Geek Story EP202 : มาเลเซีย 2030! จากเสือตัวที่ 5 แห่งเอเชียสู่เส้นทางมหาอำนาจด้านเทคโนโลยีโลก?

ถ้าถามว่าประเทศใดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีโอกาสที่จะสามารถหลุดกับดัก middle income trap ตามรอยสิงค์โปร์ก้าวไปสู่ประเทศที่รายได้สูงได้สำเร็จ คงไม่ใช่ประเทศเวียดนามที่กำลังกลายเป็นกระแส แต่ผมมองว่าคือประเทศมาเลเซียเสียมากกว่า

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มาเลเซียกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่จากทั่วโลกต่างหลั่งไหลเข้ามาลงทุนในประเทศนี้ ส่งผลให้เกิดความหวังอันยิ่งใหญ่ว่ามาเลเซียจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงในภูมิภาค แต่เส้นทางสู่ความสำเร็จนั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ มาเลเซียยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายมากมายทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/mr3tv8ne

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/6bmn25n6

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/42h8s77x

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
http://bit.ly/2kxHtQ3

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/oK1VaJQZgbA

The Ghost Firewall เมื่อผู้พิทักษ์เสรีภาพกลายร่างเป็นผู้ล่วงละเมิดความเป็นส่วนตัวของคุณ

เราอาจเคยคิดว่าประเทศที่พัฒนาแล้วและยึดมั่นในหลักประชาธิปไตยจะเป็นแหล่งพำนักที่ปลอดภัยและเคารพสิทธิส่วนบุคคลของพลเมือง แต่เรื่องราวที่ถูกเปิดเผยโดย Edward Snowden ในหนังสือ Permanent Record ได้ทำให้เราต้องตั้งคำถามกับความเชื่อนี้อย่างจริงจัง

Snowden ได้เล่าถึงประสบการณ์การทำงานในหน่วยงานข่าวกรองของสหรัฐอเมริกา และเปิดโปงระบบการสอดแนมขนาดใหญ่ที่รัฐบาลสหรัฐฯ ใช้เพื่อติดตามและเก็บข้อมูลของประชาชนทั้งในและนอกประเทศ ซึ่งนับเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลอย่างร้ายแรง

ความน่าตกใจของเรื่องนี้อยู่ที่การดำเนินการอย่างลับ ๆ โดยที่ประชาชนแทบไม่รู้ตัว ต่างจากกรณีของจีนที่มี “The Great Firewall” ซึ่งเป็นที่รู้กันทั่วไปว่ารัฐบาลควบคุมการเข้าถึงข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต แต่สำหรับสหรัฐฯ แล้ว ระบบที่ Snowden เรียกว่า “The Ghost Firewall” นั้นแทบไม่มีใครล่วงรู้ ทั้งที่มันละเมิดรัฐธรรมนูญของประเทศอย่างชัดเจน

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการข่าวกรองของสหรัฐฯ ที่ Snowden ได้มีส่วนร่วมนั้น คือการเปลี่ยนจากการสอดแนมเป้าหมายเฉพาะบุคคล มาเป็นการเก็บข้อมูลของประชากรทั้งประเทศ และขยายไปสู่การรวบรวมข้อมูลการสื่อสารทางดิจิทัลทั่วโลก โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงหลังเหตุการณ์ 9/11

ระบบการเฝ้าระวังนี้ถูกสร้างขึ้นโดยไม่ได้รับความยินยอมจากประชาชน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเสื่อมถอยของระบอบประชาธิปไตยที่กำลังคล้ายคลึงกับระบอบเผด็จการมากขึ้นทุกที

นี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้สหรัฐฯ มีท่าทีระแวงสงสัยต่อเทคโนโลยีจากประเทศอื่น โดยเฉพาะจากจีน อย่างกรณีของ Huawei หรือแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียจากจีน เพราะพวกเขาอาจคาดเดาได้ว่าประเทศอื่นก็อาจใช้วิธีการเดียวกันกับที่พวกเขาทำอยู่

โครงการ PRISM ที่ Snowden เปิดเผยนั้น เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการสอดแนมขนาดใหญ่ โดยสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ (NSA) ได้ร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่หลายแห่ง เช่น Microsoft, Yahoo, Google, Facebook, Skype และ YouTube ในการเก็บข้อมูลผู้ใช้อินเทอร์เน็ตนับล้าน ๆ คน

แม้ว่าบริษัทเหล่านี้จะปฏิเสธการมีส่วนร่วมในโครงการดังกล่าว แต่หลักฐานที่ Snowden นำเสนอก็ทำให้เห็นภาพที่ชัดเจนว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ได้ละเมิดความเป็นส่วนตัวของประชาชนอย่างกว้างขวาง

การสอดแนมนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประชาชนชาวอเมริกันเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้ใช้งานแพลตฟอร์มเหล่านี้ทั่วโลก ซึ่งหมายความว่าแม้แต่คนที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ ก็อาจตกเป็นเป้าหมายของการสอดแนมได้เช่นกัน

นอกจากประเด็นด้านความมั่นคงแล้ว การสอดแนมในลักษณะนี้ยังอาจนำไปสู่ความได้เปรียบทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล การเข้าถึงข้อมูลภายในของบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลก รวมถึงพฤติกรรมการใช้งานโซเชียลมีเดียและอีคอมเมิร์ซ สามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันระดับโลกให้กับประเทศที่ควบคุมข้อมูลเหล่านี้ได้

การเปิดเผยของ Snowden อาจถือเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่แห่งการตระหนักรู้เกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวในโลกดิจิทัล และอาจนำไปสู่การเรียกร้องให้มีการปฏิรูปกฎหมายและนโยบายเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในระดับโลก

ในขณะที่เราก้าวเข้าสู่ยุคที่ข้อมูลกลายเป็นทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุด เราจำเป็นต้องตั้งคำถามว่าเราต้องการให้สังคมของเราเป็นอย่างไร เราจะสามารถรักษาสมดุลระหว่างความมั่นคงของชาติและสิทธิส่วนบุคคลได้อย่างไร และเราจะสร้างระบบที่โปร่งใสและตรวจสอบได้เพื่อป้องกันการใช้อำนาจในทางที่ผิดได้อย่างไร

การเปิดเผยของ Snowden ไม่เพียงแต่ทำให้เราต้องทบทวนความเชื่อมั่นในระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย แต่ยังท้าทายให้เราต้องคิดใหม่เกี่ยวกับความหมายของเสรีภาพและความเป็นส่วนตัวในยุคดิจิทัล เราต้องตระหนักว่าเทคโนโลยีเป็นดาบสองคม ในขณะที่มันมอบความสะดวกสบายและโอกาสมากมาย มันก็สามารถกลายเป็นเครื่องมือในการควบคุมและจำกัดเสรีภาพได้เช่นกัน

ในอนาคต เราอาจต้องพิจารณาการสร้างระบบอินเทอร์เน็ตรูปแบบใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวมากขึ้น อาจมีการพัฒนาเทคโนโลยีเข้ารหัสที่แข็งแกร่งขึ้น หรือสร้างเครือข่ายการสื่อสารที่กระจายศูนย์มากขึ้นเพื่อลดการควบคุมจากศูนย์กลาง

ในฐานะพลเมืองยุคดิจิทัล เราทุกคนมีหน้าที่ในการเรียนรู้และทำความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิความเป็นส่วนตัวของเรา รวมถึงวิธีการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล เราควรสนับสนุนนโยบายและกฎหมายที่ส่งเสริมความโปร่งใสและความรับผิดชอบในการใช้ข้อมูล และต้องไม่ลืมว่าการแลกเปลี่ยนข้อมูลส่วนตัวเพื่อความสะดวกสบายนั้นอาจมีราคาที่ต้องจ่ายในระยะยาว

เรื่องราวของ Snowden เป็นบทเรียนสำคัญที่เตือนใจเราว่า ประชาธิปไตยและเสรีภาพไม่ใช่สิ่งที่ได้มาโดยง่ายและไม่ใช่สิ่งที่จะคงอยู่ตลอดไปโดยไม่ต้องปกป้องรักษา เราต้องตื่นตัวและพร้อมที่จะปกป้องสิทธิของเราอยู่เสมอ แม้ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าและซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ นั่นเองครับผม
References Image : 
https://www.theguardian.com/us-news/ng-interactive/2019/sep/13/edward-snowden-interview-whistleblowing-russia-ai-permanent-record

หยุดอ่านแบบเดิมๆ ซะที! วิธีใหม่ที่จะทำให้คุณอ่านหนังสือแล้วฉลาดขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว

ในยุคปัจจุบันที่ข้อมูลข่าวสารท่วมท้น การอ่านอย่างมีประสิทธิภาพกลายเป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยให้เราก้าวทันโลกและพัฒนาตนเองได้อย่างต่อเนื่อง แต่หลายคนมักประสบปัญหาในการอ่านและจดจำเนื้อหาที่อ่าน บางครั้งเราอ่านจบแล้วกลับจำไม่ได้ว่าเพิ่งอ่านอะไรไป ซึ่งนั่นหมายความว่าเรากำลังสูญเสียทรัพยากรที่มีค่าที่สุดคือเวลาของเราเอง

เป็นข้อมูลที่น่าสนใจจาก Jim Kwik ผู้ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญที่สอนและโค้ชเกี่ยวกับเรื่องการพัฒนาการใช้สมอง (Brain Coach) ผู้แต่งหนังสือชื่อดังอย่าง Limitless : Upgrade your brain, learn anything faster, and unlock your exceptional life

ต้องบอกว่าการพัฒนาทักษะการอ่านให้มีประสิทธิภาพเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก และวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้เราได้ประโยชน์สูงสุดจากการอ่านคือการตั้งคำถามกับตัวเองขณะอ่าน โดยมีคำถามสำคัญ 3 ข้อที่ควรถามตัวเองเสมอ:

  1. เราจะใช้สิ่งนี้อย่างไร? (How can I use this?)
    คำถามนี้จะช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์และทำให้เราคิดถึงการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง แทนที่จะเป็นเพียงข้อมูลที่เก็บไว้เฉยๆ การคิดถึงวิธีการใช้ความรู้จะทำให้เรามีแนวโน้มที่จะจดจำและเข้าใจเนื้อหานั้นได้ดีขึ้น
  2. ทำไมเราต้องใช้สิ่งนี้? (Why must I use this?)
    คำถามนี้จะช่วยให้เราเห็นความสำคัญและคุณค่าของสิ่งที่เรากำลังอ่าน ซึ่งจะเป็นแรงจูงใจให้เราอยากนำไปใช้จริง เพราะความรู้จะไม่มีประโยชน์เลยถ้าเราไม่นำไปปฏิบัติ การเข้าใจเหตุผลว่าทำไมเราต้องใช้ความรู้นี้จะช่วยผลักดันให้เราลงมือทำ
  3. ใครบ้างที่เชื่อมั่นในตัวเราในวันนี้? (Who’s counting on me to win today?)
    คำถามนี้จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจ โดยให้เราคิดถึงคนที่เรารักหรือคนที่กำลังพึ่งพาเรา ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันอีกทางหนึ่งให้เราพยายามเรียนรู้และพัฒนาตัวเอง

การใช้คำถามเหล่านี้ขณะอ่านจะช่วยเปลี่ยนการอ่านจากกิจกรรมที่อาจดูน่าเบื่อให้กลายเป็นการฝึกฝนที่มีพลังและมีความหมาย นอกจากนี้ยังมีหลักการสำคัญอื่นๆ ที่จะช่วยพัฒนาการอ่านของเราให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น:

  1. หลักการ “หัว หัวใจ มือ” (Head, Heart, Hands)
    การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพต้องอาศัยทั้งสามส่วนนี้ทำงานร่วมกัน:
  • หัว (Head): คือความรู้และความเข้าใจในเชิงทฤษฎี
  • หัวใจ (Heart): คืออารมณ์และแรงบันดาลใจที่ทำให้เราอยากเรียนรู้
  • มือ (Hands): คือการลงมือปฏิบัติจริง

เมื่อทั้งสามส่วนนี้ทำงานประสานกัน จะเกิดการเรียนรู้ที่ลึกซึ้งและยั่งยืน

  1. หลักการ 3I: Information, Inspiration, Implementation
  • Information (ข้อมูล): คือความรู้ที่เราได้รับ
  • Inspiration (แรงบันดาลใจ): คือพลังที่ทำให้เราอยากนำความรู้ไปใช้
  • Implementation (การนำไปปฏิบัติ): คือการลงมือทำจริง

เมื่อรวมทั้ง 3I เข้าด้วยกัน จะเกิดเป็น Integration (การบูรณาการ) ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของการเรียนรู้ คือการที่ความรู้นั้นกลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวเรา ทั้งในความคิด จิตใจ และการกระทำ

  1. Confidence-Competence Loop
    ยิ่งเรามีความมั่นใจในการทำสิ่งใด เราก็จะยิ่งทำสิ่งนั้นบ่อยขึ้น ซึ่งจะทำให้เราเก่งขึ้น และความเก่งนั้นก็จะยิ่งเพิ่มความมั่นใจให้เรา เป็นวงจรที่เสริมพลังกันไปเรื่อยๆ ดังนั้น การเริ่มต้นด้วยความมั่นใจ แม้จะเป็นเพียงเล็กน้อย ก็สามารถนำไปสู่การพัฒนาทักษะได้อย่างมาก
  2. “Genius leaves clues” (อัจฉริยะทิ้งร่องรอยไว้เสมอ)
    เบื้องหลังความสำเร็จหรือความเก่งกาจในด้านต่างๆ มักมีวิธีการหรือระบบที่สามารถเรียนรู้และทำตามได้ การสังเกตและวิเคราะห์วิธีการของคนที่ประสบความสำเร็จจึงเป็นวิธีหนึ่งในการพัฒนาตัวเองได้อย่างรวดเร็ว
  3. “Reasons reap results” (เหตุนำมาซึ่งผลลัพธ์)
    การมีเหตุผลที่ชัดเจนในการทำสิ่งใด จะช่วยผลักดันให้เราทำสิ่งนั้นได้สำเร็จ ดังนั้น การเริ่มต้นด้วยการถามว่า “ทำไม (Why)” หรือเหตุผลที่แท้จริงในการทำสิ่งต่างๆ จึงเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ

การอ่านเป็นทักษะที่สามารถฝึกฝนและพัฒนาได้ เช่นเดียวกับการออกกำลังกาย ยิ่งเราอ่านมากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งเก่งขึ้นเท่านั้น และเมื่อเราเก่งขึ้น เราก็จะยิ่งมีความสุขและสนุกกับการอ่านมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เราอยากอ่านมากขึ้นไปอีก เป็นวงจรแห่งการพัฒนาที่ไม่มีที่สิ้นสุด

นอกจากนี้ การอ่านยังเป็นการออกกำลังกายที่ดีที่สุดสำหรับสมอง ช่วยรักษาความอ่อนเยาว์และพลังงานของสมองเมื่อเราแก่ตัวลง ดังนั้น การสร้างนิสัยรักการอ่านจึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับอนาคตของเราเอง

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือการนำความรู้ที่ได้จากการอ่านไปปฏิบัติจริง เพราะความรู้จะไม่มีประโยชน์เลยถ้าเราไม่นำไปใช้ การอ่านเพียงอย่างเดียวไม่ได้ทำให้เราฉลาดขึ้น แต่การนำสิ่งที่อ่านไปคิดต่อ วิเคราะห์ และลงมือทำต่างหากที่จะทำให้เราพัฒนาขึ้นอย่างแท้จริง

ดังนั้น ในครั้งต่อไปที่คุณได้อ่านหนังสือ บทความ หรือแม้แต่โพสต์ในโซเชียลมีเดีย ลองถามตัวเองด้วยคำถามทั้งสามข้อนี้:

  1. เราจะใช้สิ่งนี้อย่างไร?
  2. ทำไมเราต้องใช้สิ่งนี้?
  3. ใครบ้างที่เชื่อมั่นในตัวเราในวันนี้?

คำถามเหล่านี้จะช่วยให้เราได้ประโยชน์สูงสุดจากทุกสิ่งที่อ่าน และจะเปลี่ยนการอ่านของเราจากการรับข้อมูลเพียงอย่างเดียว เป็นการเรียนรู้ที่มีพลังและสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราได้อย่างแท้จริง

เริ่มต้นวันนี้ ตั้งเป้าหมายการอ่านของคุณ และลองใช้เทคนิคเหล่านี้เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านของคุณให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น คุณจะพบว่าโลกของความรู้และโอกาสใหม่ๆ กำลังเปิดกว้างรอคุณอยู่ และการอ่านจะกลายเป็นกิจกรรมที่สนุก ท้าทาย และให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าในระยะยาว ทั้งต่อตัวคุณเองและคนรอบข้างที่คุณรัก

References :
How To Double Your Learning Speed | Jim Kwik
https://youtu.be/63oskxSNo_s