บทวิเคราะห์ SearchGPT : การปฏิวัติการค้นหาข้อมูลกระแสชั่วครู่ หรือแค่ฟองสบู่ AI อีกลูกหนึ่ง

ในโลกของเทคโนโลยีการค้นหาข้อมูลออนไลน์ เรากำลังจะได้เห็นผู้เล่นรายใหม่ในตลาดอย่าง “SearchGPT” ซึ่งเป็นผลงานล่าสุดของบริษัท OpenAI หนึ่งในผู้นำด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ของโลกเราในตอนนี้

SearchGPT ถือเป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าวงการการค้นหาข้อมูลออนไลน์ โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างประสบการณ์การค้นหาที่รวดเร็ว แม่นยำ และตอบโจทย์ผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้น

OpenAI ได้เปิดเผยว่า SearchGPT เป็นต้นแบบของระบบค้นหาที่ใช้เทคโนโลยี AI ในการประมวลผลและนำเสนอข้อมูล โดยมีจุดเด่นคือการให้คำตอบที่รวดเร็วและทันสมัย พร้อมทั้งระบุแหล่งข้อมูลที่ชัดเจนและตรงประเด็น ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาการค้นหาข้อมูลที่ต้องใช้ความพยายามมากและต้องลองหลายครั้งเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ

Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI ได้แสดงความเห็นว่ายังมีช่องว่างให้ปรับปรุงการค้นหาให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และเขารู้สึกประหลาดใจที่ชอบ SearchGPT มากกว่า “การค้นหาแบบดั้งเดิม (Google)” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจในศักยภาพของผลิตภัณฑ์ใหม่นี้

แม้ว่า SearchGPT จะเป็นนวัตกรรมที่น่าสนใจ แต่การเข้าสู่ตลาดการค้นหาข้อมูลออนไลน์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากมีคู่แข่งรายใหญ่อย่าง Google ที่ครองส่วนแบ่งตลาดถึงประมาณ 90% ตามข้อมูลของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ นอกจากนี้ Google ยังมีรายได้มหาศาลจากธุรกิจการค้นหา โดยในปีที่ผ่านมามีรายได้สูงถึง 175 พันล้านดอลลาร์จากการค้นหาและโฆษณาที่เกี่ยวข้อง

ความท้าทายอีกประการหนึ่งคือการพัฒนาเทคโนโลยี AI ให้มีความแม่นยำและน่าเชื่อถือ จากการสาธิตการใช้งาน SearchGPT พบว่ายังมีข้อผิดพลาดในการแสดงข้อมูล เช่น วันที่ของเทศกาลที่ไม่ถูกต้อง หรือการแสดงข้อมูลเทศกาลที่จัดขึ้นในสถานที่ห่างไกลจากที่ระบุในคำค้นหา ซึ่งเป็นประเด็นที่ OpenAI ต้องปรับปรุงและพัฒนาต่อไป

นอกจากนี้ ยังมีคู่แข่งรายอื่นๆ ที่กำลังพัฒนาเทคโนโลยี AI สำหรับการค้นหาเช่นกัน อาทิ Google ที่กำลังทดสอบ Search Generative Experience (SGE) และ Perplexity ที่เพิ่งได้รับเงินทุนมูลค่าสูงถึง 520 ล้านดอลลาร์ ทำให้การแข่งขันในตลาดนี้ยิ่งทวีความเข้มข้นมากขึ้น

อีกหนึ่งความท้าทายที่สำคัญคือต้นทุนในการใช้งานระบบ AI ซึ่งมีการประมาณการว่าต้นทุนในการใช้งาน ChatGPT หนึ่งครั้งอาจสูงกว่าการค้นหาแบบปกติใน Google ถึง 1,000 เท่า ซึ่งอาจจะส่งผลให้มีปัญหาในเรื่องการจัดการต้นทุนและการสร้างผลกำไรได้ในระยะยาว

แม้ว่าจะมีความท้าทายมากมาย แต่การเปิดตัว SearchGPT ก็ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีการค้นหาข้อมูลออนไลน์ OpenAI มีแผนที่จะปรับปรุงและพัฒนา SearchGPT อย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มจากการเปิดให้ผู้ใช้กลุ่มเล็กๆ ได้ทดลองใช้งานและให้ข้อเสนอแนะ ซึ่งจะช่วยให้ทีมพัฒนาสามารถปรับแต่งและแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ OpenAI ยังมีแผนที่จะผสานประสบการณ์บางส่วนของ SearchGPT เข้ากับ ChatGPT ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงของบริษัท การผสานรวมนี้อาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการค้นหาข้อมูลของ ChatGPT ให้ดียิ่งขึ้น

ความร่วมมือระหว่าง OpenAI และ Microsoft ซึ่งเป็นพันธมิตรที่ลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ในบริษัท อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ SearchGPT สามารถเข้าถึงทรัพยากรและเทคโนโลยีที่จำเป็นในการพัฒนาและขยายการให้บริการได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ประโยชน์จาก Bing ซึ่งเป็นเครื่องมือค้นหาของ Microsoft ในการเข้าถึงข้อมูลแบบเรียลไทม์

แม้ว่า Bing จะมีส่วนแบ่งตลาดเพียง 3.4% เมื่อเทียบกับ Google ที่มีส่วนแบ่ง 91.6% แต่การเพิ่ม ChatGPT เข้าไปใน Bing ก็ช่วยเพิ่มจำนวนผู้ใช้งานรายเดือนในสหรัฐอเมริกาเป็นสองเท่าในไตรมาสที่สองของปีที่แล้ว และเพิ่มขึ้นเป็น 4.4 ล้านคนเมื่อสิ้นปี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่ดีในการเติบโตของการค้นหาที่ใช้ AI

การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้ใช้งานในการเข้าถึงข้อมูลออนไลน์เป็นโอกาสสำคัญสำหรับ SearchGPT และผู้ให้บริการรายอื่นๆ ในการนำเสนอวิธีการค้นหาข้อมูลรูปแบบใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้น ดังที่ Shane Greenstein นักเศรษฐศาสตร์และศาสตราจารย์จากโรงเรียนธุรกิจฮาร์วาร์ดกล่าวว่า “เรากำลังอยู่ในช่วงตื่นทองเมื่อพูดถึง AI และการค้นหา”

อย่างไรก็ตาม การที่จะประสบความสำเร็จในตลาดการค้นหาข้อมูลออนไลน์นั้น อยู่ที่ขนาดของฐานข้อมูลที่สะสมมา เพราะยิ่งมีการค้นหามากเท่าไหร่ คำตอบก็จะยิ่งดีขึ้นเท่านั้น ซึ่งในปัจจุบัน Google เป็นบริษัทเดียวที่มีพลวัตนี้อย่างลงตัว ดังนั้น SearchGPT จึงต้องพยายามสร้างฐานข้อมูลการค้นหาให้มากพอที่จะสร้างความสำเร็จของตัวเองให้ได้

ในอนาคต เราอาจได้เห็นการพัฒนาของ SearchGPT ที่ไม่เพียงแต่ให้คำตอบที่แม่นยำและรวดเร็วเท่านั้น แต่ยังสามารถเข้าใจบริบทและความต้องการของผู้ใช้งานได้อย่างลึกซึ้ง รวมถึงการนำเสนอข้อมูลในรูปแบบที่เข้าใจง่ายและน่าสนใจมากยิ่งขึ้น เช่น การสรุปข้อมูลในรูปแบบอินโฟกราฟิก หรือการนำเสนอข้อมูลในรูปแบบวิดีโอสั้นๆ ที่สรุปประเด็นสำคัญได้อย่างครบถ้วน

นอกจากนี้ การพัฒนาเทคโนโลยี AI ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นอาจช่วยลดต้นทุนในการประมวลผลลงได้อย่างมีนัยสำคัญ ทำให้การใช้งาน AI ในการค้นหาข้อมูลมีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจมากขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันให้เกิดการใช้งาน AI ในวงกว้างมากยิ่งขึ้น

การเปิดตัว SearchGPT ของ OpenAI จึงไม่เพียงแต่เป็นการท้าทายผู้นำตลาดอย่าง Google เท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดศักราชใหม่ของการค้นหาข้อมูลออนไลน์ที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีที่เราเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต

แม้ว่า SearchGPT จะยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาและทดสอบ แต่ศักยภาพของเทคโนโลยี AI ที่อยู่เบื้องหลังนั้นมีความน่าสนใจอย่างยิ่ง การที่ SearchGPT สามารถให้คำตอบที่กระชับและตรงประเด็น พร้อมทั้งแสดงแหล่งที่มาของข้อมูลอย่างชัดเจน จะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

สำหรับผู้ใช้งานทั่วไป การเปลี่ยนแปลงนี้อาจหมายถึงประสบการณ์การค้นหาข้อมูลที่สะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องเสียเวลาในการคัดกรองข้อมูลจำนวนมากเพื่อหาคำตอบที่ต้องการ นอกจากนี้ การที่ AI สามารถเข้าใจบริบทและความต้องการของผู้ใช้ได้ดีขึ้น อาจนำไปสู่การค้นพบข้อมูลที่เกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์ซึ่งผู้ใช้อาจไม่ได้นึกถึงมาก่อน

ในแง่ของธุรกิจและองค์กรต่างๆ การพัฒนาของเทคโนโลยีการค้นหาที่ใช้ AI อาจส่งผลกระทบต่อกลยุทธ์การทำการตลาดดิจิทัลและการทำ Search Engine Optimization (SEO) โดยอาจต้องปรับเปลี่ยนวิธีการนำเสนอเนื้อหาและข้อมูลให้สอดคล้องกับวิธีการทำงานของ AI มากขึ้น เพื่อให้ข้อมูลของตนยังคงปรากฏในผลการค้นหาอย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม การพัฒนาเทคโนโลยี AI สำหรับการค้นหาข้อมูลก็มาพร้อมกับความท้าทายด้านจริยธรรมและความเป็นส่วนตัว เช่น การรักษาความเป็นกลางของข้อมูล การป้องกันการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จ และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้งาน ซึ่งเป็นประเด็นที่ทั้ง OpenAI และบริษัทอื่นๆ ในอุตสาหกรรมนี้จะต้องให้ความสำคัญและหาแนวทางแก้ไขอย่างจริงจัง

ในอนาคต เราอาจได้เห็นการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยี AI กับเทคโนโลยีอื่นๆ เช่น การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing) และการประมวลผลภาพ (Computer Vision) ซึ่งจะช่วยให้การค้นหาข้อมูลมีความหลากหลายและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เช่น การค้นหาด้วยเสียง การค้นหาด้วยภาพ หรือแม้แต่การค้นหาด้วยความคิด (Brain-Computer Interface) ซึ่งอาจกลายเป็นความเป็นจริงในอนาคตอันใกล้

บทสรุป: อนาคตของการค้นหาข้อมูลกับ SearchGPT

การเปิดตัว SearchGPT ของ OpenAI ถือเป็นก้าวสำคัญในวงการเทคโนโลยีการค้นหาข้อมูล ที่มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงวิธีการที่เราเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต แม้ว่าจะยังมีความท้าทายในการพัฒนาและการแข่งขันกับผู้นำตลาดอย่าง Google แต่ด้วยความสามารถในการผสมผสานเทคโนโลยี AI กับการค้นหาข้อมูลแบบดั้งเดิม SearchGPT อาจเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ในการค้นหาข้อมูลที่มีประสิทธิภาพและตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ได้ดียิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของ SearchGPT จะขึ้นอยู่กับความสามารถของ OpenAI ในการพัฒนาระบบให้มีความแม่นยำ น่าเชื่อถือ และสร้างประสบการณ์การใช้งานที่เหนือกว่าคู่แข่ง รวมถึงการสร้างความไว้วางใจและความคุ้นเคยให้กับผู้ใช้ ซึ่งอาจต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างต่อเนื่อง

ในท้ายที่สุด การแข่งขันในตลาดเทคโนโลยีการค้นหาข้อมูลที่เพิ่มขึ้นนี้ น่าจะส่งผลดีต่อผู้ใช้งานทั่วไป เนื่องจากจะนำไปสู่การพัฒนานวัตกรรมและการปรับปรุงคุณภาพของบริการอย่างต่อเนื่อง ทำให้เราสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในอนาคต

เราอาจกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการเทคโนโลยีการค้นหาข้อมูล และ SearchGPT อาจเป็นก้าวแรกสู่การปฏิวัติวิธีการที่เราค้นหาและใช้ประโยชน์จากข้อมูลในยุคดิจิทัล ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อวิถีชีวิต การทำงาน และการเรียนรู้ของผู้คนทั่วโลกในอนาคตอันใกล้นี้

References :
https://www.pymnts.com/artificial-intelligence-2/2024/report-chatgpt-hasnt-helped-bing-compete-with-google/
https://searchengineland.com/one-year-later-little-change-to-microsoft-bing-search-market-share-437238
https://www.businessinsider.com/openai-searchgpt-search-engine-prototype-declares-war-with-google-2024-5
https://www.projectreylo.com/post/searchgpt-vs-google-search-a-comparative-analysis
https://medium.com/@gargiben954/openai-announces-searchgpt-its-ai-powered-search-engine-everything-you-should-know-ec586fd12a3b

เหนือกว่าเป้าหมายและวินัย: ความลับที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จมากกว่า 99% ของคนในโลก

เรื่องราวของความสำเร็จนั้นมักถูกบอกเล่าในแง่มุมที่ชวนให้เราเคลิ้ม ราวกับว่ามีสูตรสำเร็จหรือเคล็ดลับพิเศษที่จะพาเราไปสู่จุดสูงสุดได้อย่างง่ายดาย แต่ความเป็นจริงแล้ว เส้นทางสู่ความสำเร็จนั้นซับซ้อนและท้าทายกว่าที่หลายคนคิด

เป็นข้อมูลที่น่าสนใจจาก Mark Manson Blogger และนักเขียนชาวอเมริกัน ผู้เขียนหนังสือขายดี “The Subtle Art of Not Giving a F*ck” (ชีวิตจะติดปีกด้วยศิลปะแห่งการช่างแม่ง)

หากลองมาพิจารณาแนวคิดที่ว่าการประสบความสำเร็จมากกว่า 99% ของคนในโลกนั้นเป็นเรื่องง่าย เพียงแค่ “ทำในสิ่งที่คนอื่น 99% ไม่ยอมทำ” ฟังดูเหมือนเรียบง่าย? แต่ความจริงแล้ว มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด

ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารและสื่อโซเชียลท่วมท้น เราถูกโหมกระหน่ำด้วยเคล็ดลับและคำแนะนำมากมายที่อ้างว่าจะพาเราไปสู่ความสำเร็จได้ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งเป้าหมาย การมีวินัย การลดสิ่งที่จะมารบกวนสมาธิ แต่เราต้องตั้งคำถามว่า สิ่งเหล่านี้เพียงพอจริงหรือ?

ลองนึกถึงคนที่ประสบความสำเร็จระดับโลกอย่าง Bill Gates สิ่งที่ทำให้เขาโดดเด่นไม่ใช่แค่การมีเป้าหมายหรือวินัย แต่เป็นวิสัยทัศน์ที่แหวกแนวและความสามารถในการมองเห็นโอกาสที่คนอื่นมองข้าม

ความจริงที่น่าสนใจก็คือ การกระทำที่เป็นเรื่อง “ธรรมดา” หรือสิ่งที่เราสามารถหาดูได้จาก YouTube เป็นร้อยเป็นพันคลิป มักจะไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เราแตกต่างจากคนอื่น 99% โดยนิยามแล้ว การจะประสบความสำเร็จมากกว่าคนอื่น เราต้องกล้าที่จะทำในสิ่งที่แตกต่างและท้าทาย

มาดูตัวอย่างของผู้ที่ประสบความสำเร็จระดับโลกกัน Steve Jobs ไม่ได้กลายเป็น Steve Jobs เพราะเขาตื่นเช้าหรือกินผลไม้เยอะๆ แต่เป็นเพราะเขามีวิสัยทัศน์ที่ล้ำสมัย เขาเชื่อมั่นก่อนใครว่าสักวันหนึ่งคอมพิวเตอร์จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผู้คนทั่วโลก และเขาก็ถูกต้อง

ส่วน Warren Buffett นักลงทุนระดับตำนาน เขาไม่ได้ประสบความสำเร็จเพราะมีกิจวัตรตอนเช้าที่พิเศษแต่อย่างใด แท้จริงแล้ว ทุกเช้าเขาขับรถไปที่ McDonald’s และสั่งอาหารเช้าแบบเดิมๆ ที่หลายคนอาจมองว่าไม่ดีต่อสุขภาพ แต่สิ่งที่ทำให้ Buffett โดดเด่นคือความสามารถในการเสาะหาบริษัทที่มีศักยภาพสูง แม้ในขณะที่คนอื่นมองว่าไม่น่าสนใจ เขาลงทุนในบริษัทเหล่านั้นและรอคอยอย่างอดทนเป็นเวลาหลายทศวรรษ

ความสำเร็จที่แท้จริงไม่ได้มาจากการทำตามสูตรสำเร็จหรือเคล็ดลับง่ายๆ แต่มาจากการกล้าคิดต่าง มองเห็นโอกาสที่คนอื่นมองข้าม และมีความอดทนที่จะรอให้วิสัยทัศน์ของเราเป็นจริง

การให้ความสำคัญกับการลงมือทำมากเกินไปอาจทำให้เราหลงทาง บางครั้งการตัดสินใจเพียงครั้งเดียวที่แหวกแนวและถูกต้องอาจส่งผลกระทบต่อชีวิตและอาชีพของเรามากกว่าการทำงานหนักแบบไร้ทิศทางเป็นเวลาหลายปี

ลองคิดถึงการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ตลอดประวัติศาสตร์มนุษย์ ทั้งหมดล้วนเริ่มต้นจากความคิดที่แตกต่างและถูกต้องในจุดหนึ่ง แม้ว่าในตอนแรกอาจจะฟังดูเหลวไหลหรือเป็นไปไม่ได้ แต่มีคนกล้าที่จะเชื่อและลงมือทำ

ความกล้าที่จะยืนหยัดในความคิดของตัวเองแม้ในยามที่คนอื่นไม่เห็นด้วยหรือหัวเราะเยาะเรา เป็นคุณสมบัติสำคัญของผู้ที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่

Mark Manson เล่าว่าความสำเร็จของเขามาจากการท้าทายความเชื่อที่ว่าคน Millennials และผู้ชายไม่สนใจหนังสือพัฒนาตนเอง เขาพบว่าความเชื่อนี้ไม่เป็นความจริง เพียงแต่ต้องสื่อสารกับกลุ่มคนเหล่านี้ด้วยวิธีที่แตกต่างออกไป การตัดสินใจครั้งสำคัญนี้เองที่นำไปสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของเขา

แม้แต่ Warren Buffett เองก็ยอมรับว่าในช่วง 58 ปีของการบริหาร Berkshire Hathaway การตัดสินใจส่วนใหญ่ของเขาก็แค่ “พอใช้ได้” แต่ผลลัพธ์อันยอดเยี่ยมของบริษัทมาจากการตัดสินใจที่ยอดเยี่ยมจริงๆ เพียงประมาณสิบสองครั้งเท่านั้น

นี่แสดงให้เห็นว่าความสำเร็จที่แท้จริงไม่ได้มาจากการทำทุกอย่างให้สมบูรณ์แบบ แต่มาจากการตัดสินใจที่สำคัญๆ ไม่กี่ครั้งในช่วงเวลาที่เหมาะสม

อย่างไรก็ตาม การมุ่งมั่นสู่ความสำเร็จที่มากเกินไปอาจมีข้อเสียที่เราต้องตระหนักถึง:

  1. การเป็นคนคิดต่างอาจทำให้เราถูกปฏิเสธหรือไม่เป็นที่ยอมรับในสังคม หลายคนฝันถึงความสำเร็จเพราะหวังว่ามันจะนำมาซึ่งการยอมรับ แต่บ่อยครั้งกลับตรงกันข้าม
  2. การที่จะคิดต่างและถูกต้อง เราต้องผ่านประสบการณ์ของการคิดต่างและผิดมาก่อน ซึ่งอาจนำมาซึ่งความล้มเหลวและความผิดหวัง
  3. ความสำเร็จที่มากเกินไปไม่ได้รับประกันความสุข แท้จริงแล้วมันมักจะช่วยเพิ่มลักษณะนิสัยและความรู้สึกที่เรามีอยู่แล้วให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น

แทนที่จะถามว่าจะประสบความสำเร็จมากกว่า 99% ของคนได้อย่างไร เราควรถามตัวเองว่าทำไมเราถึงต้องการความสำเร็จในระดับนั้น และอะไรคือความหมายของความสำเร็จสำหรับเรา

ความสำเร็จที่แท้จริงควรมาจากแรงผลักดันภายในที่ต้องการทำตามความคิดและความเชื่อของตัวเอง ไม่ใช่เพียงเพื่อการยอมรับจากสังคมหรือเพื่อความร่ำรวยเท่านั้น การตั้งคำนิยามความสำเร็จที่เหมาะสมสำหรับตัวเองตั้งแต่แรกจะช่วยให้เราเดินทางไปบนเส้นทางที่ถูกต้องและมีความหมายมากขึ้น

ท้ายที่สุดแล้ว ความสำเร็จที่แท้จริงไม่ใช่แค่การเอาชนะคนอื่น 99% แต่เป็นการค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเรา ทำในสิ่งที่เรารักและเชื่อมั่น และสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับโลกใบนี้

การเดินทางสู่ความสำเร็จนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะมันต้องการความกล้าที่จะคิดต่าง ความอดทนที่จะยืนหยัดในความเชื่อของตัวเอง และความพร้อมที่จะเรียนรู้จากความล้มเหลว สิ่งสำคัญคือการมีเป้าหมายที่ชัดเจนและความหมายของความสำเร็จที่สอดคล้องกับค่านิยมและตัวตนที่แท้จริงของเรา

ดังนั้น แทนที่จะพยายามทำตามสูตรสำเร็จหรือเคล็ดลับง่ายๆ ที่มีอยู่มากมาย ลองให้เวลากับการค้นหาตัวเอง พัฒนาความคิดที่เป็นเอกลักษณ์ และกล้าที่จะทำในสิ่งที่คุณเชื่อมั่น แม้ว่ามันอาจจะแตกต่างจากคนส่วนใหญ่

เพราะความสำเร็จที่แท้จริงไม่ได้วัดกันที่การเอาชนะคนอื่น แต่วัดที่การเป็นเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดของตัวเราเอง

References :
How to Get Ahead of 99% of People โดย Mark Manson
https://youtu.be/_ZJpU43NA0c?si=ouSDF8DQBgwxBX-J
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=783157153177313&id=100044491057032&set=a.283316933161340

ซูมไลออน ประเทศไทย จัดเต็มขนทัพเครื่องจักรเข้าร่วมงาน CBA Expo และ Concrete Expo Asia 2024 มหกรรมแสดงเครื่องจักรกลหนักที่ใหญ่ที่สุดแห่งปี 2024

ซูมไลออน ผู้นำระดับโลกด้านเครื่องจักรกลหนักระดับไฮเอนด์ เป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำของจีน เตรียมสร้างความตื่นตาตื่นใจครั้งสำคัญในงาน CBA Expo และ Concrete Expo Asia 2024 ที่กำลังจะมาถึง งานแสดงสินค้าระดับนานาชาตินำเสนอเครื่องจักร อุปกรณ์ เครื่องมือ และเทคโนโลยีการก่อสร้างและเหมืองแร่

ภายในงานได้รวบรวมเหล่าผู้จัดจำหน่ายกว่า 100 ราย นำเสนอความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีเครื่องจักรกลหนักทางการเกษตรและการก่อสร้าง ตอบสนองความต้องการของคนไทยภายใต้มาตรฐานระดับโลก  

ซูมไลออน ประเทศไทย(Zoomlion) เปิดตัวธุรกิจในประเทศไทยเมื่อปี 2558 มีสำนักงานใหญ่ที่ประเทศจีนมาแล้วกว่า 32 ปี รวมพนักงานทั่วโลกกว่า 30,000 คน ซูมไลออนทำตลาดเครื่องจักรก่อสร้างและเครื่องจักรกลเกษตรที่หลากหลาย ผ่านการผลิตโดยโรงงานที่ทันสมัย

นอกจากนี้ ยังมีบริษัทยังมีศูนย์วิจัยเครื่องจักร โรงงาน Lighthouse Factory โรงงานชั้นนำระดับโลก ซึ่งรองรับ กว่า 300 สายการผลิต และเทคโนโลยีที่ได้รับสิทธิบัตรมากกว่า 600 รายการ

ล่าสุด ซูมไลออน กำลังส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลอย่างครอบคลุมพร้อมยกระดับระบบการผลิตอัจฉริยะของอุปกรณ์ระดับสูง ตั้งแต่เครื่องยนต์ไปจนถึงชิ้นส่วนต่างๆ เร่งการสร้างอุตสาหกรรมการผลิตอัจฉริยะที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรม และอัดฉีดแรงขับเคลื่อนการพัฒนาใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยมีเมืองอัจฉริยะซูมไลออนเป็นแกนหลัก กับโปรเจกต์ก่อสร้างโรงงานระบบอัจฉริยะระดับโลก 23 แห่งพร้อมกันในอนาคต

ปัจจุบัน ซูมไลออน ประเทศไทย ให้บริการผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากกว่า 9 ประเภท ได้แก่ เครื่องจักรกลงานดิน เครื่องจักรยก (เครน) เครื่องจักรงานคอนกรีต ทาวเวอร์เครน รถกระเช้างานยกสูง รถยก (forklift) เครื่องจักรงานเหมือง เครื่องจักรงานฐานราก และเครื่องจักรกลการเกษตร

โดยเครื่องจักรทั้งหมดได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ทันสมัยต่อเทรนด์ระดับโลกเสมอ นอกจากนี้กระแส EV ที่กำลังมาแรง ทางซูมไลออนยังคงก้าวทันความเปลี่ยนแปลงส่งเครื่องจักรกลหนักพลังงานทางเลือกที่ใช้ไฟฟ้าออกมา พร้อมจัดจำหน่ายในประเทศไทยแล้วด้วยเช่นเดียวกัน

พร้อมสร้างความมั่นใจในอุตสาหกรรมการก่อสร้างไทย

นาย หลิว เสี่ยว พาน รองผู้จัดการทั่วไป บริษัท ซูมไลออน เฮฟวี่ อินดัสทรี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงอุตสาหกรรมการก่อสร้างของไทยที่ยังคงสร้างความมั่นใจต่อเนื่อง “ปัจจุบันซูมไลออน มีสาขาทั่วไทยอยู่ 8 สาขา ซึ่งเป็นสาขาที่ตั้งอยู่ในหัวเมืองหลักคือ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ นครราชสีมา สุราษฎร์ธานี ขอนแก่น นครสวรรค์ พิษณุโลก ระยอง และจะขยายเพิ่มอีก 4 สาขาภายในปี 2024 คือ สกลนคร สงขลา ลำปาง นครปฐม  ตลาดไทยมีความมั่นคง, ครอบคลุม และเหมาะกับการลงทุน ซึ่งสามารถรองรับการเติบโตของตลาดเครื่องจักรกลหนักและเทคโนโลยีในการก่อสร้างที่จะเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง

“ในปีนี้ ซูมไลออน จัดหนัก ให้ความสำคัญเป็นพิเศษมากกว่าที่เคย กับการร่วมงาน CBA Expo and Concrete Expo Asia 2024 งานแสดงสินค้านานาชาติที่รองรับผู้เข้าชมกว่า 4,000 คน และบูทแสดงสินค้ากว่า 100 ราย ที่จะจัดแสดงผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีล่าสุด มาเพื่อตอบโจทย์สำหรับประเทศไทยและประเทศในแถบเอเชีย

ซึ่งภายในบูทมีกิจกรรมให้ร่วมสนุก พร้อมโปรโมชันพิเศษเฉพาะผู้เข้าชมบูทอีกด้วย “เราหวังว่า ซูมไลออน จะสร้างความประทับใจให้แก่ผู้ที่มาร่วมงานและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น  ซูมไลออน ประเทศไทย มุ่งมั่นพัฒนานำเสนอ เครื่องจักรกลหนัก สำหรับงานก่อสร้างและงานเหมืองและเทคโนโลยีในการก่อสร้างที่มีความทันสมัย

ตั้งแต่เครื่องจักรกลหนักไฟฟ้า อย่างรถยก(forklift) และรถบรรทุกสำหรับงานเหมือง เครื่องจักรกลงานดิน รถเครน เครื่องจักรคอนกรีต ทาวเวอร์เครน รถกระเช้างานยกสูง และเครื่องจักรงานวางฐานราก โดยมีไฮไลต์สำคัญ กับการเปิดตัวรถขุดรุ่นใหม่ล่าสุดที่ปรับแต่งเฉพาะและอัปเกรดให้เหมาะสมสำหรับตลาดประเทศไทย รวมไปถึงเทคโนโลยีทาวเวอร์เครนขั้นสูงมาพร้อมระบบป้องกันการชนและการควบคุมระยะไกล(ควบคุมจากรีโมต)

ซูมไลออนยังมีการลงทุนเพิ่มเติมในการพัฒนาพลังงานไฟฟ้าสะอาดมาประยุกต์ใช้ในเครื่องจักรทั้งหมดซึ่งจะออกผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ในอนาคตที่อันใกล้” นาย หลิว เสี่ยว พาน  กล่าวเสริม

ตลาดเครื่องจักรและเทคโนโลยีในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางสำคัญ เนื่องจากมีโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งและทำเลที่ตั้งที่มีโอกาสสูง เหมาะกับการแข่งขันในตลาดที่มุ่งเน้นระบบอัตโนมัติ IoT และความยั่งยืน ผลิตภัณฑ์ที่มีความทันสมัย อาทิ เครื่องจักรกลหนักไฟฟ้าและเทคโนโลยีทาวเวอร์เครนขั้นสูงควบคุมผ่านระบบ 5G

ตลอดจนการนำนวัตกรรมต่างๆ เข้ามาสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานของอุตสาหกรรมให้สามารถตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของตลาดได้อย่างมีประโยชน์สูงสุด

ปรากฏการณ์ Made in China ยุคใหม่: เมื่อแบรนด์จีนท้าชนยักษ์ใหญ่อเมริกันพร้อมบุกทะลวงตลาดโลก

ภาพที่เราเห็นในประเทศไทย ร้านไก่ทอดอย่าง Zhengxin Chicken Steak ที่ขายในราคาเริ่มต้นเพียงแค่ 15 บาท หรือ ร้านไอศกรีม Mixue ที่คนไทยแห่แหนกันเข้าไปใช้บริการ มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการสร้างแบรนด์ยุคใหม่ Made in China ของประเทศจีนที่เตรียมความพร้อมเพื่อดาหน้าบุกตลาดทั่วโลก

เมื่อมองไปยังสถานการณ์โดยเฉพาะในประเทศจีน ซึ่งกำลังเป็นที่จับตามองของนักธุรกิจทั่วโลก มันได้เกิดปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ นั่นคือการที่แบรนด์ท้องถิ่นของจีนกำลังท้าทายความเป็นผู้นำของแบรนด์อเมริกันในตลาดผู้บริโภคที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก

เมื่อก้าวเข้าสู่ร้านอาหารจานด่วนในจีน คุณอาจคิดว่ากำลังอยู่ในร้าน McDonald’s สักแห่ง แต่เมื่อสังเกตให้ดี คุณจะพบว่ามันคือร้าน Tastien ซึ่งเป็นคำตอบของจีนต่อแบรนด์อเมริกันชื่อดัง

ภายในร้านเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ที่สื่อถึงความเป็นจีน ไม่ว่าจะเป็นข้อความ “ผลิตในจีน (Made in China)” หรือ “เบอร์เกอร์จีนสำหรับกระเพาะคนจีน” รวมถึงการตกแต่งที่ผสมผสานระหว่างความทันสมัยกับยุคจักรวรรดิจีนได้อย่างลงตัว

Tastien เป็นเพียงหนึ่งในหลายๆ แบรนด์จีนที่กำลังแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดจากคู่แข่งอเมริกัน ในอดีต จีนเคยเป็นดินแดนแห่งโอกาสทางธุรกิจสำหรับแบรนด์อเมริกัน แต่ปัจจุบัน สถานการณ์กำลังเปลี่ยนไป คู่แข่งท้องถิ่นกำลังเข้ามากัดกินส่วนแบ่งการตลาด ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเป็นผู้นำที่แบรนด์เหล่านั้นครองมานานหลายทศวรรษ

Tastien ที่พร้อมท้าชนแบรนด์ ฟาสต์ฟู้ด อเมริกัน (CR:Wikipedia)
Tastien ที่พร้อมท้าชนแบรนด์ ฟาสต์ฟู้ด อเมริกัน (CR:Wikipedia)

ตลาดผู้บริโภคจีนมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ด้วยจำนวนผู้บริโภคมากกว่า 1 พันล้านคน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าเป็นเหมืองทองคำที่ยังไม่ถูกขุดสำหรับแบรนด์ตะวันตก หากเดินเที่ยวในย่านช้อปปิ้งชั้นนำของปักกิ่ง คุณจะพบกับแบรนด์อเมริกันมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Ralph Lauren, Tom Ford หรือแม้แต่ Apple ซึ่งเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด

แต่สถานการณ์กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ในไตรมาสแรกของปี 2024 ยอดขายสมาร์ทโฟนของ Apple ในจีนลดลงถึง 19% ในขณะที่คู่แข่งท้องถิ่นอย่าง Huawei Technologies กลับมียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 70% ส่งผลให้รายได้ของ Apple ในตลาดจีนลดลง 8% เหลือเพียง 16.4 พันล้านดอลลาร์ และ Apple ไม่ใช่บริษัทอเมริกันเพียงรายเดียวที่กำลังเผชิญกับความท้าทายในตลาดจีน

แบรนด์อเมริกันหลายรายกำลังประสบปัญหาในจีน ตั้งแต่บริษัทเครื่องสำอางหรูอย่าง Estee Lauder ที่คาดว่ายอดขายในจีนจะลดลง ไปจนถึงยักษ์ใหญ่ด้านค้าปลีกอย่าง Walmart ที่ต้องปิดร้านค้ามากกว่า 100 สาขาทั่วประเทศในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ผู้บริหารของแบรนด์ชั้นนำจากอเมริกาในจีนกำลังกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับผลประกอบการที่อ่อนแอในประเทศนี้

นักวิเคราะห์ทางการเงินให้ความเห็นว่า “แบรนด์ท้องถิ่นกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วในจีน ซีอีโอคนไหนที่กังวลเกี่ยวกับผลงานและกำไรของบริษัท ย่อมได้รับผลกระทบจากสิ่งนี้ และเราได้เห็นราคาหุ้นตกลงอย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น ราคาหุ้นของ Nike ที่ลดลงเนื่องจากผลประกอบการที่อ่อนแอในจีน”

Nike เคยครองส่วนแบ่งตลาดชุดกีฬาในจีนมาอย่างยาวนาน โดยมีสัดส่วนเกือบ 1 ใน 5 ของยอดขายทั่วโลก แต่สถานการณ์กำลังเปลี่ยนไป ผู้บริโภคชาวจีนรุ่นใหม่หันไปสนใจแบรนด์ที่ผสมผสานองค์ประกอบของวัฒนธรรมและสไตล์แบบจีนดั้งเดิมมากขึ้น ซึ่งเปิดโอกาสให้แบรนด์อย่าง Anta สามารถเข้ามามีบทบาทในตลาดที่เคยถูกครอบงำโดย Nike และแบรนด์ตะวันตกอื่นๆ มาเป็นเวลานาน

Anta ได้เข้าไปอยู่ในใจของผู้ซื้อชาวจีนในฐานะแบรนด์ที่สอดคล้องกับความรู้สึกชาตินิยมที่กำลังเติบโต โดยเฉพาะการเป็นผู้สนับสนุนทีมโอลิมปิกจีน

นักการตลาดท้องถิ่นกล่าวว่า “Anta สนับสนุนนักกีฬาโอลิมปิกรุ่นใหม่ของจีน ซึ่งเชื่อมโยงกับการแสดงออกถึงความภาคภูมิใจในความเป็นจีนอย่างยิ่งใหญ่และชัดเจน ลองนึกถึงโลโก้ขนาดใหญ่ การผสมผสานสีแดงและเหลือง มันสร้างความรู้สึกร่วม โดยเฉพาะกับผู้บริโภครุ่นใหม่ในปัจจุบัน เพราะพวกเขาไม่ได้ชื่นชมตะวันตกเหมือนคนรุ่นก่อน ไม่ใช่การซื้อของจากตะวันตกแบบไม่ลืมหูลืมตาเพียงเพราะมันมาจากตะวันตก”

Anta ที่เข้ามาสนับสนุนนักกีฬาโอลิมปิกรุ่นใหม่ของจีน (CR:Fibre2Fashion)
Anta ที่เข้ามาสนับสนุนนักกีฬาโอลิมปิกรุ่นใหม่ของจีน (CR:Fibre2Fashion)

แบรนด์อเมริกันเคยทำกำไรมหาศาลจากการตอบสนองรสนิยมผู้บริโภคชาวจีนที่เปลี่ยนไป อย่างเช่น Starbucks ที่มีส่วนสำคัญในการสร้างวัฒนธรรมการดื่มกาแฟใหม่ในประเทศที่เคยมีแต่คนดื่มชา แต่ตอนนี้ความเป็นผู้นำกำลังถูกท้าทาย ณ สิ้นปี 2023 Luckin Coffee แซงหน้า Starbucks กลายเป็นเครือข่ายร้านกาแฟที่ใหญ่ที่สุดในจีนทั้งในแง่ยอดขายและจำนวนสาขา

นักวิเคราะห์ให้เครดิตความสำเร็จของ Luckin กับโมเดลการดำเนินงานที่ต้องการพนักงานน้อยมากในการบริหารสาขา และการตั้งราคากาแฟต่ำกว่า Starbucks อย่างมาก บางครั้งถึง 50% ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดให้ความเห็นว่า “คุณรู้ไหม มีสงครามราคากำลังเกิดขึ้นในหมู่แบรนด์กาแฟ Starbucks พยายามหลีกเลี่ยงสิ่งนี้ พวกเขามุ่งมั่นที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียม พวกเขาโฟกัสกับสิ่งที่ทำได้ดีที่สุด นี่ควรเป็นแนวทางสำหรับแบรนด์อเมริกันหลายๆ แบรนด์ที่รู้สึกถูกคุกคาม เพราะคุณไม่ต้องการให้อัตลักษณ์แบรนด์ของคุณสูญหายไปขณะที่คุณตามกระแส”

ผู้บริหารของ Starbucks ยืนยันว่าพวกเขาจะไม่ลดราคา เนื่องจากบริษัทวางตำแหน่งตัวเองเป็นแบรนด์ระดับสูง แต่ยอดขายของ Starbucks ลดลง 8% ในไตรมาสแรกของปีนี้ ในขณะที่ยอดขายของ Luckin พุ่งขึ้น 41% สิ่งนี้ส่งผลให้บริษัทต้องปรับลดการคาดการณ์สำหรับช่วงที่เหลือของปี การประกาศนี้สร้างความตกใจให้กับตลาด ทำให้ราคาหุ้นของ Starbucks ดิ่งลงในเดือนพฤษภาคม

แม้ว่า Starbucks ยังคงมีแผนที่จะทำให้จีนเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด แต่ตอนนี้กำลังอยู่ในการแข่งขันเพื่อชนะใจผู้บริโภคอย่างดุเดือด

ในปี 2023 Starbucks เปิดร้านใหม่เกือบ 900 แห่งทั่วจีน ทำให้มีจำนวนร้านรวมในประเทศเกือบ 7,000 แห่ง แต่ในปีเดียวกันนั้นเอง Luckin เปิดร้านใหม่มากกว่าจำนวนร้านทั้งหมดของ Starbucks ในประเทศ และตอนนี้มีสาขาเกือบ 19,000 แห่ง

นักวิเคราะห์ท้องถิ่นให้ความเห็นว่า “Luckin กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วในเมืองระดับ 2 ระดับ 3 ซึ่ง Starbucks อาจไม่มีการเติบโตมากนัก พวกเขากำลังสร้างเรื่องราวแบรนด์ของตัวเองในแบบที่สอดคล้องกับชนชั้นกลางรุ่นใหม่”

แบรนด์อเมริกันเคยมีอิสระในการเข้าถึงตลาดจีนมาหลายทศวรรษ แต่ตอนนี้สิ่งนั้นกำลังจะสิ้นสุดลง ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดระหว่างประเทศให้ความเห็นว่า “ผมคิดว่าการพลาดโอกาสในจีนเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ ไม่ใช่แค่ในแง่ของเงิน แต่ในแง่ของการสร้างการรับรู้แบรนด์ในหนึ่งในตลาดผู้บริโภคที่ใหญ่ที่สุดในโลก”

สิ่งที่เคยเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่สำหรับบริษัทอเมริกันอาจย้อนกลับมากัดพวกเขา เมื่อคู่แข่งจากจีนค่อยๆ กัดกร่อนความเป็นผู้นำในตลาดของพวกเขา แต่แน่นอน คำถามที่แท้จริงสำหรับเบอร์เกอร์จีนนี้ไม่ใช่ว่ามันเป็นแบบจีนหรือแบบอเมริกันมากกว่ากัน แต่เป็นเรื่องของรสชาติว่ามันอร่อยหรือไม่

ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในพฤติกรรมผู้บริโภคชาวจีน โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ พวกเขามีความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมและผลิตภัณฑ์ของประเทศตนเองมากขึ้น ไม่ได้มองว่าสินค้าจากตะวันตกเหนือกว่าโดยอัตโนมัติเหมือนในอดีต การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มเท่านั้น แต่ยังแผ่ขยายไปยังหลากหลายภาคส่วน ตั้งแต่แฟชั่นไปจนถึงเทคโนโลยี

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยทางการเมืองและเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงนี้ด้วย ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้รัฐบาลจีนส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศและสนับสนุนแบรนด์ท้องถิ่นมากขึ้น นโยบายเหล่านี้ส่งผลให้ผู้บริโภคชาวจีนหันมาให้ความสนใจกับผลิตภัณฑ์ในประเทศมากขึ้น

ในท้ายที่สุด การเปลี่ยนแปลงนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ในตลาดผู้บริโภคจีน ที่แบรนด์ท้องถิ่นและแบรนด์ต่างชาติต้องแข่งขันกันบนพื้นฐานของคุณภาพ นวัตกรรม และความเข้าใจในวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงแค่ชื่อเสียงหรือภาพลักษณ์ของความเป็นต่างชาติเท่านั้น

สำหรับผู้บริโภคชาวจีน การมีตัวเลือกที่หลากหลายมากขึ้นทั้งจากแบรนด์ในประเทศและต่างประเทศ ย่อมเป็นประโยชน์ในแง่ของการได้รับสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการมากขึ้น ในขณะเดียวกัน การแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นนี้ก็อาจนำไปสู่การพัฒนานวัตกรรมและการปรับปรุงคุณภาพอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลดีต่อผู้บริโภคในระยะยาว

ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเบอร์เกอร์แบบจีนหรือแบบอเมริกัน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือรสชาติและคุณภาพที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค การแข่งขันที่เพิ่มขึ้นนี้อาจเป็นแรงผลักดันให้ทั้งแบรนด์ท้องถิ่นและแบรนด์ต่างชาติต้องพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เพื่อรักษาส่วนแบ่งในตลาดที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วและมีการแข่งขันสูงอย่างตลาดในประเทศจีนนั่นเองครับผม

References :
Why America’s Biggest Brands Are Failing to Keep Up in China : WSJ
https://www.sixthtone.com/news/1013915