แชโบล vs สตาร์ทอัพ : ศึกชิงอนาคตเศรษฐกิจเกาหลีใต้ เมื่อยักษ์ใหญ่กำลังถูกท้าทายในยุคดิจิทัล

ในโลกธุรกิจระดับโลก มีชื่อบริษัทยักษ์ใหญ่จากเกาหลีใต้ที่คุ้นหูเราหลายแบรนด์ อย่าง Samsung, Hyundai และ LG และทั้งหมดคือ “แชโบล” (chaebols) – บริษัทขนาดมหึมาที่มักบริหารงานโดยตระกูลเดียว และมีสินทรัพย์รวมมากกว่า 5 ล้านล้านวอน

ณ ปี 2023 เกาหลีใต้มีแชโบลมากกว่า 80 แห่ง โดย 10 อันดับแรกสร้างรายได้คิดเป็นเกือบ 60% ของ GDP ประเทศในปี 2021 ซึ่งมีมูลค่ามากกว่าหนึ่งล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ นั่นหมายความว่า แชโบลมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจเกาหลีใต้

แต่อะไรคือที่มาของแชโบล? ทำไมพวกเขาถึงทรงอิทธิพลนัก? และอนาคตของแชโบลจะเป็นอย่างไร? มาทำความรู้จักกับยักษ์ใหญ่แห่งวงการธุรกิจเกาหลีใต้กันให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

จุดกำเนิดของแชโบล: จากความยากจนสู่ความมั่งคั่ง

ย้อนกลับไปในทศวรรษ 1960 เกาหลีใต้เป็นหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก แต่ภายในเวลาเพียงไม่กี่ทศวรรษ ประเทศนี้ได้ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลก การเปลี่ยนแปลงอันน่าทึ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? คำตอบอยู่ที่นโยบายของ Park Chung-Hee ประธานาธิบดีคนที่สามของเกาหลีใต้

Park มีวิสัยทัศน์ที่จะยกระดับประเทศให้พ้นจากความยากจน เขาจึงริเริ่มแผนพัฒนาเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นการส่งออก โดยเลือก 5 ภาคส่วนหลัก ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ การต่อเรือ เครื่องจักรกล ปิโตรเคมี และโลหะที่ไม่ใช่เหล็ก ภาคส่วนเหล่านี้ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล ในโครงการที่เรียกว่า “Heavy-Chemical Industry Drive”

Park Chung-Hee อดีตนายพลผู้พลิกฟื้นประเทศตัวจริง (CR:globalearthrepairfoundation)
Park Chung-Hee อดีตนายพลผู้พลิกฟื้นประเทศตัวจริง (CR:globalearthrepairfoundation)

นโยบายนี้เปรียบเสมือนการหว่านเมล็ดพันธุ์ให้บริษัทต่างๆ ในเกาหลีใต้เติบโต ผลลัพธ์ที่ได้นั้นน่าทึ่ง: ในปี 1960 GDP ของเกาหลีใต้มีมูลค่าเพียงไม่ถึง 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ภายในปี 1979 ตัวเลขนี้พุ่งสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดเป็นเกือบ 67 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

อย่างไรก็ตาม การเติบโตอย่างรวดเร็วนี้มาพร้อมกับความท้าทาย ในเดือนตุลาคม 1979 Park Chung-Hee ถูกลอบสังหาร ทิ้งไว้ซึ่งคำถามเกี่ยวกับอนาคตของนโยบายเศรษฐกิจที่เขาวางรากฐานไว้

ยุคทองของแชโบล: การผูกขาดและอำนาจ

ในช่วงทศวรรษ 1980 และ 1990 แชโบลเติบโตอย่างรวดเร็วและกลายเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจเกาหลีใต้ บริษัทเหล่านี้ขยายธุรกิจไปยังหลากหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่อิเล็กทรอนิกส์ไปจนถึงการต่อเรือ จากยานยนต์ไปจนถึงเคมีภัณฑ์

Samsung เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของความสำเร็จนี้ จากจุดเริ่มต้นที่ผลิตวิกผมส่งออกไปนิวยอร์ก บริษัทได้พัฒนาตัวเองจนกลายเป็นผู้นำระดับโลกในด้านอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยี เช่นเดียวกับ Hyundai ที่เริ่มต้นจากอู่ซ่อมรถ ก่อนจะกลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำของโลก

การเติบโตอย่างรวดเร็วนี้ทำให้แชโบลมีอำนาจทางเศรษฐกิจมหาศาล พวกเขาสามารถเข้าถึงเงินทุนได้ง่าย มีเครือข่ายทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง และมีอิทธิพลทางการเมืองอย่างมาก อย่างไรก็ตาม อำนาจนี้มาพร้อมกับการวิพากษ์วิจารณ์ว่าแชโบลผูกขาดเศรษฐกิจมากเกินไป และขาดความโปร่งใสในการบริหารงาน

การเติบโตอย่างรวดเร็วของแชโบลส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจในสังคมเกาหลีใต้ ในขณะที่คนส่วนน้อยที่เป็นเจ้าของและผู้บริหารของแชโบลร่ำรวยขึ้นอย่างมหาศาล ประชาชนทั่วไปกลับรู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างเท่าเทียม นอกจากนี้ ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับการผูกขาดตลาดและการกีดกันการแข่งขันของธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง

ความท้าทายและการปฏิรูป: เสียงเรียกร้องการเปลี่ยนแปลง

ในปี 1981 รัฐบาลเกาหลีใต้ได้จัดตั้งคณะกรรมการการค้าที่เป็นธรรมแห่งเกาหลี (Korea Fair Trade Commission) ขึ้น เพื่อกำกับดูแลการแข่งขันทางเศรษฐกิจ หน่วยงานนี้มีบทบาทสำคัญในการควบคุมการผูกขาดและส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรม

ศาสตราจารย์ Sung Wook Joh จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน อธิบายว่า “คณะกรรมการการค้าที่เป็นธรรมแห่งเกาหลีมีหน้าที่สำคัญในการสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจและความเป็นธรรมในตลาด พวกเขาต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย โดยเฉพาะในการจัดการกับอิทธิพลของแชโบลที่มีต่อเศรษฐกิจ”

อย่างไรก็ตาม การปฏิรูปไม่ใช่เรื่องง่าย แชโบลมักจะมีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับรัฐบาล และบ่อยครั้งที่ผู้บริหารระดับสูงของแชโบลที่กระทำความผิดได้รับการอภัยโทษ ด้วยเหตุผลว่าการลงโทษพวกเขาอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม

Tae-Ho Bark อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าของเกาหลีใต้ กล่าวว่า “การให้อภัยโทษแก่ผู้บริหารของแชโบลเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันมาอย่างยาวนาน ในขณะที่บางคนมองว่าเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ คนอื่นๆ กลับมองว่าเป็นการบ่อนทำลายหลักนิติธรรม”

ความขัดแย้งระหว่างความจำเป็นทางเศรษฐกิจและความยุติธรรมนี้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่ซับซ้อนในการปฏิรูประบบแชโบล การสร้างสมดุลระหว่างการรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจและการส่งเสริมความเป็นธรรมในสังคมเป็นประเด็นที่รัฐบาลเกาหลีใต้ต้องเผชิญอย่างต่อเนื่อง

การเปลี่ยนแปลงและนวัตกรรม: อนาคตของแชโบลและเศรษฐกิจเกาหลีใต้

แม้ว่าแชโบลจะยังคงมีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจเกาหลีใต้ แต่ลมแห่งการเปลี่ยนแปลงกำลังพัดผ่าน ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นการเติบโตของบริษัทสตาร์ทอัพและธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) อย่างน่าสนใจ

ระหว่างปี 2020 ถึง 2023 จำนวนบริษัทสตาร์ทอัพที่ไม่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ในเกาหลีใต้เพิ่มขึ้นถึง 12% เป็นมากกว่า 581,000 บริษัท นี่เป็นสัญญาณที่ดีของการกระจายตัวทางเศรษฐกิจและการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ

Don Southerton ที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านบริษัทและวัฒนธรรมธุรกิจเกาหลี ให้ความเห็นว่า “เรากำลังเห็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจในภูมิทัศน์ทางธุรกิจของเกาหลีใต้ คนรุ่นใหม่หลายคนไม่ได้มองหาการทำงานกับบริษัทขนาดใหญ่อีกต่อไป พวกเขาต้องการสร้างธุรกิจของตัวเอง นำความรู้และประสบการณ์ที่มีมาสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ”

ตัวอย่างที่โดดเด่นของความสำเร็จในกลุ่มสตาร์ทอัพ ได้แก่ Kakao แพลตฟอร์มส่งข้อความยอดนิยม และ Coupang เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซที่เติบโตอย่างรวดเร็ว บริษัทเหล่านี้กำลังท้าทายการครอบงำของแชโบลในบางอุตสาหกรรม และนำเสนอทางเลือกใหม่ๆ ให้กับผู้บริโภค

Kim Beom-su ผู้ก่อตั้ง Kakao ตัวอย่างของสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีที่ประสบความสำเร็จ (CR:The Korean Times)
Kim Beom-su ผู้ก่อตั้ง Kakao ตัวอย่างของสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีที่ประสบความสำเร็จ (CR:The Korean Times)

ในขณะเดียวกัน แชโบลเองก็กำลังปรับตัวเพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ Hyundai เป็นตัวอย่างที่ดีของการปรับตัวนี้ บริษัทกำลังมุ่งหน้าสู่อนาคตของ “Smart Mobility” โดยลงทุนอย่างหนักในเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าและระบบขับขี่อัตโนมัติ

นอกจากนี้ รัฐบาลเกาหลีใต้ยังมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงนี้ โดยเพิ่มการลงทุนในสตาร์ทอัพและ SMEs ผลักดันให้เกิดการสร้างงานใหม่ๆ และส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอน

การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้หมายความว่าแชโบลจะหมดบทบาทลงในทันที แต่เป็นการปรับสมดุลใหม่ของระบบเศรษฐกิจเกาหลีใต้ ที่เปิดโอกาสให้ผู้เล่นรายใหม่ๆ ได้แสดงศักยภาพ ในขณะเดียวกันก็กระตุ้นให้บริษัทยักษ์ใหญ่ต้องปรับตัวและสร้างนวัตกรรมอยู่เสมอ

บทสรุป: อนาคตของแชโบลและเศรษฐกิจเกาหลีใต้

แชโบลได้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของเกาหลีใต้จากประเทศยากจนสู่ประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จนี้มาพร้อมกับความท้าทายมากมาย ทั้งในแง่ของการกระจุกตัวของอำนาจทางเศรษฐกิจ ความโปร่งใสในการบริหารงาน และความเป็นธรรมในการแข่งขันทางธุรกิจ

ในปัจจุบัน เกาหลีใต้กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ การเติบโตของสตาร์ทอัพและ SMEs กำลังสร้างพลวัตใหม่ให้กับระบบเศรษฐกิจ ในขณะที่แชโบลเองก็กำลังปรับตัวเพื่อรับมือกับความท้าทายในยุคดิจิทัล

ความสำเร็จในอนาคตของเกาหลีใต้จะขึ้นอยู่กับความสามารถในการสร้างสมดุลระหว่างการรักษาจุดแข็งของแชโบล และการส่งเสริมนวัตกรรมและการแข่งขันที่เป็นธรรม การปฏิรูปอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านกฎหมาย การกำกับดูแล และวัฒนธรรมองค์กร จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างระบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและเป็นธรรมสำหรับทุกคน

ในท้ายที่สุด เรื่องราวของแชโบลไม่ใช่เพียงเรื่องของบริษัทยักษ์ใหญ่ แต่เป็นเรื่องราวของประเทศที่ก้าวข้ามความยากจน สู่การเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจของโลก ด้วยความท้าทายและโอกาสใหม่ๆ ที่รออยู่ข้างหน้า เกาหลีใต้กำลังเขียนบทใหม่ของประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ ที่จะเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลก

References :
https://en.wikipedia.org/wiki/Chaebol
https://youtu.be/6jFZge6V_is?si=BOkQ_9CRlGgDfz9X
https://www.nytimes.com/2023/12/18/business/chaebol-south-korea.html
https://youtu.be/1Q5DWqV7Myw?si=stmquPeHwdZIL-vN

Geek Life EP28 : เลิกเสพติดความสุขชั่วคราว! เจาะลึกวิทยาศาสตร์ของโดปามีน มิตรหรือศัตรู?

ในยุคปัจจุบันที่เราสามารถเข้าถึงความสุขได้อย่างง่ายดายผ่านเทคโนโลยีและความบันเทิงรูปแบบต่างๆ เราอาจไม่ทันสังเกตว่าชีวิตของเรากำลังถูกควบคุมด้วยสารเคมีในสมองที่เรียกว่า “โดปามีน” สารตัวนี้มีบทบาทสำคัญในการกำหนดคุณภาพชีวิตและความสุขของเรา แต่การเสพติดความสุขอย่างไม่ระมัดระวังอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตในระยะยาวได้

Anna Lembke จิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการเสพติดจากมหาวิทยาลัย Stanford ได้เขียนหนังสือชื่อ “Dopamine Nation” เพื่อเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับโดปามีนและผลกระทบที่มีต่อชีวิตของเรา หนังสือเล่มนี้ชี้ให้เห็นว่าการรักษาสมดุลของโดปามีนเป็นกุญแจสำคัญสู่ชีวิตที่มีความสุขและยั่งยืน

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/d7t75ty8

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/55649hyp

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/LJsaynujvA8

3 เทคนิคพิชิตความรู้ไร้ขีดจำกัด : หยุดเสียเวลากับการเรียนแบบเดิมๆ นี่คือวิธีเรียนรู้แบบใหม่ที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณ

ในโลกยุคปัจจุบัน การเรียนรู้อย่างต่อเนื่องไม่ใช่เพียงแค่ตัวเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับความสำเร็จและการเติบโตส่วนบุคคล ดังที่ Albert Einstein เคยกล่าวไว้ว่า “เมื่อคุณหยุดเรียนรู้ คุณก็เหมือนคนที่ตายแล้ว” คำพูดนี้ยังคงมีความหมายอย่างลึกซึ้งในยุคปัจจุบัน

การก้าวสู่การเป็นยอดนักเรียนรู้ไม่ใช่เรื่องของพรสวรรค์หรือความฉลาดแต่กำเนิด แต่เป็นเรื่องของการใช้กลยุทธ์การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ Jonathan Levy ผู้เขียนหนังสือ “The Only Skill that Matters: The Proven Methodology to Read Faster, Remember More, and Become a SuperLearner” ได้นำเสนอกลยุทธ์การเรียนรู้ที่ทรงพลังสามประการ ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงวิธีการเรียนรู้อย่างสิ้นเชิง

กลยุทธ์แรกคือการเรียนรู้แบบหลากหลาย หรือ Multi-learning เป็นแนวคิดที่น่าสนใจที่สนับสนุนให้เราเรียนรู้ทักษะที่เกี่ยวข้องกันอย่างหลวม ๆ ควบคู่กันไป แทนที่จะมุ่งเน้นเพียงทักษะเดียว ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการพัฒนาทักษะการเล่นเทนนิส ลองฝึกเล่นพิคเคิลบอลควบคู่ไปด้วย หรือถ้าคุณกำลังเรียนภาษาสเปน ให้เพิ่มการเรียนภาษาเยอรมันเข้าไปในตารางการเรียนรู้ของคุณ

วิธีนี้อาจดูขัดแย้งกับสามัญสำนึกที่มักจะบอกให้เราโฟกัสกับสิ่งหนึ่งสิ่งเดียวจนเชี่ยวชาญ แต่ความจริงแล้ว การเรียนรู้แบบหลากหลายช่วยให้สมองของเราสร้างการเชื่อมโยงใหม่ ๆ ระหว่างความรู้และทักษะต่าง ๆ ส่งผลให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งและมุมมองที่กว้างขึ้น

Cal Newport นักเขียนชื่อดัง ได้ค้นพบว่าการศึกษาภาพยนตร์ช่วยพัฒนาทักษะการเล่าเรื่องและทำให้งานเขียนสารคดีของเขาน่าสนใจมากขึ้น ในขณะที่ Jonathan Levy เองก็พบว่าการเรียนรู้เทคนิคการยกน้ำหนักแบบโอลิมปิกช่วยให้เขาพัฒนาทักษะในการเล่นโยคะแบบ Acro ได้อย่างรวดเร็ว

การสลับไปมาระหว่างทักษะที่เกี่ยวข้องกันช่วยให้เรามองเห็นความเชื่อมโยงและรายละเอียดที่อาจมองข้ามไปหากเราโฟกัสเพียงทักษะเดียว นอกจากนี้ ยังช่วยป้องกันความเบื่อหน่ายและรักษาแรงจูงใจในการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี

หากคุณไม่สามารถหาทักษะที่เกี่ยวข้องกันได้โดยตรง คุณสามารถประยุกต์ใช้แนวคิดนี้โดยการเจาะลึกในทักษะย่อยต่าง ๆ ของทักษะหลักที่คุณกำลังเรียนรู้ เช่น หากคุณกำลังเรียนการเจรจาต่อรอง ให้ศึกษาเรื่องภาษากายและจิตวิทยาการโน้มน้าวใจควบคู่กันไป

กลยุทธ์ที่สองคือการเรียนรู้แบบ Brute Force Learning แนวคิดนี้มีที่มาจากวงการแฮกเกอร์คอมพิวเตอร์ ซึ่งหมายถึงการโจมตีระบบจากหลายทิศทางเพื่อเข้าถึงข้อมูล เมื่อนำมาประยุกต์ใช้กับการเรียนรู้ หมายถึงการใช้แหล่งข้อมูลที่หลากหลายเพื่อทำความเข้าใจแนวคิดหรือทักษะที่ซับซ้อน

ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการเข้าใจเรื่องอคติทางความคิด (Cognitive Biases) อย่างลึกซึ้ง คุณอาจเริ่มจากการอ่านตำราจิตวิทยา ตามด้วยหนังสือกลุ่ม Nonfiction ที่เป็นที่นิยม จากนั้นเสริมด้วยการดูวิดีโอใน YouTube ที่อธิบายประเภทต่าง ๆ ของอคติด้วยภาพ และฟังพอดแคสต์ที่สัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ การเรียนรู้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลายช่วยให้คุณเห็นแนวคิดเดียวกันจากมุมมองที่แตกต่าง ทำให้เข้าใจได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

Jonathan Levy เล่าประสบการณ์ของเขาว่า หลังจากฟังการบรรยายที่สับสนในโรงเรียนธุรกิจ เขาหันไปใช้ Khan Academy เพื่อหาคำอธิบายที่แตกต่างออกไป และสามารถเข้าใจแนวคิดนั้นได้ภายในเวลาไม่กี่นาที นี่แสดงให้เห็นว่าบางครั้งเราอาจต้องการวิธีการอธิบายที่แตกต่างกันเพื่อเข้าใจแนวคิดเดียวกัน

การเรียนรู้แบบ Brute Force Learning ยังมีประโยชน์ในแง่ที่ช่วยให้เราสังเกตเห็นจุดร่วมและเข้าใจเนื้อหาที่มีคุณค่ามากที่สุดได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังช่วยให้เราสร้างแผนการเรียนรู้ส่วนตัวโดยการรวมวิธีการที่ดีที่สุดจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ และปรับให้เข้ากับเป้าหมายการเรียนรู้ของเรา

กลยุทธ์ที่สามและเป็นกลยุทธ์สุดท้ายคือการผลักดันตัวเองขึ้นสู่ยอดปิรามิดแห่งการเรียนรู้ หรือ Pushing Up the Learning Pyramid แนวคิดนี้เน้นย้ำความสำคัญของการทดสอบความเข้าใจของเราอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันการหลอกตัวเองว่าเข้าใจมากกว่าที่เป็นจริง

ปิรามิดแห่งการเรียนรู้ประกอบด้วย 6 ระดับ โดยเริ่มจากการเข้าใจแนวคิดเบื้องต้น ไปจนถึงการสร้างสรรค์สิ่งใหม่จากความรู้ที่ได้รับ การก้าวขึ้นสู่ระดับที่สูงขึ้นของปิรามิดจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าเราเข้าใจแนวคิดนั้นอย่างถ่องแท้และจะไม่ลืมมันไปอย่างง่ายดาย

เริ่มจากระดับแรก คือการทบทวนสิ่งที่เราเพิ่งเรียนรู้อย่างจริงจัง เช่น หลังจากอ่านบทความเกี่ยวกับการปลูกพืชแบบไฮโดรโปนิกส์ ให้ปิดหนังสือและพยายามทบทวนประเด็นสำคัญที่เพิ่งอ่าน การวิจัยในปี 2008 พบว่านักเรียนที่ทดสอบตัวเองทันทีหลังจากอ่านเนื้อหาใหม่ สามารถจำเนื้อหาได้มากกว่าโดยเฉลี่ยถึง 80%

ก้าวสู่ระดับที่สองด้วยการอธิบายสิ่งที่เรียนรู้ด้วยคำพูดของตัวเอง เช่น อธิบายการปลูกพืชแบบไฮโดรโปนิกส์ว่า “เป็นวิธีการปลูกพืชที่ไม่ต้องใช้ดิน เพราะพืชได้รับสารอาหารที่จำเป็นจากสารละลายที่หล่อเลี้ยงรากโดยตรง คล้ายกับการให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดในโรงพยาบาลที่ควบคุมการไหลของสารอาหารให้กับผู้ป่วย”

ระดับที่สามคือการนำความรู้ใหม่ไปใช้จริง เช่น ลองปลูกสตรอว์เบอร์รีแบบไฮโดรโปนิกส์โดยใช้ข้อมูลที่เพิ่งเรียนรู้ การลงมือปฏิบัติจริงช่วยให้เราเห็นช่องว่างในความเข้าใจและเรียนรู้จากความผิดพลาด

ระดับที่สี่คือการวิเคราะห์ผลลัพธ์ของสิ่งที่เราได้เรียนรู้และนำไปใช้ เช่น ประเมินผลลัพธ์ของสตรอว์เบอร์รีที่ปลูกแบบไฮโดรโปนิกส์หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน เพื่อดูว่าความเข้าใจของเรามีข้อบกพร่องในด้านใดหรือไม่ และพิจารณาว่าต้องเรียนรู้อะไรเพิ่มเติม

สุดท้าย ระดับที่ห้าและหกคือการสร้างสรรค์สิ่งใหม่จากความรู้ที่ได้รับ เช่น สร้างคู่มือการปลูกพืชแบบไฮโดรโปนิกส์ที่ละเอียดสำหรับผู้เริ่มต้น หรืออาจพัฒนาระบบไฮโดรโปนิกส์รูปแบบใหม่ที่แก้ไขปัญหาที่พบจากประสบการณ์ของตัวเอง

การก้าวขึ้นสู่ยอดปิรามิดแห่งการเรียนรู้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และอาจทำให้เรารู้สึกไม่สบายใจในบางครั้ง เราอาจรู้สึกโง่เขลาหรือไม่มั่นใจเมื่อต้องอธิบายสิ่งที่เพิ่งเรียนรู้ หรือเมื่อต้องเผชิญกับความล้มเหลวในการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ แต่นี่คือราคาที่เราต้องจ่ายเพื่อให้ได้มาซึ่งความเข้าใจอย่างแท้จริงและความเชี่ยวชาญในที่สุด

ในการเดินทางแห่งการเรียนรู้ของเรา มักจะมีช่วงเวลาที่รู้สึกว่าการเรียนรู้หยุดชะงัก เราอาจรู้สึกว่าไม่ก้าวหน้าหรือไม่เข้าใจบางสิ่งบางอย่างอย่างถ่องแท้ เมื่อถึงจุดนี้ ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องทบทวนและปรับเปลี่ยนวิธีการเรียนรู้ของเรา นี่คือโอกาสที่ดีในการนำกลยุทธ์การเรียนรู้ทั้งสามประการที่เราได้กล่าวถึงมาใช้:

  1. เริ่มต้นด้วยการมองหาโอกาสในการฝึกฝนหรือศึกษาทักษะหรือหัวข้อที่เกี่ยวข้องกันอย่างหลวม ๆ สองอย่างพร้อมกัน การทำเช่นนี้จะช่วยกระตุ้นสมองของเราให้มองเห็นความเชื่อมโยงใหม่ ๆ และอาจช่วยให้เราเข้าใจแนวคิดที่ยากได้ดีขึ้น
  2. ไม่จำกัดตัวเองอยู่กับแหล่งข้อมูลเดียว แต่พยายามเรียนรู้จากครูหรือแหล่งข้อมูลที่หลากหลายในเวลาเดียวกัน วิธีนี้จะช่วยให้เราไม่ติดขัดกับแนวคิดหรือวิธีการสอนแบบใดแบบหนึ่ง และเปิดโอกาสให้เราได้เห็นมุมมองที่แตกต่างซึ่งอาจช่วยให้เข้าใจได้ดีขึ้น
  3. ท้าทายตัวเองอยู่เสมอด้วยการทดสอบความเข้าใจอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการทบทวน การอธิบายให้ผู้อื่นฟัง การนำไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์จริง การวิเคราะห์ผลลัพธ์ และการสร้างสรรค์สิ่งใหม่จากความรู้ที่ได้รับ

การใช้กลยุทธ์การเรียนรู้ทั้งสามประการนี้อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้เราก้าวข้ามอุปสรรคในการเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ทำให้เรากลายเป็นยอดนักเรียนรู้ที่สามารถเรียนรู้และปรับตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกสถานการณ์

การเรียนรู้ตลอดชีวิตไม่เพียงแต่ช่วยให้เราประสบความสำเร็จในอาชีพการงานเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มพูนคุณภาพชีวิตของเราในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาความสัมพันธ์ การดูแลสุขภาพ หรือการค้นพบความหมายและเป้าหมายในชีวิต การเป็นยอดนักเรียนรู้จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของการสะสมความรู้ แต่เป็นการเปิดประตูสู่โอกาสและประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้ชีวิตของเราเติมเต็มและมีความหมายมากขึ้น

Jonathan Levy ผู้เขียนหนังสือ “The Only Skill That Matters” ได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตเรียนรู้วิธีการเรียนรู้ และหนังสือของเขาให้ข้อคิดที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ ซึ่งถือเป็นทักษะที่สำคัญที่สุดในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นทุกวันนี้

ในท้ายที่สุด การเรียนรู้คือการเดินทางที่ไม่มีวันสิ้นสุด แต่ละก้าวที่เราก้าวไปบนเส้นทางนี้ไม่เพียงแต่นำเราเข้าใกล้เป้าหมายเท่านั้น แต่ยังเปิดโลกทัศน์ใหม่ ๆ ให้เราได้สำรวจต่อไป

ดังนั้น จงเปิดใจให้กว้าง ท้าทายตัวเองอยู่เสมอ และอย่าลืมว่าทุกประสบการณ์ ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว ล้วนเป็นโอกาสในการเรียนรู้และเติบโต ด้วยทัศนคติเช่นนี้ และการใช้กลยุทธ์การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ เราทุกคนสามารถพัฒนาตนเองให้ประสบความสำเร็จในทุกด้านของชีวิตได้ในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

References :
หนังสือ The Only Skill that Matters: The Proven Methodology to Read Faster, Remember More, and Become a SuperLearner โดย Jonathan A. Levi