Geek Story EP212 : ความท้าทายใหม่ของ Elon Musk เมื่อ Tesla กำลังจะสิ้นมนต์ขลังในตลาดรถ EV ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

มันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมาก ๆ กับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับสถานการณ์ของ Tesla โดยเฉพาะในตลาด EV อันดับหนึ่งของโลกอย่างประเทศจีน

เหล่าพนักงานที่แสนภาคภูมิใจที่ได้ร่วมงานกับแบรนด์รถยนต์ผู้บุกเบิก EV แต่กลับมารู้ตัวว่าชะตาพวกเขากำลังจะขาดก็เมื่อเสียบบัตรพนักงานเพื่อเข้าสู่การทำงานที่ไซต์งาน แต่พบว่าบัตรของพวกเขานั้นใช้การไม่ได้อีกต่อไปแล้ว พวกเขากำลังถูกเลิกจ้าง!

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/bduca62b

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/stpwd2tn

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/ycxea3n6

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/_MFXnBIW7Qs

Geek Life EP29 : ลาก่อนความโง่ เปิดสวิตช์สมองอัจฉริยะด้วยเทคนิคจากนักประสาทวิทยา

ในฐานะนักประสาทวิทยาและอาจารย์ Dr. Lila Landowski มักจะพบเห็นนักศึกษาหลายคนประสบปัญหาในการเรียนรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีอายุมากขึ้น แต่ความจริงแล้ว ปัญหานี้ไม่ได้เกิดจากตัวพวกเขาเอง หากแต่เป็นเพราะเราไม่เคยได้รับการสอนวิธีการเรียนรู้ที่ถูกต้องมาก่อน เรามักคาดหวังว่าการเรียนรู้จะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ

เป็นข้อมูลที่น่าสนใจจากเวที TEDx Talks โดย Dr. Lila Landowski นักประสาทวิทยาและวิทยากรที่ได้รับรางวัลมากมาย เธอเชี่ยวชาญด้านการให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการทำงานของสมองแก่ผู้คน เพื่อช่วยให้พวกเขาตัดสินใจเลือกสิ่งต่างๆ ในชีวิตได้ดีขึ้น นอกจากนี้ เธอยังเป็นผู้อำนวยการของ Australian Society for Medical Research ผู้อำนวยการ Epilepsy Tasmania และยังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ที่รับเชิญประจำให้กับช่อง ABC

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/385cztf3

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/44xy5spc

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/2J01YCXqozI

เลิกโทษคนอื่นซะที! กับ 3 นิสัยที่จะทำให้คุณกลายเป็นคนที่ใครๆ ก็อยากทำงานด้วย

เมื่อเผชิญกับความท้าทายหรือปัญหา คนส่วนใหญ่มักจะหาวิธีโทษผู้อื่นก่อนเสมอ Michael Timms ผู้เชี่ยวชาญด้านความเป็นผู้นำได้มาแชร์ข้อมูลที่น่าสนใจบนเวที Ted Talks โดย Timms ชี้ให้เห็นว่าเหตุใดสัญชาตญาณแบบนี้จึงส่งผลเสีย โดยเน้นย้ำถึงลักษณะนิสัย 3 ประการในการรับผิดชอบต่อตนเอง ซึ่งจะช่วยให้คุณและผู้อื่นสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่บ้านหรือที่ทำงาน

หลาย ๆ ท่านที่เป็นพ่อแม่คงเคยประสบปัญหาในการพาลูกๆ ออกจากบ้านให้ทันเวลา สิ่งเหล่านี้มันเป็นเรื่องที่ท้าทาย ไม่ต่างจากที่เราต้องพยายามต้อนแมวนับสิบตัวให้เข้าไปอยู่ในกรงเดียวกัน ซึ่งตัวของ Timms เองก็เคยตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้มาก่อน

ครอบครัวของ Timms มีลูกสาวสามคน และทุกเช้าเขาต้องพยายามอย่างหนักเพื่อให้ทุกคนพร้อมออกจากบ้านตรงเวลา แม้ว่าตัวของ Timms และภรรยาจะเริ่มเตือนลูก ๆ ล่วงหน้าเป็นชั่วโมง แต่ดูเหมือนว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรเลย สุดท้ายพวกเขาก็ยังคงออกจากบ้านสายอยู่ดี

จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อ Timms มีนัดสำคัญที่ต้องไปให้ทัน เขาพบว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่วุ่นวายอย่างที่สุด เพียงห้านาทีก่อนถึงเวลาที่ต้องออกจากบ้าน ลูกสาวคนโตยังคงอ่านหนังสืออยู่ที่ระเบียง ลูกสาวคนกลางกำลังเพลิดเพลินกับการเล่นเปียโน และลูกสาวคนเล็กยังไม่ได้ใส่ถุงเท้าด้วยซ้ำ

ด้วยความร้อนรน Timms ตะโกนบอกพวกเธอว่า “หยุดอ่านหนังสือ หยุดเล่นเปียโน ใส่ถุงเท้า แล้วทุกคนไปขึ้นรถ!” แต่ห้านาทีผ่านไป ก็ยังไม่มีใครอยู่ในรถสักคน ทำให้ Timms รู้สึกหงุดหงิดมาก และกำลังจะระเบิดอารมณ์ออกมา แต่แล้วเขาก็นึกถึงสิ่งที่เคยสอนทีมผู้บริหารขึ้นมาได้

“คุณไม่สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่นรับผิดชอบได้ จนกว่าคุณจะเป็นแบบอย่างด้วยตัวเอง”

นั่นเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ Timms ตระหนักว่า เขากำลังโทษลูกสาวทั้งหมด โดยไม่ได้มองย้อนกลับมาที่ตัวเองเลย

Timms จึงตัดสินใจลองใช้วิธีการที่แตกต่างออกไป โดยเริ่มจากการถามตัวเองว่า “ผมกำลังทำอะไรอยู่ หรือไม่ได้ทำอะไร ที่อาจมีส่วนทำให้เกิดปัญหานี้?”

จากประสบการณ์นี้ Timms ได้ค้นพบ “3 นิสัยแห่งความรับผิดชอบส่วนบุคคล” ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยแก้ปัญหาในครอบครัวของเขาเท่านั้น แต่ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในทุกด้านของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นที่ทำงาน ในชุมชน หรือแม้แต่ในความสัมพันธ์ส่วนตัว

นิสัยที่ 1: อย่าโทษคนอื่น

การโทษคนอื่นเป็นปฏิกิริยาธรรมชาติของมนุษย์เมื่อเกิดปัญหา แต่คุณเคยสังเกตไหมว่า เมื่อเราโทษใครสักคน มักจะไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีเลย? นั่นเป็นเพราะสมองของเรารับรู้การถูกโทษเหมือนกับการถูกโจมตีทางร่างกาย มันกระตุ้นการตอบสนองแบบ “สู้หรือหนี (Fight or Flee)” ซึ่งทำให้ส่วนของสมองที่ใช้ในการแก้ปัญหาหยุดทำงาน

Dr. Amy Edmondson นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Harvard ได้ทำการศึกษาที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ เธอพบว่าทีมที่มีประสิทธิภาพสูงในโรงพยาบาลกลับรายงานข้อผิดพลาดมากกว่าทีมอื่นๆ

เหตุผลก็คือ เมื่อสมาชิกในทีมไม่ถูกกล่าวโทษสำหรับปัญหาที่เกิดขึ้น พวกเขาจะยอมรับความผิดพลาดของตนเองและเรียนรู้จากมันได้มากขึ้น ในทางกลับกัน ในวัฒนธรรมที่ชอบโทษกัน ผู้คนมักจะปิดบังปัญหาหรือพยายามโยนความผิดให้คนอื่น

การโทษคนอื่นเป็นเหมือนยาพิษที่ทำลายการทำงานเป็นทีม การแก้ปัญหา การเรียนรู้ และความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ กล่าวอีกนัยหนึ่ง การโทษคนอื่นคือตัวการที่ฆ่าความรับผิดชอบของทีมนั่นเอง

นิสัยที่ 2: มองย้อนกลับมาที่ตัวเอง

แทนที่จะโทษคนอื่น เราควรหันมามองตัวเองก่อน ถามตัวเองว่า “เราอาจมีส่วนทำให้เกิดปัญหานี้อย่างไรบ้าง?” การทำเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าทุกปัญหาเป็นความผิดของเรา แต่มันช่วยให้เรามองเห็นว่าการกระทำหรือการไม่กระทำของเราอาจมีส่วนทำให้เกิดปัญหาได้อย่างไร

ตัวของ Timms เคยมีประสบการณ์ที่น่าสนใจกับเรื่องนี้ ครั้งหนึ่งผู้ช่วยของเขาทำผิดพลาดในการส่งแพ็คเกจการตลาดราคาแพงหลายร้อยชิ้น โดยลืมใส่ข้อมูลสำคัญในแพ็คเกจ

ในตอนแรก Timms รู้สึกโกรธและอยากจะโทษเธอทั้งหมด แต่เมื่อเขามองย้อนกลับมาที่ตัวเอง เขาก็ตระหนักได้ว่าเป็นตัวเขาเองที่ไม่ได้ไฮไลท์ฟิลด์ข้อมูลสำคัญด้วยสีเหลืองเหมือนที่ทำในแม่แบบอื่นๆ ถ้า Timms ทำแบบนั้น เธอคงไม่พลาดมันไป

การมองย้อนกลับมาที่ตัวเองเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝน แต่เมื่อเราทำได้ มันจะเปิดโอกาสให้เราเห็นวิธีแก้ปัญหาที่เราสามารถควบคุมได้

นิสัยที่ 3: ออกแบบวิธีแก้ปัญหา

เมื่อเราหยุดโทษคนอื่นและมองย้อนกลับมาที่ตัวเอง เราจะเริ่มเห็นปัจจัยแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของคน นี่คือหัวใจของ “การคิดเชิงระบบ” ซึ่งเป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่สอง

ตัวอย่างที่น่าสนใจคือกรณีของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ที่ประสบปัญหาเครื่องบินตกเป็นจำนวนมาก แทนที่จะโทษนักบิน พวกเขาได้จ้างที่ปรึกษามาวิเคราะห์ปัญหา ผลการวิจัยพบว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวนักบิน แต่อยู่ที่การออกแบบห้องนักบินที่ทำให้เกิดความสับสน เมื่อพวกเขาปรับปรุงการออกแบบให้ง่ายขึ้น อุบัติเหตุก็ลดลงอย่างมาก

การออกแบบวิธีแก้ปัญหาไม่ได้หมายถึงการแก้ไขคน แต่เป็นการปรับปรุงระบบและสภาพแวดล้อมที่มีผลต่อพฤติกรรมของคน

ในกรณีของ Timms กับลูกสาว เมื่อเขาหยุดโทษลูก ๆ เขาก็เริ่มสังเกตเห็นปัจจัยแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของพวกเธอ เขาพบว่าไม่มีนาฬิกาในห้องน้ำของพวกเธอ และไม่มีตารางเวลาที่ชัดเจน

ดังนั้น Timms จึงออกแบบวิธีแก้ปัญหาโดยติดนาฬิกาขนาดใหญ่ไว้ทุกที่และติดตารางเวลาไว้ในพื้นที่ส่วนกลาง ผลลัพธ์ที่ได้คือ แม้จะยังไม่สามารถออกจากบ้านได้ตรงเวลาเป๊ะ แต่สถานการณ์ก็ดีขึ้นกว่าเดิมมาก

บทเรียนสำคัญที่ Timms ได้เรียนรู้คือ เราไม่สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่นรับผิดชอบได้ จนกว่าเราจะเป็นแบบอย่างด้วยตัวเอง เมื่อผู้นำยอมรับบทบาทของตนในปัญหาก่อน มันจะสร้างบรรยากาศที่ปลอดภัยให้คนอื่นๆ ทำตาม

Timms ได้นำหลักการนี้ไปใช้ในการทำงานกับบริษัทต่างๆ และพบว่ามันสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าทึ่ง ตัวอย่างเช่น ในบริษัทก่อสร้างแห่งหนึ่ง หลังจากที่ผู้จัดการทั่วไปเริ่มใช้หลักการนี้ บรรยากาศในการประชุมทีมก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากที่เคยเป็นการกล่าวโทษกันไปมา กลายเป็นการร่วมกันแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์

เมื่อผู้จัดการทั่วไปเริ่มต้นด้วยการมองย้อนกลับมาที่ตัวเองและยอมรับส่วนที่เขามีส่วนทำให้เกิดปัญหา สมาชิกในทีมก็เริ่มทำตามและแสดงความรับผิดชอบในส่วนของตนเองเช่นกัน

การนำ “3 นิสัยแห่งความรับผิดชอบส่วนบุคคล” มาใช้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในที่ทำงานหรือที่บ้านเท่านั้น แต่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในทุกด้านของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นในชุมชน ในสังคม หรือแม้แต่ในระดับประเทศ

เมื่อเราเริ่มเป็นแบบอย่างของพฤติกรรมเหล่านี้ เราจะพบว่าคนรอบข้างเราเริ่มทำตาม มันเหมือนเป็นเวทมนตร์ที่แพร่กระจายไปสู่ผู้อื่น สร้างวงจรแห่งความรับผิดชอบที่ขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ

การเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นที่ตัวเรา เมื่อเราหยุดโทษคนอื่น มองย้อนกลับมาที่ตัวเอง และออกแบบวิธีแก้ปัญหา เราไม่เพียงแต่จะแก้ไขปัญหาที่เผชิญอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมให้ผู้อื่นทำเช่นเดียวกัน

การเปลี่ยนแปลงอาจไม่เกิดขึ้นในทันที เหมือนกับกรณีของ Timms กับลูกสาวที่ยังไม่สามารถออกจากบ้านได้ตรงเวลาเป๊ะ แต่การปรับปรุงทีละเล็กละน้อยก็นำไปสู่ความก้าวหน้าที่ยั่งยืนในระยะยาว

ท้ายที่สุด จงเป็นการเปลี่ยนแปลงที่คุณอยากเห็นในโลก เริ่มต้นจากตัวคุณเอง แล้วคุณจะพบว่าโลกรอบตัวคุณจะเริ่มเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น

References :
How to Claim Your Leadership Power | Michael Timms | TED
https://youtu.be/dIYmzf21d1g?si=DeO7LobEt8J2AWyO