เติ้ง vs ลี: เมื่อมังกรพบสิงโต เบื้องหลังมิตรภาพที่เปลี่ยนโฉมหน้าเอเชีย

ในประวัติศาสตร์จีนสมัยใหม่ มีชื่อหนึ่งที่โดดเด่นและมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อการเปลี่ยนแปลงของประเทศ นั่นคือ เติ้ง เสี่ยวผิง บุรุษผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกลและกล้าหาญพอที่จะนำพาจีนออกจากความวุ่นวายสู่ความรุ่งเรือง

เรื่องราวของเขาไม่เพียงแต่เป็นประวัติศาสตร์เฉพาะของบุคคลหนึ่งเพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องราวของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของประเทศมหาอำนาจ

เติ้ง เสี่ยวผิง เกิดในปี 1904 ในครอบครัวชาวนาในมณฑลเสฉวน ชีวิตของเขาเริ่มต้นอย่างธรรมดา แต่กลับจบลงด้วยการเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์จีน ในวัยเยาว์ เขาได้รับเลือกให้ไปศึกษาและทำงานในฝรั่งเศส ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาและอนาคตของจีนไปตลอดกาล

ระหว่างการเดินทางไปฝรั่งเศส เติ้งได้แวะพักที่หลายเมือง รวมถึงสิงคโปร์ ซึ่งในขณะนั้นยังอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ ประสบการณ์ครั้งนี้ได้เปิดโลกทัศน์ของเขา ทำให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้วกับประเทศบ้านเกิดของเขา และที่สำคัญกว่านั้น เขาได้เห็นการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมของเจ้าอาณานิคมต่อคนงานท้องถิ่น ซึ่งสร้างความประทับใจอันลึกซึ้งและมีอิทธิพลต่อแนวคิดทางการเมืองของเขาในอนาคต

หลังจากกลับจากฝรั่งเศส เติ้งได้เข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีนและมีบทบาทสำคัญในการปฏิวัติ เขาได้ร่วมเดินทางไกลกับเหมา เจ๋อตง และได้รับการยอมรับในฐานะผู้นำคนสำคัญของพรรค อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาแห่งความรุ่งโรจน์ของเขาไม่ได้ราบรื่นตลอดเวลา ในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม เติ้งถูกกล่าวหาว่าเป็น “ผู้เดินตามแนวทางทุนนิยม” และถูกปลดจากตำแหน่งทั้งหมด ถูกส่งไปทำงานในโรงงานในชนบท

แต่ชะตากรรมของเติ้งไม่ได้จบลงเพียงเท่านั้น หลังจากการเสียชีวิตของเหมา เจ๋อตง เติ้งได้รับการฟื้นฟูอำนาจและกลับมาสู่ตำแหน่งสำคัญในพรรคอีกครั้ง นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของจีน เติ้งตระหนักดีว่าจีนต้องการการเปลี่ยนแปลง และเขาพร้อมที่จะเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงนั้น

ในปี 1978 เติ้งได้เดินทางไปเยือนสิงคโปร์อย่างเป็นทางการ การเยือนครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการเยือนทางการทูตธรรมดา แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์จีนสมัยใหม่ เติ้งได้พบกับ Lee Kuan Yew นายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ในขณะนั้น และได้เห็นความสำเร็จของสิงคโปร์ในการพัฒนาประเทศ

Lee Kuan Yew ได้กล่าวกับเติ้งอย่างตรงไปตรงมาว่า “พวกเรา ชาวจีนสิงคโปร์ เป็นลูกหลานของชาวนาผู้รู้หนังสือแต่ไร้ที่ดินจากกวางตุ้งและฝูเจี้ยนในจีนตอนใต้ ในขณะที่นักปราชญ์ ขุนนาง และชนชั้นมีการศึกษายังคงอยู่และทิ้งลูกหลานไว้ในจีน ไม่มีอะไรที่สิงคโปร์ทำแล้วจีนไม่สามารถทำได้ และทำได้ดีกว่า” คำพูดนี้สร้างความประทับใจอย่างมากให้กับเติ้ง

การเดินทางของเติ้งไปยังสิงค์โปร์ในปี 1978 ที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์ประเทศจีน  (CR:New Mandala)
การเดินทางของเติ้งไปยังสิงค์โปร์ในปี 1978 ที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์ประเทศจีน (CR:New Mandala)

เติ้งได้เห็นสังคมที่เจริญรุ่งเรืองและเป็นระเบียบเรียบร้อยของสิงคโปร์ ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากภาพที่เขาเคยมีเกี่ยวกับประเทศนี้ เขาได้เห็นว่าทุกคนมีบ้านเป็นของตัวเองและมีงานทำ เขาจึงถามว่า “คุณทำได้อย่างไร?” Lee ตอบว่า “เราให้การศึกษาแก่ประชาชนของเรา และดูบริษัทเหล่านี้สิ ทั้งอเมริกัน ญี่ปุ่น ยุโรป พวกเขานำเทคโนโลยีมา ฝึกอบรมคนของเรา เราเรียนรู้วิธีทำสิ่งต่างๆ”

เติ้งได้รับแรงบันดาลใจอย่างมากจากความสำเร็จของสิงคโปร์ เขาเห็นว่าการผสมผสานระหว่างการวางแผนของรัฐและกลไกตลาดสามารถนำไปสู่การพัฒนาทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วได้ นี่เป็นจุดเริ่มต้นของแนวคิด “สังคมนิยมอัตลักษณ์จีน” ที่เติ้งจะนำมาใช้ในการปฏิรูปจีนในเวลาต่อมา

หลังจากกลับจากสิงคโปร์ เติ้งได้เริ่มดำเนินการปฏิรูปอย่างจริงจัง เขาประกาศนโยบาย “สี่ทันสมัย” ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาในด้านเกษตรกรรม อุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และการป้องกันประเทศ นอกจากนี้ เขายังเปิดประเทศจีนสู่การลงทุนจากต่างประเทศ และส่งเสริมการส่งออก

หนึ่งในนโยบายที่สำคัญที่สุดของเติ้งคือการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองเซินเจิ้น ซึ่งอยู่ติดกับฮ่องกง เขตเศรษฐกิจพิเศษเหล่านี้ได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีและกฎระเบียบที่ยืดหยุ่นกว่า เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ นโยบายนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก ทำให้เซินเจิ้นกลายเป็นหนึ่งในเมืองที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก และเป็นตัวอย่างของการพัฒนาแบบ “สังคมนิยมอัตลักษณ์จีน”

ต้นทศวรรษ 1980 เขตอุตสาหกรรมเสอโข่ว เมืองเซินเจิ้น กำลังก่อสร้างอยู่ นับเป็นเขตบุกเบิกพัฒนาเศรษฐกิจที่เปิดสู่ภายนอกแห่งแรกของจีน (CR:China Radio international)
ต้นทศวรรษ 1980 เขตอุตสาหกรรมเสอโข่ว เมืองเซินเจิ้น กำลังก่อสร้างอยู่ นับเป็นเขตบุกเบิกพัฒนาเศรษฐกิจที่เปิดสู่ภายนอกแห่งแรกของจีน (CR:China Radio international)

อย่างไรก็ตาม การปฏิรูปของเติ้งไม่ได้ราบรื่นเสมอไป ในช่วงปลายทศวรรษ 1980 เขาเผชิญกับแรงต้านจากกลุ่มอนุรักษนิยมในพรรคที่กังวลว่าการเปิดประเทศและการปฏิรูปเศรษฐกิจอาจนำไปสู่การสูญเสียอำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์ นอกจากนี้ ยังมีเหตุการณ์ประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมินในปี 1989 ซึ่งนำไปสู่การปราบปรามอย่างรุนแรง เหตุการณ์นี้สร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของจีนในเวทีโลกและทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับทิศทางการปฏิรูปของเติ้ง

แม้จะเผชิญกับความท้าทายเหล่านี้ แต่เติ้งยังคงยืนหยัดในวิสัยทัศน์ของเขา ในปี 1992 เมื่ออายุ 88 ปี เขาได้เดินทางไปตรวจราชการทางตอนใต้ของจีน ซึ่งกลายเป็นการเดินทางที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์จีน ในการเดินทางครั้งนี้ เติ้งได้ยืนยันถึงความสำคัญของการปฏิรูปและการเปิดประเทศ โดยกล่าวว่า “การพัฒนาคือความจริงอันแท้จริงเพียงอย่างเดียว” และ “ไม่สำคัญว่าแมวจะเป็นสีขาวหรือสีดำ ตราบใดที่มันจับหนูได้ก็เป็นแมวที่ดี” คำพูดเหล่านี้ได้กลายเป็นคำพูดที่มีชื่อเสียงของเขา สะท้อนถึงแนวคิดที่ยืดหยุ่นและมุ่งเน้นผลลัพธ์มากกว่าอุดมการณ์

การเดินทางครั้งนี้ของเติ้งได้จุดประกายความเชื่อมั่นใหม่ในการปฏิรูปเศรษฐกิจของจีน และนำไปสู่การเร่งการพัฒนาในทศวรรษต่อมา ผลของการปฏิรูปของเติ้งเป็นที่ประจักษ์ชัด

ในปี 1978 เมื่อเติ้งเริ่มการปฏิรูป รายได้ต่อหัวของจีนอยู่ที่เพียง 200 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ในปัจจุบัน รายได้ต่อหัวของจีนได้เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 12,000 ดอลลาร์สหรัฐ นับเป็นการเติบโตที่น่าทึ่งอย่างยิ่ง

นอกจากนี้ สัดส่วนของเศรษฐกิจจีนต่อเศรษฐกิจโลกก็เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล จากเพียง 2% ในปี 1978 เป็น 15% ในปัจจุบัน ทำให้จีนก้าวขึ้นมาเป็นเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อประชาชนจีนเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวมด้วย

ความสำเร็จของจีนภายใต้การนำของเติ้งไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ตัวเลขทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนจีนหลายร้อยล้านคน การลดความยากจน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการเพิ่มโอกาสทางการศึกษาและการจ้างงาน ล้วนเป็นผลมาจากนโยบายการปฏิรูปและเปิดประเทศของเติ้ง

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของเติ้งไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ภายในประเทศจีนเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์กับประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรวมถึงสิงคโปร์ด้วย

ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสิงคโปร์ภายใต้การนำของเติ้งนั้นมีความน่าสนใจเป็นพิเศษ แม้ว่าทั้งสองประเทศจะมีระบบการปกครองและขนาดที่แตกต่างกันอย่างมาก แต่พวกเขาก็สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและเป็นประโยชน์ร่วมกันได้ เติ้งเห็นคุณค่าของประสบการณ์การพัฒนาของสิงคโปร์และพยายามเรียนรู้จากความสำเร็จของประเทศเล็กๆ แห่งนี้

หลังจากการเยือนสิงคโปร์ของเติ้งในปี 1978 จีนได้ส่งคณะผู้แทนจำนวนมากมาศึกษาดูงานที่สิงคโปร์ โดยเฉพาะในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ การบริหารจัดการเมือง และการต่อต้านการทุจริต นอกจากนี้ ยังมีโครงการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือมากมายระหว่างสองประเทศ เช่น การพัฒนาสวนอุตสาหกรรมซูโจวในปี 1994 และเมืองนิเวศเทียนจินในปี 2007

ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างจีนและสิงคโปร์ยังคงดำเนินต่อไปแม้หลังจากที่เติ้งจะเกษียณจากตำแหน่งอย่างเป็นทางการ Lee Kuan Yew ยังคงเดินทางไปเยือนจีนเกือบทุกปีและรักษาความสัมพันธ์กับผู้นำจีนรุ่นต่อๆ มา แสดงให้เห็นถึงความสำคัญที่ทั้งสองประเทศให้กับความสัมพันธ์นี้

Lee Kuan Yew ยังคงเดินทางไปเยือนจีนเกือบทุกปีและรักษาความสัมพันธ์กับผู้นำจีนรุ่นใหม่ (CR:China Daily)
Lee Kuan Yew ยังคงเดินทางไปเยือนจีนเกือบทุกปีและรักษาความสัมพันธ์กับผู้นำจีนรุ่นใหม่ (CR:China Daily)

อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสิงคโปร์ก็ไม่ได้ปราศจากความท้าทาย มีช่วงเวลาที่เกิดความตึงเครียดระหว่างสองประเทศ โดยเฉพาะในประเด็นเกี่ยวกับไต้หวัน แต่ทั้งสองฝ่ายก็สามารถจัดการกับความขัดแย้งเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยยึดมั่นในหลักการของการเคารพซึ่งกันและกันและการไม่แทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน

ในขณะที่จีนเติบโตขึ้นเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ บทบาทของสิงคโปร์ในความสัมพันธ์นี้ก็เปลี่ยนแปลงไป จากการเป็นแบบอย่างและที่ปรึกษา สิงคโปร์ได้กลายเป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญของจีนในภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบทบาทของการเป็น “สะพาน” เชื่อมระหว่างจีนกับโลกตะวันตก

Lee Kuan Yew เคยกล่าวไว้ว่า “จีนจะไม่มาเรียนรู้จากเราที่สิงคโปร์อีกต่อไป เราจะเป็นฝ่ายไปจีนเพื่อเรียนรู้จากพวกเขา” คำพูดนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในพลวัตของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ แต่ก็ยังคงเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเรียนรู้และการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน

เมื่อมองย้อนกลับไป เราจะเห็นว่าวิสัยทัศน์และความกล้าหาญของเติ้ง เสี่ยวผิง มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการเปลี่ยนแปลงจีน เขาไม่เพียงแต่นำพาประเทศออกจากความยากจนและความโดดเดี่ยวเท่านั้น แต่ยังวางรากฐานสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนในอนาคตด้วย การตัดสินใจของเขาที่จะเรียนรู้จากประเทศอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิงคโปร์ แสดงให้เห็นถึงความเปิดกว้างทางความคิดและความสามารถในการปรับตัวที่เป็นคุณสมบัติสำคัญของผู้นำที่ยิ่งใหญ่

แม้ว่าเติ้งจะจากไปแล้ว แต่มรดกของเขายังคงมีชีวิตอยู่ในจีนสมัยใหม่ นโยบาย “สังคมนิยมอัตลักษณ์จีน” ของเขายังคงเป็นแนวทางหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจของจีน แม้ว่าจะมีการปรับเปลี่ยนและพัฒนาต่อยอดโดยผู้นำรุ่นต่อๆ มา ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับสิงคโปร์และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคที่เขาริเริ่มไว้ก็ยังคงเป็นส่วนสำคัญของนโยบายต่างประเทศของจีน

เติ้ง เสี่ยวผิง แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องละทิ้งรากฐานทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของประเทศ เขาสามารถผสมผสานแนวคิดใหม่ๆ เข้ากับระบบที่มีอยู่เดิม สร้างสิ่งที่เรียกว่า “สังคมนิยมอัตลักษณ์จีน” ซึ่งเป็นรูปแบบเฉพาะของจีน นี่เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ที่กำลังมองหาทางเลือกในการพัฒนาที่เหมาะสมกับบริบทของตนเอง

นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสิงคโปร์ที่เติ้งริเริ่มไว้ ยังเป็นตัวอย่างที่ดีของการทูตเชิงปฏิบัติ ที่มุ่งเน้นผลประโยชน์ร่วมกันมากกว่าความแตกต่างทางอุดมการณ์ แสดงให้เห็นว่าแม้ประเทศที่มีระบบและขนาดแตกต่างกันมาก ก็สามารถสร้างความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่ายได้ หากมีความเข้าใจ ความเคารพ และวิสัยทัศน์ร่วมกัน

ในขณะที่โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น และความขัดแย้งระหว่างประเทศ บทเรียนจากยุคของเติ้ง เสี่ยวผิง อาจเป็นแรงบันดาลใจสำหรับผู้นำทั่วโลกในการมองหาวิธีใหม่ๆ ในการแก้ไขปัญหาและสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ

ในท้ายที่สุด มรดกของเติ้ง เสี่ยวผิง ไม่ใช่เพียงแค่การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของจีน แต่เป็นแบบอย่างของความกล้าหาญในการเปลี่ยนแปลง ความสามารถในการปรับตัว และการเปิดกว้างทางความคิด คุณสมบัติเหล่านี้จะยังคงมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้นำทั่วโลกในการเผชิญหน้ากับความท้าทายของศตวรรษที่ 21 และในการสร้างโลกที่ดีกว่าสำหรับคนรุ่นต่อไป

เติ้ง เสี่ยวผิง เป็นตัวอย่างที่ดีของผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และความกล้าหาญ ที่สามารถนำพาประเทศของตนผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และสร้างผลกระทบที่ยั่งยืน แม้ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปมากแล้วนับตั้งแต่สมัยของเขา แต่บทเรียนจากชีวิตและการทำงานของเขาก็ยังคงมีความเกี่ยวข้องและสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนทั่วโลกได้ต่อไปในอนาคตนั่นเองครับผม

References :
How Tiny Singapore CHANGED China Forever (ft. Lee Kuan Yew & Deng Xiaoping)
https://youtu.be/NRRoW-mr5Pg
https://thediplomat.com/2023/12/looking-back-on-deng-xiaopings-landmark-visit-to-singapore/