เปลี่ยนชีวิตใน 20 ชั่วโมง : เคล็ดลับการเรียนรู้ทักษะใหม่แบบติดเทอร์โบที่ใครๆ ก็สามารถทำได้

ชีวิตของ Josh Kaufman พลิกผันไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อเขาและภรรยา Kelsey มีลูกสาวคนแรกชื่อ Lela เข้ามาในครอบครัว การเป็นคุณพ่อมือใหม่นั้นเป็นประสบการณ์ที่น่าทึ่งและเต็มไปด้วยความท้าทายอย่างยิ่ง ทุกอย่างในชีวิตเปลี่ยนแปลงไปในชั่วข้ามคืน ลำดับความสำคัญต่างๆ ถูกจัดเรียงใหม่ทั้งหมด บางครั้งก็รวดเร็วจนแทบตามไม่ทัน

เป็นอีกหนึ่ง TEDx Talks ที่มีความน่าสนใจจาก Josh Kaufman ผู้แต่งหนังสือขายดี ‘The Personal MBA: Master the Art of Business ที่ว่ากันด้วยเรื่องของ The first 20 hours — how to learn anything

เรียกได้ว่าหลังจากมีลูก Josh มีสิ่งใหม่ๆ มากมายที่ต้องเรียนรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงดูลูก แม้แต่เรื่องพื้นฐานอย่างการแต่งตัวให้เด็กทารกก็ยังเป็นความท้าทายสำหรับคุณพ่อมือใหม่อย่าง Josh เขาเล่าถึงประสบการณ์แรกในการแต่งตัวให้ลูกสาวอย่างน่าตลก ว่าตอนนั้นเขาคิดว่าชุดที่เลือกนั้นดูดีแล้ว แต่แม้แต่ Lela เองก็ยังรู้ว่ามันไม่เหมาะเลย

ชีวิตของ Josh และ Kelsey เริ่มวุ่นวาย ทั้งคู่ต่างทำงานที่บ้านในฐานะผู้ประกอบการ Kelsey พัฒนาคอร์สออนไลน์สำหรับครูสอนโยคะ ส่วน Josh เป็นนักเขียน พวกเขาต้องจัดการทั้งงานและการเลี้ยงดูลูกน้อยไปพร้อมๆ กัน

หลังจากผ่านไปสักพัก ความเหนื่อยล้าจากการอดนอนก็เริ่มส่งผล Josh เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา เป็นความคิดเดียวกับที่พ่อแม่มือใหม่ทั่วโลกต่างก็เคยคิด นั่นคือ “ผมคงไม่มีเวลาว่างอีกเลยตลอดกาล” แม้จะไม่จริงทั้งหมด แต่ช่วงเวลานั้นมันรู้สึกเหมือนจริงมาก

สิ่งนี้ทำให้ Josh กังวลอย่างมาก เพราะหนึ่งในสิ่งที่เขาชื่นชอบมากที่สุดคือการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ การได้สำรวจ ทดลอง และฝึกฝนจนเก่งขึ้นในเรื่องต่างๆ แต่ถ้าไม่มีเวลาว่างเลย เขาจะทำแบบนั้นได้อีกหรือ? Josh เป็นคนหลงใหลในเทคโนโลยีและอยากเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ

ด้วยความมุ่งมั่นที่จะหาคำตอบ Josh จึงเริ่มค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับการเรียนรู้และการพัฒนาทักษะอย่างรวดเร็ว เขาอ่านหนังสือและเว็บไซต์มากมาย พยายามหาคำตอบว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนในการเรียนรู้ทักษะใหม่

สิ่งที่ Josh พบคือทฤษฎี 10,000 ชั่วโมง ซึ่งกล่าวว่าต้องใช้เวลาฝึกฝน 10,000 ชั่วโมงเพื่อให้เชี่ยวชาญในทักษะใดทักษะหนึ่ง เขาพบข้อมูลนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในหนังสือและเว็บไซต์ต่างๆ และรู้สึกท้อใจอย่างมาก เพราะ 10,000 ชั่วโมงนั้นเทียบเท่ากับการทำงานเต็มเวลา 5 ปีเลยทีเดียว

แต่ Josh รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เพราะเราทุกคนต่างก็เคยมีประสบการณ์ในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และมันไม่ได้ใช้เวลานานเว่อร์ขนาดนั้น เขาจึงสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมสิ่งที่งานวิจัยบอกกับสิ่งที่เราคาดหวังจึงไม่ตรงกันกันอย่างสิ้นเชิง

Josh จึงค้นคว้าลึกลงไปอีกและพบว่าทฤษฎี 10,000 ชั่วโมงนั้นมาจากการศึกษาการปฏิบัติงานระดับผู้เชี่ยวชาญ โดย Dr. K. Anders Ericsson แห่งมหาวิทยาลัยฟลอริดาสเตท ซึ่งศึกษานักกีฬามืออาชีพ นักดนตรีระดับโลก และแกรนด์มาสเตอร์หมากรุก เพื่อหาคำตอบว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะไปถึงจุดสูงสุดในสาขาเหล่านั้น

สิ่งที่ Dr. Ericsson พบคือ ยิ่งฝึกฝนอย่างมีจุดมุ่งหมายมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเก่งขึ้นเท่านั้น และคนที่อยู่ในระดับสูงสุดของสาขาของพวกเขาใช้เวลาฝึกฝนประมาณ 10,000 ชั่วโมง

อย่างไรก็ตาม Josh พบว่าข้อความนี้ถูกบิดเบือนไปเมื่อถูกนำเสนอในหนังสือ “Outliers: The Story of Success” ของ Malcolm Gladwell ที่กลายเป็นหนังสือขายดีอันดับหนึ่งในปี 2007 ทำให้ทฤษฎี 10,000 ชั่วโมงแพร่หลายไปทั่ว แต่ความหมายดั้งเดิมถูกบิดเบือนไปเรื่อยๆ จนกลายเป็น “ต้องใช้เวลา 10,000 ชั่วโมงเพื่อเรียนรู้บางสิ่ง” ซึ่งไม่ใช่ความจริง

Josh จึงศึกษางานวิจัยเกี่ยวกับการได้มาซึ่งทักษะอย่างจริงจัง และพบว่ Learning Curve ที่แท้จริงนั้นแตกต่างออกไป เมื่อเริ่มต้นเรียนรู้ทักษะใหม่ เราจะไม่มีความสามารถเลยและแทบจะรู้ตัวดี แต่ด้วยการฝึกฝนเพียงเล็กน้อย เราก็จะเก่งขึ้นอย่างรวดเร็ว จนถึงจุดหนึ่งที่การพัฒนาจะช้าลงและยากขึ้นที่จะก้าวหน้าต่อไป

คำถามสำคัญที่ Josh ต้องการคำตอบคือ ต้องใช้เวลานานแค่ไหนตั้งแต่เริ่มต้นทำอะไรบางอย่างที่ตัวเขาเองไร้ความสามารถอย่างสิ้นเชิง และไต่ไปจนถึงระดับที่เก่งพอสมควร? และคำตอบที่เขาพบจากการค้นคว้าคือ 20 ชั่วโมง

ใช่แล้วครับ เพียง 20 ชั่วโมงเท่านั้น คุณสามารถเปลี่ยนจากการที่ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับทักษะใดก็ตาม ไปสู่การเก่งพอสมควรได้ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนภาษา วาดรูป หรือทักษะที่ยากแค่ไหนก็ตามที

20 ชั่วโมงนี้เทียบเท่ากับการฝึกฝนวันละ 45 นาทีเป็นเวลาประมาณหนึ่งเดือน แม้จะมีวันที่พลาดไปบ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปที่จะสะสมเวลาฝึกฝนให้ครบ 20 ชั่วโมง

อย่างไรก็ตาม Josh เน้นย้ำว่าไม่ใช่แค่การลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ เป็นเวลา 20 ชั่วโมงแล้วจะได้ผล แต่ต้องมีวิธีการฝึกฝนอย่างชาญฉลาดและมีประสิทธิภาพ เพื่อให้แน่ใจว่าเวลา 20 ชั่วโมงนั้นถูกใช้อย่างคุ้มค่าที่สุด

Josh ได้นำเสนอวิธีการ 4 ขั้นตอนที่สามารถนำไปใช้ได้กับการเรียนรู้ทักษะใดก็ตาม:

  1. แยกย่อยทักษะ: ตัดสินใจว่าคุณอยากให้ตัวเองทำอะไรได้บ้างเมื่อคุณเสร็จสิ้นการเรียนรู้ แล้วแยกย่อยทักษะนั้นออกเป็นชิ้นเล็กๆ ทักษะส่วนใหญ่มักเป็นการรวมกันของทักษะย่อยๆ หลายอย่าง การแยกย่อยจะช่วยให้คุณเห็นว่าส่วนไหนสำคัญที่สุดและควรฝึกฝนก่อน
  2. เรียนรู้ให้มากพอที่จะแก้ไขตัวเองได้: หาแหล่งข้อมูล 3-5 แหล่งเกี่ยวกับสิ่งที่คุณกำลังเรียนรู้ อาจเป็นหนังสือ วิดีโอ หรือคอร์สออนไลน์ แต่อย่าใช้สิ่งเหล่านี้เป็นข้ออ้างในการผัดผ่อนการลงมือฝึกฝน เรียนรู้แค่พอที่จะสามารถฝึกฝนและแก้ไขข้อผิดพลาดของตัวเองได้
  3. กำจัดอุปสรรคต่อการฝึกฝน: จัดการกับสิ่งรบกวนสมาธิต่างๆ เช่น โทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต หรือสิ่งอื่นๆ ที่อาจขัดขวางไม่ให้คุณนั่งลงและฝึกฝนอย่างจริงจัง ยิ่งคุณสามารถกำจัดสิ่งรบกวนได้มากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งมีแนวโน้มที่จะนั่งลงและฝึกฝนจริงๆ มากขึ้นเท่านั้น
  4. ฝึกฝนอย่างน้อย 20 ชั่วโมง: ทักษะส่วนใหญ่มักมีอุปสรรคในช่วงแรกของการเรียนรู้ เราไม่ชอบที่ตัวเองรู้สึกโง่ และความรู้สึกนี้อาจเป็นอุปสรรคที่ทำให้เราไม่อยากลงมือทำจริงๆ การตั้งเป้าหมายไว้ล่วงหน้าว่าจะฝึกฝนอย่างน้อย 20 ชั่วโมงจะช่วยให้คุณเอาชนะอุปสรรคนี้ได้ และยึดมั่นกับการฝึกฝนนานพอที่จะได้รับผลลัพธ์ที่น่าพอใจ

Josh ย้ำว่าวิธีการนี้ไม่ใช่เรื่องยากหรือซับซ้อน แต่เป็นขั้นตอนง่ายๆ ที่ใครก็สามารถนำไปใช้เพื่อเรียนรู้ทักษะใหม่ได้

เพื่อพิสูจน์ทฤษฎีของเขา Josh ตัดสินใจทุ่มเท 20 ชั่วโมงให้กับการเรียนเล่นอูคูเลเล่ ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีที่เขาสนใจมานาน หลังจากได้แรงบันดาลใจจากการชม TEDTalk ของ Jake Shimabukuro นักอูคูเลเล่ชื่อดัง

Josh เริ่มต้นด้วยการหาอูคูเลเล่มาฝึกซ้อม ซึ่งเป็นอูคูเลเล่ไฟฟ้า เขาใช้เวลาสองสามชั่วโมงแรกในการเตรียมเครื่องมือให้พร้อม เช่น การใส่สายและการตั้งสาย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการเรียนรู้

จากนั้นเขาเริ่มศึกษาวิธีการเล่นคอร์ดต่างๆ แม้จะมีคอร์ดให้เรียนรู้มากมายหลายร้อยคอร์ด แต่ Josh พบว่าในความเป็นจริงแล้ว เพลงส่วนใหญ่ใช้เพียงไม่กี่คอร์ดซ้ำๆ กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาได้ค้นพบว่ามีชุดคอร์ดเพียง 4 คอร์ด ได้แก่ G, D, Em และ C ที่สามารถใช้เล่นเพลงป๊อปได้เกือบทุกเพลงในช่วง 5 ทศวรรษที่ผ่านมา

ด้วยความรู้นี้ Josh จึงตัดสินใจเรียนรู้การเล่นเมดเลย์เพลงป๊อปที่ประกอบด้วยท่อนสั้นๆ จากเพลงดังหลายเพลง โดยใช้เพียง 4 คอร์ดนี้เท่านั้น

ในการนำเสนอ Josh ได้แสดงผลลัพธ์จากการฝึกฝน 20 ชั่วโมงของเขาด้วยการเล่นเมดเลย์เพลงป๊อปที่รวมเอาท่อนเพลงดังหลายเพลงเข้าไว้ด้วยกัน เช่น “Don’t Stop Believin'” ของวง Journey, “Someone Like You” ของ Adele, “My Heart Will Go On” จากภาพยนตร์ Titanic, “I’m Yours” ของ Jason Mraz, “Can You Feel the Love Tonight” จาก The Lion King, “With or Without You” ของ U2, “Let It Be” ของ The Beatles, “No Woman, No Cry” ของ Bob Marley, “Land Down Under” ของ Men at Work, “Call Me Maybe” ของ Carly Rae Jepsen และ “Gangnam Style” ของ Psy

การแสดงของ Josh ได้รับเสียงปรบมือและเสียงหัวเราะจากผู้ชม แสดงให้เห็นว่าแม้จะฝึกฝนเพียง 20 ชั่วโมง เขาก็สามารถเล่นเพลงได้อย่างน่าประทับใจและสร้างความบันเทิงให้กับผู้ฟังได้

Josh สรุปว่า อุปสรรคหลักในการเรียนรู้สิ่งใหม่ไม่ใช่เรื่องสติปัญญาหรือปัญหาเรื่องความซับซ้อนด้านเทคนิค แต่เป็นเรื่องอารมณ์ เรามักกลัวการรู้สึกโง่เมื่อเริ่มต้นเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ แต่ถ้าเราสามารถเอาชนะความกลัวนี้และลงทุนเวลา 20 ชั่วโมงกับสิ่งที่เราอยากเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นภาษาใหม่ การทำอาหาร การวาดรูป หรืออะไรก็ตามที่ทำให้เรารู้สึกตื่นเต้น เราก็จะสามารถพัฒนาทักษะนั้นได้อย่างน่าประหลาดใจ

แนวคิดของ Josh Kaufman นี้ไม่เพียงแต่ท้าทายความเชื่อเดิมๆ เกี่ยวกับการเรียนรู้ทักษะใหม่ แต่ยังเปิดโอกาสให้ผู้คนกล้าที่จะเริ่มต้นเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะต้องใช้เวลานานเกินไป การตั้งเป้าหมายที่ 20 ชั่วโมงนั้นดูเป็นไปได้และไม่น่ากลัวเท่ากับ 10,000 ชั่วโมง ทำให้คนทั่วไปรู้สึกว่าพวกเขาสามารถเริ่มต้นได้ แม้จะมีเวลาจำกัดในชีวิตประจำวัน

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ควรตระหนักคือ แนวคิด 20 ชั่วโมงนี้ไม่ได้หมายความว่าคุณจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในเวลาอันสั้น แต่เป็นการพัฒนาทักษะให้อยู่ในระดับที่ “ใช้งานได้” หรือ “เก่งพอสมควร” ซึ่งสำหรับหลายๆ คนแล้ว นั่นอาจเพียงพอสำหรับความต้องการหรือความสนใจของพวกเขา

นอกจากนี้ วิธีการของ Josh ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการฝึกฝนอย่างมีเป้าหมายและมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่แค่การใช้เวลาไปเรื่อยๆ โดยไร้ทิศทาง การแยกย่อยทักษะ การเรียนรู้วิธีแก้ไขข้อผิดพลาดด้วยตัวเอง และการกำจัดสิ่งรบกวนสมาธิ ล้วนเป็นกลยุทธ์ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับการเรียนรู้ในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นผู้เริ่มต้นหรือผู้ที่ต้องการพัฒนาทักษะที่มีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น

แนวคิดนี้ยังสอดคล้องกับทฤษฎีการเรียนรู้สมัยใหม่ที่เน้นการเรียนรู้แบบ “เชิงรุก” (active learning) และการฝึกฝนอย่างมีเป้าหมาย (deliberate practice) ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพในการพัฒนาทักษะมากกว่าการเรียนรู้แบบรับข้อมูลเพียงอย่างเดียว

ในยุคที่เทคโนโลยีและสังคมเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การมีความสามารถในการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพกลายเป็นทักษะที่สำคัญอย่างยิ่ง

แนวคิด 20 ชั่วโมงของ Josh Kaufman จึงไม่เพียงแต่เป็นเครื่องมือสำหรับการพัฒนาตนเองเท่านั้น แต่ยังเป็นแนวทางที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาบุคลากรในองค์กร หรือแม้แต่ในระบบการศึกษา เพื่อสร้างวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้

ท้ายที่สุด Josh Kaufman ได้เน้นย้ำว่า ไม่ว่าคุณจะอยากเรียนรู้อะไร ไม่ว่าจะเป็นทักษะที่เกี่ยวข้องกับงาน งานอดิเรก หรือความฝันที่คุณอยากทำให้เป็นจริง อย่าปล่อยให้ความกลัวหรือความคิดที่ว่าต้องใช้เวลานานเกินไปมาขัดขวางคุณ เพียงแค่ 20 ชั่วโมงของการฝึกฝนอย่างมีเป้าหมาย คุณก็สามารถเริ่มต้นการเดินทางสู่การเรียนรู้และการพัฒนาตนเองได้แล้ว

ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะอยู่ในวัยใด มีภาระหน้าที่อะไร หรือมีข้อจำกัดด้านเวลาแค่ไหน คุณก็สามารถเริ่มต้นเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้เสมอ เพียงแค่กล้าที่จะเริ่มต้น ยอมรับว่าช่วงแรกอาจจะยากและอึดอัด แต่ด้วยความมุ่งมั่นและการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ คุณจะประหลาดใจกับสิ่งที่คุณสามารถทำได้ในเวลาเพียงแค่ 20 ชั่วโมงเท่านั้น

References :
The first 20 hours — how to learn anything | Josh Kaufman
https://youtu.be/5MgBikgcWnY?si=mDdB90oh1fJF_idb

ถอดรหัสเจ้าภาพโอลิมปิก : มหกรรมกีฬาอันแสนหวานที่แฝงไว้ด้วยยาพิษทางเศรษฐกิจ

ในเดือนกันยายน ปี 2017 คณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) ได้ตัดสินใจครั้งสำคัญเกี่ยวกับการเลือกเมืองเจ้าภาพโอลิมปิกปี 2024 การตัดสินใจนี้ไม่เพียงแต่เป็นจุดเปลี่ยนสำหรับเกมส์การแข่งขัน แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการกีฬาโอลิมปิกโดยรวม

โอลิมปิกเกมส์ถือเป็นมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยผู้ชมกว่า 5 ล้านคนที่เข้าร่วมชมการแข่งขันโดยตรง และอีกกว่า 3 พันล้านคนที่รับชมผ่านทางโทรทัศน์ในทุก ๆ 4 ปี การได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันนี้จึงถือเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่สำหรับเมืองใดเมืองหนึ่งที่จะได้แสดงศักยภาพของตนเองต่อสายตาชาวโลก

ในอดีต การแข่งขันเพื่อเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกมีความเข้มข้นสูงมาก ย้อนกลับไปในปี 2004 มีถึง 12 เมืองที่เสนอตัวเป็นเจ้าภาพ ก่อนที่สุดท้าย IOC จะเลือกกรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ เป็นเจ้าภาพ ต่อมาในปี 2008 มี 10 เมืองที่เสนอตัว และปักกิ่งได้รับเลือกในที่สุด อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นความสนใจในการเป็นเจ้าภาพก็เริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งในการคัดเลือกเจ้าภาพโอลิมปิกปี 2024 เหลือเพียงแค่ 2 เมืองเท่านั้นที่เสนอตัว

ด้วยสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป IOC จึงตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นั่นคือการมอบสิทธิ์การเป็นเจ้าภาพให้กับทั้งสองเมืองที่เหลือพร้อมกัน โดยให้กรุงปารีสเป็นเจ้าภาพในปี 2024 และลอสแองเจลิสเป็นเจ้าภาพในปี 2028 การตัดสินใจนี้สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลของ IOC ที่กลัวว่าจะไม่มีเมืองใดสนใจเสนอตัวเป็นเจ้าภาพในปี 2028 เลย

แต่เหตุใดจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เช่นนี้? ทำไมเมืองต่าง ๆ จึงไม่อยากเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกอีกต่อไป? คำตอบอยู่ที่ประวัติศาสตร์อันยาวนานของการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิก และผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ตามมา

ย้อนกลับไปในปี 1896 IOC ได้คิดค้นแนวคิดการหมุนเวียนสถานที่จัดการแข่งขันไปยังเมืองต่าง ๆ ทั่วโลก เนื่องจากในยุคนั้นยังไม่มีการเดินทางทางอากาศระหว่างประเทศและการสื่อสารโทรคมนาคมระหว่างประเทศ การกระจายสถานที่จัดงานจึงเป็นวิธีที่จะทำให้ทั่วโลกได้มีส่วนร่วมและสนุกกับมหกรรมกีฬานี้

อย่างไรก็ตาม เมื่อการแข่งขันเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ IOC ก็ยังคงรักษาประเพณีนี้ไว้ โดยพัฒนาเป็นระบบการประมูลที่เมืองต่าง ๆ จะส่งใบสมัครและ IOC จะลงคะแนนเลือกผู้ชนะ แต่แล้วในช่วงการเปิดรับสมัครสำหรับการแข่งขันปี 1984 กลับไม่มีเมืองใดต้องการเป็นเจ้าภาพเลย

สาเหตุสำคัญมาจากปัญหาที่เกิดขึ้นในการจัดการแข่งขันก่อนหน้านั้น ไม่ว่าจะเป็นการประท้วงทางการเมืองที่ลุกลามเป็นความรุนแรงในเม็กซิโกซิตี้เมื่อปี 1968 หรือเหตุการณ์สะเทือนขวัญเมื่อผู้ก่อการร้ายสังหารนักกีฬาอิสราเอล 11 คนในการแข่งขันที่มิวนิกปี 1972 เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้เมืองต่าง ๆ ตระหนักว่าการเป็นเจ้าภาพอาจนำมาซึ่งความเสี่ยงทางการเมืองหรือแม้กระทั่งอันตรายถึงชีวิต

นอกจากนี้ ปัญหาการก่อสร้างและการทุจริตที่ทำให้มอนทรีออลต้องใช้จ่ายเกินงบประมาณถึง 13 เท่าในการเป็นเจ้าภาพ ก็ทำให้เมืองต่าง ๆ เริ่มมองว่าการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกเป็นความเสี่ยงทางการเงินที่ไม่คุ้มค่าอีกด้วย

ในช่วงปลายทศวรรษ 1970 IOC จึงเผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่ จนกระทั่งมีเมืองหนึ่งเสนอตัวที่จะช่วยพวกเขา นั่นคือลอสแองเจลิส แต่ด้วยเงื่อนไขพิเศษ คือพวกเขาไม่ต้องการใช้จ่ายเงินจำนวนมหาศาลในการเป็นเจ้าภาพ

ลอสแองเจลิสเสนอที่จะใช้สถานที่ที่มีอยู่แล้วแทนการสร้างใหม่ ไม่ว่าจะเป็นสนาม LA Coliseum ที่ทีมฟุตบอล USC ใช้แข่ง, Forum ที่ทีม Lakers เล่น, โรงยิมและศูนย์เทนนิสของ UCLA รวมถึงการให้นักกีฬาพักในหอพักของมหาวิทยาลัย เนื่องจาก IOC ไม่มีทางเลือกอื่น พวกเขาจึงตอบตกลง และในไม่ช้าก็พบว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง

การแข่งขันที่ลอสแองเจลิสในปี 1984 ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นในเกือบทุกด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการเงิน มีค่าใช้จ่ายเพียงประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์ (คิดเป็นมูลค่าในปี 2015) และยังสามารถทำกำไรได้อีกด้วย

ความสำเร็จนี้ควรจะกลายเป็นแบบอย่างสำหรับเมืองเจ้าภาพโอลิมปิกในอนาคต แต่กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาที่รบกวนโอลิมปิกมาจวบจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากการที่ลอสแองเจลิสทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพโอลิมปิกปี 1984 ได้ดีมากจนสร้างแรงบันดาลใจให้เมืองต่าง ๆ อยากเป็นเจ้าภาพอีกครั้ง

โอลิมปิกที่ลอสแองเจลิสในปี 1984 ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น (CR:Wikipedia)
โอลิมปิกที่ลอสแองเจลิสในปี 1984 ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น (CR:Wikipedia)

สำหรับการแข่งขันปี 1992 มีถึงหกเมืองที่ยื่นประมูล จากนั้นก็หกเมืองอีกครั้งสำหรับปี 1996 แปดเมืองสำหรับปี 2000 และพุ่งสูงถึง 11 เมืองสำหรับปี 2004 เมื่อมีเมืองแข่งขันกันมากขึ้น IOC ก็ได้อำนาจต่อรองกับพวกเขากลับคืนมาอีกครั้ง

แต่แทนที่จะยึดติดกับโมเดลแบบประหยัดของลอสแองเจลิส IOC กลับเริ่มเรียกร้องมากขึ้น ระหว่างปี 1992 ถึง 2020 IOC ได้เพิ่มกีฬาใหม่เข้าสู่การแข่งขันหลายสิบประเภท ซึ่งต้องการสถานที่จัดการแข่งขันและที่พักสำหรับนักกีฬาเพิ่มมากขึ้น โดยเมืองเจ้าภาพเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่

เมื่อการแข่งขันทวีความเข้มข้นขึ้น เมืองต่าง ๆ รู้สึกกดดันมากขึ้นที่จะต้องทำให้การประมูลของตนน่าสนใจยิ่งขึ้น วิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือการสร้างสถานที่จัดการแข่งขันใหม่ ๆ ซิดนีย์สร้างสนามแข่งขันใหม่ถึง 15 แห่ง รวมทั้งที่พักสำหรับนักกีฬา 10,000 คน เอเธนส์สร้าง 22 แห่ง และปักกิ่งสร้าง 12 แห่ง

การก่อสร้างทั้งหมดนี้ทำให้การเป็นเจ้าภาพการแข่งขันมีค่าใช้จ่ายสูงลิบลิ่ว ต้นทุนของการแข่งขันพุ่งสูงขึ้นอย่างมากในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา โดยมีมูลค่าระหว่าง 10 ถึง 25 พันล้านดอลลาร์ในทศวรรษที่ผ่านมา และนี่ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ ของเมือง เช่น ระบบการขนส่งสาธารณะใหม่

ซึ่งหากรวมเข้าไปด้วยแล้ว ตัวเลขค่าใช้จ่ายจะสูงขึ้นไปอีกมาก ยกตัวอย่างเช่น มีการประมาณการว่าปักกิ่งใช้จ่ายประมาณ 45 พันล้านดอลลาร์สำหรับการแข่งขันฤดูร้อนปี 2008 รัสเซียใช้จ่ายประมาณ 51 พันล้านดอลลาร์ในปี 2014 และโตเกียวมีค่าใช้จ่ายประมาณ 35 พันล้านดอลลาร์

ไม่ว่าจะใช้ตัวเลขใด เมืองเจ้าภาพเหล่านี้ทั้งหมดล้วนใช้จ่ายเกินงบประมาณอย่างมหาศาล ซึ่งกระบวนการประมูลมีส่วนกระตุ้นให้พวกเขาต้องประเมินค่าใช้จ่ายให้ต่ำเกินจริง

Andrew Zimbalist นักเศรษฐศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ของการกีฬา อธิบายว่า “สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือ แถลงเจตนารมณ์และแผนงานเบื้องต้นที่ลดทอนจากความจริงไปมาก เมื่อนักการเมืองพูดว่า ‘ได้ เราจะทำตามนี้’ จากนั้นพวกเขาก็เริ่มเพิ่มส่วนประกอบเสริมเข้าไป ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายสูงมาก”

น่าเสียดายที่รายได้ที่เมืองต่าง ๆ สร้างจากการขายตั๋ว ค่าลิขสิทธิ์ทางทีวี และการสนับสนุนจากสปอนเซอร์ ครอบคลุมค่าใช้จ่ายเหล่านี้ได้เพียงเศษเสี้ยวเท่านั้น นั่นหมายความว่ารัฐบาลท้องถิ่น และที่จริงแล้วคือผู้เสียภาษีของพวกเขา ต้องรับผิดชอบส่วนที่เหลือทั้งหมด ซึ่งมักจะเป็นจำนวนมหาศาล

แม้ว่าเมืองเจ้าภาพจะรู้มาหลายทศวรรษแล้วว่าพวกเขาอาจจะขาดทุนในระยะสั้น แต่หลายคนได้รับการบอกเล่าว่าการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกเป็นการลงทุนที่จะให้ผลตอบแทนในอนาคต IOC มักจะใช้คำว่า “legacy” (มรดกตกทอด) เพื่ออธิบายถึงประโยชน์ระยะยาวที่เมืองจะได้รับหลังจากการแข่งขันสิ้นสุดลง

ตัวอย่างเช่น ปักกิ่งอ้างเหตุผลในการใช้จ่ายเงินประมาณ 460 ล้านดอลลาร์สำหรับสนามกีฬาใหม่ขนาด 90,000 ที่นั่ง โดยวางแผนให้ทีมฟุตบอลอาชีพท้องถิ่นใช้หลังจากโอลิมปิก ลอนดอนก็ทำแบบเดียวกันเมื่อสร้างสนามกีฬาสำหรับโอลิมปิก 2012 ในตอนแรกดูเหมือนเป็นความคิดที่ดี

โครงการ legacy อื่น ๆ มีจุดมุ่งหมายที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้คนจำนวนมากยิ่งขึ้น เช่น รัสเซียใช้จ่าย 8.7 พันล้านดอลลาร์สำหรับเส้นทางรถไฟและทางหลวงใหม่เข้าสู่โซชิสำหรับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว และริโอ เดอ จาเนโรใช้จ่าย 4 พันล้านดอลลาร์สำหรับรถไฟใต้ดินสายใหม่ที่เชื่อมชุมชนชายหาดกับศูนย์กลางโอลิมปิก

ประโยชน์ของ legacy ที่มีการกล่าวถึงบ่อยที่สุดคือการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการกระตุ้นการเติบโตของเมือง Andrew Zimbalist อธิบายว่า “สิ่งที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์จากการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับโอลิมปิกคือ มันเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดที่จะเกิดขึ้นกับเมือง มันทำให้เมืองของคุณอยู่บนแผนที่โลก ดังนั้นมันจะเพิ่มการท่องเที่ยว เพิ่มการค้า เพิ่มการลงทุนจากต่างประเทศ”

ริโอ เดอ จาเนโรใช้จ่าย 4 พันล้านดอลลาร์สำหรับรถไฟใต้ดินสายใหม่ที่เชื่อมชุมชนชายหาดกับศูนย์กลางโอลิมปิก (CR:The conversation)
ริโอ เดอ จาเนโรใช้จ่าย 4 พันล้านดอลลาร์สำหรับรถไฟใต้ดินสายใหม่ที่เชื่อมชุมชนชายหาดกับศูนย์กลางโอลิมปิก (CR:The conversation)

อย่างไรก็ตาม เรื่องราวนั้นปรากฏว่าไม่เป็นความจริงเสมอไป เมื่อพิจารณาถึงผลกระทบต่อการท่องเที่ยว การศึกษาในปี 2004 พบว่าหลังจากมีการเพิ่มขึ้นของการท่องเที่ยวในช่วงก่อนการแข่งขัน เมืองเจ้าภาพอย่างแอตแลนตา ซิดนีย์ และโซล ต่างก็เห็นการท่องเที่ยวลดลงหลังจากนั้น

นอกจากนี้ Andrew ยังอ้างถึงการศึกษาในปี 1996 เกี่ยวกับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวสามครั้งซึ่งพบว่าผลกระทบระยะยาวต่อการท่องเที่ยวนั้นแทบจะไม่มีเลยไปจนถึงน้อยเอามาก ๆ และการศึกษาในปี 2010 ที่พบหลักฐานเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับประโยชน์ใด ๆ ต่อการท่องเที่ยวจากการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิก

ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือ มีหลักฐานมากมายที่แสดงถึงความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของเมืองเจ้าภาพ Andrew อธิบายว่า “ถ้าสภาพอากาศร้อนเกินไปหรือหนาวเกินไป ถ้ามีเหตุการณ์ด้านความปลอดภัย ถ้ามีเรื่องราวที่ไม่ดีเกี่ยวกับการจราจร บางเมืองอาจสามารถช่วยภาพลักษณ์ของตนได้ แต่เมืองอื่น ๆ กลับทำร้ายภาพลักษณ์ของตัวเอง”

การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่เป็น legacy หลายโครงการก็ไม่ได้คุ้มค่าเสมอไป โครงการรถไฟของรัสเซียถือว่าล้มเหลวอย่างยิ่งใหญ่ และ Andrew โต้แย้งว่าแม้ว่าสายรถไฟใต้ดินของริโอจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนบางส่วน แต่สิ่งที่เมืองต้องการจริง ๆ คือสายที่ให้บริการในย่านที่ประชากรมีรายได้ต่ำ แต่นั่นไม่ใช่ที่ที่โอลิมปิกจัดสร้างขึ้น

Andrew อธิบายว่า “โดยทั่วไปแล้ว IOC จะมาและพูดว่า ‘เราต้องการสถานที่ 30 แห่งนี้ เราต้องการให้คุณจัดวางมันในแบบที่อำนวยความสะดวกด้านการขนส่งและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ’ และดังนั้นสิ่งที่เมืองต้องทำคือหลอกตัวเองเพื่อตอบสนองความต้องการของ IOC”

สนามกีฬาที่ว่างเปล่าเป็นสัญญาณที่เห็นได้ชัดของความไม่สอดคล้องกันนี้ สนามกีฬาในปักกิ่งนั้นมีที่นั่งมากกว่าที่ทีมฟุตบอลท้องถิ่นจะเติมเต็มได้ประมาณ 80,000 ที่นั่ง ดังนั้นพวกเขาจึงถอนตัว ตอนนี้สนามกีฬาจึงว่างเปล่าเป็นส่วนใหญ่ ทำให้เมืองต้องเสียค่าบำรุงรักษาประมาณ 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อปี

สิ่งเหล่านี้เรียกว่า “ช้างเผือก (white elephant)” และตอนนี้มีอยู่หลายสิบแห่งในเมืองเจ้าภาพโอลิมปิก เช่น สถานที่ที่เหลืออยู่จากการแข่งขันเอเธนส์ 2004 และ ESPN พบว่า 12 จาก 27 สถานที่ในริโอ เดอ จาเนโร ไม่ได้จัดกิจกรรมใด ๆ เลยหลังจากเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกไปแล้วหนึ่งปี

สำหรับผู้อยู่อาศัยจำนวนมาก ช้างเผือกเหล่านี้เป็นหลักฐานว่าการเป็นเจ้าภาพการแข่งขันเป็นการสูญเสียเงินอย่างมหาศาล Andrew สรุปว่า “แนวคิดที่มีมาตลอดว่านี่เป็นข่าวดีสำหรับเมือง แต่บ่อยครั้งกลับพบว่ามันจะกลายเป็นสิ่งตรงกันข้าม”

ภายในปี 2015 ชาวเมืองในหลายประเทศเริ่มแสดงการต่อต้านอย่างชัดเจน IOC มีหกเมืองที่เสนอตัวเป็นเจ้าภาพการแข่งขันปี 2024 แต่การประท้วงของประชาชนบังคับให้บอสตันและฮัมบูร์กถอนตัว นายกเทศมนตรีคนใหม่ในโรมทำตามสัญญาที่จะยุติการเสนอตัวของเมือง จากนั้นมากกว่า 260,000 คนได้ลงชื่อในคำร้องที่นำไปสู่การถอนตัวของบูดาเปสต์ด้วย

ในที่สุดเหลือเพียงสองเมืองที่เสนอตัว และเป็นอีกครั้งที่ IOC มีอำนาจต่อรองน้อยมาก พวกเขาจึงได้ทำการปฏิรูปซึ่งจะช่วยลดต้นทุนของการเป็นเจ้าภาพ ด้วยการกำหนดให้เจ้าภาพใช้สถานที่ที่มีอยู่และสถานที่ชั่วคราว เหมือนที่ลอสแองเจลิสทำในปี 1984 และอนุญาตให้พวกเขาร่วมมือกับเมืองอื่น ๆ ได้

ณ ตอนนี้ ปารีสดูเหมือนจะไม่ใช้งบประมาณเกินตัว และคณะกรรมการจัดงานของลอสแองเจลิสกำลังมองว่าเมืองสามารถจัดการแข่งขันโอลิมปิกได้ตามงบประมาณอีกครั้ง แต่คำถามสำคัญคือ ถ้าหากพวกเขาทำได้สำเร็จ มันจะจุดชนวนการแข่งขันในการประมูลอีกครั้งหรือไม่?

IOC ยังได้ปรับเปลี่ยนกระบวนการคัดเลือกเมืองเจ้าภาพ โดยหยุดรับการเสนอตัวแบบเปิดและเจรจากับเมืองต่าง ๆ อย่างเป็นการส่วนตัวแทน พวกเขาเลือกมิลานและคอร์ติน่า ประเทศอิตาลี แทนสตอกโฮล์มสำหรับการแข่งขันฤดูหนาวปี 2026 และมอบการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อนปี 2032 ให้กับบริสเบน ประเทศออสเตรเลีย

อย่างไรก็ตาม บางคนกำลังเสนอทางออกที่ถาวรกว่านั้น Andrew เสนอแนวคิดว่า “ผมคิดว่ามันเป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะคิดถึงการสร้างแดนสวรรค์โอลิมปิกด้วยสนามแข่งขัน 35 หรือ 40 แห่งสำหรับการแข่งขันฤดูร้อน จำนวนน้อยกว่านั้นสำหรับการแข่งขันฤดูหนาว ในสถานที่เดียว”

บางคนเชื่อว่ากรีซ บ้านเกิดทางประวัติศาสตร์ของโอลิมปิก จะเป็นเจ้าภาพถาวรที่ดี คนอื่น ๆ ได้กล่าวถึงลอสแองเจลิส เนื่องจากมีสถานที่จัดงานมากมายและทำได้ดีมากในอดีต

การมีสถานที่จัดการแข่งขันถาวรจะช่วยขจัดปัญหาโครงการช้างเผือก ช่วยให้เมืองไม่ต้องเป็นหนี้มหาศาล และลดปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากการแข่งขัน แต่ในขณะเดียวกัน มันก็อาจลดความตื่นเต้นของโอลิมปิกแต่ละครั้งด้วยเช่นเดียวกัน

Andrew สรุปว่า “มันจะไม่ง่ายที่จะไปสู่โมเดลที่มีความเหมาะสมทั้งทางด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ แต่ผมคิดว่ามันมีเหตุผลที่จะพูดถึงมันและนำเสนอมัน เป็นสิ่งที่เราควรมุ่งไป ขึ้นอยู่กับว่าโอลิมปิกอีกไม่กี่ครั้งข้างหน้าจะเป็นอย่างไร มันอาจเป็นทิศทางเดียวที่เหลืออยู่”

ในท้ายที่สุด การเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกได้เปลี่ยนแปลงจากความฝันอันยิ่งใหญ่ไปสู่ภาระทางการเงินที่หนักหน่วงสำหรับหลายเมือง ความท้าทายในอนาคตคือการหาสมดุลระหว่างการรักษาจิตวิญญาณของการแข่งขันและการสร้างความยั่งยืนทางการเงินและสิ่งแวดล้อม

การปฏิรูปของ IOC และแนวคิดเรื่องสถานที่จัดการแข่งขันถาวรอาจเป็นก้าวแรกสู่การแก้ปัญหานี้ แต่ยังคงต้องติดตามดูว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะเพียงพอหรือไม่ในการรักษาอนาคตของมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนี้

References :

  1. Zimbalist, A. (2016). Circus Maximus: The Economic Gamble Behind Hosting the Olympics and the World Cup. Brookings Institution Press.
  2. Baade, R. A., & Matheson, V. A. (2016). Going for the Gold: The Economics of the Olympics. Journal of Economic Perspectives, 30(2), 201-218.
  3. Preuss, H. (2004). The Economics of Staging the Olympics: A Comparison of the Games, 1972-2008. Edward Elgar Publishing.
  4. International Olympic Committee. (2021). Olympic Agenda 2020+5: 15 Recommendations. IOC.
  5. Why no one wants to host the Olympics (Search Party Youtube Channel)