เจาะลึกกลยุทธ์ Red Bull แบรนด์ที่มากกว่าแค่เครื่องดื่ม กับการเปลี่ยนพลังงานให้กลายเป็นวัฒนธรรมโลก

เรื่องราวของ Red Bull เป็นตำนานแห่งการสร้างแบรนด์ที่น่าทึ่งเป็นอย่างมาก เริ่มต้นจากการที่ Dietrich Mateschitz นักธุรกิจชาวออสเตรีย ได้ค้นพบเครื่องดื่มชูกำลังท้องถิ่นของไทยที่ชื่อว่า “กระทิงแดง” ในปี 1982 ระหว่างการเดินทางธุรกิจ เขาประทับใจกับสรรพคุณของเครื่องดื่มที่ช่วยบรรเทาอาการเจ็ทแล็กได้อย่างมาก จนเกิดแรงบันดาลใจที่จะนำผลิตภัณฑ์นี้กลับไปยังตลาดตะวันตก

แม้จะถูกนักลงทุนหลายรายปฏิเสธ เพราะมองไม่เห็นโอกาสทางการตลาดนอกเอเชีย แต่ Mateschitz ไม่ย่อท้อ เขาตัดสินใจลงทุน 500,000 ดอลลาร์สหรัฐ และร่วมมือกับเจ้าของบริษัทผู้ผลิตกระทิงแดง (คุณเฉลียว อยู่วิทยา) ซึ่งลงทุนอีกครึ่งหนึ่งเพื่อถือหุ้นร่วมกัน Mateschitz ปรับสูตรและรสชาติให้เหมาะกับตลาดยุโรป และเปิดตัว Red Bull ในออสเตรียเมื่อปี 1987

จุดเริ่มต้นของความสำเร็จมาจากการที่ Red Bull ถูกห้ามจำหน่ายในเยอรมนีในช่วงแรก ทำให้เกิดกระแสความนิยมในหมู่วัยรุ่นที่พากันข้ามพรมแดนไปซื้อเครื่องดื่ม “ต้องห้าม” นี้ ส่งผลให้ยอดขายพุ่งสูงถึงหนึ่งล้านกระป๋องในปีแรกที่เปิดตลาด

Dietrich Mateschitz ที่เห็นโอกาสจากเครื่องดื่มที่เขาพบระหว่างบินไปทำธุรกิจ (CR:Reddit)
Dietrich Mateschitz ที่เห็นโอกาสจากเครื่องดื่มที่เขาพบระหว่างบินไปทำธุรกิจ (CR:Reddit)

จากนั้น Red Bull ก็แผ่ขยายไปทั่วยุโรปอย่างรวดเร็ว โดยเริ่มจากสโลวาเกียและฮังการีในปี 1992 ตามด้วยเยอรมนีและสหราชอาณาจักรในปี 1994 และเมื่อบุกตลาดสหรัฐอเมริกาในปี 1997 ยอดขายก็พุ่งทะยานถึงหนึ่งล้านกระป๋องต่อวัน

กลยุทธ์ทางธุรกิจของ Red Bull แตกต่างจากบริษัทเครื่องดื่มยักษ์ใหญ่อย่าง Coca-Cola และ Pepsi อย่างสิ้นเชิง Mateschitz เลือกที่จะสร้างบริษัทรูปแบบใหม่ โดยจ้างบริษัทภายนอกดำเนินการด้านการผลิตและโลจิสติกส์ ทำให้ Red Bull สามารถทุ่มเททรัพยากรทั้งหมดไปกับการทำตลาดและสร้างแบรนด์

ความสำเร็จของ Red Bull ไม่ได้มาจากการขายเครื่องดื่มเพียงอย่างเดียว แต่มาจากการสร้างวัฒนธรรมและไลฟ์สไตล์รอบๆ แบรนด์ พวกเขาเริ่มต้นด้วยการมุ่งเน้นไปที่ฉากคลับและปาร์ตี้

ใช้กลยุทธ์ “ผู้จัดการแบรนด์นักศึกษา (student brand managers)” ที่ช่วยโปรโมต Red Bull ในมหาวิทยาลัยและจัดปาร์ตี้ต่างๆ นอกจากนี้ยังมีการแจกตัวอย่างฟรีตามชายหาด มหาวิทยาลัย โรงยิม และอาคารสำนักงาน ด้วยรถ Volkswagen Beetle ที่มีกระป๋อง Red Bull ขนาดใหญ่ติดอยู่

การผสม Red Bull กับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น วอดก้าหรือ Jägermeister กลายเป็นเทรนด์ยอดนิยมในบาร์และไนต์คลับทั่วโลก สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันให้กับแบรนด์จากออสเตรียนี้อย่างมาก แต่นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของกลไกการตลาดอันทรงพลังของ Red Bull เพียงเท่านั้น

Red Bull ไม่ได้หยุดอยู่แค่การเป็นเครื่องดื่มชูกำลัง แต่พวกเขาก้าวไปไกลกว่านั้นด้วยการสร้างจักรวาลแห่งแบรนด์ผ่านการสนับสนุนและเป็นเจ้าของทีมกีฬาหลากหลายประเภท

ไม่ว่าจะเป็นทีมแข่งรถสูตรหนึ่ง สโมสรฟุตบอลอาชีพ และทีมฮอกกี้น้ำแข็ง รวมถึงการจัดกิจกรรมสุดท้าทายอย่าง Crashed Ice Challenge และ Wings for Life Run พวกเขายังสนับสนุนนักกีฬานับพันคนและผลิตสื่อของตัวเองอีกด้วย

วิธีการทำการตลาดของ Red Bull แตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ อย่างสิ้นเชิง แทนที่จะเล่าเรื่องแบบจืดชืดหรือพยายามหาเรื่องราวมาเชื่อมโยง พวกเขาเลือกที่จะสร้างเรื่องราวของตัวเองและผลิตเนื้อหาผ่านบริษัทสื่อของตัวเอง

การถือลิขสิทธิ์ภาพถ่ายทั้งหมดของกิจกรรมที่พวกเขาจัดขึ้น ทำให้ Red Bull สามารถควบคุมการสื่อสารและสร้างผลกระทบแบบไวรัลผ่านสื่อสังคมออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตัวอย่างที่โดดเด่นที่สุดของการสร้างเรื่องราวแบบ Red Bull คือโครงการ Stratos ในปี 2012 ที่ Felix Baumgartner กระโดดร่มจากชั้นบรรยากาศสตราโตสเฟียร์ แม้จะใช้งบประมาณมหาศาลถึง 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่มูลค่าของการรายงานข่าวทั่วโลกเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ถูกประเมินว่าสูงถึง 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือว่าโครตคุ้ม

Felix Baumgartner กระโดดร่มจากชั้นบรรยากาศสตราโตสเฟียร์ (CR:Youtube Red Bull)
Felix Baumgartner กระโดดร่มจากชั้นบรรยากาศสตราโตสเฟียร์ (CR:Youtube Red Bull)

การสนับสนุนกิจกรรมกีฬาสุด Extreme ควบคู่ไปกับการขายผลิตภัณฑ์ที่มีภาพลักษณ์ที่เฉียบแหลม ช่วยให้ Red Bull ยังคงครองตำแหน่งผู้นำตลาดในประเภทสินค้าของตน

ในปี 2019 พวกเขาสามารถขายเครื่องดื่มได้ถึง 7.5 พันล้านกระป๋อง สร้างรายได้มากกว่า 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยใช้งบประมาณเกือบหนึ่งในสามไปกับการทำการตลาด

อย่างไรก็ตาม การเติบโตของรายได้ Red Bull เริ่มชะลอตัวลงตั้งแต่ปี 2012 เนื่องจากบริษัทพึ่งพารายได้จากเครื่องดื่มชูกำลังเพียงอย่างเดียวเกือบทั้งหมด ซึ่งอาจกลายเป็นความเสี่ยงในอนาคต

โดยเฉพาะเมื่อผู้บริโภคเริ่มตระหนักถึงสุขภาพและโภชนาการมากขึ้น การมุ่งเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์ที่อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว เช่น ปัญหาโรคอ้วน นอนไม่หลับ และเบาหวาน อาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ในอนาคตได้

ด้วยเหตุนี้ การลงทุนในทีมกีฬาและการผลิตสื่อของ Red Bull จึงไม่ใช่เพียงกิจกรรมทางการตลาดเท่านั้น แต่เป็นความพยายามในการกระจายความเสี่ยงและสร้างห่วงโซ่คุณค่าเพิ่มเติมนอกเหนือจากธุรกิจขายเครื่องดื่ม

Red Bull ใช้ประโยชน์จากห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ด้านความบันเทิงและสื่อแบบครบวงจร ตั้งแต่การผลิตสื่อ การเป็นเจ้าของทีม การจัดการด้านการออกอากาศ ไปจนถึงการบริหารสัญญา

ตัวอย่างหนึ่งของวิธีที่กลยุทธ์นี้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้คือการลงทุนในทีมฟุตบอล การเป็นเจ้าของทีมฟุตบอลหลายทีมทำให้ Red Bull สามารถใช้ประโยชน์จากการผนึกกำลังในการพัฒนานักเตะ

โดยนักฟุตบอลคนหนึ่งอาจเริ่มต้นอาชีพในบราซิล ย้ายมายุโรปเพื่อเล่นในลีกออสเตรียที่เล็กกว่าให้กับทีม Red Bull Salzburg และในที่สุดก็เข้าร่วมทีม RB Leipzig เมื่อพร้อมที่จะเล่นในแชมเปียนส์ลีก ในช่วงท้ายของอาชีพ เขาอาจย้ายไปเล่นให้กับ New York Red Bulls เพื่อใช้เวลาช่วงสุดท้ายในเมเจอร์ลีกซอคเกอร์

การลงทุนในทีม New York Red Bulls เป็นตัวอย่างที่ดีของการสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจ Red Bull ซื้อทีมในราคาประมาณ 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2006 และปัจจุบันทีมมีมูลค่าสูงถึง 290 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามการประเมินของ Forbes

นั่นหมายความว่า Red Bull สามารถเพิ่มมูลค่าการลงทุนได้ถึงสิบเท่าในเวลาเพียงไม่กี่ปี และด้วยตลาดฟุตบอลในสหรัฐอเมริกาที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง มูลค่าของแฟรนไชส์ในนิวยอร์กซิตี้มีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นอีกในอนาคต

อย่างไรก็ตาม แม้ว่า Red Bull จะประสบความสำเร็จในการขยายธุรกิจไปสู่วงการกีฬาและสื่อ แต่แหล่งรายได้หลักของบริษัทยังคงมาจากการขายเครื่องดื่มชูกำลัง ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 97% ของรายได้ทั้งหมด

Red Bull มองว่ากิจกรรมอื่นๆ นอกเหนือจากการขายเครื่องดื่มเป็น “การลงทุนในแบรนด์อย่างต่อเนื่อง” ซึ่งบ่งชี้ว่าธุรกิจเหล่านี้อาจยังไม่สร้างผลกำไรในปัจจุบัน แต่เป็นการลงทุนเพื่ออนาคต

การที่ Red Bull ยังคงพึ่งพารายได้จากเครื่องดื่มชูกำลังเป็นหลักนั้น อาจเป็นดาบสองคมสำหรับบริษัท ในขณะที่ยอดขายเครื่องดื่มยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่การพึ่งพาผลิตภัณฑ์เพียงประเภทเดียวก็อาจทำให้บริษัทเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ผู้คนหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น

บทสรุป

Red Bull เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของการสร้างแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในยุคสมัยใหม่ จากจุดเริ่มต้นที่เป็นเพียงเครื่องดื่มชูกำลังจากประเทศไทย Red Bull ได้เติบโตกลายเป็นจักรวาลแบรนด์ที่ครอบคลุมทั้งวงการกีฬา สื่อ และความบันเทิง

ด้วยกลยุทธ์การตลาดที่แหวกแนวและการสร้างเรื่องราวที่น่าตื่นเต้น Red Bull ไม่เพียงแต่ขายเครื่องดื่ม แต่ยังขายไลฟ์สไตล์และประสบการณ์ให้กับผู้บริโภคทั่วโลก

ในท้ายที่สุด ความสำเร็จของ Red Bull ไม่ได้อยู่ที่การขายเครื่องดื่มเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ความสามารถในการสร้างแรงบันดาลใจและความตื่นเต้นให้กับผู้คนทั่วโลก หากพวกเขาสามารถรักษาพลังงานและความคิดสร้างสรรค์นี้ไว้ได้ พร้อมทั้งปรับตัวให้เข้ากับความท้าทายใหม่ๆ Red Bull ก็มีแนวโน้มที่จะยังคงเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกต่อไปในอนาคต

References :
https://en.wikipedia.org/wiki/Red_Bull
https://medium.com/@stellar.alchemist/how-red-bull-makes-money-unleashing-the-secrets-behind-its-success-64710c6cfee7
https://youtu.be/cBRNQMolTPw?si=BOMJfz5YykIXiu1r
https://voymedia.com/red-bull-marketing-strategy/

Geek Life EP19 : 5 นาทีกับแสงเช้า ทำไมคุณควรทิ้งโทรศัพท์แล้วออกไปรับแสงแดดยามเช้า

ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้น หลายคนมักจะเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือทันทีที่ลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้า แต่รู้หรือไม่ว่า พฤติกรรมเช่นนี้อาจส่งผลเสียต่อร่างกายของเราในระยะยาว?

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/55h3f5wy

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/3d8xc4p8

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/FPgMppkt054

วาติกันวอลล์สตรีท : ศรัทธาหรือเงินตรา? กับขุมทรัพย์ลับแห่งนครรัฐวาติกัน

ในค่ำคืนอันมืดมิดของปี 1982 Roberto Calvi นายธนาคารชาวอิตาเลียนกำลังหลบหนีอย่างสิ้นหวัง เขาเคยเป็นผู้บริหารธนาคาร Banco Ambrosiano ซึ่งมีวาติกันเป็นลูกค้ารายใหญ่ แต่บัดนี้กลับกลายเป็นผู้ต้องหาคดีฉ้อโกงมูลค่ามหาศาล

Calvi เดินทางข้ามพรมแดนไปออสเตรียในยามวิกาล ก่อนจะบินต่อไปยังลอนดอน หวังว่าจะหลบเลี่ยงการจับกุม แต่โชคชะตากลับเล่นตลก เพียงไม่กี่วันต่อมา ศพของ Calvi ถูกพบแขวนคออยู่ใต้สะพาน Blackfriars เหนือแม่น้ำเทมส์ ในใจกลางย่านการเงินของลอนดอน

ความตายอันน่าสะพรึงกลัวของ Calvi เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเรื่องราวอันซับซ้อนที่เกี่ยวพันกับธนาคารวาติกัน สถาบันการเงินที่ทรงอิทธิพลที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

ย้อนกลับไปหลายศตวรรษ คริสตจักรคาทอลิกได้สั่งสมความมั่งคั่งและอำนาจผ่านการบริจาคของผู้ศรัทธาและการลงทุนทางธุรกิจ วาติกันครอบครองทรัพย์สินมากมายทั่วโลก ทั้งอสังหาริมทรัพย์และการลงทุนในบริษัทต่างๆ แต่ความร่ำรวยนี้มาพร้อมกับความท้าทายทางจริยธรรมและข้อครหามากมาย

ในช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ วาติกันไม่เพียงแต่เป็นศูนย์กลางทางศาสนาเท่านั้น แต่ยังเป็นองค์กรที่ทรงอิทธิพลทางการเมืองและการเงินอย่างมากในยุโรป การปกครองดินแดนขนาดใหญ่ในอิตาลีตอนกลางที่เรียกว่ารัฐสันตะปาปา ทำให้วาติกันต้องการแหล่งรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาอำนาจของตน

วาติกันจึงคิดค้นวิธีการระดมทุนอับแยบยล นั่นคือการขายใบไถ่บาป ซึ่งเป็นเอกสารที่รับรองว่าพระเจ้าจะทรงยกเว้นการลงโทษสำหรับบาปของผู้ซื้อ โดยกำหนดราคาตามความร้ายแรงของบาป วิธีนี้สร้างรายได้มหาศาลให้วาติกัน แต่ก็นำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงและเป็นหนึ่งในสาเหตุที่นำไปสู่การปฏิรูปศาสนาของ Martin Luther

อย่างไรก็ตาม ปัญหาทางการเงินที่ใหญ่ที่สุดของวาติกันเกิดขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 เมื่อกองกำลังฝรั่งเศสภายใต้การนำของ Napoleon Bonaparte บุกยึดกรุงโรมและยุติการปกครองของสันตะปาปา สมเด็จพระสันตะปาปา Pius VI ถูกจับกุมและสิ้นพระชนม์ระหว่างถูกคุมขัง เหตุการณ์นี้เกือบจะทำให้คริสตจักรคาทอลิกล่มสลาย

หลังจากความวุ่นวายของสงคราม Napoleonic สิ้นสุดลง วาติกันได้รับการคืนอำนาจการปกครองรัฐสันตะปาปา แต่สถานการณ์ทางการเงินยังคงย่ำแย่ ด้วยความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องหาเงินทุน คริสตจักรจึงหันไปพึ่งพาแหล่งเงินทุนที่ไม่น่าเป็นไปได้ นั่นคือตระกูล Rothschild ซึ่งเป็นราชวงศ์ธนาคารที่มีอิทธิพลในยุโรป

ในปี 1831 สมเด็จพระสันตะปาปา Gregory XVI ทรงตัดสินใจกู้ยืมเงินจากตระกูล Rothschild เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของคริสตจักร James de Rothschild หัวหน้าสำนักงานใหญ่ของครอบครัวในปารีส ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายธนาคารอย่างเป็นทางการของสันตะปาปา การตัดสินใจนี้สร้างความตกตะลึงให้กับเจ้าหน้าที่คริสตจักรหัวอนุรักษ์นิยม ที่รู้สึกว่าเป็นการอัปยศที่ต้องพึ่งพานักการเงินหน้าเลือดเหล่านี้เพื่อความช่วยเหลือทางการเงิน

James de Rothschild ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายธนาคารอย่างเป็นทางการของสันตะปาปา (CR:Wikipedia)
James de Rothschild ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายธนาคารอย่างเป็นทางการของสันตะปาปา (CR:Wikipedia)

ตระกูล Rothschild ให้วาติกันกู้ยืมเงิน 40 ล้านยูโรในมูลค่าปัจจุบัน ซึ่งด้วยอิทธิพลของตระกูล Rothschild คริสตจักรจึงเริ่มการปฏิรูปทางการเงินครั้งใหญ่ รวมถึงการขายพันธบัตรให้กับผู้ศรัทธาคาทอลิกและการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และหุ้นของธนาคารแห่งโรม

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 วาติกันเผชิญกับความตึงเครียดทางการเงินอีกครั้ง เนื่องจากรายได้หลักจากการบริจาคลดลงอย่างมาก เยอรมนีเห็นความสำคัญของการมีวาติกันเป็นพันธมิตรจึงส่งเงินลับๆ ให้คริสตจักรผ่านธนาคารสวิส โดยติดฉลากว่าเป็น Peter’s Pence (เงินอุดหนุนสมเด็จพระสันตะปาปา) นอกจากนี้ยังมีเงินอุดหนุนลับๆ จากออสเตรียด้วย เหตุการณ์นี้ทำให้เห็นว่าวาติกันเป็นช่องทางที่เหมาะสมสำหรับการดำเนินการทางการเงินแบบลับๆ

ในปี 1929 เกิดเหตุการณ์สำคัญเมื่อมีการลงนามในสนธิสัญญาลาเตรันระหว่างอิตาลีและวาติกัน ซึ่งสถาปนานครรัฐวาติกันให้เป็นประเทศอธิปไตย รัฐบาลอิตาลีจ่ายเงินชดเชยให้วาติกันเป็นจำนวนมหาศาล ทำให้คริสตจักรต้องการผู้เชี่ยวชาญทางการเงินมาจัดการเงินทุนจำนวนมหาศาลนี้

Bernardino Nogara ได้รับเลือกให้เป็นผู้จัดการการเงินของวาติกัน เขาเป็นนักการเงินที่มีความสามารถสูงและมีเครือข่ายที่ดี ภายใต้การนำของ Nogara วาติกันสามารถรอดพ้นจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ได้ โดยการลงทุนในทองคำ อสังหาริมทรัพย์ และการทำ arbitrage ในพันธบัตรรัฐบาล Nogara ยังจัดตั้งเครือข่ายบริษัทโฮลดิ้งเพื่อจัดการการลงทุนอย่างรอบคอบและรักษาไว้เป็นความลับ

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 วาติกันก่อตั้ง Istituto per le Opere di Religione หรือธนาคารวาติกัน ซึ่งดำเนินการโดยไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลทางการเงินต่อสาธารณะ ไม่ต้องเสียภาษี และสามารถทำลายเอกสารได้ทุก 10 ปี ทำให้เป็นช่องทางที่สมบูรณ์แบบสำหรับการซ่อนและฟอกเงิน มีการกล่าวหาว่าธนาคารวาติกันช่วยเหลือในการย้ายเงินของนาซีและช่วยผู้ลี้ภัยนาซีหลบหนีไปอเมริกาใต้

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 วาติกันใช้ประโยชน์จากการฟื้นฟูของยุโรปโดยการลงทุนในอุตสาหกรรมก่อสร้างและธนาคาร ในช่วงนี้ Michele Sindona นักการเงินที่มีความสามารถแต่ไร้ซึ่งจริยธรรม เข้ามามีบทบาทสำคัญในการจัดการการเงินของวาติกัน Sindona มีความสัมพันธ์กับมาเฟียและช่วยให้คนรวยและองค์กรต่างๆ หลบเลี่ยงภาษี

Sindona ร่วมมือกับ Roberto Calvi ผู้บริหารของ Banco Ambrosiano ในการสร้างเครือข่ายธนาคารและบริษัท Offshore เพื่อย้ายเงินของวาติกันอย่างลับๆ โดยมี Paul Marcinkus ประธานธนาคารวาติกันในขณะนั้น สนับสนุนกิจกรรมของ Sindona และ Calvi โดยหวังว่าจะขยายธุรกิจของธนาคารวาติกันไปทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม แผนการทางการเงินของ Sindona และ Calvi ล่มสลายในช่วงต้นทศวรรษ 1970 เมื่อธนาคาร Franklin National ของ Sindona ในสหรัฐอเมริกาล้มละลาย และการลงทุนของเขาในอิตาลีก็ประสบปัญหา Calvi พยายามเข้าควบคุมสินทรัพย์ของ Sindona แต่ก็เผชิญกับปัญหาทางกฎหมาย

ในปี 1982 Roberto Calvi ถูกพบเสียชีวิตในลอนดอน โดยถูกแขวนคอใต้สะพาน Blackfriars ซึ่งสงสัยว่าเป็นการฆาตกรรมที่เกี่ยวข้องกับมาเฟีย วาติกันยอมรับความผิดพลาดในการทำงานร่วมกับ Calvi และตกลงจ่ายเงิน 244 ล้านดอลลาร์ในการตกลงทางกฎหมายเกี่ยวกับ Banco Ambrosiano เรื่องอื้อฉาวนี้ส่งผลให้การบริจาคให้วาติกันลดลงอย่างมาก นำไปสู่การขาดดุลงบประมาณของคริสตจักร

Roberto Calvi ถูกพบเสียชีวิตในลอนดอน (CR:ebay)
Roberto Calvi ถูกพบเสียชีวิตในลอนดอน (CR:ebay)

Michele Sindona ถูกส่งตัวกลับไปอิตาลีในปี 1985 และเสียชีวิตในคุกจากการได้รับพิษไซยาไนด์ ซึ่งสงสัยว่าเป็นการแก้แค้นของมาเฟีย Paul Marcinkus ถูกออกหมายจับโดยเจ้าหน้าที่อิตาลี แต่วาติกันปฏิเสธที่จะส่งตัวเขา โดยอ้างความคุ้มกันทางการทูต

ในทศวรรษ 1990 ธนาคารวาติกันเผชิญกับการตรวจสอบและเรื่องอื้อฉาวที่ไม่เคยมีมาก่อน นำไปสู่การแต่งตั้ง Angelo Caloia เป็นประธานคนใหม่ของธนาคารวาติกัน โดยหวังว่าจะฟื้นฟูความไว้วางใจในสถาบัน

อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่ใหญ่กว่าก็รออยู่ ในปี 2002 เกิดเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศโดยบาทหลวง ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาพลักษณ์และการเงินของคริสตจักร มณฑลหลายแห่งต้องประกาศล้มละลายหรือขายทรัพย์สินเพื่อจ่ายค่าชดเชยให้กับเหยื่อ

ในปี 2013 สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสขึ้นครองตำแหน่ง นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สำหรับคริสตจักรคาทอลิก พระองค์ทรงนำเสนอแนวทางที่ถ่อมตนและเป็นเน้นไปที่ประชานิยมมากขึ้น ซึ่งแตกต่างอย่างชัดเจนจากพระสันตะปาปาพระองค์ก่อนหน้า พระองค์ทรงละทิ้งความหรูหราแบบดั้งเดิมของตำแหน่งสันตะปาปาและมุ่งเน้นไปที่การเข้าถึงคนยากจนและคนชายขอบในสังคม

แนวทางของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสต่อประเด็นที่มีการถกเถียง เช่น รักร่วมเพศ การทำแท้ง และหลักคำสอนของคริสตจักร มีความครอบคลุมและเห็นอกเห็นใจมากขึ้น ซึ่งช่วยเข้าถึงผู้คนจำนวนมาก แต่ก็จุดประกายการถกเถียงเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการเปลี่ยนแปลงหลักคำสอนของคริสตจักรด้วยเช่นกัน

ในช่วงต้นของการดำรงตำแหน่ง สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสประสบความสำเร็จในการฟื้นฟูภาพลักษณ์ของคริสตจักร ดึงดูดทั้งชาวคาทอลิกและผู้ที่ไม่ใช่คาทอลิกทั่วโลกอย่างกว้างขวาง

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสขึ้นครองตำแหน่ง นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สำหรับคริสตจักรคาทอลิก (CR:Wikimedia Common)
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสขึ้นครองตำแหน่ง นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สำหรับคริสตจักรคาทอลิก (CR:Wikimedia Common)

ผลกระทบเชิงบวกนี้ยังส่งผลดีต่อธนาคารวาติกันด้วย เนื่องจากการเข้าร่วมมิสซาที่เพิ่มขึ้นและการมีส่วนร่วมของอาสาสมัครในองค์กรการกุศลคาทอลิก ทำให้ธนาคารวาติกันได้รับเงินบริจาคจากผู้ศรัทธาอีกครั้งในจำนวนที่ไม่เคยมีมาก่อน

ภายใต้การนำของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ธนาคารวาติกันได้เพิ่มความโปร่งใสในการดำเนินงาน โดยเริ่มเผยแพร่รายงานทางการเงินประจำปีอย่างสม่ำเสมอ

นอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนแปลงในแนวโน้มของจำนวนบาทหลวงทั่วโลก แม้ว่าจำนวนบาทหลวงในยุโรปและอเมริกาจะลดลง แต่กลับมีการเพิ่มขึ้นในแอฟริกาและเอเชีย สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงศูนย์กลางทางภูมิศาสตร์ของการเติบโตภายในคริสตจักร

แม้จะมีวิกฤตทางการเงินและภาพลักษณ์ที่ปั่นป่วนในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา คริสตจักรคาทอลิกดูเหมือนจะเริ่มพบจุดยืนที่มั่นคงอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม เราต้องไม่ลืมว่าวาติกันยังคงเป็นองค์กรที่มีลักษณะพิเศษ ประกอบด้วยผู้ชายจำนวนมากที่อาศัยและทำงานร่วมกัน ใช้อำนาจทางโลกที่ยิ่งใหญ่ และเชื่อว่าพวกเขาได้รับสิทธิ์จากพระเจ้าในการปกป้องคริสตจักรที่แท้จริงและเป็นหนึ่งเดียว

ในท้ายที่สุด เราต้องตระหนักว่าผู้นำและสมาชิกของคริสตจักรก็เป็นมนุษย์ธรรมดาที่มีความอ่อนแอและข้อบกพร่องเช่นเดียวกับคนทั่วไป ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา คริสตจักรได้มีส่วนร่วมในแนวปฏิบัติทางการเงินหลายอย่างที่อาจขัดแย้งกับความเชื่อของคาทอลิก แต่ก็ได้พยายามปรับตัวและแก้ไขข้อผิดพลาดเหล่านั้น

ปัจจุบัน ประชากรคาทอลิกทั่วโลกยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีจำนวนถึง 1.378 พันล้านคนภายในสิ้นปี 2021 ซึ่งเพิ่มขึ้น 1.3% จากปีก่อนหน้า แม้จะมีความท้าทายและวิกฤตมากมายในอดีต แต่คริสตจักรคาทอลิกก็ยังคงเป็นสถาบันที่ทรงอิทธิพลและมีบทบาทสำคัญในสังคมโลก

ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เรื่องราวทางการเงินของวาติกันจะยังคงเป็นหัวข้อที่น่าสนใจสำหรับการศึกษาและการถกเถียง สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของความสัมพันธ์ระหว่างศาสนา การเงิน และอำนาจในโลกสมัยใหม่ การเฝ้าดูว่าคริสตจักรจะนำทางผ่านความยากลำบากเหล่านี้อย่างไรจะเป็นบทเรียนที่มีค่าสำหรับองค์กรและสถาบันอื่นๆ ทั่วโลก

ในท้ายที่สุด ความสำเร็จของคริสตจักรคาทอลิกในอนาคตจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการรักษาสมดุลระหว่างความเชื่อทางศาสนา ความรับผิดชอบทางการเงิน และความเกี่ยวข้องทางสังคม เส้นทางนี้อาจไม่ง่าย แต่ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่าคริสตจักรมีทรัพยากรและความยืดหยุ่นที่จะเผชิญกับความท้าทายเหล่านี้ และยังคงเป็นพลังที่สำคัญในโลกต่อไปในอนาคตนั่นเองครับผม

References :
สารคดี : The Vatican Financial Empire- A Hidden History | 2024 Documentary
หนังสือ The Vatican Secrets: Unveiling the Most Enigmatic Financial Empire in History โดย D.V. Dominus

Geek Life EP18 : ปลดล็อกเวทย์มนต์แห่งการพูด ด้วยการยกระดับการนำเสนอของคุณให้ทรงพลังดุจ Steve Jobs

ในโลกของการนำเสนอและการพูดในที่สาธารณะ ก็ต้องบอกว่าไม่มีใครในโลกนี้ที่จะเทพไปกว่านักธุรกิจในตำนานอย่าง Steve Jobs ผู้ก่อตั้ง Apple ชายผู้ซึ่งไม่เพียงแต่ปฏิวัติวงการเทคโนโลยี แต่ยังเปลี่ยนแปลงวิธีการที่เรามองการนำเสนอไปตลอดกาล การนำเสนอของ Jobs ไม่ใช่เพียงการให้ข้อมูล แต่เปรียบเสมือนการแสดงที่น่าตื่นตาตื่นใจ ซึ่งสร้างแรงบันดาลใจและกระตุ้นอารมณ์ของผู้ชม

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/4yddetah

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/2bd2h98x

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/6SFGdnzOt3I

Vistar Media สยายปีกสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยการเปิดสำนักงานแห่งใหม่ในกรุงเทพฯ

Vistar Media ผู้ให้บริการชั้นนำระดับโลกสำหรับสื่อนอกบ้าน out-of-home (OOH) รู้สึกตื่นเต้นและยินดีอย่างยิ่งที่จะประกาศการเปิดสำนักงานแห่งใหม่ในกรุงเทพฯ ประเทศไทย

การขยายธุรกิจมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ของ Vista Media เพื่อตอกย้ำถึงการเติบโตภายในภูมิภาคของธุรกิจการโฆษณาดิจิทัลนอกบ้าน (DOOH) และในโอกาสนี้ Vistar Media ขอต้อนรับ Sharin Chawla ผู้นำทัพคนใหม่ เข้าดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายขายและหุ้นส่วน ประเทศไทย เพื่อนำทีมและเป็นกำลังสำคัญในการขยายธุรกิจนี้ Sharin Chawla เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดดิจิทัลที่ประสบความสำเร็จมาแล้วนับไม่ถ้วน

“การเปิดตัวสำนักงานในกรุงเทพฯ ในครั้งนี้ ถือเป็นอีกช่วงเวลาสำคัญในการขยายธุรกิจไปทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงและเติบโตตลอดเวลาเฉกเช่นประเทศไทย” Ben Baker กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ Vistar Media กล่าว “ด้วยความเชี่ยวชาญของ Sharin Chawla ในตลาดไทย เราอยู่ในจุดที่จะเป็นผู้นำในการเร่งนำเอา Programmatic DOOH มาปรับใช้กำหนดเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ เพื่อส่งมอบบริการที่เหนือชั้นและโซลูชันที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้แก่ลูกค้าของเรา”

Sharin Chawla เต็มเปี่ยมด้วยประสบการณ์กว่า 14 ปี ในด้านการตลาดดิจิทัลทั่วประเทศไทย โดยมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งในการให้คำปรึกษาด้านดิจิทัล การโฆษณา และความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในอุตสาหกรรมต่างๆ อาทิ การธนาคาร การเงิน การค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์ และสินค้าอุปโภคบริโภค ประวัติที่พิสูจน์แล้วของเขาในการดำเนินแคมเปญดิจิทัลขนาดใหญ่ และความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับอีโคซิสเทมในแวดวงโฆษณาและมาร์เทคของไทย ทำให้เขาเป็นผู้นำในอุดมคติในการเข้ามาขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ของ Vistar สำหรับการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในตลาดได้อย่างสมบูรณ์

ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เข้าร่วมกับ Vista Media ในก้าวสำคัญสำหรับการทำ Programmatic DOOH ในประเทศไทยครั้งนี้” Sharin Chawla ผู้อำนวยการฝ่ายขายและหุ้นส่วน Vista Media ประเทศไทย กล่าว “ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ตลาดพร้อมเติบโต และผมมีความมุ่งมั่นอย่างยิ่งที่จะช่วยแบรนด์ต่างๆ ให้สามารถใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยจาก Vista Media ในการสร้างแคมเปญด้วย Programmatic DOOH  ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด สอดรับกับกลุ่มเป้าหมายทั้งในประเทศและต่างประเทศ

นอกจากนี้ โซลูชันของเรายังมีบทบาทสำคัญในการทำให้กลยุทธ์ omni-chanel ของแบรนด์แข็งแกร่งขึ้น ช่วยให้สามารถส่งข้อความได้หลากหลาย และเชื่อมต่อกับแคมเปญในหลายแพลตฟอร์มอย่างไร้รอยต่อ”

Sharin Chawla จะนำความเชี่ยวชาญที่มีในประเทศนั้นๆ มาใช้เพื่อเป็นทรัพยากรหลักในการให้คำแนะนำกับแบรนด์ระดับโลกและระดับภูมิภาคเกี่ยวกับกลยุทธ์ DOOH ในขณะที่พวกเขามุ่งเน้นไปที่การเข้าถึงผู้บริโภคในประเทศไทยมากขึ้น

Sharin Chawla ยังได้รับการสนับสนุนอย่างดีจากทีมงานที่แข็งแกร่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และจะทำงานอย่างใกล้ชิดกับสำนักงานในสิงคโปร์และออสเตรเลียเพื่อผลักดันความสำเร็จของแคมเปญอย่างยั่งยืนทั่วทั้งภูมิภาค

กลยุทธ์ดังกล่าว จะช่วยเสริมให้ Vistar มีความแข็งแกร่งในประเทศไทยหลังจากการเข้าสู่ตลาดในครึ่งปีหลังของปี 2566 และเพื่อแสดงให้เห็นถึงการลงทุนที่ต่อเนื่องในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Vistar ได้ประกาศความร่วมมือกับ Plan B Media, UpMedia และล่าสุด Q-Ads ซึ่งทำให้ผู้ซื้อสามารถเข้าถึงสินค้า DOOH ที่มีอยู่ในระดับพรีเมียมได้ นอกจากนี้ Vistar ยังมีการเติบโตที่แข็งแกร่งในสิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม จีนแผ่นดินใหญ่ ไต้หวัน และฮ่องกง

ในขณะที่ตลาด DOOH ในประเทศยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง Vistar Media ยังคงมุ่งมั่นที่จะสร้างความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นกับเหล่าพันธมิตรต่าง ๆ ตอบสนองทั้งอุปสงค์และอุปทาน ช่วยให้แบรนด์ต่างๆ สามารถเติบโตในตลาด DOOH ได้มากยิ่งขึ้น ภายใต้การนำของ Sharin Chawla ทำให้ Vistar Media พร้อมแล้วที่จะก้าวไปสู่การเติบโตอีกขั้นในประเทศไทย