จากสงครามสู่สันติภาพในลำไส้ : กับเส้นทางอันน่าทึ่งของ Minoru Shirota ผู้สร้างยาคูลท์

เรื่องราวของ Minoru Shirota เป็นตำนานแห่งความมุ่งมั่นและการอุทิศตนเพื่อสุขภาพของมวลมนุษยชาติ ชีวิตของเขาเป็นแบบอย่างที่แสดงให้เห็นว่าความฝันและความตั้งใจที่แน่วแน่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้อย่างไร

ในเดือนเมษายนปี 1899 ณ หมู่บ้านเล็ก ๆ ริมแม่น้ำ Inadani Tenryuu ในพื้นที่ Iida ทางตะวันตกของจังหวัด Nagano ประเทศญี่ปุ่น ได้เกิดเด็กชายคนหนึ่งที่จะเติบโตขึ้นมาเป็นผู้เปลี่ยนแปลงวงการสุขภาพโลก นั่นคือ Minoru Shirota ผู้ก่อตั้งบริษัทยาคูลท์อันโด่งดัง

หมู่บ้าน Inadani ที่ Shirota เกิดและเติบโตขึ้นมานั้น แม้จะอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันงดงามด้วยเนินเขาสูงตระหง่าน แต่กลับเป็นพื้นที่ยากจนมาแต่โบราณ เนื่องจากสภาพภูมิประเทศไม่เอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูกข้าว ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของญี่ปุ่นในยุคนั้น อย่างไรก็ตาม โชคชะตาได้เมตตา Shirota ให้เกิดในครอบครัวที่มีฐานะดีที่สุดครอบครัวหนึ่งในหมู่บ้าน บิดาของเขามีกิจการค้าส่งกระดาษและการเลี้ยงไหม อีกทั้งยังทำงานในธนาคารอีกด้วย

ด้วยความพร้อมทางครอบครัว Shirota จึงมีโอกาสทางการศึกษาที่ดีกว่าเด็กคนอื่น ๆ ในละแวกเดียวกัน เขาได้ย้ายไปเรียนที่โรงเรียนประถมในเขต Ryuunooka ซึ่งอยู่ห่างไกลจากบ้านเกิด ทำให้เขาได้เปิดโลกทัศน์และสั่งสมประสบการณ์ชีวิตมากกว่าเด็กทั่วไปในวัยเดียวกัน

Shirota เป็นเด็กที่มีเสน่ห์และฉลาดเฉลียว เขามีอารมณ์ขันและมีไหวพริบปฏิภาณที่ดี ทำให้เป็นที่รักใคร่ของเพื่อน ๆ และครูอาจารย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Hashizume Fukuji ครูประจำชั้นของเขา ซึ่งเป็นคนแรกที่มองเห็นพรสวรรค์อันโดดเด่นของ Shirota และคอยให้การสนับสนุนเขาอย่างเต็มที่

ในเดือนเมษายนปี 1913 Shirota เข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนมัธยมต้น Iida ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านถึง 16 กิโลเมตร แม้จะต้องเดินทางไกลทุกวัน แต่ Shirota ก็ไม่ย่อท้อ เขามุ่งมั่นที่จะเรียนให้ดีที่สุดเพื่อสานฝันของพ่อที่อยากให้เขาเป็นหมอ ในยุคสมัยนั้น การเป็นแพทย์ถือเป็นอาชีพในฝันของเด็กหลายคน รวมถึงนักเรียนจำนวนมากในโรงเรียนมัธยมศึกษา Ilda ซึ่งปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยนาโกย่า

แต่แล้วโชคชะตาก็พลิกผัน เมื่อสงครามได้ปะทุขึ้นในญี่ปุ่น Shirota ซึ่งเป็นคนรักสันติและไม่ชอบความรุนแรงมาตั้งแต่เด็ก จึงตัดสินใจมุ่งหน้าสู่เมืองเกียวโต เมืองแห่งวัฒนธรรมและการศึกษาของญี่ปุ่น เพื่อแสวงหาความสงบและอิสรภาพทางความคิด

ในเดือนเมษายนปี 1921 Shirota ได้เข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยเกียวโต ในคณะแพทยศาสตร์ ที่นี่เองที่เขาได้ค้นพบความหลงใหลในการศึกษาเกี่ยวกับจุลินทรีย์และโรคติดเชื้อ ความสนใจนี้ไม่ได้เกิดขึ้นลอย ๆ แต่มีรากฐานมาจากประสบการณ์ในวัยเด็กของเขาที่ Inadani

Shirota ไม่เคยลืมภาพความยากจนและความทุกข์ยากของผู้คนในบ้านเกิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็ก ๆ ที่ต้องทนทุกข์จากการขาดสารอาหารและโรคระบาด เช่น โรคบิดและไข้รากสาดใหญ่ ภาพเหล่านี้เป็นแรงผลักดันให้ Shirota มุ่งมั่นที่จะค้นคว้าหาวิธีรักษาและป้องกันโรคเหล่านี้

ในฤดูใบไม้ผลิปี 1925 การวิจัยของ Shirota ได้ก้าวหน้าไปอย่างมาก เขาค้นพบว่าแบคทีเรียบางชนิดที่เข้าสู่ร่างกายสามารถก่อให้เกิดโรคร้ายแรงได้ แต่ในขณะเดียวกัน ในกระเพาะอาหารของมนุษย์ก็มีแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ซึ่งสามารถปกป้องสุขภาพและต่อสู้กับแบคทีเรียที่เป็นอันตรายได้ หนึ่งในนั้นคือแบคทีเรียแลคโตบาซิลลัส

จากการค้นพบนี้ Shirota เกิดแนวคิดที่จะสร้างแบคทีเรียแลคโตบาซิลลัสจากธรรมชาติ แล้วนำมาขยายพันธุ์และทำให้สามารถดื่มได้ เขาเชื่อว่าวิธีนี้จะช่วยกำจัดแบคทีเรียที่เป็นอันตรายและรักษาสุขภาพได้อย่างเป็นธรรมชาติ นี่คือจุดเริ่มต้นของการวิจัยที่จะนำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ยาคูลท์ในอนาคต

ชีวิตส่วนตัวของ Shirota ก็เริ่มเข้าที่เข้าทางเช่นกัน ในปี 1939 เขาได้พบรักและแต่งงานกับ Yoshie พวกเขาเริ่มต้นชีวิตคู่ในเขต Kamigyoku เมืองเกียวโต ปีต่อมา Shirota สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกด้านการแพทย์และได้รับตำแหน่งอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเกียวโต ชีวิตของเขาดูเหมือนจะสมบูรณ์แบบเมื่อเขาและ Yoshie ให้กำเนิดบุตรชายสองคน คือ Takane และ Mari

แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น Shirota ได้รับจดหมายเกณฑ์ทหารจากรัฐบาล เขาถูกส่งไปเป็นแพทย์ทหารในประเทศจีนในเดือนกรกฎาคมปี 1938 แม้จะได้รับมอบหมายให้สอนเป็นศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยการแพทย์ Harupin แต่เมื่อสงครามปะทุขึ้นในจีน Shirota ก็ต้องกลับมาญี่ปุ่น

การกลับมาครั้งนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของ Shirota ในเดือนมกราคมปี 1939 เขาได้ก่อตั้งศูนย์วิจัย Shirota ขึ้น และตัดสินใจลาออกจากการเป็นอาจารย์เพื่อทุ่มเทให้กับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ยาคูลท์อย่างจริงจัง การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ญี่ปุ่นกำลังเปลี่ยนแปลงเป็นรัฐทหาร ทรัพยากรจำนวนมหาศาลถูกทุ่มเทไปกับการสร้างอาวุธยุทโธปกรณ์ แทนที่จะนำไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน

ในสถานการณ์เช่นนี้ ยาคูลท์จึงกลายเป็นความหวังสำหรับผู้คนที่ขาดแคลนอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็ก ๆ ที่กำลังเติบโต Shirota มุ่งมั่นที่จะผลิตยาคูลท์ให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีราคาถูกและเข้าถึงได้สำหรับทุกคน

แต่โชคชะตาก็ยังคงเล่นตลกกับ Shirota ในปี 1941 Yoshie ภรรยาของเขาเสียชีวิตลง และในเวลาไล่เลี่ยกัน สงครามโลกครั้งที่สองก็ปะทุขึ้น สงครามดำเนินไปอย่างยาวนานถึงสี่ปี ก่อนที่ญี่ปุ่นจะพ่ายแพ้ให้กับสหรัฐอเมริกา

แม้จะเผชิญกับความสูญเสียและความยากลำบาก แต่ Shirota ก็ไม่เคยละทิ้งความฝันของเขา ในปี 1950 เขาได้ร่วมมือกับเพื่อนสนิทก่อตั้งธุรกิจยาคูลท์อย่างเป็นทางการ เริ่มต้นการผลิตและทำการตลาดอย่างจริงจัง

ชื่อ “ยาคูลท์” นั้นมาจากคำในภาษาเอสเปรันโต “จาฮูรูโต” ซึ่งแปลว่า “โยเกิร์ต” สะท้อนให้เห็นถึงลักษณะของผลิตภัณฑ์ที่เป็นเครื่องดื่มโปรไบโอติกคล้ายโยเกิร์ต

ในปี 1955 Shirota ได้ย้ายสำนักงานใหญ่ของบริษัทไปยังกรุงโตเกียว ศูนย์กลางธุรกิจของประเทศญี่ปุ่น การตัดสินใจครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของ Shirota ที่ต้องการขยายธุรกิจให้เติบโตในระดับประเทศและระดับโลก ยาคูลท์ ผลิตภัณฑ์หลักของบริษัท กำลังได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของ Shirota ทั้งในฐานะนักวิจัยทางการแพทย์และนักธุรกิจผู้มีวิสัยทัศน์

ความสำเร็จของ Shirota ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น ในปี 1966 เขาได้รับเกียรติให้เข้าร่วมการสัมมนาระดับนานาชาติด้านจุลชีววิทยาในสหภาพโซเวียต เหตุการณ์นี้เป็นการยืนยันถึงการยอมรับในระดับโลกต่อผลงานวิจัยของเขา และเปิดโอกาสให้ Shirota ได้แลกเปลี่ยนความรู้กับนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำจากทั่วโลก

ความพยายามและความทุ่มเทตลอดชีวิตของ Shirota ได้รับการยกย่องอย่างสูงสุดในปี 1969 เมื่อเขาได้รับรางวัล Tokyoku Kunyon Jitsusho Jusho ซึ่งเป็นรางวัลอันทรงเกียรติที่มอบให้แก่บุคคลที่มีผลงานโดดเด่นและสร้างคุณประโยชน์ให้แก่สังคมญี่ปุ่น รางวัลนี้ไม่เพียงแต่เป็นเกียรติประวัติแก่ตัว Shirota เท่านั้น แต่ยังเป็นการยืนยันถึงคุณค่าของงานวิจัยและผลิตภัณฑ์ยาคูลท์ที่มีต่อสุขภาพของผู้คนทั่วโลก

ปัจจุบัน บริษัทยาคูลท์ยังคงสืบสานปณิธานของ Shirota ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยใช้แลคโตบาซิลลัสและจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์อื่น ๆ นอกจากนี้ บริษัทยังได้ขยายธุรกิจไปสู่การผลิตเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ สะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของ Shirota ที่เล็งเห็นถึงศักยภาพของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของมนุษย์ในหลากหลายมิติ

แม้ว่า Minoru Shirota จะจากโลกนี้ไปเมื่อวันที่ 10 มีนาคม ปี 1982 ด้วยวัย 82 ปี แต่มรดกทางปัญญาและแนวคิดของเขายังคงมีชีวิตอยู่และส่งผลกระทบต่อชีวิตของผู้คนทั่วโลก ยาคูลท์ยังคงเติบโตและขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยยึดมั่นในปรัชญาของ Shirota ที่ว่า “การป้องกันโรคดีกว่าการรักษา” และ “สุขภาพที่ดีนำไปสู่ความสุขที่แท้จริง”

เรื่องราวของ Minoru Shirota เป็นแรงบันดาลใจให้เราเห็นว่า ความมุ่งมั่น ความเชื่อมั่น และความปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้ แม้จะเผชิญกับอุปสรรคและความท้าทายมากมาย แต่ Shirota ไม่เคยละทิ้งความฝันของเขาที่จะสร้างโลกที่ผู้คนมีสุขภาพดีขึ้น ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ยาคูลท์ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผู้คนในกว่า 40 ประเทศทั่วโลก นับเป็นความสำเร็จที่เกินกว่าที่ Shirota อาจจะจินตนาการไว้ในวันที่เขาเริ่มต้นการวิจัยในห้องทดลองเล็ก ๆ ของเขา

นอกจากนี้ มรดกของ Shirota ยังรวมถึงการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง บริษัทยาคูลท์ยังคงลงทุนอย่างมากในการวิจัยเกี่ยวกับจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์และผลกระทบของพวกมันต่อสุขภาพของมนุษย์ ซึ่งนำไปสู่การค้นพบใหม่ ๆ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการด้านสุขภาพที่หลากหลายมากขึ้น

ชีวิตและผลงานของ Minoru Shirota เป็นเครื่องเตือนใจว่า วิทยาศาสตร์และธุรกิจสามารถร่วมมือกันเพื่อสร้างประโยชน์ให้แก่มนุษยชาติได้อย่างมหาศาล เมื่อถูกขับเคลื่อนด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและความมุ่งมั่นที่จะปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้คน แม้ว่า Shirota จะจากไปแล้ว แต่แนวคิดและปรัชญาของเขายังคงมีชีวิตอยู่ผ่านผลิตภัณฑ์ยาคูลท์และงานวิจัยที่ยังคงดำเนินต่อไป เป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นหลังได้เดินตามรอยและสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อโลกที่ดีกว่าต่อไป

*** หมายเหตุ ***

ส่วนสาวยาคูลท์ หรือที่ในญี่ปุ่นเรียกว่า ยาคูลท์ซัง หรือยาคูลท์เลดี้ เป็นวิธีการขายที่บริษัทยาคูลท์คิดขึ้น เริ่มใช้ตั้งแต่เมื่อปี 1963 เพราะเล็งเห็นว่าผู้หญิงสามารถเข้าถึงผู้บริโภค ซึ่งในยุคนั้นคนซื้อมักเป็นแม่บ้าน และยังทำให้ติดตลาดโดยไม่ต้องเสียค่าโฆษณามากเท่าการวางขายตามซูเปอร์มาร์เก็ตอีกด้วย

References : https://www.scmp.com/lifestyle/health-wellness/article/2172303/yakult-story-japanese-health-drink-conquered-world
https://en.wikipedia.org/wiki/Yakult_Honsha
https://yakult.com.mt/company-mt/the-origins/

ลาก่อนสมองล้า! วิธีง่ายๆ ในการจัดการน้ำตาลในเลือด ให้ชีวิตฟิตเปรี๊ยะ

ในโลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบและความเครียด การดูแลสุขภาพของเราโดยเฉพาะสุขภาพสมองนั้นสำคัญกว่าที่เคย ผมว่าหลาย ๆ คนก็คงคิดเหมือนกัน มันน่าจะมีวิธีง่ายๆ ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง ลดการอักเสบ และชะลอความชรา โดยที่ยังคงสามารถกินอาหารที่เราชื่นชอบได้? ซึ่งคำตอบนั้นอาจอยู่ในสิ่งที่เรียกว่า “น้ำตาลในเลือด”

Jesse Inchauspé นักชีวเคมีและผู้เขียนหนังสือขายดี “Glucose Revolution” และ “The Glucose Goddess Method” ได้ทำการวิจัยและค้นพบวิธีการง่ายๆ ที่จะช่วยให้เราควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอาหารที่เรากินมากนัก

แต่ก่อนอื่น เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า “กลูโคส” คืออะไร กลูโคสเป็นน้ำตาลชนิดหนึ่งที่ร่างกายของเราใช้เป็นแหล่งพลังงานหลัก ทุกเซลล์ในร่างกายของเรา ตั้งแต่เซลล์สมองไปจนถึงเซลล์นิ้วเท้า ล้วนใช้กลูโคสเป็นเชื้อเพลิงในการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมองของเรา แม้จะมีมวลเพียง 2% ของร่างกาย แต่กลับต้องการพลังงานมากถึง 20% ของพลังงานทั้งหมดที่ร่างกายใช้

เราได้รับกลูโคสส่วนใหญ่จากอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล เช่น ขนมปัง พาสต้า ข้าว มันฝรั่ง และอาหารรสหวานต่างๆ หลายคนอาจคิดว่าการกินอาหารเหล่านี้ให้มากๆ จะช่วยให้ร่างกายและสมองได้รับพลังงานมากขึ้น แต่ความจริงแล้ว การกินอาหารเหล่านี้มากเกินไปกลับส่งผลเสียต่อร่างกายและสมองของเรา

เมื่อเรากินอาหารที่มีแป้งและน้ำตาลมากเกินไป ระดับน้ำตาลในเลือดของเราจะพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เรียกว่า “การพุ่งขึ้นของน้ำตาลในเลือด” (glucose spikes) ซึ่งส่งผลให้สมองของเราได้รับพลังงานในรูปแบบที่เปรียบเสมือน “รถไฟเหาะตีลังกา” คือขึ้นสูงอย่างรวดเร็วและตกลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน แทนที่จะได้รับพลังงานอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง

การพุ่งขึ้นของน้ำตาลในเลือดนี้สามารถนำไปสู่อาการต่างๆ มากมาย เช่น:

  1. อาการสมองล้า (brain fog): ความเร็วของสัญญาณระหว่างเซลล์ประสาทช้าลง ทำให้รู้สึกมึนงงและไม่มีสมาธิ
  2. อารมณ์แปรปรวน: ทำให้หงุดหงิดง่าย โกรธง่าย หรือเศร้าโดยไม่มีสาเหตุ
  3. ความอยากอาหารเพิ่มขึ้น: เมื่อน้ำตาลในเลือดตกลงอย่างรวดเร็ว ร่างกายจะส่งสัญญาณหิวและอยากอาหารหวานมากขึ้น
  4. ความเสี่ยงต่อโรคอัลไซเมอร์เพิ่มขึ้นในระยะยาว

Jesse ได้คิดค้นวิธีง่ายๆ 4 ข้อที่จะช่วยให้เราควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องตัดอาหารที่เราชอบออกไป วิธีการนี้เรียกว่า “The Glucose Goddess Method” ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 สัปดาห์ ดังนี้

สัปดาห์ที่ 1: อาหารเช้าที่มีโปรตีนเป็นหลัก

หลายคนมักเริ่มต้นวันใหม่ด้วยอาหารเช้าแบบหวาน เช่น ซีเรียลกับนม น้ำผลไม้ หรือแพนเค้กราดน้ำเชื่อมเมเปิ้ล แต่ Jesse แนะนำให้เปลี่ยนมาทานอาหารเช้าแบบเค็มที่มีโปรตีนเป็นหลักแทน

เหตุผลก็คือ เมื่อเรากินอาหารหวาน สมองของเราจะหลั่งสารโดปามีน ซึ่งเป็นสารเคมีแห่งความสุข ทำให้เรารู้สึกตื่นตัวและมีพลังงานชั่วขณะ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ร่างกายของเรากำลังทำงานหนักเพื่อจัดการกับน้ำตาลที่เข้ามามากเกินไป ส่งผลให้ไมโตคอนเดรีย (organelles ที่ผลิตพลังงานในเซลล์) ทำงานหนักและมีประสิทธิภาพลดลง

การเปลี่ยนมาทานอาหารเช้าที่มีโปรตีนเป็นหลัก จะช่วยให้ร่างกายได้รับพลังงานอย่างสม่ำเสมอตลอดทั้งวัน ส่งผลให้มีสมาธิดีขึ้น อารมณ์มั่นคงขึ้น และมีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น

สัปดาห์ที่ 2: เครื่องดื่มน้ำส้มสายชู

ในสัปดาห์ที่สอง Jesse แนะนำให้ดื่มน้ำส้มสายชูหนึ่งช้อนโต๊ะผสมในน้ำแก้วใหญ่ ก่อนมื้ออาหารหนึ่งมื้อต่อวัน วิธีนี้อาจฟังดูแปลก แต่มีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์รองรับว่าได้ผลจริง

น้ำส้มสายชูมีกรดอะซิติกซึ่งช่วยชะลอการย่อยสลายอาหารให้เป็นกลูโคส ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วหลังมื้ออาหาร เรายังสามารถกินอาหารที่เราชอบได้ตามปกติ แต่ผลกระทบต่อระดับน้ำตาลในเลือดจะลดลงอย่างมาก

หากไม่ชอบรสชาติของน้ำส้มสายชู สามารถใช้น้ำมะนาวแทนได้ แต่ต้องใช้น้ำมะนาวประมาณ 3 ลูกเพื่อให้ได้ผลเทียบเท่ากับน้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ

สัปดาห์ที่ 3: ผักเรียกน้ำย่อย

ในสัปดาห์ที่สาม Jesse แนะนำให้เริ่มมื้ออาหารด้วยการกินผักก่อนเป็นอันดับแรก โดยทำเช่นนี้อย่างน้อยหนึ่งมื้อต่อวัน

เหตุผลที่ต้องกินผักก่อนก็เพราะว่าในผักมีใยอาหารซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษ เมื่อเรากินผักเป็นอันดับแรก ใยอาหารจะกระจายตัวไปเคลือบผนังลำไส้เล็กส่วนบน สร้างเป็น “ตาข่ายป้องกัน” ที่ช่วยชะลอและลดการดูดซึมกลูโคสจากอาหารมื้อนั้นเข้าสู่กระแสเลือด

วิธีนี้ช่วยลดการพุ่งขึ้นของน้ำตาลในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่เรายังสามารถกินอาหารมื้อนั้นได้ตามปกติ เพียงแค่เปลี่ยนลำดับการกินเท่านั้น

นอกจากนี้ยังสามารถผสมผสานวิธีการในสัปดาห์ที่ 2 และ 3 เข้าด้วยกันได้ โดยการใช้น้ำสลัดน้ำส้มสายชูราดบนผักเรียกน้ำย่อย ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้มากยิ่งขึ้น

สัปดาห์ที่ 4: การเคลื่อนไหวหลังมื้ออาหาร

ในสัปดาห์สุดท้าย Jesse แนะนำให้เคลื่อนไหวร่างกายเป็นเวลา 10 นาทีหลังมื้ออาหารหนึ่งมื้อต่อวัน การเคลื่อนไหวนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นการออกกำลังกายหนักๆ อาจเป็นเพียงการเดินรอบบ้าน ทำความสะอาดบ้าน เต้นรำในห้องนั่งเล่น หรือแม้แต่การยืนทำงานที่โต๊ะ

เมื่อเราเคลื่อนไหวร่างกาย กล้ามเนื้อของเราจะดูดซับกลูโคสบางส่วนจากกระแสเลือดไปใช้ ช่วยลดการพุ่งขึ้นของน้ำตาลในเลือดหลังมื้ออาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วิธีการทั้ง 4 ข้อนี้ไม่ได้เรียกร้องให้เราต้องเปลี่ยนแปลงอาหารที่เรากินหรือปริมาณที่เรากินแต่อย่างใด เพียงแค่ปรับเปลี่ยนวิธีการและลำดับในการกินเท่านั้น ซึ่งสามารถช่วยลดการพุ่งขึ้นของน้ำตาลในเลือดได้มากถึง 75% โดยที่เรายังคงสามารถกินอาหารที่เราชื่นชอบได้ตามปกติ

Jesse ได้ทำการทดลองกับผู้เข้าร่วมกว่า 3,000 คน โดยให้พวกเขาทำตามวิธีการ 4 สัปดาห์นี้ ผลปรากฏว่า:

  • 80% ของผู้เข้าร่วมมีพลังงานเพิ่มขึ้นและมีความอยากอาหารลดลง
  • 40% ของผู้เข้าร่วมที่เป็นเบาหวานมีอาการดีขึ้น
  • 40% นอนหลับได้ดีขึ้น

นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้เข้าร่วมมีการอักเสบลดลง ปัญหาผิวหนังดีขึ้น และระบบฮอร์โมนทำงานได้ดีขึ้นอีกด้วย

สิ่งสำคัญที่ควรจำไว้ก็คือ การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ใช่เรื่องของการจำกัดอาหารหรือการนับแคลอรี่ แต่เป็นเรื่องของการเข้าใจว่าร่างกายของเราตอบสนองต่ออาหารที่เรากินอย่างไร และปรับวิธีการกินให้เหมาะสม

Jesse เปรียบเทียบการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดเหมือนกับการดูแลต้นไม้ เช่นเดียวกับที่ต้นไม้ต้องการน้ำในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่มากหรือน้อยเกินไป ร่างกายของเราก็ต้องการระดับน้ำตาลในเลือดที่สมดุลเช่นกัน การรักษาสมดุลนี้จะช่วยให้ร่างกายและสมองของเราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

ที่น่าสนใจคือ วิธีการเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ทั้งหมด หลายวัฒนธรรมมีประเพณีการกินอาหารที่สอดคล้องกับหลักการเหล่านี้มาช้านานแล้ว เช่น การกินผักก่อนในอาหารอิตาเลียน (antipasto) หรือในอาหารฝรั่งเศส (crudités) วิทยาศาสตร์สมัยใหม่เพียงแค่ช่วยอธิบายว่าทำไมประเพณีเหล่านี้จึงส่งผลดีต่อสุขภาพของเรา

สำหรับผู้ที่สนใจจะทดลองวิธีการนี้ Jesse แนะนำว่าไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องติดตามน้ำตาลในเลือดแบบต่อเนื่อง (continuous glucose monitor) แต่ให้สังเกตจากความรู้สึกและประสบการณ์ของตัวเองว่าดีขึ้นอย่างไร ทั้งในแง่ของพลังงาน ความอยากอาหาร การนอนหลับ และสุขภาพโดยรวม

วิธีการของ Jesse ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การกินอาหารแบบใดแบบหนึ่ง ไม่ว่าจะกินอาหารแบบมังสวิรัติ คีโต พาลีโอ หรือแบบอื่นๆ ก็สามารถนำหลักการเหล่านี้ไปปรับใช้ได้ นอกจากนี้ ยังสามารถนำไปใช้กับเด็กๆ ได้ด้วย โดยเฉพาะการสอนให้พวกเขากินผักก่อนและเข้าใจถึงประโยชน์ของใยอาหาร

Jesse เน้นย้ำว่า การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ใช่เรื่องของการจำกัดตัวเอง แต่เป็นเรื่องของการเพิ่มคุณภาพชีวิต เมื่อเรารู้สึกดีขึ้น มีพลังงานมากขึ้น และมีสุขภาพที่ดีขึ้น เราก็จะยิ่งอยากทำสิ่งดีๆ ให้กับตัวเองมากขึ้นไปอีก

สุดท้ายนี้ Jesse เน้นย้ำว่า อาหารไม่ใช่แค่เชื้อเพลิงของร่างกาย แต่เป็นตัวกำหนดว่าเราจะรู้สึกอย่างไรตลอดทั้งวัน หากเราต้องการรู้สึกดีที่สุด เราต้องแน่ใจว่าอาหารของเรากำลังรับใช้เรา ไม่ใช่เรากำลังรับใช้อาหาร

การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอาจฟังดูเป็นเรื่องทางการแพทย์ที่ซับซ้อน แต่ Jesse ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า มันสามารถทำได้ง่ายๆ ในชีวิตประจำวันของเราทุกคน ด้วยการปรับเปลี่ยนเล็กๆ น้อยๆ ในวิธีการกินอาหาร เราสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง ปรับปรุงสุขภาพโดยรวม และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างน่าประหลาดใจ

การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดจึงไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของการดูแลสุขภาพ แต่เป็นกุญแจสำคัญที่จะปลดล็อกศักยภาพสูงสุดของร่างกายและจิตใจของเรา ให้เราสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีพลังและมีความสุขมากขึ้นในทุกๆ วัน

References :

  1. Inchauspé, J. (2022). Glucose Revolution: The Life-Changing Power of Balancing Your Blood Sugar. Simon & Schuster.
  2. Inchauspé, J. (2023). The Glucose Goddess Method: A 4-Week Guide to Cutting Cravings, Getting Your Energy Back, and Feeling Amazing. Simon & Schuster.
  3. Kwik, J. (2020). Limitless: Upgrade Your Brain, Learn Anything Faster, and Unlock Your Exceptional Life. Hay House Inc.
  4. https://youtu.be/KLBPqWrr42I?si=QiKm4g6XIHM70efz

การปฏิวัติการจ้างงานในยุคดิจิทัล กับบทเรียนจาก Jamie Dimon แห่ง JPMorgan Chase

ในโลกที่เทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนแปลงวิถีการทำงานอย่างรวดเร็ว การปรับตัวของบริษัทใหญ่อย่าง JPMorgan Chase ภายใต้การนำของ Jamie Dimon เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจของการปฏิวัติแนวคิดด้านการจ้างงานและการพัฒนาบุคลากร

เป็นบทสัมภาษณ์ที่น่าสนใจที่สอดรับกับสถานการณ์โลกจากรายการ This is Working With Daniel Roth ที่ได้สัมภาษณ์ Jamie Dimon CEO ของ JPMorgan Chase

Jamie Dimon เป็นผู้นำองค์กรมาเกือบ 20 ปี ได้นำพาธนาคารจนกลายเป็นสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ด้วยสินทรัพย์รวมกว่า 2.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มูลค่าตลาดเกือบ 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีพนักงานกว่า 240,000 คน แต่สิ่งที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือวิสัยทัศน์ของเขาในการปฏิรูปแนวคิดเรื่องการจ้างงาน ทั้งในแง่ของการค้นหาคนที่มีความสามารถ การพัฒนาศักยภาพของพวกเขา และการสร้างเส้นทางความก้าวหน้าในอาชีพ

การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ: ยกเลิกข้อจำกัดด้านวุฒิการศึกษา

หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดคือการยกเลิกข้อกำหนดเรื่องวุฒิการศึกษาสำหรับหลายตำแหน่งงาน Dimon ตระหนักดีว่าความสามารถไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในรั้วมหาวิทยาลัย เขากล่าวว่า “ผมไม่คิดว่าการที่คุณเรียนจบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำหรือมีเกรดดีเยี่ยมจะหมายความว่าคุณจะเป็นพนักงานที่ยอดเยี่ยมหรือเป็นคนที่ยอดเยี่ยม”

การตัดสินใจนี้ไม่เพียงแต่เปิดโอกาสให้กับผู้ที่อาจไม่มีโอกาสได้เรียนต่อในระดับอุดมศึกษา แต่ยังช่วยขยายกลุ่มคนที่มีความสามารถให้กับบริษัทอีกด้วย ตามข้อมูลของ LinkedIn 73% ของ Recruiter ในปัจจุบันให้ความสำคัญกับทักษะมากกว่าวุฒิการศึกษา ซึ่งช่วยขยายกลุ่มคนที่มีความสามารถได้ถึง 19 เท่าในสหรัฐอเมริกา

โอกาสสำหรับทุกคน: การเปิดรับอดีตผู้ต้องโทษ

อีกหนึ่งนโยบายที่โดดเด่นคือการเปิดโอกาสให้กับผู้ที่เคยมีประวัติอาชญากรรม Dimon เล่าว่า “มีตัวเลขที่น่าตกใจว่ามีอดีตผู้ต้องโทษถึง 70 ล้านคนในสหรัฐอเมริกา และคนกลุ่มนี้จำนวนมาก เราได้พบกับพวกเขา คนจำนวนมากในกลุ่มนี้แต่งงานแล้ว พวกเขาไม่ต้องการกลับไปทำผิดกฎหมายอีก พวกเขาต้องการความช่วยเหลือ ต้องการทักษะ”

JPMorgan Chase ได้ยกเลิกการกรอกข้อมูลในช่อง “เคยต้องโทษหรือไม่” และได้จ้างอดีตผู้ต้องโทษไปแล้วประมาณ 4,000-5,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นความผิดลหุโทษ นโยบายนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้อดีตผู้ต้องโทษได้มีโอกาสกลับคืนสู่สังคม แต่ยังช่วยให้บริษัทได้พบกับกลุ่มคนที่มีความสามารถที่อาจถูกมองข้ามไป

การเรียนรู้จากทั่วโลก: การส่งทีมผู้บริหารไปศึกษาดูงานในต่างประเทศ

Dimon เชื่อในพลังของการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง เขาเล่าถึงการส่งทีมผู้บริหารระดับสูงไปศึกษาดูงานที่ประเทศจีน “เราได้จัดการประชุมให้พวกเขากับ Ping An, WeChat, Tencent และ Alibaba คุณลองนึกภาพดูว่ามันเปิดโลกทัศน์ของพวกเขาขนาดไหน พวกเขาไม่รู้มาก่อนว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นที่นั่นในแง่ของ super apps และเทคโนโลยี”

การเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงเช่นนี้ช่วยให้ผู้บริหารเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภคในระดับโลก ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้กับการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการของธนาคารได้

การปรับตัวสู่ยุค AI: การเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต

ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในทุกอุตสาหกรรม JPMorgan Chase ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ Dimon เล่าว่า “เราได้ผนวก AI เข้าไปในทุกธุรกิจของเรา เรามีคนในทีมบริหารที่รายงานตรงต่อประธานและผม ซึ่งรับผิดชอบเรื่องข้อมูลและการวิเคราะห์”

บริษัทมีโครงการ AI กว่า 400 โครงการ และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 800 โครงการในปีหน้า และ 1,200 โครงการในอนาคตอันใกล้ แม้ว่า AI อาจทำให้งานบางประเภทหายไป แต่ Dimon มองว่ามันจะสร้างงานใหม่ด้วยเช่นกัน “ตอนนี้เรามีคน 2,000 คนที่ทำงานด้านข้อมูลและการวิเคราะห์ นักวิทยาศาสตร์ machine learning การวิจัย และอื่นๆ ผมคาดว่าตัวเลขนี้จะเพิ่มเป็น 5,000 คนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า”

การเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต: การพัฒนาทักษะของพนักงาน

Dimon ตระหนักดีว่าการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีจะส่งผลกระทบต่อลักษณะการทำงานในอนาคต เขาจึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะของพนักงานอย่างต่อเนื่อง เขากล่าวว่า “สิ่งที่ดีกว่าคือการบอกว่า ถ้ามันกำลังจะเปลี่ยนแปลงบางอย่างซึ่งอาจลดจำนวนงานเหล่านี้ลง ให้นึกถึงว่าถ้าคุณอยู่ในศูนย์บริการลูกค้าทางโทรศัพท์หรือที่อื่นๆ โดยปกติคุณจะมีอัตราการลาออกประมาณ 20% ทุกปี ดังนั้นคุณสามารถปรับตัว ฝึกอบรมใหม่ และทำสิ่งอื่นๆ ได้อย่างรวดเร็ว”

การให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้พนักงานสามารถปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงได้ แต่ยังช่วยเพิ่มความพึงพอใจในการทำงานและลดอัตราการลาออกของพนักงานอีกด้วย

บทเรียนสำหรับผู้นำในยุคดิจิทัล

จากประสบการณ์ของ Jamie Dimon และ JPMorgan Chase เราสามารถสรุปบทเรียนสำคัญสำหรับผู้นำองค์กรในยุคดิจิทัลได้ดังนี้:

  1. มองหาความสามารถ ไม่ใช่แค่วุฒิการศึกษา: การเปิดกว้างในการรับสมัครพนักงานโดยไม่ยึดติดกับวุฒิการศึกษาจะช่วยให้องค์กรเข้าถึงกลุ่มคนที่มีความสามารถที่หลากหลายมากขึ้น
  2. ให้โอกาสกับทุกคน: การเปิดโอกาสให้กับกลุ่มคนที่อาจถูกมองข้าม เช่น อดีตผู้ต้องโทษ ไม่เพียงแต่เป็นการทำประโยชน์ต่อสังคม แต่ยังช่วยให้องค์กรได้พบกับคนที่มีความสามารถและมีแรงจูงใจในการทำงานสูง
  3. เรียนรู้จากประสบการณ์จริง: การส่งทีมผู้บริหารไปเรียนรู้จากองค์กรชั้นนำในต่างประเทศช่วยเปิดมุมมองและนำความรู้ใหม่ๆ มาพัฒนาองค์กร
  4. เตรียมพร้อมสำหรับเทคโนโลยี AI: การลงทุนในโครงการด้าน AI และการพัฒนาทักษะของพนักงานให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความสามารถในการแข่งขันขององค์กร
  5. พัฒนาทักษะของพนักงานอย่างต่อเนื่อง: การสร้างวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้และการพัฒนาทักษะอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้องค์กรและพนักงานสามารถปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว
  6. ความสำคัญของ EQ ไม่ใช่แค่ IQ: Dimon เน้นย้ำถึงความสำคัญของความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) ในการทำงาน “คนจำนวนมากมีสมองมากพอ แต่ EQ คือ คุณไว้ใจผมไหม? ผมสื่อสารได้ดีไหม? เมื่อคุณเดินเข้าไปในห้อง คนรู้สึกดีที่คุณอยู่ที่นั่นหรือไม่? คนรู้ไหมว่าคุณมีหัวใจ?” การพัฒนา EQ จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพ
  7. เปิดใจกว้างและอยากรู้อยากเห็น: Dimon เชื่อว่าความอยากรู้อยากเห็นและการเปิดใจกว้างเป็นยาแก้พิษสำหรับระบบราชการที่อาจนำไปสู่ความล้มเหลวขององค์กร “ความพึงพอใจในการเมืองภายในองค์กรเปรียบเสมือนจานเพาะเชื้อแห่งความตาย” เขากล่าว “และยาแก้พิษสำหรับสิ่งนั้นคือการเปิดใจกว้างต่อทุกสิ่ง เรียนรู้อยู่เสมอ อยากรู้อยากเห็นอยู่เสมอ”
  8. วางแผนการสืบทอดตำแหน่งอย่างรอบคอบ: แม้ว่า Dimon จะยังไม่มีแผนที่จะลาออกในเร็วๆ นี้ แต่เขาก็ให้ความสำคัญกับการวางแผนการสืบทอดตำแหน่ง โดยการพัฒนาผู้นำรุ่นต่อไปอย่างต่อเนื่องและให้โอกาสพวกเขาได้ทำงานในหลากหลายส่วนของบริษัท

บทสรุป: การปฏิวัติการจ้างงานเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน

แนวทางของ Jamie Dimon และ JPMorgan Chase ในการปฏิรูปการจ้างงานและการพัฒนาบุคลากรไม่เพียงแต่เป็นประโยชน์ต่อบริษัทเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่อสังคมโดยรวมด้วย การเปิดโอกาสให้กับกลุ่มคนที่อาจถูกมองข้าม การให้ความสำคัญกับทักษะมากกว่าวุฒิการศึกษา และการลงทุนในการพัฒนาทักษะของพนักงานอย่างต่อเนื่อง ล้วนเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยสร้างความยั่งยืนให้กับองค์กรในระยะยาว

ในขณะเดียวกัน การเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำ AI มาใช้ในธุรกิจ ก็เป็นสิ่งที่องค์กรไม่อาจมองข้ามได้ในยุคดิจิทัล แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลให้งานบางประเภทหายไป แต่ก็จะสร้างโอกาสและงานใหม่ๆ ขึ้นมาด้วยเช่นกัน

สำหรับผู้นำองค์กรในประเทศไทย บทเรียนจาก Jamie Dimon และ JPMorgan Chase สามารถนำมาปรับใช้ได้ โดยคำนึงถึงบริบททางสังคมและวัฒนธรรมของไทย การเปิดโอกาสให้กับคนที่มีความสามารถแต่อาจไม่มีโอกาสได้เรียนต่อในระดับอุดมศึกษา การลงทุนในการพัฒนาทักษะของพนักงาน และการเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ล้วนเป็นสิ่งที่องค์กรไทยควรให้ความสำคัญ

ในท้ายที่สุด การปฏิวัติการจ้างงานไม่ใช่เพียงเรื่องของการเพิ่มผลกำไรให้กับบริษัทเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับคนทุกกลุ่มในสังคม ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืนในระยะยาว ดังที่ Dimon กล่าวไว้ “ความจริงก็คือคนที่มีความสามารถมีอยู่ทุกที่ แต่โอกาสไม่ได้มีทุกที่” การสร้างโอกาสเหล่านั้นจึงเป็นความท้าทายและความรับผิดชอบของผู้นำองค์กรในยุคปัจจุบัน

References :
https://www.linkedin.com/posts/linkedin-news_this-is-working-with-jpmorgan-chase-ceo-jamie-activity-7217165097113169920-dmUF
https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Jamie_Dimon,_CEO_of_JPMorgan_Chase.jpg