โจ โลว์มีอำนาจในการใช้จ่ายมากกว่าใครบนโลกใบนี้ เขาเป็นหนึ่งในนักต้มตุ๋นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โจ โลว์ขโมยเงินหลายพันล้านดอลลาร์ในคดีทุจริตที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา
เขาได้รู้จักกับ Leonardo DiCaprio และสร้างอาณาจักรฮอลลีวูด พวกเขาสร้างภาพยนตร์เรื่อง “The Wolf of Wall Street” ด้วยเงินที่ถูกขโมยมา และไม่มีใครรู้ความจริงเกี่ยวกับเขา
และนี่คือหนึ่งในผู้ต้องหาที่ถูกต้องการตัวมากที่สุดในโลก หลังจากขโมยเงินประมาณ 4.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในการฉ้อโกงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ที่เขาทำสำเร็จในขณะที่อายุยังไม่ถึง 30 ปี และเงินนั้นไม่ได้ถูกผูกมัดอยู่ในสินทรัพย์ แต่เป็นเงินสดที่พร้อมใช้จ่าย ซึ่งหมายความว่ าโจ โลว์ อาจมีอำนาจในการใช้จ่ายมากกว่าใครก็ตามบนโลกใบนี้
จุดเริ่มต้นของตำนาน
โจ โลว์ เกิดและเติบโตบนเกาะปีนัง ประเทศมาเลเซีย ในครอบครัวที่มีฐานะดี แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะพอใจกับสิ่งที่มี ตั้งแต่เด็ก โจ โลว์ มีความทะเยอทะยานอย่างแรงกล้าที่จะก้าวขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของสังคม
เมื่ออายุ 16 ปี พ่อแม่ส่ง โจ โลว์ ไปเรียนที่โรงเรียนประจำชื่อดังอย่าง Harrow ในอังกฤษ นี่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของเขา ที่นั่น โจโลได้พบปะกับลูกหลานของตระกูลร่ำรวยและมีอิทธิพลจากทั่วโลก เขาตระหนักว่าการสร้างความสัมพันธ์กับคนเหล่านี้อาจเป็นกุญแจสู่อนาคตที่รุ่งโรจน์
แต่ โจ โลว์ รู้ดีว่าเขาไม่ได้ร่ำรวยเท่าเพื่อนร่วมชั้นหลายคน ดังนั้นเขาจึงเริ่มสร้างภาพลักษณ์ว่าตัวเองเป็นเจ้าชายจากมาเลเซีย เขาเชิญเพื่อนๆ มาเที่ยวบ้านในช่วงปิดเทอม และถึงขนาดยืมเรือยอชต์จากเพื่อนของครอบครัวมาแอบอ้างว่าเป็นของตัวเอง โดยเปลี่ยนรูปถ่ายครอบครัวบนเรือเป็นรูปของตัวเอง นี่เป็นก้าวแรกของ โจ โลว์ ในการสร้างตัวตนปลอมเพื่อเข้าถึงวงสังคมชั้นสูง
การสร้างเครือข่าย: บันไดสู่อำนาจ
หลังจบการศึกษาจาก Harrow โจ โลว์ เข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัย Wharton ในสหรัฐอเมริกา ที่นี่ เขายังคงใช้กลยุทธ์เดิมในการสร้างภาพลักษณ์ว่าเป็นคนร่ำรวยและมีอิทธิพล เขาขับรถหรู จัดปาร์ตี้ใหญ่โต และพยายามสร้างความสัมพันธ์กับนักศึกษาที่มาจากครอบครัวร่ำรวยและมีอำนาจ
หนึ่งในความสัมพันธ์สำคัญที่ โจ โลว์ สร้างขึ้นคือกับ Riza Aziz ลูกเลี้ยงของ Najib Razak ซึ่งในเวลานั้นเป็นรองนายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย ความสัมพันธ์นี้จะกลายเป็นกุญแจสำคัญในแผนการของ โจ โลว์ ในอนาคต
โจ โลว์ เริ่มต้นอาชีพด้วยการตั้งบริษัทชื่อ The Winton Group โดยอ้างว่าจะเป็นตัวกลางในการทำธุรกรรมระหว่างนักลงทุนตะวันออกกลางกับโครงการในมาเลเซีย แม้จะไม่มีประสบการณ์จริง แต่ โจ โลว์ ก็สามารถสร้างภาพลักษณ์ของความสำเร็จได้ด้วยการเช่าสำนักงานหรูในตึก Petronas Towers อันโด่งดัง
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ: การก่อตั้ง 1MDB
ในปี 2009 Najib Razak ได้รับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย และ โจ โลว์ เห็นโอกาสทองที่จะก้าวกระโดดสู่อำนาจและความมั่งคั่ง เขาเสนอแนวคิดให้ Najib จัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ ซึ่งจะช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
แนวคิดนี้นำไปสู่การก่อตั้ง 1Malaysia Development Berhad หรือ 1MDB อย่างเป็นทางการ 1MDB มีวัตถุประสงค์เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศและพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ในมาเลเซีย แต่ โจ โลว์ มีแผนลับที่จะใช้กองทุนนี้เพื่อประโยชน์ส่วนตัวและทางการเมืองของ Najib โดย โจ โลว์ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาของกองทุน แม้จะไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แต่เขามีอำนาจควบคุมการดำเนินงานของ 1MDB อย่างเต็มที่
การหลอกลวงครั้งใหญ่เริ่มต้นขึ้น
ด้วยอำนาจในการควบคุม 1MDB โจ โลว์ เริ่มดำเนินการตามแผนการของเขา เขาใช้กลยุทธ์ที่ซับซ้อนในการโยกย้ายเงินจากกองทุนไปยังบัญชีส่วนตัวและบริษัทบังหน้าต่างๆ หนึ่งในวิธีการที่เขาใช้คือการสร้างข้อตกลงทางธุรกิจที่ดูเหมือนถูกต้องตามกฎหมาย แต่ในความเป็นจริงเป็นเพียงวิธีการในการขโมยเงินจากกองทุน
ตัวอย่างเช่น ในปี 2009 โจ โลว์ จัดการให้ 1MDB ลงทุน 1 พันล้านดอลลาร์ในบริษัทร่วมทุนกับ PetroSaudi ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันของซาอุดีอาระเบีย แต่ในความเป็นจริง เพียง 300 ล้านดอลลาร์เท่านั้นที่ถูกโอนไปยังบริษัทร่วมทุน ส่วนที่เหลือ 700 ล้านดอลลาร์ถูกโอนไปยังบริษัทชื่อ Good Star Limited ซึ่งเป็นบริษัทบังหน้าที่ โจ โลว์ เป็นเจ้าของ
นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการฉ้อโกงครั้งใหญ่ ในช่วงหลายปีต่อมา โจ โลว์ ใช้วิธีการที่คล้ายคลึงกันในการโยกย้ายเงินหลายพันล้านดอลลาร์จาก 1MDB ไปยังบัญชีส่วนตัวและบริษัทบังหน้าของเขา
ชีวิตหรูหราและการสร้างเครือข่ายในฮอลลีวูด
ด้วยเงินมหาศาลที่ได้มาอย่างผิดกฎหมาย โจ โลว์ เริ่มใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือย เขาซื้อบ้านราคาแพง เรือยอชต์ และเครื่องบินส่วนตัว จัดปาร์ตี้สุดอลังการ และสร้างชื่อเสียงในฐานะ “เศรษฐีปริศนาแห่งเอเชีย” ที่ใช้เงินอย่างไม่อั้น
โจ โลว์ ไม่เพียงแต่ใช้เงินเพื่อความสุขส่วนตัวเท่านั้น แต่ยังใช้มันเพื่อสร้างเครือข่ายกับคนดังในฮอลลีวูดด้วย เขาสร้างมิตรภาพกับดาราดังอย่าง Leonardo DiCaprio และ Paris Hilton และยังลงทุนในวงการภาพยนตร์ด้วยการสนับสนุนบริษัทผลิตภาพยนตร์ Red Granite Pictures
หนึ่งในโครงการที่โด่งดังที่สุดที่ โจ โลว์ มีส่วนร่วมคือภาพยนตร์เรื่อง “The Wolf of Wall Street” ซึ่งเขาให้เงินทุนสนับสนุนผ่าน Red Granite Pictures โดยใช้เงินที่ขโมยมาจาก 1MDB แต่สิ่งที่เหลือเชื่อก็คือภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าเรื่องราวของนักต้มตุ๋นในวงการการเงิน ซึ่งไม่ต่างจากตัวของ โจ โลว์ เองเสียด้วยซ้ำ
การพังทลายของอาณาจักรแห่งการหลอกลวง
แม้ว่า โจ โลว์ จะประสบความสำเร็จในการปกปิดการกระทำของเขาเป็นเวลาหลายปี แต่ในที่สุดความจริงก็เริ่มปรากฏ ในปี 2015 สื่อเริ่มรายงานข่าวเกี่ยวกับความผิดปกติในการดำเนินงานของ 1MDB ทำให้เกิดการสอบสวนในระดับนานาชาติ
เมื่อความจริงเริ่มปรากฏ โจ โลว์ ก็ตระหนักว่าเขาต้องหลบหนี เขาหายตัวไปจากสายตาสาธารณชน โดยมีรายงานว่าอาจหลบซ่อนตัวอยู่ในประเทศจีน ในขณะเดียวกัน การสอบสวนเกี่ยวกับ 1MDB ก็ดำเนินต่อไปอย่างเข้มข้น
ผลกระทบต่อมาเลเซียและโลกการเงิน
การล่มสลายของ 1MDB ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อประเทศมาเลเซีย ในปี 2018 Najib Razak พ่ายแพ้ในการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งประวัติศาสตร์ของประเทศ หลังจากนั้นไม่นาน Najib ถูกจับกุมและถูกตัดสินจำคุกในข้อหาทุจริตที่เกี่ยวข้องกับ 1MDB
นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบต่อสถาบันการเงินระดับโลกด้วย Goldman Sachs ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องในการออกพันธบัตรให้กับ 1MDB ถูกสอบสวนและต้องจ่ายค่าปรับมหาศาล ผู้บริหารระดับสูงของธนาคารหลายคนถูกดำเนินคดี รวมถึง Tim Leissner อดีตหัวหน้าฝ่ายเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ Goldman Sachs ซึ่งสารภาพผิดในข้อหาสมคบคิดเพื่อติดสินบนและฟอกเงิน
บทเรียนและการสะท้อนสังคม
เรื่องราวของ โจ โลว์ และ 1MDB เป็นบทเรียนอันทรงพลังเกี่ยวกับอันตรายของความโลภและการทุจริต มันแสดงให้เห็นว่าแม้แต่สถาบันที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุด เช่น ธนาคารและรัฐบาล ก็สามารถถูกทำลายได้ด้วยการทุจริตคอร์รัปชัน
นอกจากนี้ เรื่องราวของ โจ โลว์ ยังสะท้อนให้เห็นถึงค่านิยมที่ผิดเพี้ยนในสังคมปัจจุบัน ที่มักให้ความสำคัญกับวัตถุนิยมและความร่ำรวยมากเกินไป จนทำให้บางคนยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งความมั่งคั่งและชื่อเสียง โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อผู้อื่นและสังคมโดยรวม
ความรับผิดชอบของสื่อและสังคม
สื่อมวลชนมีบทบาทสำคัญในการเปิดโปงการทุจริตของ 1MDB แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีคำถามว่าทำไมสื่อถึงไม่ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับที่มาของความมั่งคั่งของ โจ โลว์ ตั้งแต่แรก นี่เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับวงการสื่อในการทำหน้าที่ตรวจสอบและรายงานความจริงอย่างเข้มแข็งมากขึ้น
ในขณะเดียวกัน สังคมโดยรวมก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วย การที่ผู้คนยอมรับและชื่นชมความมั่งคั่งโดยไม่ตั้งคำถามถึงที่มา อาจเป็นการส่งเสริมให้เกิดพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องโดยไม่รู้ตัว เราทุกคนควรตระหนักถึงความรับผิดชอบของตนเองในการสร้างสังคมที่มีคุณธรรมและความยุติธรรม
บทส่งท้าย: ชีวิตหลังความล่มสลาย
แม้ว่า โจ โลว์ จะหลบหนีการจับกุมได้ แต่ชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากชายหนุ่มที่เคยเป็นดาวเด่นในวงสังคมชั้นสูงและฮอลลีวูด เขากลายเป็นผู้ต้องหาที่ถูกตามล่าตัวมากที่สุดคนหนึ่งของโลก ต้องใช้ชีวิตในที่ซ่อน ไม่สามารถเดินทางได้อย่างอิสระ และต้องระแวดระวังตัวตลอดเวลา
มีรายงานว่าในช่วงท้ายของเรื่องราวนี้ โจ โลว์ เปลี่ยนจากคนที่เคยดูมีความสุขและมั่นใจ กลายเป็นคนที่หวาดระแวงและวิตกกังวลอย่างมาก แม้ในช่วงที่เขากำลังใช้ชีวิตอย่างหรูหราที่สุด คนใกล้ชิดก็บอกว่าเขาไม่เคยดูมีความสุขอย่างแท้จริง สะท้อนให้เห็นว่าความมั่งคั่งและชื่อเสียงที่ได้มาอย่างไม่ถูกต้องนั้น ไม่สามารถนำมาซึ่งความสุขที่แท้จริงได้
เรื่องราวของ โจ โลว์ เป็นเหมือนนิทานเตือนใจสมัยใหม่ ที่เตือนเราว่าความสำเร็จที่แท้จริงนั้นไม่ได้วัดกันที่จำนวนเงินในบัญชีหรือความหรูหราฟุ่มเฟือย แต่อยู่ที่การใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า และทำประโยชน์ให้กับสังคม
สุดท้ายแล้ว แม้ โจ โลว์ จะหลบหนีการลงโทษตามกฎหมายได้ในขณะนี้ แต่เขาก็ต้องใช้ชีวิตที่เหลือด้วยความหวาดกลัวและความรู้สึกผิด นี่อาจเป็นการลงโทษที่รุนแรงที่สุดสำหรับคนที่เคยมีทุกอย่างแต่กลับต้องสูญเสียทุกสิ่งไปเพราะความโลภและการตัดสินใจที่ผิดพลาดด้วยตัวของเขาเอง
References :
https://en.wikipedia.org/wiki/Jho_Low
https://fortune.com/2022/03/07/jho-low-fugitive-1mdb-financier-biography/
https://en.wikipedia.org/wiki/1Malaysia_Development_Berhad_scandal
https://youtu.be/FHr1WnAn-kU?si=cHrK5BAKljeSy6e9
https://www.economist.com/books-and-arts/2019/09/19/the-story-behind-billion-dollar-whale