Geek Daily EP240 : จอมปีศาจ Temu จากเมืองสู่ป่า เดินหน้าบดขยี้ Ecommerce ไทย

เราอาจจะได้ยินคำว่ากลยุทธ์ “ป่าล้อมเมือง” คือกลยุทธ์การตีตลาดจากพื้นที่รอบนอกที่มีคู่แข่งน้อย เข้าสู่พื้นที่ภายในเมืองที่มีคู่แข่งที่แข็งแกร่ง แต่ต้องบอกว่า Temu คิดต่าง ไล่ถล่มจากเมืองผ่านคู่แข่งที่โหดหินในตลาดใหญ่ ๆ อย่าง อเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลี หรือ ในแถบยุโรป ซึ่ง Shopee เคยบุกไปแพ้อย่างราบคาบมาแล้ว ก่อนที่จะบุกป่ามาตะลุยตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศไทยในที่สุด

การมาถึงของผู้เล่นรายใหม่อย่าง Temu อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อผู้นำตลาดอย่าง Shopee และ Lazada ที่ครองใจผู้บริโภคชาวไทยมาอย่างยาวนาน

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/23c3ah6b

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/yw7xfyy2

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/ymjy96nr

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
http://bit.ly/2kxHtQ3

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/nLHgj2mQ8VM

ถอดรหัส Sundar Pichai : จากเด็กชายทมิฬสู่ CEO ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกเทคโนโลยี

ในโลกของเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีเรื่องราวมากมายที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนทั่วโลก แต่เรื่องราวของ Sundar Pichai นับเป็นหนึ่งในเรื่องราวที่น่าสนใจและน่าประทับใจเป็นพิเศษ จากเด็กชายธรรมดาในครอบครัวชนชั้นกลางชาวอินเดีย สู่การเป็นผู้นำบริษัทเทคโนโลยีที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกอย่าง Google และ Alphabet เส้นทางชีวิตของ Pichai เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ความอุตสาหะ และความหลงใหลในนวัตกรรม

Sundar Pichai เกิดเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม ค.ศ. 1972 ในเมืองมทุไร รัฐทมิฬนาฑู ประเทศอินเดีย ในครอบครัวชนชั้นกลางที่มีฐานะไม่ร่ำรวยนัก บิดาของเขา Regunatha Pichai ทำงานเป็นวิศวกรไฟฟ้าให้กับบริษัท GEC และบริหารจัดการโรงงานผลิตชิ้นส่วนไฟฟ้า ส่วนมารดาของเขาเคยทำงานเป็นนักชวเลขก่อนที่จะลาออกมาเลี้ยงดู Pichai และน้องชาย

ชีวิตในวัยเด็กของ Pichai นั้นเรียบง่ายแต่อบอุ่น ครอบครัวของเขาอาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์สองห้องนอน ซึ่งถือเป็นที่อยู่อาศัยทั่วไปของครอบครัวชนชั้นกลางในอินเดียช่วงทศวรรษ 1980 แม้จะไม่ได้ร่ำรวย แต่พ่อแม่ของ Pichai ก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ลูก ๆ ได้รับสิ่งที่ดีที่สุด เห็นได้จากการที่พ่อของเขาต้องใช้เวลาเก็บเงินถึงสามปีเพื่อซื้อสกู๊ตเตอร์ให้กับลูกชาย

Pichai แสดงให้เห็นถึงความสนใจในเทคโนโลยีตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เขาเข้าใจถึงศักยภาพของเทคโนโลยีในการประหยัดเวลาและทำให้ชีวิตสะดวกสบายขึ้น ประสบการณ์หนึ่งที่ทำให้เขาตระหนักถึงคุณค่าของเทคโนโลยีคือ เมื่อครั้งที่แม่ของเขาป่วย และเขาต้องเดินทางไกลเพื่อไปรับผลการตรวจเลือด ซึ่งใช้เวลานานมากทั้งการเดินทางและการรอคอย

เมื่อครอบครัวของเขาซื้อโทรศัพท์แบบหมุนเครื่องแรก Pichai จึงเห็นคุณค่าของมันอย่างมาก เพราะการโทรศัพท์เพียงครั้งเดียวก็สามารถทราบได้ว่าผลการตรวจจะพร้อมเมื่อใด ประสบการณ์นี้ทำให้เขาเริ่มคิดถึงวิธีที่เทคโนโลยีสามารถปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้คนได้

Pichai ไม่เพียงแต่มีความสนใจในเทคโนโลยีเท่านั้น แต่เขายังเป็นนักเรียนที่มีความสามารถโดดเด่นอีกด้วย ครอบครัวและครูของเขาสังเกตเห็นทักษะพิเศษในการจดจำข้อมูลของเขาตั้งแต่เยาว์วัย โดยเฉพาะความสามารถในการจดจำหมายเลขโทรศัพท์จำนวนมากได้อย่างแม่นยำ

ด้วยความเฉลียวฉลาดและความขยันหมั่นเพียร Pichai สามารถเข้าเรียนที่โรงเรียน Jawahar Vidyalaya ในเมืองเจนไน ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาชั้นนำของประเทศ และต่อมาเขาก็สอบเข้าเรียนต่อที่ Indian Institute of Technology (IIT) ใน Kharagpur ได้สำเร็จ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสถาบันอุดมศึกษาที่มีชื่อเสียงที่สุดในอินเดีย

ที่ IIT-Kharagpur Pichai เลือกเรียนสาขาวิศวกรรมโลหการ แต่ความสนใจของเขาไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่นั้น เขายังได้รับทุนการศึกษาเพื่อศึกษาวัสดุศาสตร์และฟิสิกส์เซมิคอนดักเตอร์อีกด้วย อาจารย์ของเขาที่ IIT-Kharagpur ยกย่องว่าเขาเป็น “นักศึกษาที่ฉลาดที่สุดในรุ่น” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถทางวิชาการอันโดดเด่นของเขา

ศาสตราจารย์ Sanat Kumar Roy หนึ่งในอาจารย์ของ Pichai ได้เล่าถึงความสนใจพิเศษของเขาในด้านอิเล็กทรอนิกส์ว่า “เขาทำงานด้านอิเล็กทรอนิกส์ในช่วงเวลาที่ไม่มีหลักสูตรแยกต่างหากเกี่ยวกับอิเล็กทรอนิกส์ในหลักสูตรของเรา วิทยานิพนธ์ของเขาเกี่ยวข้องกับการฝังโมเลกุลขององค์ประกอบอื่น ๆ ในซิลิคอนเวเฟอร์เพื่อเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของมัน ชัดเจนมากตั้งแต่เริ่มแรกว่าเขามีความกระตือรือร้นเกี่ยวกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวัสดุ”

การก้าวสู่เวทีโลก

ความสามารถอันโดดเด่นของ Pichai ทำให้เขาได้รับทุนการศึกษาจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของเขา การตัดสินใจเดินทางไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกาไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับครอบครัวของ Pichai พ่อของเขาต้องถอนเงินออมเกือบทั้งหมดของครอบครัวเพื่อส่งเขาไปเรียน แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นและการสนับสนุนอย่างเต็มที่ที่ครอบครัวมีต่อเขา

ที่สแตนฟอร์ด Pichai ศึกษาต่อในระดับปริญญาโท โดยเน้นไปที่วิศวกรรมศาสตร์และวัสดุศาสตร์ หลังจากจบการศึกษา เขาวางแผนที่จะศึกษาต่อในระดับปริญญาเอก แต่สุดท้ายเขาตัดสินใจเลือกเส้นทางสายอาชีพแทน โดยเริ่มต้นทำงานที่บริษัท Applied Materials ในตำแหน่งวิศวกรและผู้จัดการผลิตภัณฑ์

ต่อมา Pichai ตัดสินใจกลับไปศึกษาต่อในระดับปริญญาโทอีกครั้ง คราวนี้เขาเลือกเรียนด้านบริหารธุรกิจ (MBA) ที่ Wharton School of the University of Pennsylvania ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงเรียนธุรกิจที่ดีที่สุดในโลก การตัดสินใจนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเขาที่จะพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง และการมองเห็นความสำคัญของการผสมผสานความรู้ด้านเทคโนโลยีเข้ากับทักษะการบริหารจัดการ

หลังจากจบการศึกษา Pichai ได้เข้าทำงานในตำแหน่งที่ปรึกษาที่บริษัท McKinsey & Company ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำระดับโลก ประสบการณ์นี้ช่วยให้เขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับกลยุทธ์ทางธุรกิจและการบริหารจัดการองค์กรขนาดใหญ่ ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากในอนาคตของเขา

การเริ่มต้นกับ Google

จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตของ Pichai มาถึงในปี 2004 เมื่อเขาเข้ารับการสัมภาษณ์ที่ Google ซึ่งบังเอิญตรงกับวันที่ Google เปิดตัว Gmail พอดี เหตุการณ์นี้ทำให้ Pichai และคนอื่น ๆ เข้าใจผิดในตอนแรกว่า Gmail อาจเป็นเพียงการเล่นตลกของ Google เนื่องจากเป็นวันเมษาหน้าโง่ แต่ในที่สุด Pichai ก็ได้รับการว่าจ้างให้เข้าทำงานที่ Google โดยเริ่มต้นจากการทำงานเกี่ยวกับ Google’s search toolbar

Pichai แสดงให้เห็นถึงความสามารถและวิสัยทัศน์อันยอดเยี่ยมตั้งแต่เริ่มต้นทำงานที่ Google เขามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์หลายอย่าง รวมถึง Google Gears, Google Gadgets และ Google Pack นอกจากนี้ เขายังมีส่วนสำคัญในการตอบโต้การเคลื่อนไหวของ Microsoft ที่ให้บริการค้นหา Bing เป็นค่าเริ่มต้นบน Internet Explorer โดย Pichai ได้ชักชวนให้ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ติดตั้ง Google Toolbar ล่วงหน้าบนเครื่องคอมพิวเตอร์ของพวกเขา เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้

การสร้าง Chrome และการเติบโตในบทบาทผู้นำ

จุดเปลี่ยนสำคัญในอาชีพของ Pichai ที่ Google เกิดขึ้นเมื่อเขานำเสนอแนวคิดในการพัฒนาเบราว์เซอร์ของ Google เอง แม้ว่าจะมีผู้บริหารบางคนคัดค้านด้วยเหตุผลว่าเป็นโครงการที่ฟุ่มเฟือยและมีค่าใช้จ่ายสูง แต่ Larry Page และ Sergey Brin ผู้ก่อตั้ง Google เห็นคุณค่าในวิสัยทัศน์ของ Pichai และให้การสนับสนุน

ด้วยความมุ่งมั่นและความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ของตน Pichai นำทีมพัฒนา Chrome จนสำเร็จ และเปิดตัวในปี 2008 Chrome ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น กลายเป็นเบราว์เซอร์อันดับหนึ่งของโลกในเวลาไม่นาน โดยมีส่วนแบ่งการตลาดทั่วโลกสูงถึง 63 เปอร์เซ็นต์ ความสำเร็จนี้ไม่เพียงแต่สร้างรายได้มหาศาลให้กับ Google เท่านั้น แต่ยังช่วยให้บริษัทสามารถรักษาความเป็นผู้นำในตลาดเครื่องมือค้นหาได้อีกด้วย

ความสำเร็จของ Chrome ทำให้ Pichai ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในวงการเทคโนโลยี และนำไปสู่การเลื่อนตำแหน่งที่สูงขึ้นภายใน Google ในปี 2012 เขาได้รับการแต่งตั้งให้ดูแลระบบปฏิบัติการ Android ซึ่งเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์หลักของบริษัท

ภายใต้การนำของ Pichai Android ได้พัฒนาอย่างก้าวกระโดด ทั้งในด้านความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และการบูรณาการกับบริการอื่น ๆ ของ Google เช่น Google Assistant นอกจากนี้ Pichai ยังริเริ่มโครงการ Android One ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาสมาร์ทโฟนราคาประหยัดสำหรับตลาดเกิดใหม่ แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของเขาในการทำให้เทคโนโลยีเข้าถึงได้สำหรับผู้คนทั่วโลก

การก้าวสู่ตำแหน่ง CEO

ความสำเร็จอย่างต่อเนื่องและความสามารถในการนำองค์กรของ Pichai ไม่ได้ผ่านสายตาของผู้บริหารระดับสูงของ Google ไปได้ ในปี 2015 เมื่อ Google ปรับโครงสร้างองค์กรและก่อตั้งบริษัทแม่ชื่อ Alphabet Pichai ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น CEO ของ Google

Larry Page และ Sergey Brin กล่าวถึงการแต่งตั้ง Pichai ว่า “Pichai นำความอ่อนน้อมถ่อมตนและความหลงใหลในเทคโนโลยีมาสู่ผู้ใช้ พันธมิตร และพนักงานของเราทุกวัน เขาทำงานอย่างใกล้ชิดกับเรามาเป็นเวลา 15 ปี ผ่านการก่อตั้ง Alphabet ในฐานะ CEO ของ Google และเป็นสมาชิกคณะกรรมการ Alphabet Board เขาแบ่งปันความมั่นใจของเราในคุณค่าของโครงสร้าง Alphabet และความสามารถที่ทำให้เราจัดการกับความท้าทายครั้งใหญ่ผ่านเทคโนโลยี ไม่มีใครที่เราพึ่งพาได้มากกว่านี้ตั้งแต่ก่อตั้ง Alphabet ขึ้น และไม่มีบุคคลใดที่ดีไปกว่านี้แล้วที่จะนำ Google และ Alphabet ไปสู่อนาคต”

ในฐานะ CEO ของ Google Pichai ได้นำพาบริษัทผ่านช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายมากมาย เขาได้ผลักดันให้ Google ลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการประมวลผลคลาวด์ ภายใต้การนำของเขา Google ไม่เพียงแต่รักษาตำแหน่งผู้นำในตลาดเครื่องมือค้นหาและโฆษณาออนไลน์เท่านั้น แต่ยังขยายธุรกิจไปสู่ด้านอื่น ๆ อีกด้วย

บทเรียนชีวิตและปรัชญาการทำงาน

เส้นทางชีวิตของ Pichai จากเด็กชายในครอบครัวธรรมดาสู่การเป็นผู้นำบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ระดับโลกนั้นเต็มไปด้วยบทเรียนมากมาย หนึ่งในปรัชญาสำคัญที่ Pichai ยึดถือและเชื่อว่าเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จของเขาคือทัศนคติที่มีต่อความล้มเหลว

Pichai กล่าวว่า “ความล้มเหลวมีข้อดี ถ้าคุณพยายามดึงบทเรียนอันมีค่าจากความล้มเหลวเหล่านั้นมาปรับใช้ หากคุณเรียนรู้จากความล้มเหลว มันไม่ใช่ความพ่ายแพ้ แต่มันจะเป็นประสบการณ์ในการเรียนรู้ของคุณในอนาคต” แนวคิดนี้สะท้อนให้เห็นถึงทัศนคติเชิงบวกและความสามารถในการปรับตัวของ Pichai ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญสำหรับผู้นำในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ Pichai ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการทำงานเป็นทีมและการสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมนวัตกรรม เขาเชื่อว่าความสำเร็จของ Google ไม่ได้มาจากบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่มาจากการร่วมมือกันของทีมงานที่มีความสามารถและมีแรงบันดาลใจ

Pichai ยังให้ความสำคัญกับการสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีผลกระทบในวงกว้างและปรับปรุงชีวิตของผู้คน เขามักจะพูดถึงวิสัยทัศน์ของ Google ในการทำให้ข้อมูลเข้าถึงได้สำหรับทุกคนทั่วโลก และการใช้เทคโนโลยีเพื่อแก้ปัญหาที่ท้าทายของมนุษยชาติ แนวคิดนี้สะท้อนให้เห็นในโครงการต่าง ๆ ของ Google เช่น การพัฒนา AI เพื่อช่วยในการวินิจฉัยโรค หรือการใช้เทคโนโลยีเพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

สรุป

เรื่องราวของ Sundar Pichai เป็นแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่สำหรับคนรุ่นใหม่ทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มาจากประเทศกำลังพัฒนาหรือมีภูมิหลังที่ไม่ได้เอื้ออำนวย เส้นทางของเขาแสดงให้เห็นว่าด้วยความมุ่งมั่น ความอุตสาหะ และความหลงใหลในสิ่งที่ทำ ทุกคนสามารถก้าวข้ามอุปสรรคและประสบความสำเร็จในระดับโลกได้

Pichai ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าการผสมผสานระหว่างความเชี่ยวชาญทางเทคนิค วิสัยทัศน์ทางธุรกิจ และทักษะการเป็นผู้นำ สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้ ภายใต้การนำของเขา Google ไม่เพียงแต่รักษาตำแหน่งผู้นำในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังผลักดันขอบเขตของนวัตกรรมและมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาระดับโลกอีกด้วย

เรื่องราวของ Sundar Pichai จึงไม่ใช่เพียงเรื่องราวของความสำเร็จส่วนบุคคลเท่านั้น แต่ยังเป็นภาพสะท้อนของพลังแห่งนวัตกรรม การศึกษา และความมุ่งมั่นที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ ในยุคที่เทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนแปลงทุกแง่มุมของชีวิตเรา ประสบการณ์และวิสัยทัศน์ของผู้นำอย่าง Pichai จะยังคงเป็นแรงบันดาลใจและแนวทางสำหรับคนรุ่นต่อไปในการสร้างสรรค์นวัตกรรมและแก้ไขปัญหาท้าทายของโลกต่อไป

References : https://www.indiatoday.in/technology/features/story/the-rise-and-rise-of-sundar-pichai-from-c-grade-at-iit-kharagpur-to-ceo-of-alphabet-and-google-1625006-2019-12-04
https://inc42.com/buzz/sundar-pichai-rises-to-alphabet-ceo-from-true-blue-tamil-boy-to-google-founders-favourite/
https://www.finnovationz.com/blog/sundar-pichai-life-story-a-man-bringing-revolutionary-changes
https://www.sentangsedtee.com/big-idea/article_623
https://startitup.in.th/the-incredible-life-of-sundar-pichai-from-poor-kid-to-ceo-of-google/

4C ปฏิวัติชีวิต: เคล็ดลับจัดการเวลาสุดล้ำจาก Jim Kwik ที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณ!

ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าและทุกคนต่างใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบ การบริหารเวลาให้มีประสิทธิภาพกลายเป็นทักษะสำคัญที่ทุกคนควรฝึกฝน Jim Kwik ผู้เชี่ยวชาญที่สอนและโค้ชเกี่ยวกับเรื่องการพัฒนาการใช้สมอง (Brain Coach) ผู้แต่งหนังสือชื่อดังอย่าง Limitless : Upgrade your brain, learn anything faster, and unlock your exceptional life

เขาได้แบ่งปันเทคนิคการจัดการเวลาในแต่ละวันที่เขาใช้มาอย่างยาวนานและได้ผลดี แม้ว่าทุกคนจะมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่วิธีการใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุดนั้นแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล

Jim แบ่งวันของเขาออกเป็น 3 ช่วงหลัก โดยแต่ละช่วงมีจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกัน ได้แก่ ช่วงเช้า – สร้างสรรค์ (Create) ช่วงบ่าย – บริโภค (Consume) และช่วงเย็น – จัดการความคิด (Clear) นอกจากนี้ยังมีองค์ประกอบที่ 4 คือ การเชื่อมต่อ (Connect) ซึ่งสามารถทำได้ตลอดทั้งวัน วิธีการนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และยังช่วยให้เกิดความสงบทางจิตใจ

ช่วงเช้า: สร้างสรรค์ (Create)

เมื่อตื่นนอน สมองของเราจะอยู่ในสภาวะผ่อนคลายและตื่นตัว พร้อมที่จะรับข้อมูลใหม่ๆ Jim จึงหลีกเลี่ยงการรับข้อมูลจากภายนอกในช่วงเวลานี้ เขาไม่เปิดโทรศัพท์มือถือหรือดูข่าวทันทีที่ตื่นนอน แต่เน้นการสร้างสรรค์ผลงานแทน

“ผมต้องการผลลัพธ์ในตอนเช้า” Jim กล่าว “โฟกัสของผมในตอนเช้าคือการสร้างสรรค์ การเป็นคนสร้างสรรค์ ซึ่งอาจมีรูปแบบที่แตกต่างกันไปสำหรับแต่ละคน”

สำหรับ Jim ช่วงเช้าเป็นเวลาที่เขารู้สึกมีความคิดสร้างสรรค์มากที่สุด เขาจะใช้เวลานี้ในการเขียนสคริปต์พอดคาสต์ เตรียมคำถามสัมภาษณ์ หรือเขียนหนังสือเล่มใหม่ของเขา การทำงานสร้างสรรค์ในช่วงเช้าช่วยให้เขาสามารถโฟกัสกับงานได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ถูกรบกวนจากข้อความ อีเมล หรือการสื่อสารอื่นๆ

Jim ย้ำว่าการรักษาช่วงเวลาสร้างสรรค์นี้ไว้เป็นสิ่งสำคัญ แม้ว่าบางครั้งอาจมีงานอื่นๆ ที่ต้องทำบ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วเขาจะพยายามใช้ช่วงเช้าเพื่อสร้างผลงานเป็นหลัก

ช่วงบ่าย: บริโภค (Consume)

หลังจากใช้พลังงานไปกับการสร้างสรรค์ในช่วงเช้า Jim จะเปลี่ยนโหมดมาเป็นการบริโภคข้อมูลในช่วงบ่าย นี่เป็นช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้ของเขา

“ช่วงบ่ายเป็นเวลาที่ผมบริโภคข้อมูล” Jim อธิบาย “ผมอาจฟังพอดคาสต์ หรืออ่านหนังสือซึ่งเป็นสิ่งที่ผมชอบที่สุด”

แม้ว่า Jim จะสามารถฟัง Audio Book ได้ โดยเฉพาะเวลาเดินทาง แต่เขาชอบอ่านหนังสือที่จับต้องได้มากกว่า การอ่านหนังสือช่วยให้เขาได้รับความรู้และแนวคิดใหม่ๆ ซึ่งอาจนำไปใช้ในการสร้างสรรค์ผลงานในอนาคต

นอกจากการอ่านหนังสือแล้ว Jim ยังใช้เวลาในช่วงบ่ายเพื่อบริโภคข้อมูลในรูปแบบอื่นๆ เช่น การฟังพอดคาสต์ หรือการเรียนรู้ผ่านการสนทนากับผู้อื่น การแบ่งเวลาในการบริโภคข้อมูลช่วยให้เขาสามารถรับข้อมูลใหม่ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่รบกวนเวลาสร้างสรรค์ในช่วงเช้า

ช่วงเย็น: จัดการความคิด (Clear)

เมื่อถึงช่วงเย็น Jim จะเปลี่ยนโหมดอีกครั้งเป็นการจัดการความคิด เขาไม่ต้องการที่จะสร้างสรรค์อะไรเพิ่มเติมหรือบริโภคข้อมูลมากเกินไปในช่วงนี้ แต่เน้นการผ่อนคลายและเตรียมตัวสำหรับการพักผ่อน

“ในช่วงเย็นเป็นเวลาที่ผมต้องการจัดการความคิด” Jim กล่าว “ผมไม่ได้คิดจะทำอะไรเพิ่มในตอนกลางคืน และผมก็ไม่ต้องการบริโภคข้อมูลมากเกินไปในตอนกลางคืนเช่นกัน”

Jim ใช้วิธีการต่างๆ ในการจัดการความคิด เช่น:

  1. การเขียนบันทึก (Journaling): Jim เชื่อว่าการเขียนบันทึกเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการจัดการความคิด ไม่ว่าจะเป็นการบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น หรือการแสดงความขอบคุณเล็กๆ น้อยๆ
  2. การวางแผน: Jim จะวางแผนสำหรับวันถัดไปในคืนก่อนหน้า เพื่อไม่ให้ต้องกังวลกับสิ่งที่ต้องทำในวันรุ่งขึ้น เขาจะคิดถึงสิ่งสำคัญสามอย่างในด้านส่วนตัวและสามอย่างในด้านการทำงานที่ต้องการโฟกัส
  3. การทำสมาธิ: Jim ใช้การทำสมาธิเป็นวิธีในการจัดการความคิดและผ่อนคลาย บางครั้งเขาอาจใช้เทคโนโลยีช่วย เช่น Neuvana หรือ Muse เพื่อให้การทำสมาธิง่ายขึ้น

Jim เน้นย้ำว่าเขาพยายามหลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในช่วงกลางคืน เพื่อให้สมองได้พักผ่อนอย่างเต็มที่

การเชื่อมต่อ (Connect): องค์ประกอบที่ 4

นอกจาก 3 ช่วงเวลาหลักแล้ว Jim ยังให้ความสำคัญกับการเชื่อมต่อกับผู้อื่นตลอดทั้งวัน เขาเชื่อว่าการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการพัฒนาตนเองและการเรียนรู้

“การเชื่อมต่อนี้สำคัญมาก” Jim กล่าว “ผมคิดว่ามันสำคัญสำหรับพวกเราทุกคนที่อาจรู้สึกแยกตัวออกจากคนอื่นบ้าง”

Jim แนะนำให้ใช้การเชื่อมต่อร่วมกับกิจกรรมในแต่ละช่วงของวัน เช่น:

  • ในช่วงเช้า: สร้างสรรค์ร่วมกับทีม ระดมความคิด หรือแก้ปัญหาเป็นกลุ่ม
  • ในช่วงบ่าย: เรียนรู้และบริโภคข้อมูลร่วมกับผู้อื่น เช่น การฟังพอดคาสต์ด้วยกัน
  • ในช่วงเย็น: ผ่อนคลายและจัดการความคิดร่วมกับครอบครัวหรือเพื่อน เช่น การดูภาพยนตร์ด้วยกัน หรือการพูดคุยระหว่างมื้อเย็น

Jim เชื่อว่าการเชื่อมต่อกับผู้อื่นไม่เพียงแต่ช่วยในการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง แต่ยังช่วยสร้างความสมดุลในชีวิตและลดความเครียดได้อีกด้วย

บทสรุป

การบริหารเวลาแบบ 4C ของ Jim Kwik – Create (สร้างสรรค์), Consume (บริโภค), Clear (จัดการความคิด) และ Connect (เชื่อมต่อ) – เป็นวิธีการที่น่าสนใจในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและคุณภาพชีวิต แม้ว่าไม่จำเป็นต้องทำตามทุกขั้นตอนอย่างเคร่งครัด แต่การนำแนวคิดนี้ไปปรับใช้ให้เหมาะกับชีวิตประจำวันของแต่ละคน อาจช่วยให้เราใช้เวลาในแต่ละวันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

Jim เน้นย้ำว่าการแบ่งปันความรู้และประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญ “ถ้าคุณได้ส่งต่อความคิดให้กับใครสักคน คุณทำให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้น แต่ถ้าคุณสอนใครสักคนว่าจะเรียนรู้และใช้ชีวิตอย่างไร พวกเขาก็สามารถทำให้ชีวิตของตัวเองดีขึ้นได้”

การนำเทคนิคการบริหารเวลาแบบ 4C ของ Jim Kwik ไปปรับใช้ อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการพัฒนาตนเองและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน แม้ว่าแต่ละคนอาจมีวิธีการที่เหมาะสมกับตนเองแตกต่างกันไป แต่หลักการพื้นฐานของการแบ่งเวลาอย่างมีเป้าหมาย การสร้างสมดุลระหว่างการสร้างสรรค์และการเรียนรู้ รวมถึงการให้ความสำคัญกับการพักผ่อนและการเชื่อมต่อกับผู้อื่น ล้วนเป็นแนวคิดที่สามารถนำไปปรับใช้ได้ในชีวิตประจำวัน

Jim ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการฝึกฝนและความสม่ำเสมอ “ทุกวินัยที่ฝึกฝนจะมีรางวัลตอบแทนมหาศาล” เขากล่าว การเริ่มต้นอาจเป็นเรื่องยาก แต่เมื่อทำอย่างต่อเนื่อง เราจะเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นเรื่อยๆ

นอกจากนี้ Jim ยังแนะนำให้ทุกคนหมั่นทบทวนและปรับปรุงวิธีการบริหารเวลาของตนเองอยู่เสมอ เนื่องจากชีวิตและสภาพแวดล้อมของเรามีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่เคยได้ผลดีในอดีตอาจไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน การเปิดใจรับวิธีการใหม่ๆ และปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ

ในท้ายที่สุด การบริหารเวลาที่ดีไม่ได้หมายถึงการทำงานตลอดเวลาหรือการใช้ทุกวินาทีอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด แต่เป็นการสร้างสมดุลระหว่างการทำงาน การพักผ่อน และการใช้ชีวิต เพื่อให้เราสามารถบรรลุเป้าหมายทั้งในด้านอาชีพและส่วนตัวได้อย่างมีความสุข

Jim ทิ้งท้ายด้วยคำแนะนำที่น่าคิด “อย่าลืมว่าเป้าหมายของการบริหารเวลาไม่ใช่แค่การทำงานให้เสร็จ แต่เป็นการมีชีวิตที่มีความหมายและมีคุณค่า ใช้เวลาของคุณอย่างชาญฉลาด และอย่าลืมใช้เวลากับสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคุณ”

การนำเทคนิคการบริหารเวลาแบบ 4C ไปปรับใช้อาจเป็นก้าวแรกสู่การพัฒนาตนเองและการมีชีวิตที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการลงมือทำและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เพื่อค้นหาวิธีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตัวเราเอง

References :

  • พอดคาสต์ Quick Brain โดย Jim Kwik
  • เว็บไซต์ jimKwik.com
  • หนังสือ “Limitless: Upgrade Your Brain, Learn Anything Faster, and Unlock Your Exceptional Life” โดย Jim Kwik
  • https://youtu.be/gp_7q_qwDI4