ในโลกของเทคโนโลยีและสื่อสังคมออนไลน์ เรื่องราวของความสำเร็จและความล้มเหลวมักจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและไม่คาดคิด แต่ไม่มีเรื่องราวใดที่น่าสนใจและให้บทเรียนมากไปกว่าเรื่องราวของ Google Plus ซึ่งถือเป็นความพยายามครั้งใหญ่ของ Google ในการก้าวเข้าสู่โลกของเครือข่ายสังคมออนไลน์
หลายคนคิดว่า Google เห็นศักยภาพของสื่อสังคมออนไลน์ช้าเกินไป แต่นั่นไม่ใช่ความจริงอย่างแน่นอน นานก่อนที่เราจะมี Facebook, Twitter และ Instagram หรือแม้แต่ก่อนเครือข่ายสังคมรุ่นแรกๆ อย่าง Bebo และ Myspace
มีเว็บไซต์ชื่อ Friendster.com ซึ่งเป็นหนึ่งในเว็บไซต์เครือข่ายสังคมแรกๆ ที่อนุญาตให้เชื่อมต่อกับเพื่อนและแบ่งปันโพสต์และรูปภาพ ซึ่งจริงๆ แล้ว Friendster นี่เองที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับ Myspace
และดูเหมือน Google น่าจะชนะสงครามเครือข่ายสังคมได้อย่างง่ายดาย ไม่เพียงแต่ Google จะมีเงินทุน ประสบการณ์ พนักงาน และผู้ใช้มากกว่าเท่านั้น แต่ Google ยังเปิดตัวเว็บไซต์เครือข่ายสังคมแรกของพวกเขาในเดือนมกราคม 2004 ซึ่งเร็วกว่า Facebook ไม่กี่สัปดาห์ และเร็วกว่า Twitter และ Instagram นานโข
ย้อนกลับไปในช่วงต้นทศวรรษ 2000 Google เริ่มตระหนักถึงศักยภาพอันมหาศาลของเครือข่ายสังคมออนไลน์ พวกเขาพยายามซื้อ Friendster ซึ่งเป็นหนึ่งในเครือข่ายสังคมยุคแรกๆ ด้วยข้อเสนอมูลค่า 30 ล้านดอลลาร์ในรูปแบบของหุ้น Google
แต่ Friendster ปฏิเสธข้อเสนอนี้ ซึ่งในภายหลังกลายเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ เพราะหุ้น Google ที่เสนอให้นั้นปัจจุบันมีมูลค่ามากกว่าหนึ่งพันล้านดอลลาร์
หลังจากความพยายามซื้อกิจการไม่สำเร็จ Google ตัดสินใจสร้างเครือข่ายสังคมของตัวเองขึ้นมา เริ่มจาก Orkut ในปี 2004
Orkut เป็นบริการเครือข่ายสังคมแรกที่ Google เป็นเจ้าของ เว็บไซต์นี้ตั้งชื่อตามผู้สร้างซึ่งเป็นพนักงานของ Google ชื่อ Orkut เขาเป็นวิศวกรซอฟต์แวร์ชาวตุรกีที่พัฒนาเว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์นี้เป็นโครงการอิสระในขณะที่ทำงานที่ Google เนื่องจาก Google สนับสนุนให้พนักงานทุกคนใช้เวลาทำงานบางส่วนกับโครงการส่วนตัวของตนเอง
Orkut ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ใช้เชื่อมต่อกับทั้งเพื่อนใหม่และเพื่อนเก่า และมีคุณสมบัติหลายอย่างที่มีอยู่ในเครือข่ายสังคมยุคปัจจุบัน เช่น การสร้างโพสต์ของตัวเอง การอัปเดตสถานะ การแบ่งปันรูปภาพ และการกดไลค์และแสดงความคิดเห็นในสิ่งที่เพื่อนของคุณแบ่งปัน
สิ่งที่น่าสนใจคือ Orkut มีจุดเริ่มต้นก่อน Facebook เนื่องจากเปิดตัวในเดือนมกราคม 2004 เพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่ Zuckerberg จะเปิดตัว Facebook ในเดือนกุมภาพันธ์ 2004 แม้ว่าตอนนั้นมันจะถูกเรียกว่า “The Facebook” ก็ตาม
ในขณะที่ Orkut ทำได้ค่อนข้างดี ความนิยมส่วนใหญ่มาจากแถบอินเดียและบราซิล ในปี 2008 Google ประกาศว่า Orkut จะถูกจัดการและดำเนินการอย่างเต็มรูปแบบในประเทศบราซิล
เนื่องจากที่นั่นเป็นที่ที่ผู้ใช้ส่วนใหญ่อยู่ ที่อื่นๆ ความนิยมของ Orkut ได้รับผลกระทบอย่างหนักหลังจากการละเมิดความปลอดภัยครั้งใหญ่ ซึ่งรหัสผ่านและข้อมูลธนาคารรั่วไหล และหลายคนสูญเสียความไว้วางใจในเว็บไซต์
ปัญหาอีกอย่างคือ Orkut มีทีมงานที่ค่อนข้างเล็ก ดังนั้นมักจะล้าหลังในแง่ของคุณสมบัติใหม่ๆ และพวกเขาพบกับความยากลำบากในการกำกับดูแลไซต์อย่างเหมาะสม
มีรายงานว่ามีสแปมและการละเมิดจำนวนมากบนแพลตฟอร์ม และเมื่อรวมทั้งหมดนี้เข้ากับข้อเท็จจริงที่ว่าไซต์สื่อสังคมอื่นๆ เริ่มปรากฏขึ้น เช่น Myspace และ Facebook ซึ่งผู้ใช้ดูเหมือนจะชอบมากกว่า Orkut จึงถูกปิดตัวลงในที่สุด
แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับ Google หลังจาก Orkut ไม่ประสบความสำเร็จ พวกเขาก็กลับไปสู่จุดเริ่มต้นและพยายามสร้างเครือข่ายสังคมอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
Google Friend Connect เปิดตัวในปี 2008 และอนุญาตให้เจ้าของเว็บไซต์ใดๆ เปลี่ยนหน้าเว็บของตนให้เป็นแพลตฟอร์มเครือข่ายสังคมออนไลน์ ผู้ใช้สามารถเข้าสู่ระบบด้วยบัญชี Google และดูว่าเพื่อนคนไหนกำลังใช้ไซต์เดียวกันและแบ่งปันความคิดเห็นบนเว็บไซต์ แต่อีกครั้งที่สิ่งนี้ล้มเหลว
ดังนั้นในปี 2009 พวกเขาจึงเปิดตัว Google Wave และครั้งนี้มีบทความปรากฏขึ้นโดยกล่าวว่า Google Wave อาจเป็นภัยคุกคามต่อ Facebook และ Twitter
โดยนักวิเคราะห์กล่าวว่า Wave อาจเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดในธุรกิจเครือข่ายสังคมออนไลน์ มันถูกอธิบายว่าเป็นการรวมคุณสมบัติของอีเมล การส่งข้อความ การเขียนบล็อก วิกิ การจัดการมัลติมีเดีย และการแบ่งปันเอกสาร ในขณะที่นำเสนอคุณสมบัติเครือข่ายสังคมที่หลากหลาย แต่เหล่าผู้ใช้พบว่ามันซับซ้อนเกินไปที่จะใช้งานและมันก็ไม่เคยประสบความสำเร็จ
Google ยังคงยืนยันอย่างชัดเจนว่าพวกเขาต้องการเครือข่ายสังคมออนไลน์ ดังนั้นในปี 2010 พวกเขาจึงเปิดตัวโครงการใหม่ชื่อ Google Buzz และครั้งนี้ Google มีแนวคิดที่จะรวมบริการใหม่นี้เข้ากับ Gmail
ซึ่งในทางทฤษฎีแล้วมีเหตุผล เนื่องจากพวกเขาสามารถใช้ประโยชน์จากฐานผู้ใช้ขนาดใหญ่ที่พวกเขามีอยู่แล้วแทนที่จะเริ่มต้นจากศูนย์ ปัญหาคือการนำไปใช้จริงนั้นแย่มาก
ผู้ใช้ Gmail ประหลาดใจที่พบว่าวันหนึ่งพวกเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของ Google Buzz แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้สมัครใช้งานก็ตาม และทันใดนั้นรายชื่อผู้ติดต่อทางอีเมลและข้อมูล Gmail อื่นๆ บางส่วนของพวกเขาก็ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ
ตัวอย่างเช่น ผู้ติดต่อทางอีเมลที่พวกเขาใช้บ่อยที่สุดถูกเพิ่มเป็นเพื่อนใน Google Buzz และทุกคนที่พวกเขาแบ่งปันอีเมลด้วยถูกเพิ่มเป็นหนึ่งในผู้ติดตามของพวกเขา ซึ่งสำหรับหลายคนแล้วเป็นเรื่องน่าอึดอัดใจ เนื่องจากพวกเขาอาจไม่ต้องการให้บางส่วนของชีวิตของพวกเขาทับซ้อนกันแบบนี้
สิ่งนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลให้มีผู้ใช้ที่โกรธเคืองจำนวนมากเท่านั้น แต่ยังนำไปสู่การฟ้องร้องแบบกลุ่มซึ่ง Google ต้องจ่ายเงินหลายล้านดอลลาร์เพื่อยุติคดีในที่สุด
ในช่วงหลังของปี 2010 ในขณะที่การรวมเข้ากับ Gmail ควรจะช่วยให้ Google Buzz แจ้งเกิดได้ แต่มันกลับส่งผลตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
มันได้ทำให้บริการ Google Buzz มีอายุสั้นมาก มันถูกยกเลิกไปในที่สุดหลังจากมีความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวปัญหาเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล
อีกครั้งที่ Google ล้มเหลวกับเครือข่ายสังคม ดังนั้นหลังจากล้มเหลวในการซื้อ Friendster จากนั้นก็เปิดตัวและล้มเหลวกับผลิตภัณฑ์เครือข่ายสังคมออนไลน์ 4 ตัว ได้แก่ Orkut, Friend Connect, Wave และ Buzz ก็ถึงเวลาสำหรับกลยุทธ์ใหม่ ถึงเวลาสำหรับโครงการเครือข่ายสังคมที่ใหญ่ที่สุดของ Google
การเกิดขึ้นของ Google Plus
ในปี 2010 Google เริ่มกังวลอย่างมากเกี่ยวกับการเติบโตอย่างรวดเร็วของ Facebook ทั้งในแง่ของจำนวนผู้ใช้และศักยภาพด้านการโฆษณา Vic Gundotra รองประธานของ Google ในขณะนั้น ได้ผลักดันให้ Larry Page ซีอีโอของ Google เห็นถึงความสำคัญของการมีเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่แข็งแกร่ง จนนำไปสู่การเกิดขึ้นของ Google Plus
Google ทุ่มเททรัพยากรมหาศาลให้กับโครงการนี้ มีการจัดสรรพนักงานมากกว่าหนึ่งพันคนให้มาทำงานกับ Google Plus โดยตรง ซึ่งมากกว่าความพยายามด้านเครือข่ายสังคมก่อนหน้านี้ของ Google อย่างมาก นอกจากนี้ Larry Page ยังประกาศว่า 25% ของโบนัสประจำปีของพนักงานทั้งบริษัทจะขึ้นอยู่กับความสำเร็จของ Google Plus
Google Plus มาพร้อมกับฟีเจอร์ที่น่าสนใจหลายอย่าง เช่น:
- Circles: ฟีเจอร์ที่อนุญาตให้ผู้ใช้จัดกลุ่มผู้ติดต่อของตนเองและควบคุมการแชร์เนื้อหากับกลุ่มต่างๆ ได้
- Hangouts: ฟีเจอร์แชทวิดีโอกลุ่ม
- Sparks: ฟีเจอร์ค้นหาเนื้อหาที่น่าสนใจเพื่อแชร์กับ Circles ของผู้ใช้
นอกจากนี้ Google Plus ยังถูกออกแบบให้รวมเข้ากับบริการอื่นๆ ของ Google เช่น การค้นหาและอีเมล เพื่อสร้างประสบการณ์ที่เชื่อมโยงกันทั้งหมด
Google Plus เปิดตัวในปี 2011 ด้วยระบบเชิญ (invite) เท่านั้น สร้างความรู้สึกพิเศษและกระแสความสนใจได้ในระดับหนึ่ง
หนึ่งในผู้ใช้ Google Plus รายแรกๆ คือ Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้ง Facebook ซึ่งได้รับคำเชิญจากคนที่เขารู้จักในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี และมีรายงานว่า Facebook กำลังกังวลเกี่ยวกับ Google Plus เป็นอย่างมาก
Mark Zuckerberg ถึงกับสั่งระดมทีมงานทั่วทั้งบริษัท โดยเขาสั่งให้พนักงานทุกคนหยุดทำสิ่งอื่นใดที่พวกเขากำลังทำอยู่และอุทิศเวลาของพวกเขาเพื่อนำคุณสมบัติของ Facebook มาต่อสู้กับคู่แข่งใหม่ของพวกเขา
Facebook กังวลเกี่ยวกับการแข่งขันอย่างไม่ต้องสงสัย และจริงๆ แล้วเมื่อ Google ประกาศว่าจะใช้พลังและทรัพยากรอันมหาศาลของตนเพื่อสร้างแพลตฟอร์มเครือข่ายสังคมออนไลน์ ผู้เชี่ยวชาญหลายคนคาดการณ์ว่า Google Plus จะประสบความสำเร็จในการเอาชนะ Facebook และกลายเป็นราชาแห่งสื่อสังคมออนไลน์
ภายในสิ้นปีแรก Google Plus มีผู้ใช้ประมาณ 90 ล้านคน และเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 500 ล้านคนภายในไม่กี่ปีต่อมา ตัวเลขเหล่านี้ดูน่าประทับใจ แต่ความจริงแล้วเป็นภาพลวงตา
แม้จะมีการลงทุนมหาศาลและความพยายามอย่างหนัก แต่ Google Plus ก็เผชิญกับปัญหามากมาย:
- การบังคับใช้: Google พยายามบังคับให้ผู้ใช้บริการอื่นๆ ของตน เช่น YouTube และ Gmail ต้องมีบัญชี Google Plus ด้วย สร้างความไม่พอใจให้กับผู้ใช้จำนวนมาก
- ความซับซ้อนของ Circles: แม้จะเป็นแนวคิดที่น่าสนใจ แต่ Circles ก็ทำให้การใช้งานซับซ้อนเกินไปสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
- ขาดเอกลักษณ์: Google Plus ไม่ได้นำเสนออะไรที่แตกต่างอย่างชัดเจนจากเครือข่ายสังคมอื่นๆ ที่มีอยู่แล้ว
- ปัญหาความเป็นส่วนตัว: มีความกังวลเรื่องการเชื่อมโยงข้อมูลส่วนตัวกับบริการอื่นๆ ของ Google
- การใช้งานจริงต่ำ: แม้จะมีจำนวนผู้ใช้มาก แต่การใช้งานจริงกลับต่ำมาก โดย 90% ของผู้ใช้ใช้เวลาน้อยกว่า 5 วินาทีต่อเซสชัน
Google Plus จึงกำลังเผชิญกับการต่อสู้ที่ยากลำบาก แน่นอนว่าสถานการณ์ในตอนนั้น เหล่าผู้ใช้งานคงคิดว่าถ้าเพื่อนทั้งหมดอยู่ที่อื่นที่พวกเขาคุ้นเคยอยู่แล้ว แล้วอะไรคือแรงจูงใจให้เปลี่ยนไปใช้ Google Plus ที่ดูเหมือนจะเสนอสิ่งที่คล้ายกันแต่มีคนน้อยกว่าและมีโพสต์น้อยกว่า?
Google Plus ประกาศว่ามีผู้ใช้จำนวนมากและการเติบโตของผู้ใช้ที่ยอดเยี่ยม? แต่มันไม่ใช่ว่าผู้ใช้กำลังเข้าร่วม Google Plus แต่เพราะพวกเขาต้องใช้มัน พวกเขาถูกบังคับให้เข้าร่วมเพื่อที่จะใช้บริการอื่นๆ ที่พวกเขาชอบต่อไป เช่น YouTube
มันเหมือนกับเมื่อเราได้รับคอมพิวเตอร์ Windows ใหม่ เราต้องใช้เบราว์เซอร์ของ Microsoft เพื่อที่จะสามารถดาวน์โหลด Google Chrome หรือ Firefox ได้นั่นเอง
แต่สำหรับตัว Google Plus เอง บริการนี้ถูกอธิบายโดย New York Times ว่าเป็น “เมืองร้าง” แทบไม่มีใครใช้มันจริงๆ แม้ว่าจะมีผู้ใช้มากกว่าครึ่งพันล้านคนในช่วงที่พีคสุดแล้วก็ตาม
ดังนั้น Google Plus จึงถูกทำลายตั้งแต่เริ่มต้นเพราะประสบการณ์สุดแย่ของผู้ใช้งาน หลายคนแทบไม่ให้โอกาสมันเลย เพราะในตอนนั้น Facebook เป็นสถานที่เจ๋งๆ ที่เพื่อนๆ ของคนส่วนใหญ่อยู่ ในขณะที่ Google Plus กำลังทำลายบริการยอดนิยมอื่นๆ และไม่มีใครใช้มันจริงๆ
กล่าวอีกนัยหนึ่ง Google พยายามที่จะโค่น Facebook โดยเสนอบางสิ่งที่คล้ายคลึงกับ Facebook ซึ่งความจริง Google ต้องเสนอบางสิ่งที่เป็นนวัตกรรมหรือดีกว่าอย่างมีนัยสำคัญ ไม่ใช่แค่สื่อสังคมออนไลน์อีกเวอร์ชันหนึ่งที่ไม่มีอะไรใหม่
เหตุผลที่ Facebook เอาชนะคู่แข่งในช่วงแรกคือการเสนอบางสิ่งที่แตกต่าง และในปัจจุบันเมื่อความนิยมของ Facebook กำลังตกต่ำ มันไม่ใช่เพราะมีคนลอกเลียน Facebook โดยตรง แต่เป็นเพราะมีบริการใหม่ ๆ ที่สร้างนวัตกรรมและสดใหม่กว่าที่ผู้คนชอบตัวอย่างเช่น TikTok
Google Plus สร้างความแตกต่างน้อยนิด มันไม่มีจุดขายที่เป็นเอกลักษณ์หรือแนวทางเฉพาะที่ทำให้ผู้คนมีเหตุผลชัดเจนที่จะกลับมาใช้อีก Facebook ดีสำหรับการติดตามเพื่อนๆ Twitter ดีสำหรับการอัปเดตแบบเรียลไทม์ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ Google Plus เป็นจุดหมายปลายทางสำหรับอะไร? ไม่มีใครทราบอย่างชัดเจนในตอนนั้น
จุดจบของ Google Plus
ปัญหาสุดท้ายที่ตอกย้ำความล้มเหลวของ Google Plus คือการละเมิดความปลอดภัยครั้งใหญ่ในปี 2018 ที่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้มากกว่า 50 ล้านคน นำไปสู่การฟ้องร้องแบบกลุ่มและการตัดสินใจปิดบริการในที่สุด
Google Plus ถูกปิดอย่างเป็นทางการสำหรับผู้บริโภคในปี 2019 จบลงด้วยการถูกจดจำว่าเป็นความล้มเหลวครั้งใหญ่ที่สุดของ Google
เรื่องราวของ Google Plus ให้บทเรียนสำคัญหลายประการ:
- ความสำคัญของการสร้างนวัตกรรม: การลอกเลียนแบบคู่แข่งไม่เพียงพอ ต้องนำเสนอสิ่งที่แตกต่างและมีคุณค่าจริงๆ
- การฟังเสียงของผู้ใช้: การบังคับให้ผู้ใช้ใช้บริการโดยไม่สนใจความต้องการที่แท้จริงนำไปสู่การต่อต้าน
- ความเรียบง่ายสำคัญ: ฟีเจอร์ที่ซับซ้อนเกินไปอาจทำให้ผู้ใช้ทั่วไปรู้สึกยุ่งยากและไม่อยากใช้งาน
- ความสำคัญของความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว: ปัญหาด้านความปลอดภัยสามารถทำลายความไว้วางใจของผู้ใช้ได้อย่างรวดเร็ว
- การบริหารจัดการโครงการ: การขาดวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและการทำงานแยกส่วนของทีมต่างๆ ส่งผลเสียต่อผลลัพธ์โดยรวม
สรุป
ความล้มเหลวของ Google Plus เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าแม้แต่บริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีทรัพยากรมหาศาลก็ไม่สามารถรับประกันความสำเร็จได้ โดยเฉพาะในโลกของสื่อสังคมออนไลน์ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การเข้าใจความต้องการของผู้ใช้ การสร้างนวัตกรรมที่แท้จริง และการรักษาสมดุลระหว่างการเติบโตกับความไว้วางใจของผู้ใช้ ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในระยะยาว
บทเรียนจาก Google Plus ยังคงมีความสำคัญในปัจจุบัน โดยเฉพาะเมื่อเราเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในโลกของสื่อสังคมออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตของ TikTok หรือความท้าทายที่ Facebook กำลังเผชิญ สิ่งเหล่านี้ล้วนเตือนใจเราว่าในโลกของเทคโนโลยี ไม่มีอะไรที่แน่นอน และการปรับตัวอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการอยู่รอดและเติบโตในระยะยาวได้ในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม
References :
https://www.apptunix.com/blog/why-google-failed-5-lessons-to-learn-for-entrepreneurs/
https://www.failory.com/google/plus
https://onezero.medium.com/why-google-failed-4b9db05b973b
https://www.imperial.ac.uk/business-school/ib-knowledge/strategy-leadership/why-did-google-fail/