เมื่อเผชิญกับความท้าทายหรือปัญหา คนส่วนใหญ่มักจะหาวิธีโทษผู้อื่นก่อนเสมอ Michael Timms ผู้เชี่ยวชาญด้านความเป็นผู้นำได้มาแชร์ข้อมูลที่น่าสนใจบนเวที Ted Talks โดย Timms ชี้ให้เห็นว่าเหตุใดสัญชาตญาณแบบนี้จึงส่งผลเสีย โดยเน้นย้ำถึงลักษณะนิสัย 3 ประการในการรับผิดชอบต่อตนเอง ซึ่งจะช่วยให้คุณและผู้อื่นสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่บ้านหรือที่ทำงาน
หลาย ๆ ท่านที่เป็นพ่อแม่คงเคยประสบปัญหาในการพาลูกๆ ออกจากบ้านให้ทันเวลา สิ่งเหล่านี้มันเป็นเรื่องที่ท้าทาย ไม่ต่างจากที่เราต้องพยายามต้อนแมวนับสิบตัวให้เข้าไปอยู่ในกรงเดียวกัน ซึ่งตัวของ Timms เองก็เคยตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้มาก่อน
ครอบครัวของ Timms มีลูกสาวสามคน และทุกเช้าเขาต้องพยายามอย่างหนักเพื่อให้ทุกคนพร้อมออกจากบ้านตรงเวลา แม้ว่าตัวของ Timms และภรรยาจะเริ่มเตือนลูก ๆ ล่วงหน้าเป็นชั่วโมง แต่ดูเหมือนว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรเลย สุดท้ายพวกเขาก็ยังคงออกจากบ้านสายอยู่ดี
จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อ Timms มีนัดสำคัญที่ต้องไปให้ทัน เขาพบว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่วุ่นวายอย่างที่สุด เพียงห้านาทีก่อนถึงเวลาที่ต้องออกจากบ้าน ลูกสาวคนโตยังคงอ่านหนังสืออยู่ที่ระเบียง ลูกสาวคนกลางกำลังเพลิดเพลินกับการเล่นเปียโน และลูกสาวคนเล็กยังไม่ได้ใส่ถุงเท้าด้วยซ้ำ
ด้วยความร้อนรน Timms ตะโกนบอกพวกเธอว่า “หยุดอ่านหนังสือ หยุดเล่นเปียโน ใส่ถุงเท้า แล้วทุกคนไปขึ้นรถ!” แต่ห้านาทีผ่านไป ก็ยังไม่มีใครอยู่ในรถสักคน ทำให้ Timms รู้สึกหงุดหงิดมาก และกำลังจะระเบิดอารมณ์ออกมา แต่แล้วเขาก็นึกถึงสิ่งที่เคยสอนทีมผู้บริหารขึ้นมาได้
“คุณไม่สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่นรับผิดชอบได้ จนกว่าคุณจะเป็นแบบอย่างด้วยตัวเอง”
นั่นเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ Timms ตระหนักว่า เขากำลังโทษลูกสาวทั้งหมด โดยไม่ได้มองย้อนกลับมาที่ตัวเองเลย
Timms จึงตัดสินใจลองใช้วิธีการที่แตกต่างออกไป โดยเริ่มจากการถามตัวเองว่า “ผมกำลังทำอะไรอยู่ หรือไม่ได้ทำอะไร ที่อาจมีส่วนทำให้เกิดปัญหานี้?”
จากประสบการณ์นี้ Timms ได้ค้นพบ “3 นิสัยแห่งความรับผิดชอบส่วนบุคคล” ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยแก้ปัญหาในครอบครัวของเขาเท่านั้น แต่ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในทุกด้านของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นที่ทำงาน ในชุมชน หรือแม้แต่ในความสัมพันธ์ส่วนตัว
นิสัยที่ 1: อย่าโทษคนอื่น
การโทษคนอื่นเป็นปฏิกิริยาธรรมชาติของมนุษย์เมื่อเกิดปัญหา แต่คุณเคยสังเกตไหมว่า เมื่อเราโทษใครสักคน มักจะไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีเลย? นั่นเป็นเพราะสมองของเรารับรู้การถูกโทษเหมือนกับการถูกโจมตีทางร่างกาย มันกระตุ้นการตอบสนองแบบ “สู้หรือหนี (Fight or Flee)” ซึ่งทำให้ส่วนของสมองที่ใช้ในการแก้ปัญหาหยุดทำงาน
Dr. Amy Edmondson นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Harvard ได้ทำการศึกษาที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ เธอพบว่าทีมที่มีประสิทธิภาพสูงในโรงพยาบาลกลับรายงานข้อผิดพลาดมากกว่าทีมอื่นๆ
เหตุผลก็คือ เมื่อสมาชิกในทีมไม่ถูกกล่าวโทษสำหรับปัญหาที่เกิดขึ้น พวกเขาจะยอมรับความผิดพลาดของตนเองและเรียนรู้จากมันได้มากขึ้น ในทางกลับกัน ในวัฒนธรรมที่ชอบโทษกัน ผู้คนมักจะปิดบังปัญหาหรือพยายามโยนความผิดให้คนอื่น
การโทษคนอื่นเป็นเหมือนยาพิษที่ทำลายการทำงานเป็นทีม การแก้ปัญหา การเรียนรู้ และความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ กล่าวอีกนัยหนึ่ง การโทษคนอื่นคือตัวการที่ฆ่าความรับผิดชอบของทีมนั่นเอง
นิสัยที่ 2: มองย้อนกลับมาที่ตัวเอง
แทนที่จะโทษคนอื่น เราควรหันมามองตัวเองก่อน ถามตัวเองว่า “เราอาจมีส่วนทำให้เกิดปัญหานี้อย่างไรบ้าง?” การทำเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าทุกปัญหาเป็นความผิดของเรา แต่มันช่วยให้เรามองเห็นว่าการกระทำหรือการไม่กระทำของเราอาจมีส่วนทำให้เกิดปัญหาได้อย่างไร
ตัวของ Timms เคยมีประสบการณ์ที่น่าสนใจกับเรื่องนี้ ครั้งหนึ่งผู้ช่วยของเขาทำผิดพลาดในการส่งแพ็คเกจการตลาดราคาแพงหลายร้อยชิ้น โดยลืมใส่ข้อมูลสำคัญในแพ็คเกจ
ในตอนแรก Timms รู้สึกโกรธและอยากจะโทษเธอทั้งหมด แต่เมื่อเขามองย้อนกลับมาที่ตัวเอง เขาก็ตระหนักได้ว่าเป็นตัวเขาเองที่ไม่ได้ไฮไลท์ฟิลด์ข้อมูลสำคัญด้วยสีเหลืองเหมือนที่ทำในแม่แบบอื่นๆ ถ้า Timms ทำแบบนั้น เธอคงไม่พลาดมันไป
การมองย้อนกลับมาที่ตัวเองเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝน แต่เมื่อเราทำได้ มันจะเปิดโอกาสให้เราเห็นวิธีแก้ปัญหาที่เราสามารถควบคุมได้
นิสัยที่ 3: ออกแบบวิธีแก้ปัญหา
เมื่อเราหยุดโทษคนอื่นและมองย้อนกลับมาที่ตัวเอง เราจะเริ่มเห็นปัจจัยแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของคน นี่คือหัวใจของ “การคิดเชิงระบบ” ซึ่งเป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่สอง
ตัวอย่างที่น่าสนใจคือกรณีของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ที่ประสบปัญหาเครื่องบินตกเป็นจำนวนมาก แทนที่จะโทษนักบิน พวกเขาได้จ้างที่ปรึกษามาวิเคราะห์ปัญหา ผลการวิจัยพบว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวนักบิน แต่อยู่ที่การออกแบบห้องนักบินที่ทำให้เกิดความสับสน เมื่อพวกเขาปรับปรุงการออกแบบให้ง่ายขึ้น อุบัติเหตุก็ลดลงอย่างมาก
การออกแบบวิธีแก้ปัญหาไม่ได้หมายถึงการแก้ไขคน แต่เป็นการปรับปรุงระบบและสภาพแวดล้อมที่มีผลต่อพฤติกรรมของคน
ในกรณีของ Timms กับลูกสาว เมื่อเขาหยุดโทษลูก ๆ เขาก็เริ่มสังเกตเห็นปัจจัยแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของพวกเธอ เขาพบว่าไม่มีนาฬิกาในห้องน้ำของพวกเธอ และไม่มีตารางเวลาที่ชัดเจน
ดังนั้น Timms จึงออกแบบวิธีแก้ปัญหาโดยติดนาฬิกาขนาดใหญ่ไว้ทุกที่และติดตารางเวลาไว้ในพื้นที่ส่วนกลาง ผลลัพธ์ที่ได้คือ แม้จะยังไม่สามารถออกจากบ้านได้ตรงเวลาเป๊ะ แต่สถานการณ์ก็ดีขึ้นกว่าเดิมมาก
บทเรียนสำคัญที่ Timms ได้เรียนรู้คือ เราไม่สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่นรับผิดชอบได้ จนกว่าเราจะเป็นแบบอย่างด้วยตัวเอง เมื่อผู้นำยอมรับบทบาทของตนในปัญหาก่อน มันจะสร้างบรรยากาศที่ปลอดภัยให้คนอื่นๆ ทำตาม
Timms ได้นำหลักการนี้ไปใช้ในการทำงานกับบริษัทต่างๆ และพบว่ามันสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าทึ่ง ตัวอย่างเช่น ในบริษัทก่อสร้างแห่งหนึ่ง หลังจากที่ผู้จัดการทั่วไปเริ่มใช้หลักการนี้ บรรยากาศในการประชุมทีมก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากที่เคยเป็นการกล่าวโทษกันไปมา กลายเป็นการร่วมกันแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์
เมื่อผู้จัดการทั่วไปเริ่มต้นด้วยการมองย้อนกลับมาที่ตัวเองและยอมรับส่วนที่เขามีส่วนทำให้เกิดปัญหา สมาชิกในทีมก็เริ่มทำตามและแสดงความรับผิดชอบในส่วนของตนเองเช่นกัน
การนำ “3 นิสัยแห่งความรับผิดชอบส่วนบุคคล” มาใช้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในที่ทำงานหรือที่บ้านเท่านั้น แต่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในทุกด้านของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นในชุมชน ในสังคม หรือแม้แต่ในระดับประเทศ
เมื่อเราเริ่มเป็นแบบอย่างของพฤติกรรมเหล่านี้ เราจะพบว่าคนรอบข้างเราเริ่มทำตาม มันเหมือนเป็นเวทมนตร์ที่แพร่กระจายไปสู่ผู้อื่น สร้างวงจรแห่งความรับผิดชอบที่ขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ
การเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นที่ตัวเรา เมื่อเราหยุดโทษคนอื่น มองย้อนกลับมาที่ตัวเอง และออกแบบวิธีแก้ปัญหา เราไม่เพียงแต่จะแก้ไขปัญหาที่เผชิญอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมให้ผู้อื่นทำเช่นเดียวกัน
การเปลี่ยนแปลงอาจไม่เกิดขึ้นในทันที เหมือนกับกรณีของ Timms กับลูกสาวที่ยังไม่สามารถออกจากบ้านได้ตรงเวลาเป๊ะ แต่การปรับปรุงทีละเล็กละน้อยก็นำไปสู่ความก้าวหน้าที่ยั่งยืนในระยะยาว
ท้ายที่สุด จงเป็นการเปลี่ยนแปลงที่คุณอยากเห็นในโลก เริ่มต้นจากตัวคุณเอง แล้วคุณจะพบว่าโลกรอบตัวคุณจะเริ่มเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
References :
How to Claim Your Leadership Power | Michael Timms | TED
https://youtu.be/dIYmzf21d1g?si=DeO7LobEt8J2AWyO