นักลงทุนอัจฉริยะหรือนักพนันผู้โชคดี? ถอดรหัสความสำเร็จของ Masayoshi Son ฉายา ‘คนบ้า’ แห่งวงการเทคโนโลยี

ในโลกแห่งธุรกิจและเทคโนโลยี มีชื่อหนึ่งที่โดดเด่นและสร้างความฮือฮามาโดยตลอด นั่นคือ มาซาโยชิ ซัน (Masayoshi Son) ชายผู้มาจากครอบครัวผู้อพยพเกาหลีที่ต้องเริ่มต้นชีวิตด้วยความยากจนในญี่ปุ่น แต่กลับสามารถก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกเทคโนโลยี

เรื่องราวของมาซาโยชิเริ่มต้นจาก ปู่ย่าตายายของเขาอพยพมาญี่ปุ่นจากเกาหลีใต้โดยซ่อนตัวในเรือประมงเล็กๆ พวกเขามาถึงญี่ปุ่นโดยไม่มีอะไรติดตัวเลย ไม่มีอาหาร ไม่มีที่พัก และไม่สามารถพูดภาษาญี่ปุ่นได้

ชีวิตในวัยเด็กของมาซาโยชิก็ไม่ได้สดใสนัก เขาถูกมองว่าเป็นคนนอกในสังคมญี่ปุ่นเพราะเชื้อสายของเขา เพื่อนร่วมชั้นถึงกับขว้างก้อนหินใส่เขา ส่วนพ่อของเขาแทบจะหาเงินไม่พอเลี้ยงปากท้องครอบครัว ต้องทำงานสารพัดอย่างเท่าที่จะหาได้ ตั้งแต่เลี้ยงหมูไปจนถึงขายเหล้าเถื่อน

แต่ด้วยความมุ่งมั่นและความฝันอันยิ่งใหญ่ เด็กชายผู้นี้ได้วางแผนชีวิตของตัวเองตั้งแต่ยังเรียนมัธยมต้น เขาตั้งใจว่าจะเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จที่สุดในญี่ปุ่น ความมุ่งมั่นนี้นำพาให้เขาได้พบกับ เด็น ฟูจิตะ ผู้นำแมคโดนัลด์เข้ามาในญี่ปุ่น ซึ่งต่อมากลายเป็นแรงบันดาลใจสำคัญของเขา

ด้วยคำแนะนำของฟูจิตะ มาซาโยชิตัดสินใจเดินทางไปอเมริกาเพื่อไล่ตามความฝันทางธุรกิจ เมื่ออายุเพียง 16 ปี เขาเดินทางไปแคลิฟอร์เนีย ฝึกภาษาอังกฤษ และเข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมปลายอเมริกัน

แต่ด้วยความกระตือรือร้นและความสามารถอันโดดเด่น เขาสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้อย่างรวดเร็ว โดยเรียนเศรษฐศาสตร์และวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย

ช่วงเวลาในมหาวิทยาลัยเป็นจุดเริ่มต้นของการผจญภัยทางธุรกิจของมาซาโยชิ เขาเริ่มคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ โดยใช้เวลาเพียงวันละ 5 นาที ด้วยความคิดที่ว่านี่คือการใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด

แนวคิดนี้นำไปสู่การคิดค้นอุปกรณ์แปลภาษาพกพา ซึ่งต่อมาเขาได้ขายสิทธิบัตรให้กับบริษัท Sharp ในราคา 1.7 ล้านดอลลาร์ ทำให้เขากลายเป็นเศรษฐีเงินล้านตั้งแต่อายุเพียง 19 ปี

นอกจากนี้ มาซาโยชิยังริเริ่มธุรกิจนำเข้าเครื่องเกมอาร์เคด Space Invaders จากญี่ปุ่นมาสู่สหรัฐฯ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว สร้างกำไรให้เขามากกว่า 1 ล้านดอลลาร์ภายในเวลาเพียง 6 เดือน

ความสำเร็จเหล่านี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเดินทางอันยาวไกลของมาซาโยชิ ซัน สู่การเป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกเทคโนโลยี

การก่อตั้ง SoftBank และการผจญภัยในโลกเทคโนโลยี

หลังจากจบการศึกษา มาซาโยชิกลับไปญี่ปุ่นตามที่สัญญากับแม่ไว้ ด้วยเงินที่หาได้จากอเมริกา เขาตั้งใจจะสร้างธุรกิจที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมในบ้านเกิด หลังจากวิเคราะห์ไอเดียธุรกิจหลายสิบแบบ เขาตัดสินใจก่อตั้งบริษัทจัดจำหน่ายซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ชื่อ SoftBank

แม้ว่าในช่วงต้นทศวรรษ 1980 คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลจะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่มาซาโยชิมองเห็นศักยภาพอันยิ่งใหญ่ของอุตสาหกรรมนี้ เขาเชื่อมั่นว่า SoftBank จะก้าวขึ้นเป็นบริษัทจัดจำหน่ายซอฟต์แวร์อันดับหนึ่งในญี่ปุ่น แม้ว่าตัวเขาเองจะไม่มีประสบการณ์ด้านซอฟต์แวร์เลยก็ตาม

การเริ่มต้นของ SoftBank ไม่ได้ราบรื่นนัก มาซาโยชิพยายามสร้างความสนใจในธุรกิจคอมพิวเตอร์ด้วยการทำนิตยสาร แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ หลายคนแนะนำให้เขาล้มเลิก แต่ด้วยความมุ่งมั่นและวิสัยทัศน์อันกว้างไกล เขายังคงทุ่มเททรัพยากรและความพยายามเข้าไปในธุรกิจนี้อย่างต่อเนื่อง

ในที่สุด ความพยายามของเขาก็เริ่มเห็นผล SoftBank ได้รับประโยชน์จากความต้องการคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงต้นทศวรรษ 1990 แต่แล้วโชคร้ายก็เกิดขึ้น มาซาโยชิได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง จนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล

ช่วงเวลาแห่งความยากลำบากนี้กลับกลายเป็นแรงผลักดันให้มาซาโยชิมุ่งมั่นที่จะทำอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม เร็วกว่าเดิม และกล้าได้กล้าเสียมากขึ้น เพราะเขาตระหนักว่าชีวิตนั้นสั้นเกินกว่าจะเสียเวลาไปกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ

ในช่วงกลางทศวรรษ 1990 SoftBank เติบโตอย่างรวดเร็ว มีพนักงานถึง 800 คนและมีรายได้พันล้านดอลลาร์ มาซาโยชินำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์เพื่อระดมทุนเพิ่มเติม และเริ่มขยายการลงทุนไปสู่บริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ

หนึ่งในการลงทุนที่โดดเด่นที่สุดของเขาคือการลงทุนในบริษัท Yahoo ด้วยมูลค่า 40 ล้านดอลลาร์ เมื่อ Yahoo เข้าตลาดหลักทรัพย์ไม่นานหลังจากนั้น มูลค่าของมันพุ่งขึ้นเป็น 808 ล้านดอลลาร์ สร้างผลตอบแทนมหาศาลให้กับ SoftBank

มาซาโยชิไม่เคยหยุดนิ่ง เขามักจะนำเงินที่ได้ไปลงทุนต่อในโอกาสใหม่ๆ เสมอ เมื่อถึงปลายทศวรรษ 1990 SoftBank ได้กลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่ทำหน้าที่เหมือนกองทุนร่วมลงทุน (venture capital fund) โดยเน้นการซื้อและลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีที่มาซาโยชิเชื่อมั่นในศักยภาพ

การลงทุนของมาซาโยชิมักจะเป็นไปอย่างรวดเร็วและกล้าได้กล้าเสีย เช่น การลงทุน 400 ล้านดอลลาร์ใน E-Trade หลังจากโทรศัพท์คุยกับผู้ก่อตั้งเพียงครั้งเดียว หรือการลงทุน 20 ล้านดอลลาร์ใน Alibaba ทั้งที่บริษัทยังไม่มีแผนธุรกิจหรือรายได้ชัดเจน เพียงเพราะเขาเห็น “ประกายในดวงตา” ของ Jack Ma ผู้ก่อตั้ง

มาซาโยชิ ที่เห็นอะไรบางอย่างในตัว Jack Ma (CR:Manager Magazin)
มาซาโยชิ ที่เห็นอะไรบางอย่างในตัว Jack Ma (CR:Manager Magazin)

แม้ว่าไม่ใช่ทุกการลงทุนจะประสบความสำเร็จ แต่มาซาโยชิเข้าใจดีว่าในโลกของการลงทุนแบบ venture capital เพียงเจอห่านทองคำในธุรกิจที่ประสบความสำเร็๗เพียงรายเดียวก็สามารถเอาชนะความล้มเหลวอื่นๆ ทั้งหมดได้ เขาไม่จำเป็นต้องถูกต้องในทุกการลงทุน ตราบใดที่เขามีความสำเร็จครั้งใหญ่ไม่กี่ครั้ง

Vision Fund และความท้าทายในยุค AI

ในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 มาซาโยชิยังคงมองหาโอกาสใหม่ๆ อยู่เสมอ เขาเล็งเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อไปในวงการเทคโนโลยีจะเป็นการเปลี่ยนจากคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลไปสู่มือถือ ด้วยวิสัยทัศน์นี้ เขาได้ติดต่อ Steve Jobs และขอสิทธิ์ขาย iPhone แต่เพียงผู้เดียวในญี่ปุ่น

แม้ว่า Jobs จะปฏิเสธในตอนแรกเพราะ SoftBank ไม่ได้เป็นเจ้าของบริษัทมือถือในญี่ปุ่น แต่มาซาโยชิก็ไม่ย่อท้อ เขาตัดสินใจซื้อ Vodafone Japan ในราคาประมาณ 20 พันล้านดอลลาร์ เพื่อให้ได้สิทธิ์นั้นมา การตัดสินใจอันกล้าหาญนี้ทำให้ SoftBank สามารถขายสัญญาโทรศัพท์ได้จำนวนมหาศาล เพราะทุกคนต่างตื่นเต้นที่จะได้ใช้ iPhone รุ่นใหม่

ต่อมา มาซาโยชิได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ว่าจะเป็นการปฏิวัติครั้งใหญ่ต่อไปในวงการเทคโนโลยี เขาเชื่อว่าสังคมกำลังเข้าใกล้จุดที่เรียกว่า Singularity ซึ่งเป็นจุดที่ปัญญาประดิษฐ์จะเหนือกว่าสติปัญญาของมนุษย์ ด้วยความเชื่อนี้ เขาจึงริเริ่มโครงการ Vision Fund

Vision Fund เป็นกองทุนร่วมลงทุนขนาดมหึมาถึง 100 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งใหญ่กว่ากองทุนอื่นๆ กว่า 4 เท่า วัตถุประสงค์หลักของกองทุนนี้คือการลงทุนในเทคโนโลยี AI และบริษัทที่นำ AI มาประยุกต์ใช้ในธุรกิจ

การระดมทุนสำหรับ Vision Fund เป็นเรื่องที่น่าทึ่ง มาซาโยชิสามารถระดมทุนเบื้องต้น 45 พันล้านดอลลาร์จากซาอุดีอาระเบียภายในเวลาเพียง 45 นาที นอกจากนี้ ยังมีเงินลงทุนจาก SoftBank เอง รวมถึงจากอาบูดาบี และบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Apple และ Foxconn

อย่างไรก็ตาม Vision Fund ก็ไม่ได้ปราศจากข้อวิพากษ์วิจารณ์ หลายคนกล่าวหาว่ามาซาโยชิกำลังสร้างฟองสบู่ขนาดใหญ่และบิดเบือนมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทต่างๆ โดยการทุ่มเงินมหาศาลเข้าไปในบริษัทที่อาจไม่ได้เป็น “บริษัทเทคโนโลยี” อย่างแท้จริง

นอกจากนี้ วิธีการลงทุนของมาซาโยชิที่มักจะตัดสินใจอย่างรวดเร็วโดยอาศัยสัญชาตญาณและการประชุมเพียงไม่กี่นาที ก็ถูกวิจารณ์ว่าเป็นการประมาทเลินเล่อ ตัวอย่างเช่น การลงทุน 4 พันล้านดอลลาร์ใน WeWork หลังจากการประชุมที่ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง โดยที่เขาไม่ได้ดูเอกสารนำเสนอด้วยซ้ำ

มาซาโยชิ ที่ดูเหมือนจะผิดพลาดกับ WeWork (CR:Mingtiandi)
มาซาโยชิ ที่ดูเหมือนจะผิดพลาดกับ WeWork (CR:Mingtiandi)

มาซาโยชิยังถูกกล่าวหาว่าใช้เงินทุนเป็นอาวุธ โดยทุ่มเงินไม่จำกัดให้กับบริษัทต่างๆ ด้วยความเชื่อว่าสตาร์ทอัพที่มีเงินทุนมากที่สุดจะสามารถเอาชนะคู่แข่งได้ในตลาดที่มีผู้ชนะเพียงรายเดียว แต่วิธีการนี้ก็ทำให้หลายบริษัทละเลยการสร้างธุรกิจที่ยั่งยืนและทำกำไรได้จริง

แม้จะมีข้อวิพากษ์วิจารณ์มากมาย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามาซาโยชิ ซัน เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลกเทคโนโลยี เขามีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและความกล้าที่จะเสี่ยง ซึ่งทำให้เขาสามารถมองเห็นโอกาสที่คนอื่นมองข้าม

บทสรุป: มรดกและคำถามที่ยังคงค้างคาใจ

เรื่องราวของมาซาโยชิ ซัน เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความสำเร็จที่เกิดจากความมุ่งมั่น วิสัยทัศน์ และความกล้าที่จะเสี่ยง เขาเริ่มต้นจากเด็กชายผู้ยากจนในครอบครัวผู้อพยพ และก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกเทคโนโลยี

ตลอดเส้นทางอาชีพของเขา มาซาโยชิได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการมองเห็นแนวโน้มเทคโนโลยีในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล การปฏิวัติอินเทอร์เน็ต การเปลี่ยนแปลงสู่ยุคสมาร์ทโฟน และล่าสุดคือการมาถึงของยุค AI เขามักจะเป็นคนแรกๆ ที่เข้าไปลงทุนในเทคโนโลยีเหล่านี้ และได้รับผลตอบแทนมหาศาล

อย่างไรก็ตาม วิธีการลงทุนของมาซาโยชิก็ไม่ได้ปราศจากข้อโต้แย้ง การตัดสินใจอย่างรวดเร็วโดยอาศัยสัญชาตญาณ และการทุ่มเงินมหาศาลเข้าไปในบริษัทที่ยังไม่มีกำไร ทำให้หลายคนสงสัยว่าเขากำลังสร้างฟองสบู่ขนาดใหญ่หรือไม่ นอกจากนี้ ยังมีคำถามเกี่ยวกับผลกระทบของการลงทุนแบบ “ทุ่มสุดตัว” ของเขาที่มีต่อระบบนิเวศของสตาร์ทอัพและตลาดเทคโนโลยีโดยรวม

แม้ว่าจะมีทั้งผู้สนับสนุนและผู้วิจารณ์ แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ มาซาโยชิ ซัน ได้สร้างผลกระทบอย่างมหาศาลต่อโลกเทคโนโลยี การลงทุนของเขาได้ช่วยให้บริษัทมากมายเติบโตและสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คนทั่วโลก

ในขณะเดียวกัน เรื่องราวของเขาก็เป็นบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับความสมดุลระหว่างความกล้าที่จะเสี่ยงและความรอบคอบในการลงทุน แม้ว่าความกล้าและวิสัยทัศน์ของมาซาโยชิจะน่าชื่นชม แต่ก็เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องพิจารณาถึงความยั่งยืนและผลกระทบระยะยาวของการตัดสินใจทางธุรกิจด้วย

ท้ายที่สุดแล้ว คำถามที่ยังคงค้างคาใจคือ มาซาโยชิ ซัน เป็นนักลงทุนอัจฉริยะที่มองเห็นอนาคตได้ชัดเจนกว่าใคร หรือเป็นเพียงนักพนันที่โชคดีกันแน่? คำตอบอาจจะไม่ใช่เพียงข้อใดข้อหนึ่ง แต่อาจเป็นการผสมผสานระหว่างความฉลาด วิสัยทัศน์ ความกล้า และโชคที่เข้ากันได้อย่างลงตัว

ไม่ว่าจะอย่างไร เรื่องราวของมาซาโยชิ ซัน ก็เป็นแรงบันดาลใจให้เราตั้งเป้าหมายให้สูงขึ้น กล้าที่จะฝัน และไม่กลัวที่จะเสี่ยงเพื่อสิ่งที่เราเชื่อ แม้ว่าไม่ใช่ทุกคนจะสามารถหรือควรทำตามแนวทางของเขาทั้งหมด แต่เราทุกคนสามารถเรียนรู้จากความมุ่งมั่นและวิสัยทัศน์ของเขาได้

ในท้ายที่สุด มรดกของมาซาโยชิ ซัน อาจไม่ใช่แค่บริษัทที่เขาสร้างหรือเงินที่เขาทำได้ แต่เป็นการกระตุ้นให้เราทุกคนคิดใหญ่ มองไกล และกล้าที่จะท้าทายสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะบางทีสิ่งที่ดูเหมือนความบ้าคลั่งในวันนี้ อาจกลายเป็นความปกติในวันข้างหน้าก็เป็นได้นั่นเองครับผม

References :
https://en.wikipedia.org/wiki/Masayoshi_Son
https://money.cnn.com/interactive/technology/masayoshi-son-profile/index.html
https://fortune.com/2023/11/07/wework-bankruptcy-unicorns-venture-capital-softbank-masayoshi-son-billionaire/
https://www.linkedin.com/pulse/from-discrimination-billionaire-story-masayoshi-son-tech-vishwkarma/

Geek Life EP23 : เปลี่ยนชีวิตด้วยพลังนิสัย รู้ทันกลไกสมอง เรียนรู้วิธีสร้าง ‘นิสัยแห่งความสำเร็จ’

ในโลกที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การสร้างนิสัยที่ดีอาจเป็นเรื่องท้าทาย แต่ก็เป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในชีวิต Charles Duhigg ผู้เขียนหนังสือขายดี “The Power of Habit” ได้ศึกษาวิจัยเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง และค้นพบว่าการเข้าใจกลไกการทำงานของนิสัยสามารถช่วยให้เราเปลี่ยนแปลงชีวิตได้อย่างมหัศจรรย์

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/25t9ftsd

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/y8vu2wp8

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/ain5KCyBKM4

เปลี่ยนชีวิตด้วยพลังงานที่ดี : สุขภาพดีเริ่มที่เซลล์ เคล็ดลับสุขภาพแบบใหม่ ที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณตลอดกาล

เมื่อพูดถึงสุขภาพ เรามักนึกถึงอาการภายนอกที่เห็นได้ชัด เช่น น้ำหนักตัว หรือความดันโลหิต แต่ถ้าเราลองมองลึกลงไปในระดับเซลล์ เราจะพบว่าสุขภาพที่แท้จริงเริ่มต้นจากภายใน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากพลังงานที่เซลล์ของเราผลิตขึ้น

Dr. Casey Means แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเมแทบอลิซึม ผู้แต่งหนังสือ Best Seller ของ Amazon อยู่ในขณะนี้อย่าง “Good Energy: The Surprising Connection Between Metabolism and Limitless Health” ได้นำเสนอมุมมองใหม่ที่น่าสนใจ เธอเชื่อว่าสาเหตุหลักของโรคเรื้อรังต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความดันโลหิตสูง เบาหวาน หรือแม้แต่มะเร็ง ล้วนมีจุดกำเนิดมาจากการทำงานที่ผิดปกติของพลังงานในเซลล์ของเรา

แนวคิดนี้อาจฟังดูแปลกใหม่สำหรับหลายคน แต่ลองนึกภาพว่าร่างกายของเราเป็นเหมือนเมืองใหญ่ที่มีเซลล์นับล้านล้านเป็นประชากร แต่ละเซลล์ต้องการพลังงานเพื่อทำหน้าที่ของตัวเอง เมื่อเซลล์ไม่สามารถผลิตพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็เหมือนกับเมืองที่เผชิญวิกฤตพลังงาน ทุกอย่างเริ่มทำงานผิดปกติ และนำไปสู่ปัญหามากมาย

Dr. Means เสนอว่าแทนที่จะมุ่งเน้นการรักษาอาการของโรคต่างๆ เราควรหันมาให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ นั่นคือการปรับปรุงการทำงานของพลังงานในเซลล์ของเรา วิธีการนี้ไม่ใช่การกินยาหรือการผ่าตัด แต่เป็นการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตแบบองค์รวม ทั้งในด้านอาหาร การออกกำลังกาย และการจัดการกับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมต่างๆ

เรื่องราวของแม่ของ Dr. Means เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของปัญหานี้ ในช่วงวัย 40 ปี แม่ของเธอเริ่มมีปัญหาในการควบคุมน้ำหนัก และได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง แพทย์จึงสั่งยา ACE inhibitor เพื่อช่วยขยายหลอดเลือด

เมื่อเข้าสู่วัย 50 ปี เธอมีระดับคอเลสเตอรอลสูงและได้รับยา statin พออายุ 60 ปี เธอเริ่มมีภาวะก่อนเบาหวานและได้รับยา Metformin แต่เมื่ออายุ 71 ปี เธอกลับได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งตับอ่อนระยะที่ 4 และเสียชีวิตเพียง 13 วันหลังจากนั้น

เรื่องราวนี้แสดงให้เห็นว่าปัญหาสุขภาพต่างๆ ที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกัน แท้จริงแล้วอาจเป็นสัญญาณของปัญหาพื้นฐานเดียวกัน นั่นคือการทำงานที่ผิดปกติของพลังงานในเซลล์ การรักษาแบบแยกส่วนที่มุ่งเน้นเพียงการบรรเทาอาการ อาจไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่รากเหง้าได้

แนวคิดเรื่อง “สุขภาพเมแทบอลิก” หรือ “พลังงานที่ดี (Good Energy)” จึงเป็นกุญแจสำคัญในการเข้าใจและแก้ไขปัญหาสุขภาพอย่างยั่งยืน เมื่อเซลล์ของเรามีพลังงานเพียงพอที่จะทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่ ร่างกายทั้งระบบก็จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เรามีสุขภาพที่ดีในภาพรวม

แต่การจะทำความเข้าใจเรื่องนี้ เราต้องย้อนกลับไปดูว่าเซลล์ของเราต้องการอะไรบ้างในการทำงาน เซลล์แต่ละเซลล์ในร่างกายเราต้องการ Adenosine triphosphate (ATP) ซึ่งเป็นโมเลกุลพลังงานที่สำคัญ เพื่อทำหน้าที่หลัก 7 อย่าง ได้แก่ สร้างโปรตีน ซ่อมแซม DNA ส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ การขนส่งโมเลกุลบางชนิด รักษาสมดุล กำจัดของเสีย และผลิตพลังงาน

เมื่อเซลล์ไม่สามารถผลิต ATP ได้อย่างเพียงพอ การทำงานทั้ง 7 อย่างนี้ก็จะเกิดปัญหา นำไปสู่ความผิดปกติต่างๆ ในร่างกาย เช่น การอักเสบเรื้อรัง ภาวะดื้อต่ออินซูลิน และในที่สุดก็นำไปสู่โรคเรื้อรังต่างๆ

แล้วอะไรทำให้เซลล์ของเราผลิตพลังงานได้ไม่ดี? คำตอบคือวิถีชีวิตสมัยใหม่ของเรานั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นการกินอาหารมากเกินไป การขาดสารอาหาร ปัญหาเกี่ยวกับจุลินทรีย์ในลำไส้ การใช้ชีวิตที่ไม่ค่อยเคลื่อนไหว ความเครียดเรื้อรัง การใช้ยาบางชนิด การอดนอน การสัมผัสสารพิษในสิ่งแวดล้อม หรือแม้แต่แสงไฟเทียมที่เราเห็นในยามค่ำคืน ล้วนแต่ส่งผลเสียต่อการทำงานของไมโตคอนเดรีย ซึ่งเปรียบเสมือนโรงงานผลิตพลังงานของเซลล์

เมื่อไมโตคอนเดรียถูกทำลาย มันจะไม่สามารถเปลี่ยนอาหารเป็นพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการสะสมของไขมันในเซลล์และขัดขวางการทำงานปกติ สิ่งนี้นำไปสู่ภาวะดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งเซลล์ไม่สามารถนำกลูโคสเข้าไปใช้ได้ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ร่างกายพยายามแก้ปัญหานี้ด้วยการผลิตอินซูลินมากขึ้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป ระบบนี้ก็จะล้มเหลว นำไปสู่ปัญหาสุขภาพเรื้อรังต่างๆ

ปัญหานี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับคนส่วนน้อย แต่กำลังกลายเป็นวิกฤตสุขภาพระดับชาติ ในสหรัฐอเมริกา ผู้ใหญ่มากกว่า 50% และเด็กเกือบ 30% มีภาวะก่อนเบาหวานหรือเบาหวานชนิดที่ 2 นี่เป็นตัวเลขที่น่าตกใจและแสดงให้เห็นว่าปัญหาสุขภาพเมแทบอลิกกำลังแพร่ระบาดอย่างกว้างขวาง

แต่ข่าวดีก็คือ เราสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ โดยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและอาหารการกิน Dr. Means เสนอแนวทางแบบองค์รวมที่มุ่งเน้นการปรับปรุงสุขภาพเมแทบอลิก ซึ่งรวมถึงการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อเซลล์ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การจัดการความเครียด และการหลีกเลี่ยงสารพิษในสิ่งแวดล้อม

การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจดูเหมือนเป็นเรื่องยาก แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นคุ้มค่ามาก การปรับปรุงสุขภาพเมแทบอลิกไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันโรคเรื้อรัง ยังช่วยเพิ่มพลังงาน ปรับปรุงอารมณ์ และทำให้คุณภาพชีวิตโดยรวมดีขึ้น

แนวคิดเรื่อง “พลังงานที่ดี” นี้ไม่ใช่เพียงทฤษฎีล้าสมัย แต่เป็นวิธีการมองสุขภาพแบบใหม่ที่อยู่บนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ มันท้าทายความเชื่อเดิมๆ ที่ว่าโรคเรื้อรังเป็นส่วนหนึ่งของการแก่ตัวที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และเสนอว่าเราสามารถควบคุมสุขภาพของเราได้มากกว่าที่เราคิด

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงระบบสุขภาพทั้งหมดให้มุ่งเน้นการป้องกันมากกว่าการรักษาไม่ใช่เรื่องง่าย ระบบการแพทย์ปัจจุบันมักจะได้กำไรจากการจัดการโรค ไม่ใช่การรักษาโรค ผู้ป่วยที่มีโรคเรื้อรังหลายโรคมักต้องพบแพทย์เฉพาะทางหลายคน และได้รับยาหลายชนิด

แม้จะได้รับการรักษาแล้ว อาการของพวกเขาก็ยังคงอยู่ การแทรกแซงด้านโภชนาการมักถูกมองข้าม และการอักเสบที่มักได้รับการรักษาด้วยยาหรือการผ่าตัดก็ยังคงกลับมาเป็นซ้ำ

นี่เป็นเพราะระบบการแพทย์ส่วนใหญ่ยังไม่ได้ตระหนักถึงสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา นั่นคือการทำงานผิดปกติของเซลล์และปัญหาเมแทบอลิก แทนที่จะมองว่าโรคต่างๆ เป็นปัญหาแยกส่วน เราควรเริ่มมองว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาใหญ่เดียวกัน นั่นคือ “พลังงานที่ไม่ดี” ในระดับเซลล์

การมองปัญหาในมุมมองใหม่นี้ไม่ได้หมายความว่าเราต้องทิ้งการแพทย์แผนปัจจุบันทั้งหมด แต่เราควรบูรณาการแนวคิดเรื่องสุขภาพเมแทบอลิกเข้าไปในระบบการดูแลสุขภาพ เพื่อให้การรักษาครอบคลุมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

หนึ่งในวิธีที่น่าสนใจในการติดตามสุขภาพเมแทบอลิกคือ “Bio-observability” ซึ่งหมายถึงการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น wearable devices และการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อติดตามตัวบ่งชี้ทางชีวภาพต่างๆ ในร่างกาย

ตัวอย่างเช่น Emily หญิงตั้งครรภ์ 24 สัปดาห์ ทำการทดสอบความทนต่อกลูโคสแบบมาตรฐานและได้รับแจ้งว่าเธอไม่มีเบาหวานขณะตั้งครรภ์ แต่เมื่อเธอใช้เครื่องตรวจวัดน้ำตาลในเลือดแบบต่อเนื่อง (CGM) เธอกลับพบว่าระดับน้ำตาลของเธอสูงกว่าปกติ หากไม่มี CGM เธอจะไม่รู้เลยว่ามีภาวะนี้ ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสี่ยงด้านสุขภาพที่ร้ายแรงทั้งสำหรับแม่และลูก

การมีข้อมูลนี้ทำให้ Emily สามารถจัดการกับภาวะของเธอได้ทันที โดยการปรับเปลี่ยนอาหารและวิถีชีวิต นี่เป็นตัวอย่างที่ดีของการใช้เทคโนโลยีเพื่อเข้าใจและควบคุมสุขภาพของตัวเองได้ดีขึ้น

นอกจาก CGM แล้ว ยังมีการตรวจทางห้องปฏิบัติการอื่นๆ ที่สามารถให้ภาพรวมของสุขภาพเมแทบอลิกได้ เช่น การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดช่วงอดอาหาร (Fasting glucose) ระดับอินซูลินขณะอดอาหาร ความดันโลหิต เส้นรอบเอว อัตราส่วนไตรกลีเซอไรด์ต่อ HDL และอื่นๆ

การเข้าใจตัวบ่งชี้เหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยในการวินิจฉัยโรค แต่ยังช่วยให้เราสามารถป้องกันปัญหาสุขภาพก่อนที่มันจะเกิดขึ้นด้วย เช่น ระดับไตรกลีเซอไรด์สูงมักเป็นผลมาจากการบริโภคน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตที่ผ่านการกลั่นกรองมากเกินไป การรู้เช่นนี้ทำให้เราสามารถปรับเปลี่ยนอาหารได้ก่อนที่ปัญหาจะลุกลามเป็นโรคร้ายแรง

แต่การมีข้อมูลอย่างเดียวไม่เพียงพอ เราต้องรู้วิธีใช้ข้อมูลนั้นเพื่อปรับปรุงสุขภาพด้วย Dr. Means เสนอแนวทางหลายอย่างที่เราสามารถทำได้เพื่อปรับปรุงสุขภาพเมแทบอลิก

ประการแรก เรื่องอาหารการกิน อาหารที่เรารับประทานมีผลโดยตรงต่อสุขภาพของเซลล์ การลดการบริโภคอาหารแปรรูป โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่มีน้ำตาล ธัญพืชขัดขาว และน้ำมันพืช เป็นก้าวแรกที่สำคัญ แทนที่จะบริโภคสิ่งเหล่านี้ เราควรหันมารับประทานอาหารที่ไม่ผ่านการแปรรูป เช่น ผักและผลไม้สด เนื้อสัตว์คุณภาพดี และไขมันที่มีประโยชน์

Dr. Means แนะนำให้รับประทานพืชอินทรีย์ 30 ชนิดที่แตกต่างกันต่อสัปดาห์ รวมถึงผักตระกูลกะหล่ำสองมื้อต่อวัน เธอยังเน้นย้ำความสำคัญของการรับประทานโปรตีนอย่างเพียงพอ โดยแนะนำให้รับประทานโปรตีนอย่างน้อย 30 กรัมต่อมื้อ

นอกจากนี้ การดื่มน้ำสะอาดอย่างเพียงพอก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน Dr. Means แนะนำให้ดื่มน้ำอย่างน้อยครึ่งออนซ์ต่อน้ำหนักตัวหนึ่งปอนด์ต่อวัน และควรใช้เครื่องกรองน้ำที่มีคุณภาพเพื่อกำจัดสารปนเปื้อนที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

ประการที่สอง การออกกำลังกายและการเคลื่อนไหวร่างกาย การนั่งนิ่งๆ เป็นเวลานานเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพเมแทบอลิกที่สำคัญ Dr. Means แนะนำให้เดินอย่างน้อย 7,000 ถึง 10,000 ก้าวต่อวัน ออกกำลังกายระดับปานกลาง 150 นาทีต่อสัปดาห์

การเคลื่อนไหวร่างกายไม่เพียงแต่ช่วยเผาผลาญแคลอรี่ แต่ยังช่วยกระตุ้นการทำงานของไมโตคอนเดรียและปรับปรุงความไวต่ออินซูลินด้วย นอกจากนี้ การสัมผัสกับอุณหภูมิที่แตกต่าง เช่น การอาบน้ำเย็นหรือการใช้ซาวน่า ก็สามารถกระตุ้นการทำงานของเซลล์และปรับปรุงสุขภาพเมแทบอลิกได้

ประการที่สาม การจัดการความเครียดและการนอนหลับ ความเครียดเรื้อรังและการนอนหลับที่ไม่เพียงพอสามารถทำลายสุขภาพเมแทบอลิกได้อย่างรุนแรง Dr. Means แนะนำให้ฝึกสติและทำสมาธิทุกวัน และพยายามนอนหลับให้ได้ 7-8 ชั่วโมงต่อคืน

การลดการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก่อนนอน และการสัมผัสกับธรรมชาติเป็นประจำ สามารถช่วยลดความเครียดและปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับได้ นอกจากนี้ การจำกัดช่วงเวลาในการรับประทานอาหารให้อยู่ในช่วง 8-12 ชั่วโมงต่อวัน ก็สามารถช่วยปรับปรุงการทำงานของระบบเมแทบอลิกได้

ประการสุดท้าย การหลีกเลี่ยงสารพิษในสิ่งแวดล้อม สารเคมีสังเคราะห์มากมายในชีวิตประจำวันของเรา ตั้งแต่สารเคมีในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ไปจนถึงสารกำจัดศัตรูพืชในอาหาร สามารถรบกวนการทำงานของระบบเมแทบอลิกได้ การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติและการรับประทานอาหารอินทรีย์สามารถช่วยลดการสัมผัสกับสารพิษเหล่านี้ได้

การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเหล่านี้อาจดูเหมือนเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ แต่ Dr. Means เน้นย้ำว่าไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่างพร้อมกันทีเดียว การเริ่มต้นทีละเล็กละน้อยและค่อยๆ สร้างนิสัยใหม่ทีละอย่างสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนได้

แนวคิดเรื่อง “พลังงานที่ดี” นี้ไม่ใช่เพียงทฤษฎีทางการแพทย์อีกอย่างหนึ่ง แต่เป็นวิธีการมองสุขภาพแบบใหม่ที่ให้อำนาจแก่เราในการควบคุมสุขภาพของตัวเอง แทนที่จะรอให้เกิดปัญหาแล้วค่อยรักษา เราสามารถป้องกันและรักษาโรคเรื้อรังได้ด้วยการดูแลสุขภาพเมแทบอลิกของเราอย่างจริงจัง

การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน และไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเปลี่ยนนิสัยที่เราสั่งสมมาตลอดชีวิต แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นคุ้มค่ากับความพยายาม ไม่เพียงแต่เราจะมีสุขภาพที่ดีขึ้น แต่เรายังจะมีพลังงานมากขึ้น อารมณ์ดีขึ้น และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นโดยรวม

ในท้ายที่สุด การมี “พลังงานที่ดี” ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของสุขภาพ แต่เป็นเรื่องของการมีชีวิตที่มีคุณภาพ มีพลัง และมีความหมาย เป็นการเปิดประตูสู่โอกาสและประสบการณ์ใหม่ๆ ที่เราอาจไม่เคยคิดว่าจะเป็นไปได้ เมื่อเรามีพลังงานที่ดี เราจะพบว่าเรามีศักยภาพมากกว่าที่เราเคยคิด และสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้มากกว่าที่เราเคยจินตนาการ

References :
หนังสือ : Good Energy: The Surprising Connection Between Metabolism and Limitless Health โดย Casey Means MD