กว่าจะเป็น ‘โจ โลว์’ จากเพื่อนลูกเศรษฐีสู่อาชญากรข้ามชาติ กับคดีทุจริตที่สั่นสะเทือนการเงินโลก

โจ โลว์มีอำนาจในการใช้จ่ายมากกว่าใครบนโลกใบนี้ เขาเป็นหนึ่งในนักต้มตุ๋นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โจ โลว์ขโมยเงินหลายพันล้านดอลลาร์ในคดีทุจริตที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา

เขาได้รู้จักกับ Leonardo DiCaprio และสร้างอาณาจักรฮอลลีวูด พวกเขาสร้างภาพยนตร์เรื่อง “The Wolf of Wall Street” ด้วยเงินที่ถูกขโมยมา และไม่มีใครรู้ความจริงเกี่ยวกับเขา

และนี่คือหนึ่งในผู้ต้องหาที่ถูกต้องการตัวมากที่สุดในโลก หลังจากขโมยเงินประมาณ 4.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในการฉ้อโกงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ที่เขาทำสำเร็จในขณะที่อายุยังไม่ถึง 30 ปี และเงินนั้นไม่ได้ถูกผูกมัดอยู่ในสินทรัพย์ แต่เป็นเงินสดที่พร้อมใช้จ่าย ซึ่งหมายความว่ าโจ โลว์ อาจมีอำนาจในการใช้จ่ายมากกว่าใครก็ตามบนโลกใบนี้

จุดเริ่มต้นของตำนาน

โจ โลว์ เกิดและเติบโตบนเกาะปีนัง ประเทศมาเลเซีย ในครอบครัวที่มีฐานะดี แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะพอใจกับสิ่งที่มี ตั้งแต่เด็ก โจ โลว์ มีความทะเยอทะยานอย่างแรงกล้าที่จะก้าวขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของสังคม

เมื่ออายุ 16 ปี พ่อแม่ส่ง โจ โลว์ ไปเรียนที่โรงเรียนประจำชื่อดังอย่าง Harrow ในอังกฤษ นี่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของเขา ที่นั่น โจโลได้พบปะกับลูกหลานของตระกูลร่ำรวยและมีอิทธิพลจากทั่วโลก เขาตระหนักว่าการสร้างความสัมพันธ์กับคนเหล่านี้อาจเป็นกุญแจสู่อนาคตที่รุ่งโรจน์

แต่ โจ โลว์ รู้ดีว่าเขาไม่ได้ร่ำรวยเท่าเพื่อนร่วมชั้นหลายคน ดังนั้นเขาจึงเริ่มสร้างภาพลักษณ์ว่าตัวเองเป็นเจ้าชายจากมาเลเซีย เขาเชิญเพื่อนๆ มาเที่ยวบ้านในช่วงปิดเทอม และถึงขนาดยืมเรือยอชต์จากเพื่อนของครอบครัวมาแอบอ้างว่าเป็นของตัวเอง โดยเปลี่ยนรูปถ่ายครอบครัวบนเรือเป็นรูปของตัวเอง นี่เป็นก้าวแรกของ โจ โลว์ ในการสร้างตัวตนปลอมเพื่อเข้าถึงวงสังคมชั้นสูง

การสร้างเครือข่าย: บันไดสู่อำนาจ

หลังจบการศึกษาจาก Harrow โจ โลว์ เข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัย Wharton ในสหรัฐอเมริกา ที่นี่ เขายังคงใช้กลยุทธ์เดิมในการสร้างภาพลักษณ์ว่าเป็นคนร่ำรวยและมีอิทธิพล เขาขับรถหรู จัดปาร์ตี้ใหญ่โต และพยายามสร้างความสัมพันธ์กับนักศึกษาที่มาจากครอบครัวร่ำรวยและมีอำนาจ

หนึ่งในความสัมพันธ์สำคัญที่ โจ โลว์ สร้างขึ้นคือกับ Riza Aziz ลูกเลี้ยงของ Najib Razak ซึ่งในเวลานั้นเป็นรองนายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย ความสัมพันธ์นี้จะกลายเป็นกุญแจสำคัญในแผนการของ โจ โลว์ ในอนาคต

 Riza Aziz ลูกเลี้ยงของ Najib Razak ที่เป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญของ โจว์ โล (CR:Wikipedia)
Riza Aziz ลูกเลี้ยงของ Najib Razak ที่เป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญของ โจ โลว์ (CR:Wikipedia)

โจ โลว์ เริ่มต้นอาชีพด้วยการตั้งบริษัทชื่อ The Winton Group โดยอ้างว่าจะเป็นตัวกลางในการทำธุรกรรมระหว่างนักลงทุนตะวันออกกลางกับโครงการในมาเลเซีย แม้จะไม่มีประสบการณ์จริง แต่ โจ โลว์ ก็สามารถสร้างภาพลักษณ์ของความสำเร็จได้ด้วยการเช่าสำนักงานหรูในตึก Petronas Towers อันโด่งดัง

จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ: การก่อตั้ง 1MDB

ในปี 2009 Najib Razak ได้รับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย และ โจ โลว์ เห็นโอกาสทองที่จะก้าวกระโดดสู่อำนาจและความมั่งคั่ง เขาเสนอแนวคิดให้ Najib จัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ ซึ่งจะช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ

แนวคิดนี้นำไปสู่การก่อตั้ง 1Malaysia Development Berhad หรือ 1MDB อย่างเป็นทางการ 1MDB มีวัตถุประสงค์เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศและพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ในมาเลเซีย แต่ โจ โลว์ มีแผนลับที่จะใช้กองทุนนี้เพื่อประโยชน์ส่วนตัวและทางการเมืองของ Najib โดย โจ โลว์ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาของกองทุน แม้จะไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แต่เขามีอำนาจควบคุมการดำเนินงานของ 1MDB อย่างเต็มที่

การหลอกลวงครั้งใหญ่เริ่มต้นขึ้น

ด้วยอำนาจในการควบคุม 1MDB โจ โลว์ เริ่มดำเนินการตามแผนการของเขา เขาใช้กลยุทธ์ที่ซับซ้อนในการโยกย้ายเงินจากกองทุนไปยังบัญชีส่วนตัวและบริษัทบังหน้าต่างๆ หนึ่งในวิธีการที่เขาใช้คือการสร้างข้อตกลงทางธุรกิจที่ดูเหมือนถูกต้องตามกฎหมาย แต่ในความเป็นจริงเป็นเพียงวิธีการในการขโมยเงินจากกองทุน

ตัวอย่างเช่น ในปี 2009 โจ โลว์ จัดการให้ 1MDB ลงทุน 1 พันล้านดอลลาร์ในบริษัทร่วมทุนกับ PetroSaudi ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันของซาอุดีอาระเบีย แต่ในความเป็นจริง เพียง 300 ล้านดอลลาร์เท่านั้นที่ถูกโอนไปยังบริษัทร่วมทุน ส่วนที่เหลือ 700 ล้านดอลลาร์ถูกโอนไปยังบริษัทชื่อ Good Star Limited ซึ่งเป็นบริษัทบังหน้าที่ โจ โลว์ เป็นเจ้าของ

นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการฉ้อโกงครั้งใหญ่ ในช่วงหลายปีต่อมา โจ โลว์ ใช้วิธีการที่คล้ายคลึงกันในการโยกย้ายเงินหลายพันล้านดอลลาร์จาก 1MDB ไปยังบัญชีส่วนตัวและบริษัทบังหน้าของเขา

ชีวิตหรูหราและการสร้างเครือข่ายในฮอลลีวูด

ด้วยเงินมหาศาลที่ได้มาอย่างผิดกฎหมาย โจ โลว์ เริ่มใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือย เขาซื้อบ้านราคาแพง เรือยอชต์ และเครื่องบินส่วนตัว จัดปาร์ตี้สุดอลังการ และสร้างชื่อเสียงในฐานะ “เศรษฐีปริศนาแห่งเอเชีย” ที่ใช้เงินอย่างไม่อั้น

โจ โลว์ ไม่เพียงแต่ใช้เงินเพื่อความสุขส่วนตัวเท่านั้น แต่ยังใช้มันเพื่อสร้างเครือข่ายกับคนดังในฮอลลีวูดด้วย เขาสร้างมิตรภาพกับดาราดังอย่าง Leonardo DiCaprio และ Paris Hilton และยังลงทุนในวงการภาพยนตร์ด้วยการสนับสนุนบริษัทผลิตภาพยนตร์ Red Granite Pictures

หนึ่งในโครงการที่โด่งดังที่สุดที่ โจ โลว์ มีส่วนร่วมคือภาพยนตร์เรื่อง “The Wolf of Wall Street” ซึ่งเขาให้เงินทุนสนับสนุนผ่าน Red Granite Pictures โดยใช้เงินที่ขโมยมาจาก 1MDB แต่สิ่งที่เหลือเชื่อก็คือภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าเรื่องราวของนักต้มตุ๋นในวงการการเงิน ซึ่งไม่ต่างจากตัวของ โจ โลว์ เองเสียด้วยซ้ำ

การพังทลายของอาณาจักรแห่งการหลอกลวง

แม้ว่า โจ โลว์ จะประสบความสำเร็จในการปกปิดการกระทำของเขาเป็นเวลาหลายปี แต่ในที่สุดความจริงก็เริ่มปรากฏ ในปี 2015 สื่อเริ่มรายงานข่าวเกี่ยวกับความผิดปกติในการดำเนินงานของ 1MDB ทำให้เกิดการสอบสวนในระดับนานาชาติ

เมื่อความจริงเริ่มปรากฏ โจ โลว์ ก็ตระหนักว่าเขาต้องหลบหนี เขาหายตัวไปจากสายตาสาธารณชน โดยมีรายงานว่าอาจหลบซ่อนตัวอยู่ในประเทศจีน ในขณะเดียวกัน การสอบสวนเกี่ยวกับ 1MDB ก็ดำเนินต่อไปอย่างเข้มข้น

ผลกระทบต่อมาเลเซียและโลกการเงิน

การล่มสลายของ 1MDB ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อประเทศมาเลเซีย ในปี 2018 Najib Razak พ่ายแพ้ในการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งประวัติศาสตร์ของประเทศ หลังจากนั้นไม่นาน Najib ถูกจับกุมและถูกตัดสินจำคุกในข้อหาทุจริตที่เกี่ยวข้องกับ 1MDB

นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบต่อสถาบันการเงินระดับโลกด้วย Goldman Sachs ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องในการออกพันธบัตรให้กับ 1MDB ถูกสอบสวนและต้องจ่ายค่าปรับมหาศาล ผู้บริหารระดับสูงของธนาคารหลายคนถูกดำเนินคดี รวมถึง Tim Leissner อดีตหัวหน้าฝ่ายเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ Goldman Sachs ซึ่งสารภาพผิดในข้อหาสมคบคิดเพื่อติดสินบนและฟอกเงิน

Tim Leissner อดีตหัวหน้าฝ่ายเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ Goldman Sachs (CR:FMT)
Tim Leissner อดีตหัวหน้าฝ่ายเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ Goldman Sachs (CR:FMT)

บทเรียนและการสะท้อนสังคม

เรื่องราวของ โจ โลว์ และ 1MDB เป็นบทเรียนอันทรงพลังเกี่ยวกับอันตรายของความโลภและการทุจริต มันแสดงให้เห็นว่าแม้แต่สถาบันที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุด เช่น ธนาคารและรัฐบาล ก็สามารถถูกทำลายได้ด้วยการทุจริตคอร์รัปชัน

นอกจากนี้ เรื่องราวของ โจ โลว์ ยังสะท้อนให้เห็นถึงค่านิยมที่ผิดเพี้ยนในสังคมปัจจุบัน ที่มักให้ความสำคัญกับวัตถุนิยมและความร่ำรวยมากเกินไป จนทำให้บางคนยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งความมั่งคั่งและชื่อเสียง โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อผู้อื่นและสังคมโดยรวม

ความรับผิดชอบของสื่อและสังคม

สื่อมวลชนมีบทบาทสำคัญในการเปิดโปงการทุจริตของ 1MDB แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีคำถามว่าทำไมสื่อถึงไม่ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับที่มาของความมั่งคั่งของ โจ โลว์ ตั้งแต่แรก นี่เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับวงการสื่อในการทำหน้าที่ตรวจสอบและรายงานความจริงอย่างเข้มแข็งมากขึ้น

ในขณะเดียวกัน สังคมโดยรวมก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วย การที่ผู้คนยอมรับและชื่นชมความมั่งคั่งโดยไม่ตั้งคำถามถึงที่มา อาจเป็นการส่งเสริมให้เกิดพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องโดยไม่รู้ตัว เราทุกคนควรตระหนักถึงความรับผิดชอบของตนเองในการสร้างสังคมที่มีคุณธรรมและความยุติธรรม

บทส่งท้าย: ชีวิตหลังความล่มสลาย

แม้ว่า โจ โลว์ จะหลบหนีการจับกุมได้ แต่ชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากชายหนุ่มที่เคยเป็นดาวเด่นในวงสังคมชั้นสูงและฮอลลีวูด เขากลายเป็นผู้ต้องหาที่ถูกตามล่าตัวมากที่สุดคนหนึ่งของโลก ต้องใช้ชีวิตในที่ซ่อน ไม่สามารถเดินทางได้อย่างอิสระ และต้องระแวดระวังตัวตลอดเวลา

มีรายงานว่าในช่วงท้ายของเรื่องราวนี้ โจ โลว์ เปลี่ยนจากคนที่เคยดูมีความสุขและมั่นใจ กลายเป็นคนที่หวาดระแวงและวิตกกังวลอย่างมาก แม้ในช่วงที่เขากำลังใช้ชีวิตอย่างหรูหราที่สุด คนใกล้ชิดก็บอกว่าเขาไม่เคยดูมีความสุขอย่างแท้จริง สะท้อนให้เห็นว่าความมั่งคั่งและชื่อเสียงที่ได้มาอย่างไม่ถูกต้องนั้น ไม่สามารถนำมาซึ่งความสุขที่แท้จริงได้

เรื่องราวของ โจ โลว์ เป็นเหมือนนิทานเตือนใจสมัยใหม่ ที่เตือนเราว่าความสำเร็จที่แท้จริงนั้นไม่ได้วัดกันที่จำนวนเงินในบัญชีหรือความหรูหราฟุ่มเฟือย แต่อยู่ที่การใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า และทำประโยชน์ให้กับสังคม

สุดท้ายแล้ว แม้ โจ โลว์ จะหลบหนีการลงโทษตามกฎหมายได้ในขณะนี้ แต่เขาก็ต้องใช้ชีวิตที่เหลือด้วยความหวาดกลัวและความรู้สึกผิด นี่อาจเป็นการลงโทษที่รุนแรงที่สุดสำหรับคนที่เคยมีทุกอย่างแต่กลับต้องสูญเสียทุกสิ่งไปเพราะความโลภและการตัดสินใจที่ผิดพลาดด้วยตัวของเขาเอง

References :
https://en.wikipedia.org/wiki/Jho_Low
https://fortune.com/2022/03/07/jho-low-fugitive-1mdb-financier-biography/
https://en.wikipedia.org/wiki/1Malaysia_Development_Berhad_scandal
https://youtu.be/FHr1WnAn-kU?si=cHrK5BAKljeSy6e9
https://www.economist.com/books-and-arts/2019/09/19/the-story-behind-billion-dollar-whale

Geek Life EP30 : 7 สเต็ปพิชิตหนังสือ จากคนขี้ลืมสู่ปราชญ์แห่งความรู้ กับเทคนิคสุดล้ำจาก Ali Abdaal

หากคุณเป็นสนใจเรื่องการพัฒนาตนเอง การเรียนรู้ตลอดชีวิต และการเป็นนักคิดที่ดีขึ้น คุณจะรู้ว่าการอ่านเป็นส่วนสำคัญของเรื่องเหล่านี้ แต่หลายคนอาจจะประสบพบเจอกับปัญหา เมื่อคุณอาจจะอ่านหนังสือมามากมาย แต่ก็ลืมสิ่งที่อ่านไปแล้วเป็นส่วนใหญ่ และอาจจะยังไม่ได้นำไปประยุกต์ใช้กับชีวิตอย่างที่ต้องการ

เป็นอีกหนึ่งข้อมูลที่น่าสนใจจาก Ali Abdaal อดีตแพทย์ที่ผันตัวมาเป็นยูทูบเบอร์ นักธุรกิจ ผู้จัดรายการพอดแคสต์ และนักเขียน โดยมีผลงานเขียนหนังสือชื่อดังอย่าง Feel-Good Productivity : How to Do More of What Matters to you

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/ezus58k5

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/453bmhzt

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/Cf8tWPGmHo4

ปฏิวัติชีวิตด้วยกิจวัตรยามเช้า : รีบูตร่างกาย รีชาร์จชีวิต ตื่นมาเป็นเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดของตัวเอง ด้วยเคล็ดลับสุดเจ๋งนี้

หลายคนอาจสงสัยว่าจะทำอย่างไรให้มีสมาธิดีขึ้น จำอะไรได้แม่นยำขึ้น หรือมีพละกำลังมากขึ้น คำตอบก็คือเราต้องกลับไปดูที่รากฐานสำคัญ นั่นคือการนอนหลับที่มีคุณภาพ และสิ่งที่เรียกว่า “การพักผ่อนอย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องหลับ (non-sleep deep rest)”

เป็นข้อมูลที่น่าสนใจจาก Dr. Andrew Huberman เป็นนักประสาทวิทยาและศาสตราจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยาประสาทที่คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ที่ได้มาพูดไว้ในรายการพอดแคสต์ของเขา the Huberman Lab Podcast

การนอนหลับเป็นส่วนสำคัญในวงจร 24 ชั่วโมงของร่างกายเรา หากเราไม่ได้นอนอย่างเพียงพอและสม่ำเสมอ ประสิทธิภาพการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นระบบเผาผลาญ ระบบภูมิคุ้มกัน ก็จะลดลงทั้งหมด แต่ก็ไม่ต้องกังวลมากเกินไป เพราะการนอนไม่ดีเพียงคืนเดียวไม่ได้หมายความว่าเราจะทำงานไม่ได้เลย

มีสิ่งที่เราสามารถทำได้เพื่อปรับปรุงคุณภาพการนอน ประการแรก เราต้องเข้าใจว่าทุกเซลล์ในร่างกายของเรามีจังหวะเซอร์เคเดียน (circadian rhythm) หรือนาฬิกาชีวภาพ 24 ชั่วโมงที่ควบคุมโดยยีน

ให้ลองจินตนาการว่าร่างกายของเราเป็นนาฬิกาหลายล้านเรือนที่ต้องปรับให้ตรงกัน นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเมื่อเราเดินทางข้ามประเทศ ระบบย่อยอาหารจึงแปรปรวน หรือเจ็บป่วยได้ง่ายขึ้น เพราะนาฬิกาเหล่านั้นไม่ได้ปรับให้ตรงกัน หรือที่เรียกว่าไม่ได้ “ปรับจังหวะ (entrain)”

สิ่งสำคัญที่สุดที่เราควรทำเพื่อปรับจังหวะนาฬิกาชีวภาพ โดยเฉพาะเพื่อการนอนที่ดี คือพยายามรับแสงธรรมชาติเข้าดวงตาภายในหนึ่งชั่วโมงหลังตื่นนอน

ถ้าเราตื่นก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ให้เปิดไฟสว่างๆ หลายๆ ดวง แล้วออกไปรับแสงแดดทันทีที่พระอาทิตย์ขึ้น แม้วันไหนมีเมฆมาก ก็ยังมีแสงทะลุผ่านเมฆมาได้มากกว่าแสงจากหลอดไฟในบ้านเราเยอะ

ควรพยายามรับแสงแดดโดยไม่ใส่แว่นกันแดดเป็นเวลา 5-10 นาทีในตอนเช้าหลังจากพระอาทิตย์ขึ้นให้ได้ทุกวันหรือเกือบทุกวัน สิ่งนี้มีผลอย่างมากต่อหลายอย่างในร่างกายเรา

ประการแรก มันจะปรับเวลาของสิ่งที่เรียกว่า “cortisol pulse” ทุก 24 ชั่วโมง เราจะได้รับการเพิ่มขึ้นของคอร์ติซอลครั้งใหญ่ ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นที่ดีต่อสุขภาพ มันกำหนดจังหวะอุณหภูมิร่างกาย ระดับความตื่นตัว ระดับสมาธิ และอารมณ์ของเรา ซึ่งเราต้องการให้ cortisol pulse นี้เกิดขึ้นเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในตอนเช้า

อะไรเป็นตัวกระตุ้น cortisol pulse? โดยธรรมชาติแล้ว cortisol pulse ถูกกำหนดโดยโปรแกรมทางพันธุกรรมให้เกิดขึ้นทุก 24 ชั่วโมง แต่แสงจะเป็นตัวยึดมันไว้กับช่วงเวลาที่เราเห็นแสงสว่าง

ลองนึกภาพ cortisol pulse ที่ล่าช้า เช่น เด็กที่ตื่นนอนแล้วใช้เวลาตอนเช้าอยู่บนเตียง หรือเราใช้เวลาตอนเช้าอยู่บนเตียงและเล่นมือถือหรืออยู่ในบ้านทำงานหน้าคอมพิวเตอร์

แสงเหล่านั้นไม่เพียงพอที่จะกระตุ้น cortisol pulse และเมื่อเราออกไปข้างนอกประมาณเที่ยงหรือบ่ายโมง เราจะอยู่ในช่วงที่เรียกว่า “circadian dead zone” ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่แสงที่เข้าตาไม่สามารถกำหนดเวลา cortisol pulse ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นั่นหมายความว่า cortisol pulse จะเกิดขึ้นในช่วงบ่าย ซึ่งส่งผลให้จังหวะอุณหภูมิร่างกายของเราเลื่อนช้าออกไป และนี่เป็นลักษณะที่พบได้ในภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวล รวมถึงความยากลำบากในการนอนหลับ

คนจำนวนมากมักจะตื่นนอนแล้วใช้เวลาอยู่ในบ้าน ใส่แว่นกันแดดขึ้นรถแล้วขับไป หรือเห็นว่าท้องฟ้ามีเมฆมากก็คิดว่าไม่มีแสงแดด แต่จริงๆ แล้ว เราไม่จำเป็นต้องจ้องดวงอาทิตย์โดยตรง

เราไม่ควรจ้องแสงที่สว่างจนอาจทำให้เกิดอันตรายต่อดวงตา แค่รับแสงอ้อม ๆ จากดวงอาทิตย์ก็เพียงพอแล้วที่จะกระตุ้นเซลล์ในดวงตาที่เรียกว่า melanopsin ganglion cells เซลล์ประสาทเหล่านี้จะส่งสัญญาณไปยังไฮโปทาลามัส จากนั้นไฮโปทาลามัสจะปล่อยเปปไทด์ซึ่งเป็นสัญญาณปลุกสมองและร่างกายทั้งหมดของเรา และตั้งเวลาสำหรับการปล่อยเมลาโทนิน 16 ชั่วโมงต่อมา เมลาโทนินเป็นฮอร์โมนที่ทำให้เราง่วงและอยากนอน

ลองจินตนาการดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราไม่ได้รับแสงนั้นจนกระทั่งผ่านไปสองสามชั่วโมง ทุกอย่างจะเลื่อนออกไป และเมื่อเราอยากจะนอน เราก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงยังตื่นตัวมากในเวลา 23:30 หรือเที่ยงคืน และทุกอย่างก็วุ่นวาย

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ การรับแสงแดดยังมีผลต่อฮอร์โมนในร่างกายด้วย มีการศึกษาที่น่าสนใจทำในอิสราเอล พบว่าคนที่ได้รับแสงบนผิวหนัง 20-30 นาที สัปดาห์ละสามครั้ง มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนและเอสโตรเจนทั้งในผู้ชายและผู้หญิง ซึ่งส่งผลให้มีความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าและมีชีวิตชีวามากขึ้น

เหตุผลก็คือ แสงที่เข้าตาและแสงที่ตกกระทบผิวหนัง (ซึ่งเป็นอวัยวะต่อมไร้ท่อ) จะกระตุ้นเส้นทางที่เกี่ยวข้องกับโมเลกุลที่เรียกว่า p53 และเคราติโนไซต์ ซึ่งเป็นเซลล์ผิวหนัง เมื่อรังสี UVB รังสีอัลตราไวโอเลต และแสงสีฟ้าทะลุผ่านผิวหนัง จะกระตุ้นเคราติโนไซต์เหล่านี้ให้ปล่อยโดปามีนในสมองและร่างกาย

ดังนั้นเมื่อเราได้รับแสงในดวงตาและบนผิวหนัง เราจะรู้สึกดีขึ้น มีการเพิ่มขึ้นของเทสโทสเตอโรน อะดรีนาลีน และโดปามีน นี่เป็นเหตุผลที่เรามักรู้สึกดีในช่วงฤดูร้อน และเป็นเหตุผลที่คนในประเทศแถบสแกนดิเนเวียมักมีไข้ในฤดูใบไม้ผลิหลังผ่านพ้นฤดูหนาวอันยาวนาน

ในช่วงฤดูหนาวหรือช่วงที่มีแสงแดดน้อย เราควรพยายามเพิ่มเวลาอยู่กลางแจ้งในตอนเช้าให้มากขึ้น แทนที่จะเป็น 10 นาที ให้เพิ่มเป็น 30 นาที เพื่อชดเชยแสงแดดที่น้อยลง

นอกจากนี้ การจัดการกับคาเฟอีนก็เป็นอีกเรื่องสำคัญที่ส่งผลต่อคุณภาพการนอนและความสดชื่นตลอดวัน เราทุกคนคุ้นเคยกับความรู้สึกง่วงนอนและการหลับ ซึ่งเกิดจากระบบประสาทพาราซิมพาเทติกที่เข้ามาควบคุม

ยิ่งเราตื่นนานเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีการสะสมของสารที่เรียกว่าอะดีโนซีนในสมองและร่างกายมากขึ้นเท่านั้น อะดีโนซีนจะเปิดระบบประสาทพาราซิมพาเทติกและกดระบบประสาทซิมพาเทติก ทำให้เรารู้สึกง่วง เมื่อเรานอนหลับ อะดีโนซีนจะถูกกำจัดออกไป

คาเฟอีนทำงานโดยการปิดกั้นอะดีโนซีน ทำให้เรารู้สึกตื่นตัว แต่มีเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับการดื่มคาเฟอีน ถ้าเราตื่นนอนในตอนเช้าและรู้สึกว่านอนไม่เพียงพอ นั่นหมายความว่าเรายังคงมีการสะสมของอะดีโนซีนในร่างกาย

หากเราดื่มคาเฟอีนทันที มันจะกดการทำงานของอะดีโนซีนและทำให้เราตื่นตัวมากขึ้น แต่เมื่อฤทธิ์ของคาเฟอีนหมดลง อะดีโนซีนจะจับกับตัวด้วยความแรงมากขึ้น ทำให้เรามีอาการหมดแรงในช่วงบ่าย

การปฏิบัติที่เป็นประโยชน์คือการชะลอการดื่มคาเฟอีนออกไป 60 ถึง 90 นาทีหลังตื่นนอน ปล่อยให้อะดีโนซีนถูกกำจัดออกไปตามธรรมชาติ เพราะมันไม่ได้ถูกกำจัดออกเฉพาะในช่วงการนอนหลับเท่านั้น แต่ยังถูกกำจัดออกในสภาวะง่วงๆ ของช่วงเช้าตรู่ด้วย นอกจากนี้ การออกกำลังกายก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยกำจัดอะดีโนซีนได้

ดังนั้น เมื่อเราตื่นนอนในตอนเช้าและรู้สึกง่วงนิดหน่อย อาจคิดว่า “ฉันไม่อยากทำอะไรเลย” แต่ถ้าเราดื่มน้ำให้ร่างกายชุ่มชื้นและออกกำลังกายเบาๆ เราจะสามารถกำจัดอะดีโนซีนออกไปได้

สำหรับคนที่ชอบดื่มกาแฟก่อนหรือระหว่างออกกำลังกาย ก็ไม่ใช่เรื่องผิด แต่สำหรับคนที่มักมีอาการหมดแรงในช่วงบ่าย การลองเลื่อนเวลาดื่มคาเฟอีนออกไปสัก 15 นาทีต่อวัน อาจทำให้เห็นความแตกต่างอย่างมาก

การปรับกิจวัตรยามเช้าให้เหมาะสมไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องอาศัยความเข้าใจและความสม่ำเสมอ เริ่มจากการรับแสงแดดในตอนเช้า ปรับเวลาการดื่มคาเฟอีน และเพิ่มการเคลื่อนไหวร่างกาย สิ่งเหล่านี้จะช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนในร่างกาย ทำให้เรามีพลังงานที่สม่ำเสมอตลอดวัน และนอนหลับได้ดีขึ้นในตอนกลางคืน

นอกจากนี้ การสร้างกิจวัตรเช้าที่ดียังช่วยเพิ่มความมั่นใจและทำให้เรารู้สึกว่าสามารถที่จะควบคุมชีวิตได้ เมื่อเราเริ่มต้นวันด้วยการดูแลตัวเองอย่างดี ทั้งร่างกายและจิตใจ เราจะพร้อมรับมือกับความท้าทายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างวันได้ดีขึ้น

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอาจต้องใช้เวลา แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นคุ้มค่า ลองเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ทีละอย่าง เช่น ตั้งนาฬิกาปลุกให้เร็วขึ้น 15 นาที เพื่อให้มีเวลาออกไปรับแสงแดดตอนเช้า หรือลองเลื่อนเวลาดื่มกาแฟออกไปสักครึ่งชั่วโมง สังเกตการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับร่างกายและจิตใจ แล้วค่อยๆ ปรับเพิ่มจนกลายเป็นกิจวัตรที่เหมาะสมกับตัวเอง

การสร้างกิจวัตรยามเช้าที่ดีไม่เพียงแต่ส่งผลดีต่อวันนั้นๆ เท่านั้น แต่ยังเป็นการลงทุนระยะยาวให้กับสุขภาพและคุณภาพชีวิตของเราด้วย เมื่อเราให้ความสำคัญกับการเริ่มต้นวันอย่างมีคุณภาพ เราก็กำลังสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับความสำเร็จและความสุขในทุกๆ ด้านของชีวิต

ท้ายที่สุด การปรับปรุงกิจวัตรยามเช้าไม่ใช่เรื่องของการทำตามสูตรสำเร็จ แต่เป็นการค้นหาสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเราเอง ผ่านการทดลองและปรับเปลี่ยน จนกว่าจะพบวิธีที่ทำให้เรารู้สึกดีที่สุดและมีประสิทธิภาพมากที่สุด เมื่อเราทำได้ เราจะพบว่าชีวิตของเราไม่เพียงแค่ดีขึ้นในแต่ละวัน แต่ยังดีขึ้นในระยะยาวอีกด้วย

References :
The Optimal Morning Routine – Andrew Huberman
https://youtu.be/gR_f-iwUGY4?si=TJ3A4iXloFxrvVUb