Trevor Milton จากฝันสู่คุก : ถอดหน้ากาก Nikola Motors เมื่อสิ่งที่โม้ว่าคือ ‘นวัตกรรม’ กลับกลายเป็นเพียงภาพลวงตา

ในทุกวันนี้เรามักได้ยินเรื่องราวของผู้ประกอบการหนุ่มสาวที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว สร้างธุรกิจพันล้านจากไอเดียเพียงเล็กน้อย แต่บางครั้ง เส้นแบ่งระหว่างวิสัยทัศน์อันยิ่งใหญ่กับการหลอกลวงก็บางเฉียบเสียจนแทบมองไม่เห็น

เรื่องราวของ Trevor Milton และบริษัท Nikola Motors เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการที่ความทะเยอทะยานและความโลภนำไปสู่การหลอกลวงครั้งใหญ่ในวงการเทคโนโลยียานยนต์

Trevor Milton เกิดในปี 1982 ในรัฐ Utah สหรัฐอเมริกา เขาเติบโตมาในครอบครัวที่มีความยากลำบาก แม่ของเขาเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งตั้งแต่เขาอายุเพียง 14 ปี ทำให้เขาและพี่น้องอีก 4 คนต้องเรียนรู้ที่จะอยู่รอดด้วยตนเอง ประสบการณ์อันเจ็บปวดในวัยเด็กนี้อาจเป็นแรงผลักดันให้ Trevor มุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต

หลังจบมัธยมปลาย Trevor ได้เป็นมิชชันนารีมอร์มอนในชุมชนแออัดของบราซิล ประสบการณ์นี้ทำให้เขาได้เห็นปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมในมุมมองที่กว้างขึ้น

เมื่อกลับมาที่ Utah ในปี 2003 เขาเข้าเรียนที่ Utah Valley State College ในสาขาการขายและการตลาด แต่เรียนได้เพียงเทอมเดียวก็ลาออก ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างธุรกิจของตัวเอง

จุดเริ่มต้นของเส้นทางธุรกิจ Trevor เริ่มจากการก่อตั้งบริษัทขายระบบรักษาความปลอดภัย ซึ่งเขาสามารถขายต่อได้ในราคา 300,000 ดอลลาร์ แม้จะเป็นความสำเร็จเล็กๆ แต่มันก็ดูเหมือนจะมีเค้าลางของปัญหาแล้ว

ผู้ซื้อกล่าวหาว่า Trevor สัญญาเกินจริงเกี่ยวกับศักยภาพของธุรกิจ ทำให้พวกเขาขาดทุน นอกจากนี้ยังมีข้อกล่าวหาว่าเขาโกงหุ้นส่วนทางธุรกิจเป็นเงิน 50,000 ดอลลาร์ระหว่างการขายอีกด้วย

ต่อมาในปี 2009 Trevor หันไปทำธุรกิจโฆษณาออนไลน์ด้วยเว็บไซต์ขายรถมือสอง ก่อนที่จะก้าวกระโดดครั้งใหญ่สู่การสร้างเครื่องยนต์สำหรับยานพาหนะ แม้จะไม่มีความรู้หรือประสบการณ์ในอุตสาหกรรมนี้เลย แต่ด้วยความมั่นใจและทักษะการขาย Trevor สามารถก่อตั้งบริษัท dHybrid ขึ้นมาได้ โดยมีแผนการที่จะเปลี่ยนเครื่องยนต์ดีเซลที่มีอยู่ให้ทำงานด้วยก๊าซ CNG

ทักษะการขายขั้นเทพของ Trevor ทำให้เหยื่อหลายรายหลงเชื่อ (CR:Wikipedia)
ทักษะการขายขั้นเทพของ Trevor ทำให้เหยื่อหลายรายหลงเชื่อ (CR:Wikipedia)

แนวคิดนี้ดูน่าสนใจ เพราะก๊าซธรรมชาติปล่อยมลพิษน้อยกว่า มีค่าบำรุงรักษาต่ำกว่า และโดยรวมแล้วปลอดภัยกว่าเชื้อเพลิงดีเซล Trevor สามารถโน้มน้าวให้บริษัท Swift Transportation ลงทุน 2 ล้านดอลลาร์ในโครงการนี้ โดยมีแผนจะเริ่มต้นด้วยการดัดแปลงรถบรรทุก 10 คันเป็นการทดลอง แล้วตามด้วยอีก 800 คันในภายหลัง

แต่ความเป็นจริงกลับไม่เป็นไปตามที่สัญญา จากคดีความในปี 2012 เผยว่ามีการส่งมอบรถเพียง 5 คันเท่านั้น และเครื่องยนต์ที่ดัดแปลงก็มีปัญหาใหญ่ ไม่สามารถทำงานได้ตามที่อ้างไว้ ยิ่งไปกว่านั้น Trevor ยังใช้เงินลงทุนส่วนหนึ่งผลาญไปกับชีวิตส่วนตัวอันหรูหราของเขา

เมื่อถูกกดดันจากปัญหาทางกฎหมาย Trevor ตัดสินใจเริ่มต้นใหม่ด้วยการก่อตั้งบริษัท dHybrid Systems ร่วมกับพ่อของเขา โดยยังคงทำงานกับเทคโนโลยีเดียวกัน แต่หนีปัญหาทางกฎหมายที่เคยติดตัวเขามา ความคิดหัวหมอนี้ทำให้หุ้นส่วนทั้งหมดของ dHybrid เดิมสูญเสียผลประโยชน์ไปทั้งหมด

น่าประหลาดใจที่แผนการนี้ประสบความสำเร็จ บริษัท Worthington Industries ตกลงซื้อ dHybrid Systems ในราคา 16 ล้านดอลลาร์ แม้ว่าในความเป็นจริงบริษัทจะอยู่ในสภาพย่ำแย่

ในการสนทนาส่วนตัว Trevor ยอมรับว่าชิ้นส่วนของระบบเครื่องยนต์หลุดออกจากรถบรรทุก ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ แต่สิ่งเดียวที่สำคัญสำหรับเขาในตอนนั้นคือการได้รับเงินจากการขายกิจการ

จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญเกิดขึ้นในปี 2014 เมื่อ Trevor ก่อตั้งบริษัทที่ต่อมากลายเป็น Nikola Motors ในขณะที่ Worthington กำลังขาดทุนหลายล้านจากปัญหาเครื่องยนต์ของ dHybrid แต่ตัวของ Trevor กลับสามารถสร้างกำไรได้อย่างงดงาม

เขายังคงสามารถโน้มน้าวผู้คนคิดว่าเขามีเทคโนโลยีสุดล้ำ และในวันที่ 9 พฤษภาคม 2016 Nikola Motors ก็ประกาศเปิดตัว Nikola One รถบรรทุกกึ่งพ่วงที่อ้างว่าจะปฏิวัติอุตสาหกรรมการขนส่ง

Nikola One ถูกนำเสนอว่าสามารถเดินทางได้ไกลถึง 1,000 ไมล์โดยไม่ต้องหยุด และใช้เวลาเติมพลังงานเพียง 15 นาทีก็สามารถวิ่งได้อีก 1,000 ไมล์ ในตลาดรถบรรทุกทั่วโลกที่มีมูลค่ามากกว่าหนึ่งล้านล้านดอลลาร์ เทคโนโลยีเช่นนี้หากเป็นจริงย่อมเป็นตัวเปลี่ยนเกมได้อย่างแน่นอน

 Nikola One รถบรรทุกกึ่งพ่วงที่อ้างว่าจะปฏิวัติอุตสาหกรรมการขนส่ง (CR:FreightWaves)
Nikola One รถบรรทุกกึ่งพ่วงที่อ้างว่าจะปฏิวัติอุตสาหกรรมการขนส่ง (CR:FreightWaves)

อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า Nikola ซื้อการออกแบบมาจากชายคนหนึ่งในโครเอเชียในราคาเพียงไม่กี่พันดอลลาร์ แต่นี่ไม่ได้หยุดยั้งบริษัทจากการฟ้องร้อง Tesla เป็นเงิน 2 พันล้านดอลลาร์ โดยอ้างว่า Tesla ขโมยการออกแบบของพวกเขาไป ซึ่งเป็นการกระทำที่ดูเหมือนจะขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง

โลกต่างตื่นเต้นกับข่าวของรถบรรทุกปฏิวัติวงการนี้ แต่ความจริงแล้ว เทคโนโลยีที่ Nikola อ้างว่าจะใช้ก็คือเทคโนโลยีก๊าซ CNG เช่นเดียวกับที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในบริษัท dHybrid นั่นเอง

Nikola กำหนดจะเปิดตัวรถบรรทุกสุดล้ำของเขาในเดือนธันวาคม 2016 โดยที่พวกเขาเริ่มรับคำสั่งซื้อล่วงหน้าแล้ว โดยประกาศว่า Nikola One ได้รับการออกแบบ พัฒนา และกำลังอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการประกอบ

แต่ความจริงแล้ว ในเดือนสิงหาคม 2016 Nikola One เป็นเพียงโครงรถบนล้อเท่านั้น ตัวถังยังไม่มาถึงด้วยซ้ำ ไม่มีโรงงานผลิต และตามแหล่งข่าวที่คุ้นเคยกับโครงการนี้ คนงานต้องรีบวิ่งไปร้านฮาร์ดแวร์เพื่อหาชิ้นส่วนพื้นฐาน แต่บัญชี Twitter ของ Nikola Motor Company ก็ยังคงโปรโมตงานอย่างหนัก เน้นย้ำว่ารถบรรทุกจะทำงานได้อย่างสมบูรณ์

ในช่วงต้นเดือนสิงหาคม บริษัทประกาศอย่างกะทันหันว่าพวกเขาได้เปลี่ยนจากเทคโนโลยีก๊าซ CNG ไปเป็นเทคโนโลยีเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน การประกาศนี้ทำให้แม้แต่คนในบริษัทเองยังตกใจ

เมื่อใกล้ถึงวันงานในกลางเดือนพฤศจิกายน ทีมงานทำงานอย่างหนักเพื่อประกอบรถบรรทุกเข้าด้วยกัน แต่ไม่มีแกนมอเตอร์ไฟฟ้าหรือเกียร์ มีเพียงเพลาในโครงรถเปล่าๆ ตัวถังมาถึงในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ประมาณหนึ่งสัปดาห์ก่อนงาน สัญลักษณ์ H2 ซึ่งเป็นสูตรเคมีของไฮโดรเจน ถูกติดอย่างภาคภูมิใจที่ด้านข้างของรถ แม้ว่าจะไม่มีเทคโนโลยีดังกล่าวอยู่ภายในก็ตาม

เมื่อถึงวันสำคัญ Trevor ดูเหมือนจะไม่สามารถระงับอารมณ์ได้เมื่อพูดบนเวที เขาเน้นย้ำถึงความสำเร็จของ Nikola One ว่าเป็น “รถบรรทุกที่ทำงานได้อย่างสมบูรณ์”

แม้ว่าความจริงแล้ว รถบรรทุกทั้งคันจะใช้พลังงานจากสายไฟหลักที่เชื่อมต่อใต้เวที หน้าจอสัมผัสภายในห้องโดยสารดูเหมือนจะเป็นส่วนเดียวของรถบรรทุกที่ทำงานได้จริง ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการตกแต่งที่สวยงามเพื่อหลอกลวงผู้ชมเพียงเท่านั้น

แม้จะมีปัญหามากมาย แต่การนำเสนอของ Trevor ก็สร้างความประทับใจให้กับผู้ชมและสื่อมวลชน ในโลกอินเทอร์เน็ตเต็มไปด้วยกระแสความตื่นเต้น และจากนั้น Nikola ก็เริ่มก้าวสู่การแข่งขันในตลาดอย่างจริงจัง

หลังจากงานในเดือนมกราคม 2017 บริษัทได้ระดมทุนในรอบ Series A นอกจากนี้ Nikola ยังได้ลงนามความร่วมมือกับ Bosch รวมถึงพันธมิตรด้านเซลล์เชื้อเพลิงและไฮโดรเจน

อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไปและความตื่นเต้นจากงานในเดือนธันวาคม 2016 จางหายไป ผู้คนที่ติดตามอย่างใกล้ชิดเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับความคืบหน้าของ Nikola One

ดังนั้นในต้นปี 2018 จึงมีการผลิตวิดีโอของ Nikola One เพื่อขจัดข่าวลือที่ว่ามันไม่ใช่รถบรรทุกที่ทำงานได้จริง วิดีโอมีชื่อว่า “Nikola One in Motion” และดูเหมือนว่าวิดีโอจะสร้างความเชื่อมั่นได้ แม้แต่ผู้ว่าการรัฐ Arizona Doug Ducey ก็ยังประทับใจ เขาตกลงที่จะเป็นเจ้าภาพเพื่อจัดสร้างโรงงานผลิตหลักของ Nikola ในรัฐของเขา

แต่ความจริงที่น่าตกใจก็คือ วิดีโอนั้นเป็นเพียงผลจากการที่ Nikola ลากรถบรรทุกขึ้นไปบนยอดเนิน แล้วปล่อยให้มันไหลลงมาเท่านั้น ไม่น่าแปลกใจที่ผู้ที่ทำงานในวิดีโอต้องเซ็นสัญญาไม่เปิดเผยข้อมูล (NDA) เพื่อปกปิดความจริงนี้

ในเดือนพฤศจิกายน 2019 Trevor Milton ถอนเงินสด 70 ล้านดอลลาร์และซื้อบ้านสุดหรูในรัฐ Utah บ้านราคา 33 ล้านดอลลาร์บนที่ดิน 2,600 เอเคอร์ เขาบอกกับ Wall Street Journal ว่าสถานที่แห่งนี้เป็น “สถานที่พักผ่อนสำหรับครอบครัว เพื่อน และคนอื่นๆ ที่จะมาเพลิดเพลิน” แสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งที่เขาได้รับจากความสำเร็จของ Nikola

ในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2019 Nikola เริ่มเจรจาเพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ วันถัดมา บริษัทประกาศว่าพวกเขาได้แก้ปัญหาที่ท้าทายที่สุดอย่างหนึ่งของเรื่องพลังงานยั่งยืน นั่นคือแบตเตอรี่ความหนาแน่นสูง โดยอ้างว่าต้นแบบแบตเตอรี่ใหม่นี้จะให้พลังงานมากกว่าลิเธียมไอออน 4 เท่า และสามารถขับเคลื่อนรถยนต์ Tesla Model S ได้ไกลกว่า 600 ไมล์

Trevor อ้างว่าเขาได้เห็นเทคโนโลยีนี้ทำงานด้วยตาตัวเอง และสัญญาว่าจะมีการสาธิตให้โลกได้ยลโฉม ซึ่งหลังจากการประกาศนี้ Nikola Motors ก็ได้รับความสนใจอย่างจริงจัง และ Anheuser-Busch ก็เป็นรายแรกที่สั่งจองรถบรรทุก 800 คัน Trevor ประเมินว่ามูลค่าของเทคโนโลยีใหม่นี้จะมีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์

แต่ความจริงที่น่าตกใจก็คือ Nikola ไม่มีสิทธิบัตร วิศวกร นักเคมี หรือบทความวิจัยที่ตีพิมพ์เกี่ยวกับเทคโนโลยีแบตเตอรี่นี้เลย ความจริงก็คือ Nikola ได้ซื้อบริษัทผู้ผลิตแบตเตอรี่ ZapGo มาในราคา 56 ล้านดอลลาร์ แต่ปรากฏว่าเทคโนโลยีของ ZapGo เป็นเพียงการหลอกลวง ไม่มีอยู่จริง

ที่น่าสนใจคือ ZapGo ที่นำโดย Charles Resnick เป็นตัวละครที่น่าสงสัยซึ่งเพิ่งหลอกลวง NASA เมื่อไม่กี่เดือนก่อนที่จะมีการดีลกับ Nikola ซึ่งในภายหลัง Charles ได้รับสารภาพผิดในเดือนมกราคม 2020 แต่ Trevor ยังคงโฆษณาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่ไม่มีอยู่จริงนี้อย่างต่อเนื่อง

ด้วยการที่ไม่มีอะไรมากไปกว่าคำคุยโวว่าบริษัทกำลังสร้างรถบรรทุกที่ปฏิวัติวงการ และเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่เปลี่ยนเกมซึ่งซื้อมาจากบริษัทที่เป็นการหลอกลวง

Nikola เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2020 ผ่านการควบรวมกิจการแบบย้อนกลับ (reverse merger) ซึ่งไม่จำเป็นต้องเปิดเผยรายละเอียดทั้งหมดของบริษัทเหมือนการเสนอขายหุ้น IPO ปกติ

นักลงทุนต่างตื่นเต้น และหุ้นของ Nikola พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายในหนึ่งสัปดาห์หลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์ มูลค่าตลาดของ Nikola พุ่งสูงกว่า Ford มากกว่า 30 พันล้านดอลลาร์ ทั้งที่ Ford ขายรถยนต์ได้ 5.5 ล้านคันในปี 2019 มีรายได้ 155 พันล้านดอลลาร์ ในขณะที่ Nikola แทบจะยังไม่ได้ขายอะไรเลยด้วยซ้ำ

ในวันที่ 8 กันยายน 2020 Nikola Motors ประกาศความร่วมมือมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์กับ General Motors โดย GM จะถือหุ้น 11% ในบริษัท และผลิตรถกระบะไฟฟ้า Nikola Badger ให้กับพวกเขา แต่ไม่มีใครเคยได้ยลโฉม Nikola Badger คันจริงๆ เลย มีแต่ภาพเรนเดอร์เท่านั้น

Nikola Badger ที่มีเพียงแต่ภาพเรนเดอร์ (CR:InsideEVs)
Nikola Badger ที่มีเพียงแต่ภาพเรนเดอร์ (CR:InsideEVs)

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2020 เมื่อบริษัทลงทุนที่เน้นการขายหุ้นชอร์ต Hindenburg Research เผยแพร่รายงานที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง เรียก Nikola Motors ว่าเป็น “การฉ้อโกงที่ซับซ้อน” โดยรวบรวมหลักฐานมากมาย ทั้งการบันทึกการโทรศัพท์ ข้อความ อีเมลส่วนตัว และภาพถ่ายเบื้องหลัง ซึ่งแสดงรายละเอียดคำแถลงเท็จหลายสิบรายการของ Trevor Milton

หลังจากรายงานนี้เผยแพร่ Trevor ได้ออกมากล่าวว่าจะโต้แย้งข้อกล่าวหาทั้งหมด แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขากลับลบบัญชีโซเชียลมีเดียของเขาและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

ในวันที่ 21 กันยายน Trevor ลาออกจากตำแหน่งประธาน และ Stephen Girsky อดีตรองประธานของ GM เข้ามารับตำแหน่งแทน หุ้นของ Nikola ดิ่งลง 40% และการเจรจาระหว่าง Nikola กับพันธมิตรรายอื่นๆ หยุดชะงัก

ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2021 คณะลูกขุนใหญ่ของรัฐบาลกลางตั้งข้อหา Trevor Milton 3 ข้อหาเกี่ยวกับการฉ้อโกงทางอาญา สำนักงานอัยการสหรัฐในแมนฮัตตันกล่าวหามหาเศรษฐีวัย 39 ปีว่าโกหกนักลงทุน ให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับบริษัท และฉ้อโกง

นอกจากนี้ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) ยังยื่นฟ้องข้อหาฉ้อโกงหลักทรัพย์ทางแพ่งต่อเขา โดยขอให้ศาลสั่งห้ามเขาดำรงตำแหน่งในบริษัทแบบถาวร และสั่งให้เขาจ่ายค่าปรับ รวมถึงคืนรายได้ใดๆ ที่ได้มาจากการหลอกลวงของเขา

แน่นอนว่า Trevor Milton ปฏิเสธการกระทำผิดทั้งหมดและให้การปฏิเสธต่อข้อกล่าวหา ในขณะเดียวกัน Nikola ยังคงดำเนินธุรกิจต่อไปภายใต้การบริหารงานชุดใหม่ แต่ต้องบอกว่าการแก้ไขทิศทางของบริษัทที่สร้างขึ้นจากคำกล่าวอ้างที่หลอกลวงโดยคนโกหกหน้าด้าน ๆ นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย

ข้อตกลงกับ GM ยังคงอยู่ในสภาวะคลุมเครือ ราคาหุ้นอยู่ในระดับต่ำสุดตลอดกาล และความเชื่อมั่นในบริษัทลดลงทุกวัน Bosch, General Motors และนักลงทุนอีกมากมายต้องแบกรับภาระนี้

คำถามสำคัญที่ต้องถามคือ บริษัทเหล่านี้ไม่ได้ทำการตรวจสอบ due diligence อย่างถี่ถ้วนก่อนเข้าร่วมลงทุนหรือทำสัญญากับ Nikola หรืออย่างไร

เรื่องราวของ Trevor Milton และ Nikola Motors เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับนักลงทุนและอุตสาหกรรมเทคโนโลยี มันแสดงให้เห็นว่าความกระตือรือร้นที่จะเป็นส่วนหนึ่งของ “The Next Big Things” อาจทำให้ผู้คนมองข้ามสัญญาณเตือนภัยที่สำคัญได้ง่ายเพียงใด

แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าสิ่งที่คุณสัญญาไว้กลายเป็นเรื่องยากกว่าที่มโนไว้มาก? เมื่อไหร่ที่คุณจะผ่านจุดที่ไม่มีทางที่จะหันหัวกลับและต้องโกหกต่อไปจนกว่าจะถูกจับได้? สำหรับ Trevor Milton เขาเลือกที่จะโกหกต่อไปจนถึงที่สุด โดยหวังว่าจะสามารถทำให้คำคุยโวโอ้อวดของเขาเป็นจริงได้ก่อนที่ความจริงจะถูกเปิดเผย

ในแง่หนึ่ง เรื่องราวของ Trevor Milton และ Nikola Motors ก็อาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องราวที่สร้างแรงบันดาลใจ บางทีเขาอาจทำทั้งหมดนี้เพื่อดูแลครอบครัวที่เคยทุกข์ทรมานมากในช่วงวัยเด็ก แต่มันก็อาจเป็นเพียงความโลภล้วนๆ ก็ได้ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด การกระทำของเขาก็สร้างความเสียหายอย่างมหาศาลให้กับนักลงทุน พนักงาน และความน่าเชื่อถือของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าโดยรวม

บทเรียนสำคัญจากเรื่องราวนี้คือ การตรวจสอบข้อเท็จจริงและการวิเคราะห์อย่างละเอียดเป็นสิ่งจำเป็นในโลกธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า นักลงทุนควรระมัดระวังกับคำคุยโวที่ฟังดูดีเกินจริงและตรวจสอบข้อมูลอย่างถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจลงทุน

ในขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการควรตระหนักถึงความรับผิดชอบที่มาพร้อมกับการระดมทุนและการสร้างความคาดหวังให้กับสาธารณชน การโกหกหรือการสร้างภาพลวงตาอาจนำไปสู่ผลกำไรในระยะสั้น แต่ในระยะยาวแล้ว มันสามารถทำลายชื่อเสียงและอาชีพของคุณได้อย่างสิ้นเชิง

ท้ายที่สุด เรื่องราวของ Nikola Motors เป็นเครื่องเตือนใจว่าในโลกของนวัตกรรมและการลงทุน ความจริงมักจะปรากฏในที่สุด และผลของการหลอกลวงนั้นมีราคาแพงเกินกว่าที่ใครจะจ่ายไหว การสร้างธุรกิจบนพื้นฐานของความซื่อสัตย์และความโปร่งใสอาจเป็นเส้นทางที่ยากกว่า แต่ก็เป็นเส้นทางเดียวที่จะนำไปสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืนได้อย่างแท้จริง

References :

  1. CNBC – https://www.cnbc.com/2021/07/29/us-prosecutors-charge-trevor-milton-founder-of-electric-carmaker-nikola-with-three-counts-of-fraud.html
  2. The Verge – https://www.theverge.com/2020/9/21/21449203/nikola-trevor-milton-resigns-fraud-allegations-hindenburg-research
  3. Bloomberg – https://www.bloomberg.com/news/articles/2020-09-28/nikola-founder-milton-s-fall-reveals-what-his-backers-feared
  4. Financial Times – https://www.ft.com/content/6711e9c0-dda5-43ab-89e7-7b17f10f87db
  5. https://en.wikipedia.org/wiki/Trevor_Milton

Geek Life EP25 : เยียวยาตัวเอง เปลี่ยนชีวิต เปลี่ยนบาดแผลเป็นพลัง บทเรียนจากหนังสือ ‘How to Do the Work’

ในโลกที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและความเครียด การดูแลสุขภาพจิตและร่างกายของเราเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง แต่บ่อยครั้งที่เราละเลยความสำคัญของการเยียวยาตนเอง Nicole LePera นักจิตวิทยาคลินิกและผู้เขียนหนังสือ “How to Do the Work” ได้แบ่งปันประสบการณ์ส่วนตัวและความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับการเยียวยาตนเองในหนังสือเล่มนี้

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/mt72z54b

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/2f4x4few

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/pSobZfil71I

20% ที่ใช่ ชีวิตก็เปลี่ยนได้ : ทำน้อยแต่ได้เยอะ กับวิธีการปฏิวัติชีวิตด้วยกฎพาเรโต

ต้องบอกว่าหลักการหนึ่งที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้คนได้อย่างมหาศาล คือหลักการ 80/20 หรือที่รู้จักกันในชื่อ “กฎพาเรโต” ซึ่งคิดค้นโดย Vilfredo Pareto นักเศรษฐศาสตร์ชาวอิตาเลียนในช่วงปลายศตวรรษที่ 19

แก่นแท้ของหลักการนี้ก็คือ 80% ของผลลัพธ์มาจาก 20% ของสาเหตุ หรือพูดอีกนัยหนึ่งคือ 80% ของสิ่งที่เราต้องการในชีวิตมาจาก 20% ของสิ่งที่เราทำ แนวคิดนี้อาจฟังดูเรียบง่าย แต่เมื่อนำไปประยุกต์ใช้อย่างชาญฉลาด มันสามารถเปลี่ยนแปลงวิธีที่เราจัดการกับเวลา ทรัพยากร และความสัมพันธ์ได้อย่างสิ้นเชิง

ลองนึกภาพว่าคุณกำลังยืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้ามากมาย แต่คุณมักจะหยิบเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ชิ้นมาใส่ซ้ำๆ นี่คือตัวอย่างง่ายๆ ของหลักการ 80/20 ในชีวิตประจำวัน เสื้อผ้า 20% ในตู้ของคุณถูกใช้งาน 80% ของเวลา ส่วนที่เหลือแทบไม่ได้ถูกแตะต้องเลย

แต่หลักการนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องเสื้อผ้าเท่านั้น มันสามารถนำไปใช้ได้กับเกือบทุกแง่มุมของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน ความสัมพันธ์ หรือแม้แต่การพักผ่อนหย่อนใจ ลองมาดูตัวอย่างที่น่าสนใจกันครับ

ในด้านการทำงาน หากคุณเป็นพนักงานขาย คุณอาจพบว่า 80% ของยอดขายของคุณมาจากลูกค้าเพียง 20% เท่านั้น หรือถ้าคุณเป็นโปรแกรมเมอร์ คุณอาจพบว่า 80% ของข้อผิดพลาดในโค้ดของคุณมาจากเพียง 20% ของโค้ดทั้งหมด การตระหนักถึงความจริงนี้จะช่วยให้คุณจัดลำดับความสำคัญและทุ่มเทความพยายามไปในทิศทางที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด

ในด้านความสัมพันธ์ คุณอาจพบว่า 80% ของความสุขและความพึงพอใจในชีวิตของคุณมาจากการใช้เวลากับคนเพียง 20% ในชีวิตของคุณ นี่ไม่ได้หมายความว่าคุณควรละเลยคนอื่นๆ แต่มันเป็นการเตือนใจให้คุณให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ที่มีคุณค่าและมีความหมายอย่างแท้จริง

แม้แต่ในเรื่องของการพักผ่อนหย่อนใจ หลักการ 80/20 ก็สามารถนำมาใช้ได้ คุณอาจพบว่า 80% ของความสนุกสนานและความผ่อนคลายของคุณมาจากกิจกรรมยามว่างเพียง 20% ที่คุณทำ ดังนั้น แทนที่จะพยายามทำกิจกรรมมากมายเพื่อ “พักผ่อน” คุณอาจจะโฟกัสไปที่กิจกรรมที่ให้ความสุขและความผ่อนคลายกับคุณจริงๆ

การนำหลักการ 80/20 ไปใช้ในชีวิตประจำวัน

  1. สำรวจและวิเคราะห์: ขั้นตอนแรกในการนำหลักการ 80/20 ไปใช้คือการสำรวจและวิเคราะห์กิจกรรมต่างๆ ในชีวิตของคุณ ลองจดบันทึกสิ่งที่คุณทำในแต่ละวันและผลลัพธ์ที่ได้ คุณอาจจะประหลาดใจที่พบว่ามีเพียงไม่กี่กิจกรรมที่สร้างผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ
  2. จัดลำดับความสำคัญ: เมื่อคุณระบุ 20% ที่สร้างผลลัพธ์ 80% ได้แล้ว ให้จัดลำดับความสำคัญของกิจกรรมเหล่านี้ ทุ่มเทเวลาและพลังงานให้กับสิ่งที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด
  3. ลดหรือกำจัด: พิจารณาลดหรือกำจัดกิจกรรมที่ให้ผลตอบแทนต่ำ (80% ของกิจกรรมที่ให้ผลลัพธ์เพียง 20%) ออกไป นี่อาจหมายถึงการเลิกนิสัยบางอย่าง การปฏิเสธงานบางชิ้น หรือการมอบหมายงานให้ผู้อื่น
  4. ฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง: การนำหลักการ 80/20 ไปใช้ไม่ใช่เรื่องที่ทำครั้งเดียวแล้วจบ แต่เป็นกระบวนการที่ต้องฝึกฝนและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ทบทวนและปรับเปลี่ยนวิธีการของคุณเป็นระยะ
  5. ยืดหยุ่นและปรับตัว: แม้ว่าหลักการ 80/20 จะมีประโยชน์มาก แต่ก็ไม่ควรยึดติดกับมันจนเกินไป บางครั้งสถานการณ์อาจเปลี่ยนแปลงและคุณต้องปรับตัวให้เข้ากับความท้าทายใหม่ๆ

ผลลัพธ์ที่น่าทึ่งของการใช้หลักการ 80/20

เมื่อคุณเริ่มนำหลักการ 80/20 ไปใช้อย่างจริงจัง คุณอาจพบกับการเปลี่ยนแปลงที่น่าทึ่งในชีวิตของคุณ:

  1. เพิ่มประสิทธิภาพ: คุณจะพบว่าคุณสามารถทำงานได้มากขึ้นในเวลาที่น้อยลง เพราะคุณโฟกัสไปที่สิ่งที่สำคัญจริงๆ
  2. ลดความเครียด: การตัดกิจกรรมที่ไม่จำเป็นออกไปจะช่วยลดความเครียดและความวุ่นวายในชีวิตของคุณ
  3. เพิ่มความพึงพอใจ: การใช้เวลากับสิ่งที่มีความหมายและให้ผลตอบแทนสูงจะช่วยเพิ่มความพึงพอใจในชีวิตของคุณ
  4. พัฒนาความสัมพันธ์: การให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ที่มีคุณค่าจะช่วยพัฒนาคุณภาพของความสัมพันธ์ในชีวิตของคุณ
  5. เพิ่มโอกาสความสำเร็จ: การโฟกัสไปที่สิ่งที่สร้างผลกระทบมากที่สุดจะเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จของคุณ

ข้อควรระวังในการใช้หลักการ 80/20

แม้ว่าหลักการ 80/20 จะมีประโยชน์มาก แต่ก็มีข้อควรระวังบางประการที่คุณควรคำนึงถึง:

  1. อย่าละเลยสิ่งสำคัญอื่นๆ: แม้ว่า 20% จะสร้างผลลัพธ์ส่วนใหญ่ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า 80% ที่เหลือไม่สำคัญเลย บางครั้งสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ก็มีความสำคัญในการสร้างภาพรวมที่สมบูรณ์
  2. ระวังการตีความผิด: หลักการ 80/20 เป็นแนวคิด ไม่ใช่กฎตายตัว อย่ายึดติดกับตัวเลขมากเกินไป บางครั้งอาจเป็น 70/30 หรือ 90/10 ก็ได้
  3. อย่าละเลยการพัฒนาตนเอง: การโฟกัสเฉพาะสิ่งที่คุณเก่งอยู่แล้วอาจทำให้คุณพลาดโอกาสในการพัฒนาทักษะใหม่ๆ
  4. รักษาสมดุล: การใช้หลักการ 80/20 ไม่ได้หมายความว่าคุณควรทำงานหนักขึ้นในเวลาที่น้อยลง แต่หมายถึงการทำงานอย่างชาญฉลาดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  5. ยืดหยุ่นและปรับตัว: สิ่งที่เป็น 20% ที่สำคัญในวันนี้อาจไม่ใช่ในอนาคต ดังนั้นต้องพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนและประเมินสถานการณ์ใหม่อยู่เสมอ

บทส่งท้าย: พลังแห่งการเปลี่ยนแปลง

หลักการ 80/20 ไม่ใช่เพียงทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ แต่เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการเปลี่ยนแปลงชีวิต การนำหลักการนี้ไปใช้อย่างชาญฉลาดสามารถช่วยให้เราบรรลุเป้าหมาย มีความสุขมากขึ้น และใช้ชีวิตอย่างมีความหมายมากขึ้น

แต่เช่นเดียวกับเครื่องมืออื่นๆ ประสิทธิภาพของหลักการ 80/20 ขึ้นอยู่กับวิธีการใช้งาน การนำไปปฏิบัติจริงอย่างต่อเนื่อง และการปรับใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของแต่ละคนเป็นสิ่งสำคัญ

ท้ายที่สุด การเปลี่ยนแปลงใดๆ ในชีวิตไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ด้วยความมุ่งมั่นและความเข้าใจในหลักการ 80/20 คุณสามารถเริ่มต้นการเดินทางสู่ชีวิตที่มีประสิทธิภาพ มีความสุข และประสบความสำเร็จมากขึ้นได้ เริ่มต้นวันนี้ด้วยการมองหา 20% ที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคุณ และดูว่ามันจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ 80% ได้อย่างไร

ถึงแม้ว่าเราจะไม่สามารถควบคุมทุกสิ่งในชีวิตได้ แต่เราสามารถเลือกที่จะโฟกัสไปที่สิ่งที่สำคัญที่สุดได้ และนั่นคือพลังที่แท้จริงของหลักการ 80/20

References :
THE 80/20 PRINCIPLE by Richard Koch | Core Message
https://youtu.be/2YDR5-Mij1c?si=E2n3UMHSrE-EuICL