการธุรกิจจนได้รับฉายาว่า “หมาป่าในเสื้อคลุมผ้าแคชเมียร์ (The Wolf in Cashmere)” นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมปัจจุบัน LVMH จึงมีแบรนด์มากกว่า 70 แบรนด์ภายใต้การควบคุม ผ่านการเข้าซื้อกิจการและควบรวมกิจการทั้งหมดที่ Bernard ทำสำเร็จ
บริษัทเดียวนี้เป็นเจ้าของแบรนด์หรูหลายแบรนด์ที่สุดในโลก และทั้งหมดนี้เริ่มต้นจากวัยรุ่นที่ยากจนและไร้บ้าน
ในโลกสมัยใหม่ Louis Vuitton ยังคงขยายแบรนด์ด้วยสไตล์ใหม่ๆ ที่มีสีสันซึ่งเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่อายุน้อยลง
ในปี 1997 Marc Jacobs ได้เป็นครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ เขาออกแบบไลน์เสื้อผ้าพร้อมสวมใส่ชุดแรกและยังสร้างไลน์กระเป๋าถือ Monogram Vernis ที่ได้รับความนิยมอย่างสูง
Marc Jacobs ยังขยาย LV ไปสู่นาฬิกา เครื่องประดับ และแว่นตากันแดด แม้ว่าในที่สุดเขาจะออกจาก Louis Vuitton และออกแบบเสื้อผ้าและเครื่องประดับในแบรนด์ของตัวเอง
แน่นอนว่าบริษัทไม่ได้ปราศจากปัญหา Louis Vuitton มีทีมทนายความที่คอยค้นหาการละเมิดลิขสิทธิ์ และพวกเขาไม่ลังเลที่จะฟ้องร้องใครก็ตามที่พวกเขาเชื่อว่ากำลังลอกเลียนแบบโลโก้ของแบรนด์
พวกเขาถึงกับฟ้อง Google เกี่ยวกับผลการค้นหาและโฆษณาที่นำผู้คนไปสู่กระเป๋าปลอม อย่างไรก็ตาม Google ชนะคดี โดยโต้แย้งว่าพวกเขาไม่สามารถควบคุมสิ่งที่ผู้ใช้ของพวกเขาใส่ลงในอินเทอร์เน็ตได้
Louis Vuitton ยังได้ร่วมมือกับแบรนด์อย่าง Supreme เพื่อขยายกลุ่มลูกค้าของพวกเขาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่เชื่อไหมว่า Louis Vuitton เคยฟ้อง Supreme ด้วยเช่นกันในข้อหาลอกเลียนโลโก้ของพวกเขา จนกระทั่งพวกเขาตระหนักว่าการร่วมมือกันจะทำกำไรได้มากกว่า
ปัจจุบัน สินค้า Louis Vuitton x Supreme ขายต่อในราคาที่แพงมาก เช่น หีบหนังขายในราคา 125,000 ดอลลาร์ หรือแม้แต่เสื้อฮู้ด LV x Supreme ก็มีราคากว่า 5,000 ดอลลาร์
แน่นอนว่าปัญหาการปลอมแปลงที่ Louis Vuitton เผชิญมาตั้งแต่ยุคแรกๆ ของธุรกิจยังคงเป็นปัญหาสำหรับแบรนด์จนถึงทุกวันนี้
พวกเขาประมาณการว่าทุกปีพวกเขาสูญเสียรายได้หลายร้อยล้านดอลลาร์ให้กับสินค้าปลอมแปลง อย่างไรก็ตาม แม้จะดำเนินธุรกิจมา 168 ปี แบรนด์ของพวกเขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดความร้อนแรงแต่อย่างใด
Louis Vuitton ยังคงเป็นแบรนด์ที่หลายคนใฝ่ฝันที่จะได้สวมใส่ และเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนดังและคนรวย ปัจจุบันพวกเขาเป็นแบรนด์แฟชั่นอันดับหนึ่งของโลก มีมูลค่า 39 พันล้านดอลลาร์ โดยมีร้านค้ามากกว่า 400 แห่ง ในเกือบทุกเมืองใหญ่ทั่วโลก
ท้ายที่สุด เรื่องราวของ Louis Vuitton เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจของการผสมผสานระหว่างศิลปะ การค้า และวัฒนธรรม จากจุดเริ่มต้นที่เรียบง่ายในฐานะช่างทำกระเป๋าเดินทาง สู่การเป็นสัญลักษณ์ของความหรูหราระดับโลก
Louis Vuitton ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์แฟชั่นและวัฒนธรรมการบริโภค การศึกษาเรื่องราวของแบรนด์นี้จึงไม่เพียงแต่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของบริษัทเท่านั้น แต่ยังเป็นภาพสะท้อนของการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมในช่วงกว่าศตวรรษที่ผ่านมา
ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เรื่องราวของ Louis Vuitton จะยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่ฝันถึงความสำเร็จ และเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจสำหรับนักธุรกิจ นักการตลาด และนักประวัติศาสตร์ในอีกหลายปีข้างหน้า จากเด็กชายที่เดินทางด้วยเท้าเปล่าสู่ปารีส สู่แบรนด์ระดับโลกที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ เรื่องราวของ Louis Vuitton จะยังคงเป็นตำนานแห่งความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในโลกของแฟชั่นและธุรกิจต่อไป
References :
https://www.esquiremag.ph/the-good-life/pursuits/8-things-you-didn-t-know-about-the-founder-of-louis-vuitton-a00184-20170705
https://eu.louisvuitton.com/eng-e1/magazine/articles/a-legendary-history
https://en.wikipedia.org/wiki/Louis_Vuitton
https://www.richdiamonds.com/inspiration/the-history-of-louis-vuitton
https://youtu.be/v2OYxD_7uuI?si=NUU1I9G5hJMBez3P
https://www.savoirflair.com/article/louis-vuitton-history/c353baa3-84bd-4e60-ae12-affe813e9453