จาก AlphaGo ถึง AlphaFold: เส้นทาง AI ที่กำลังเขียนประวัติศาสตร์ใหม่ให้กับมวลมนุษยชาติ

ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว ชื่อของ Demis Hassabis ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Google Deepmind ถือเป็นหนึ่งในเทพแห่งวงการที่ออกมาพูดอะไรแล้วสร้าง Impact ต่อวงการนี้มาโดยตลอด

ในงาน Future of Britain Conference 2024 Tony Blair อดีตนายกรัฐมนตรีของสหราชอาณาจักร ได้พูดคุยกับ Demis Hassabis เกี่ยวกับวิธีที่ AI เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้เกิดยุคใหม่ของเทคโนโลยี เพื่อทำความเข้าใจถึงความก้าวหน้า ผลกระทบ และอนาคตของ AI ที่จะเปลี่ยนแปลงโลกของเรา

จุดเริ่มต้นของการปฏิวัติ AI

Demis เล่าย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นของ DeepMind เมื่อเกือบ 15 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนที่ AI จะกลายเป็นกระแสหลักอย่างทุกวันนี้ “เราเห็นแนวโน้มทั้งในด้านการคำนวณและอัลกอริทึม เช่น deep learning และ reinforcement learning ซึ่งเป็น AI รูปแบบใหม่ที่แตกต่างจากระบบ AI แบบดั้งเดิมในยุค 80 และ 90 ตรงที่มันเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง เรียนรู้โดยตรงจากข้อมูล จากหลักการพื้นฐาน จากประสบการณ์ และสามารถทำสิ่งที่น่าประทับใจได้”

Demis และทีมได้นำแนวคิดนี้มาผสานกับความรู้ด้านประสาทวิทยาเกี่ยวกับการทำงานของสมอง เช่น ระบบความจำ และรวมทั้งหมดนี้เข้าด้วยกันในช่วงปี 2009-2010 พวกเขาเชื่อว่าหากนำสิ่งเหล่านี้มารวมกับนักคิดและวิศวกรที่เก่งที่สุดในวงการ จะสามารถสร้างความก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว “เราจึงมองว่า DeepMind เป็นเหมือนโครงการ Apollo สำหรับ AI” Demis กล่าว

และดูเหมือนว่าการเดิมพันของพวกเขาจะถูกต้อง แม้กระทั่งในปัจจุบัน การพัฒนาของ AI ก็ยังคงเป็นไปอย่างน่าทึ่งและรวดเร็วกว่าที่หลายคนคาดการณ์ไว้

AI กับการเปลี่ยนแปลงโลก

เมื่อถูกถามถึงขนาดของผลกระทบที่ AI จะมีต่อโลก Demis ไม่ลังเลที่จะตอบว่า “ถ้าเราสามารถจำลองสติปัญญาและทำให้มันเป็นเครื่องมือที่มีอยู่อย่างมากมาย มันจะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งอย่างไม่น่าเชื่อ แทบจะไม่มีอะไรที่คุณใช้มันทำไม่ได้”

เขามองว่า AI ทั่วไประดับเดียวกับมนุษย์ หรือที่เรียกว่า artificial general intelligence (AGI) จะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ “มันจะยิ่งใหญ่อย่างน้อยเท่ากับการปฏิวัติอุตสาหกรรม อาจจะใหญ่กว่าการคิดค้นไฟฟ้าหรือแม้แต่การค้นพบไฟ ผมคิดว่ามันมีศักยภาพที่จะเป็นหนึ่งในสิ่งประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่มนุษยชาติจะสร้างขึ้น”

Demis มองว่า AI จะมีบทบาทสำคัญในทุกภาคส่วนของสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการเพิ่มประสิทธิภาพในชีวิตประจำวัน “ผมตื่นเต้นมากกับการใช้ AI สำหรับงานที่เพิ่มประสิทธิภาพในชีวิตประจำวัน เช่น ผู้ช่วยดิจิทัลที่น่าทึ่ง การปรับเปลี่ยนขั้นตอนการทำงานใหม่ ผมคิดว่าในอีก 5-10 ปีข้างหน้า เราจะเห็นการเพิ่มประสิทธิภาพที่น่าทึ่งทั้งในด้านส่วนตัวและในสภาพแวดล้อมการทำงาน”

นอกจากนี้ Demis ยังให้ความสำคัญกับการใช้ AI เพื่อเร่งการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ “สิ่งที่ผมหลงใหลมากที่สุดและต้องการสร้าง AI มาโดยตลอดคือการเร่งการค้นพบทางวิทยาศาสตร์” เขายกตัวอย่างโปรแกรม AlphaFold ของ DeepMind ที่สามารถแก้ปัญหาการพับตัวของโปรตีน ซึ่งเป็นความท้าทายที่นักวิทยาศาสตร์พยายามแก้มานานกว่า 50 ปี

“ผมคิดว่านั่นเป็นเพียงตัวอย่างเดียวของสิ่งที่เราจะเห็นในทศวรรษหน้า จะมีการค้นพบทางวิทยาศาสตร์มากมายในด้านต่างๆ เช่น พลังงาน วัสดุศาสตร์ คณิตศาสตร์ การพยากรณ์อากาศ สภาพภูมิอากาศ และการดูแลสุขภาพ ซึ่ง AI จะมีบทบาทสำคัญ” Demis กล่าว

AlphaFold ของ DeepMind ที่สามารถแก้ปัญหาการพับตัวของโปรตีน (CR:Youtube Google Deepmind)
AlphaFold ของ DeepMind ที่สามารถแก้ปัญหาการพับตัวของโปรตีน (CR:Youtube Google Deepmind)

เมื่อพูดถึงการประยุกต์ใช้ AI ในวงการสาธารณสุข Demis มองว่ามันจะสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ “อย่างแรกเลย มันควรจะปฏิวัติการค้นพบและพัฒนายา คุณจะสามารถหาวิธีรักษาและการรักษาที่ดีกว่าได้ในอัตราที่เร็วขึ้นมาก”

นอกจากนี้ เขายังมองว่า AI จะช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ในระบบสาธารณสุข ซึ่งจะนำไปสู่การกำหนดนโยบายที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการสร้างผู้ช่วยดิจิทัลสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ที่สามารถเข้าถึงความรู้ทางการแพทย์ทั้งหมดได้อย่างรวดเร็ว

Demis ยังมองไปถึงการแพทย์แบบเฉพาะบุคคล (personalized medicine) ที่จะสามารถออกแบบยาหรือการรักษาให้เหมาะกับเมแทบอลิซึมของแต่ละคนโดยเฉพาะ ลดผลข้างเคียง และการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันที่สามารถทำนายและป้องกันโรคได้ก่อนที่จะเกิดขึ้น

ความแตกต่างระหว่าง AI, Generative AI และ AGI

Demis อธิบายความแตกต่างระหว่างปัญญาประดิษฐ์ (AI) , ปัญญาประดิษฐ์แบบสร้างสรรค์ (Generative AI) และปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (artificial general intelligence หรือ AGI) ดังนี้

“ปัญญาประดิษฐ์แบบสร้างสรรค์ (generative AI) คือประเภทของ AI ที่เรากำลังเห็นในตอนนี้ ที่สร้างภาษา บทสนทนา หรือสิ่งต่างๆ เช่น ภาพ มันเป็นประเภทเฉพาะของ AI”

“ส่วน AI เองเป็นคำทั่วไปสำหรับทั้งสาขา และปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (artificial general intelligence) เป็นแนวคิดของการไปถึงสติปัญญาทั่วไประดับมนุษย์ ซึ่งนั่นสำคัญมาก เพราะคุณรู้ไหม จิตใจของเรานั้นเป็นแบบนี้นี่แหละ เราสามารถทำงานแทบทุกอย่างได้ จิตใจมนุษย์นั้นน่าทึ่งมาก และนั่นคือสิ่งที่เรากำลังมุ่งหวังในระบบปัญญาประดิษฐ์ของเรา”

อย่างไรก็ตาม Demis ยอมรับว่าในปัจจุบัน เรายังห่างไกลจากการสร้าง AGI ที่มีความสามารถเทียบเท่ามนุษย์ในทุกด้าน “ตอนนี้เรายังไม่ถึงระดับสติปัญญาของแมวด้วยซ้ำในฐานะระบบทั่วไป ดังนั้นเรายังมีทางเดินอีกยาวไกลที่จะไปถึง ผมคิดว่ายังต้องมีการค้นพบครั้งใหญ่อีกมากที่จำเป็นในการก้าวไปถึงจุดนั้น”

บทบาทของสหราชอาณาจักรในการพัฒนา AI

Demis แสดงความเชื่อมั่นในศักยภาพของสหราชอาณาจักรในการเป็นผู้นำด้าน AI ระดับโลก “ผมหลงใหลสหราชอาณาจักรและตำแหน่งของสหราชอาณาจักรในเรื่องนี้มาก ผมคิดว่าเรามีจุดแข็งหลายอย่างที่นี่ จุดแข็งระดับชาติ มหาวิทยาลัยที่ยอดเยี่ยมของเราที่ผลิตคนที่มีความสามารถที่น่าทึ่ง นั่นเป็นหนึ่งในเหตุผลที่เราตั้งฐานอยู่ที่นี่”

เขายังกล่าวถึงมรดกอันยาวนานด้าน AI ของสหราชอาณาจักร ตั้งแต่ยุคของ Alan Turing ไปจนถึง Charles Babbage “เรามีมรดกอันยาวนานใน AI ผ่านทาง Alan Turing และย้อนกลับไปไกลกว่านั้นถึงการคำนวณในยุคของ Charles Babbage ดังนั้นไม่มีเหตุผลว่าทำไมสหราชอาณาจักรไม่ควรอยู่แนวหน้าของเรื่องนี้”

Alan Turing ผู้ที่คิดค้นสิ่งที่เป็นต้นแบบของ AI มาตั้งแต่ยุคแรก ๆ (CR:Pivotal)
Alan Turing ผู้ที่คิดค้นสิ่งที่เป็นต้นแบบของ AI มาตั้งแต่ยุคแรก ๆ (CR:Pivotal)

Demis มองว่าสหราชอาณาจักรมีบทบาทสำคัญที่จะเล่นบนเวทีโลกในด้าน AI โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเป็นตัวกลางระหว่างมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาและจีน “ผมคิดว่าสหราชอาณาจักรสามารถเป็นหนึ่งในผู้นำในด้านเทคโนโลยี และเดินทางสายกลางไปพร้อมกับประเทศอื่นๆ เช่น ประเทศในสหภาพยุโรป ฝรั่งเศส แคนาดา อินเดีย และอื่นๆ”

เขายังเน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่างประเทศในการพัฒนาและกำกับดูแล AI “ผมคิดว่าเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องมีการพูดคุยกันในระดับนานาชาติ ต้องสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศทั้งในด้านโอกาสและความเสี่ยงบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับ AI”

Demis เน้นย้ำว่าเป็นเรื่องสำคัญที่รัฐบาลต้องเข้าใจถึงขนาดของการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นจาก AI และเตรียมพร้อมรับมือ “AI สามารถเปลี่ยนแปลงบริการสาธารณะ เศรษฐกิจ แม้กระทั่งเรื่องจุดยืนของเราในโลกด้วย”

เขาแนะนำว่ารัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับ AI แม้ว่าจะมีภารกิจมากมายที่ต้องดูแล “แค่แบ่งพื้นที่บางส่วนไว้สำหรับการคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะมันเป็นการปฏิวัติ และมันจะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง”

นอกจากนี้ Demis ยังเสนอแนะให้รัฐบาลพิจารณาการนำ AI มาใช้ในการปรับปรุงบริการสาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านสาธารณสุข “เราควรจะสามารถนำข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่ในระบบการดูแลสุขภาพมาใช้ในการวิเคราะห์สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในระบบการดูแลสุขภาพของเรา ซึ่งจะช่วยในการกำหนดนโยบาย”

แม้ว่า AI จะมีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แต่ Demis เชื่อว่ายังต้องมีการค้นพบครั้งใหญ่อีกหลายอย่างก่อนที่เราจะสามารถสร้าง AGI ที่มีความสามารถเทียบเท่ามนุษย์ได้ “ผมคิดว่าเราจะต้องการทั้งการขยายระบบที่มีอยู่และการค้นพบครั้งใหญ่ใหม่ๆ อีกมาก”

อย่างไรก็ตาม เขามองว่าในอนาคตอันใกล้ เราจะเห็นการพัฒนาของ “Universal Assistants ที่จะเป็น AI ที่สามารถช่วยเหลือมนุษย์ได้ในหลากหลายด้านของชีวิต” ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า เราจะเริ่มเห็นสิ่งที่เราเรียกว่า “Universal Assistants” ที่จะติดตามคุณไปบนอุปกรณ์ต่างๆ และช่วยเหลือในชีวิตประจำวันอย่างราบรื่น ทั้งในการทำงานและในชีวิตส่วนตัว”

บทสรุป

การสัมภาษณ์ Demis Hassabis ให้มุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับอนาคตของ AI และผลกระทบที่จะมีต่อโลก เขาเน้นย้ำถึงศักยภาพอันมหาศาลของ AI ในการเปลี่ยนแปลงทุกภาคส่วนของสังคม ตั้งแต่การทำงานในชีวิตประจำวันไปจนถึงการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ที่สำคัญ

ในขณะเดียวกัน Demis ก็เตือนให้เราตระหนักว่าการพัฒนา AI ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และยังต้องมีการค้นพบและนวัตกรรมอีกมากก่อนที่เราจะสามารถสร้าง AGI ที่มีความสามารถเทียบเท่ามนุษย์ได้

สำหรับประเทศไทยและประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ บทสัมภาษณ์นี้เป็นการเตือนให้เราตระหนักถึงความสำคัญของการเตรียมความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่กำลังจะมาถึง ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในการศึกษาและการวิจัยด้าน AI การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล หรือการปรับปรุงนโยบายและกฎหมายให้รองรับเทคโนโลยีใหม่ๆ

ซึ่งในท้ายที่สุด การพัฒนา AI อย่างมีความรับผิดชอบและการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเหล่านี้อย่างชาญฉลาดจะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างอนาคตที่ดีกว่าสำหรับทุกคนได้นั่นเองครับผม

References :
บทสัมภาษณ์ : Tony Blair and Demis Hassabis Discuss the Opportunities of AI
https://youtu.be/4ZDrxsJkRbQ?si=wwOzXNgXfEpuN87x
https://www.deepmind.com/
https://www.nature.com/articles/d41586-020-03348-4

“Food Factors – Aqua – Beer ใบหยก” รวมธุรกิจอาหาร เชื่อมธุรกิจอาหารคุณภาพ ผนึกกำลัง เติมเต็มไอเดียใหม่ๆ เชื่อมั่นตอบโจทย์ลูกค้า

3 บริษัทฯ ธุรกิจร้านอาหาร รวมตัว เปิดบริษัท เอฟเอบี ฟู้ดโฮดิ้ง จำกัด หรือ “FAB” ซึ่งมาจากอักษรตัวแรกของทั้ง 3 บริษัทฯ ได้แก่ FOOD FACTORS บริษัท ฟู้ด แฟคเตอร์ จำกัด, AQUA บริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ BEER ใบหยก โดยแต่งตั้ง คุณปิยะเลิศ – เบียร์ ใบหยก นั่งตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) เติมสีสัน สร้างไอเดีย ขับเคลื่อนธุรกิจร้านอาหาร

ที่ปัจจุบันประกอบด้วยร้านราเมงเดส, ร้านซานตาเฟ่, ร้านซานตาเฟ่ อีซี่, ร้านเหม็ง แซ็ปนัว, ร้านส้มตำเจ๊แดง สามย่าน, ร้านเซไค โนะ ยามะจัง, ร้านอุชิดายะ ราเมน และร้านอิคโคฉะ ราเมน มั่นใจธุรกิจร้านอาหารยังมีแนวโน้มเติบโตได้อีกมาก สอดรับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคชื่นชอบการรับประทานอาหารนอกบ้านในร้านอาหารที่มีความหลากหลาย

นายฉาย บุนนาค รักษาการประธานกรรมการบริหาร บริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AQUA กล่าวว่า การเปิดตัว “FAB” ว่า “FAB ได้รวม 8 แบรนด์อาหารดัง ได้แก่ Santa Fe, Santa Fe Easy, เหม็ง แซ็ปนัว, Sekai no Yamachan, ส้มตำเจ๊แดง สามย่าน, ราเมงเดส, อิคโคฉะ ราเมน และอุชิดายะ ราเมน มาไว้ภายใต้ร่มคันเดียวกัน ด้วยทั้ง 3 พาร์ทเนอร์ต่างมีเป้าหมายเดียวกันและมีความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจอาหารเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

เรามองว่าการทำ Synergy ร่วมกันในครั้งนี้จะผลักดันให้กลุ่ม AQUA ในฐานะ Investment Company สามารถสร้างแหล่งรายได้จากประเภทธุรกิจอาหารได้มากขึ้น และเรามั่นใจด้วยว่าการได้ร่วมงานกับทีมที่มีประสบการณ์ รวมถึงได้รับเกียรติจากคุณเบียร์ ปิยะเลิศใบหยก หรือ เบียร์-ใบหยก มานำทัพเป็น CEO ของ FAB เอง จะทำให้ FAB เป็นส่วนผสมที่ลงตัว ถ้าเทียบกับอาหารจานหนึ่งแล้ว ผมคอนเฟิร์มว่าจะต้องเป็นเมนูที่อร่อย จัดจ้าน ทานได้ไม่เบื่อ และได้การการันตีรางวัลจากนักทานอย่างแน่นอน”

ทั้งนี้ จุดแข็งของอควา คอร์เปอเรชั่น เป็นบริษัทบริหารการลงทุนที่มีความหลากหลาย ทั้งธุรกิจนวัตกรรมด้านการเงิน(Fintech) ธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ ฯลฯ รวมทั้งธุรกิจจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มมีแบรนด์ดังอย่างร้านราเมงเดส 

นายภูริต ภิรมย์ภักดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด กล่าวว่า แนวทางการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบุญรอดฯ ตลอดระยะเวลากว่า 90 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในด้านธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม คือ “คุณภาพ” ต้องดีที่สุดเท่านั้น เพื่อส่งมอบสินค้าคุณภาพให้แก่ผู้บริโภค

บริษัทฯมองเห็นโอกาสในการพัฒนายกระดับสินค้าและบริการในกลุ่มร้านอาหาร ภายใต้บริษัท ฟู้ด แฟคเตอร์ จำกัด ให้ดียิ่งกว่าเดิม จึงร่วมมือกับบริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และคุณปิยะเลิศ ใบหยก หรือเบียร์ ใบหยก ซึ่งเป็นทั้งรองประธานกลุ่มใบหยก และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท บีเอ็นเอฟ โฮดิ้ง จำกัด

โดยจะนำความถนัดและจุดแข็งของแต่ละฝ่ายมาผนึกกำลังกัน เพื่อส่งมอบสินค้าและบริการ รวมถึงประสบการณ์ที่ดี ให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์สูงสุด นั่นเป็นที่มาของความร่วมมือในครั้งนี้

ส่วนคุณปิยะเลิศ ใบหยก นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงที่เป็นที่รู้จักและที่ประสบความสำเร็จจากการสร้าง แบรนด์ร้านอาหาร รวมทั้งการสานต่อธุรกิจของครอบครัว ก็เป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจ Hospitality และบริษัท บีเอ็นเอฟ โฮลดิ้ง มีธุรกิจร้านอาหารแบรนด์ ส้มตำเจ๊แดง สามย่าน และร้านปีกไก่ทอดอันดับ 1 จากเมืองนาโกย่า เซไค โนะ ยามะจัง(Sekai no Yamachan), ร้านอุชิดายะ ราเมน และร้านอิคโคฉะราเมน

นายปิยะเลิศ ใบหยก ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท เอฟเอบี ฟู้ดโฮดิ้ง จำกัด กล่าวว่า “กลุ่มเป้าหมายหลักของ FAB จะเน้นที่กลุ่ม Young generation ซึ่งถือเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีอิทธิพลมากที่สุดในตลาดปัจจุบัน  เพราะมีการตัดสินใจที่เฉียบขาด กล้าที่จะใช้จ่ายกับสินค้าและการบริการที่คิดว่าตอบโจทย์ความต้องการของตัวเอง และในขณะเดียวกันก็คงรักษาฐานลูกค้าเก่าไว้ด้วย เราพยายามหาจุดเด่นของตัวเอง เพื่อเจาะเข้าถึงตัวลูกค้าได้และต้องเป็นผู้นำทุกเทรนด์ ที่สำคัญคือความจริงใจต้องมาก่อน เราจึงจะสามารถครองใจผู้บริโภคได้”

ทั้งนี้นายชัยพิพัฒน์ แก้วไตรรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AQUA  กล่าวปิดท้ายว่า “AQUA เข้าสู่วงการอาหาร โดยเริ่มจากธุรกิจราเมง ซึ่งคือ “Ramen Desu” (ราเมงเดส) ที่เรามีอยู่เดิม ซึ่งปัจจุบันเรามีอยู่ 5 สาขา และเรามองว่า ธุรกิจอาหารเป็นธุรกิจที่มั่นคง เติบโตตามการบริโภคอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากอาหารเป็นปัจจัยหลักในการดำรงชีวิต และมีความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจต่ำกว่า

เมื่อเทียบกับธุรกิจอื่นๆ แบรนด์ร้านอาหารที่ลงทุนครั้งนี้ เป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียง ได้รับการปลุกปั้นมาอย่างดีจากทั้ง 2 พันธมิตรอีกทั้งทุกแบรนด์ยังเป็นที่รู้จัก เปิดมายาวนานซึ่งจะสามารถส่งเสริมในแต่ละส่วนของกันและกันได้ และจะสามารถนำสิ่งที่ดีให้แก่ผู้บริโภคได้”

นายวรภัทร ชวนะนิกุล Chief Financial Officer บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด และกรรมการ บริษัท ฟู้ด แฟคเตอร์ จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันฟู้ด แฟคเตอร์ มีร้านอาหาร 3 แบรนด์หลัก ที่ให้บริการมายาวนานจนได้รับความนิยมจากผู้บริโภค ได้แก่ ซานตาเฟ่, ซานตาเฟ่ อีซี่ และเหม็ง แซ็ปนัว

ซึ่งแต่ละแบรนด์มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเฉพาะ โดยมีความเชี่ยวชาญอาหารตะวันตกอย่างสเต๊กและอาหารอีสานซึ่งมีตลาดที่ชัดเจนอยู่แล้ว การรวมกันในครั้งนี้จะช่วยต่อยอดการพัฒนาให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุมมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม โดยยังคงรักษาหัวใจสำคัญในด้านคุณภาพของวัตถุดิบ และรสชาติความอร่อยที่เป็น

เอกลักษณ์สำหรับการร่วมทุนครั้งนี้ มีการจัดตั้งบริษัทใหม่ ภายใต้ บริษัท เอฟเอบี ฟู้ดโฮดิ้ง จำกัด (FAB) และมีการรวมแบรนด์ร้านอาหารทั้งสิ้น 8 แบรนด์ จำนวน 204 สาขา แบ่งเป็นบริษัท ฟู้ด แฟคเตอร์ จำกัด3 แบรนด์ คือ ร้านซานตาเฟ่, ร้านซานตาเฟ่ อีซี่ และร้านเหม็ง แซ็ปนัว รวม 142 สาขา ในส่วนของบริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) 1 แบรนด์ คือร้านราเมงเดส รวม 5 สาขา และจากกลุ่มเบียร์ ใบหยกและบีเอ็นเอฟ โฮลดิ้งส์ 4 แบรนด์ คือ ร้านส้มตำเจ๊แดง สามย่าน, ร้านเซไค โนะ ยามะจัง, ร้านอุชิดายะราเมน และร้านอิคโคฉะ ราเมน รวม 57 สาขา

ปลดล็อกพลังสมอง: เคล็ดลับการสร้างโลกแห่งนวัตกรรมด้วยพลังจากสมองโดยจิตแพทย์ระดับโลก

ในยุคที่เทคโนโลยีและนวัตกรรมก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เราอาจหลงลืมความสำคัญของอวัยวะที่ซับซ้อนและมหัศจรรย์ที่สุดในร่างกายของเรา นั่นคือสมอง

Dr. Daniel Amen จิตแพทย์และนักวิจัยด้านสมองชื่อดัง ได้นำเสนอมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสุขภาพสมองและนวัตกรรม พร้อมทั้งแนวทางในการดูแลรักษาสมองให้แข็งแรงและมีประสิทธิภาพ

สมองของเรานั้นมีความซับซ้อนอย่างไม่น่าเชื่อ ประกอบด้วยเซลล์ประสาทกว่า 100 พันล้านเซลล์ และมีการเชื่อมต่อระหว่างเซลล์มากถึง 10,000 การเชื่อมต่อต่อเซลล์ ซึ่งมากกว่าจำนวนดวงดาวในจักรวาลเสียอีก แม้ว่าสมองจะมีน้ำหนักเพียง 2% ของน้ำหนักร่างกาย แต่กลับใช้พลังงานถึง 20-30% ของแคลอรี่ที่เรารับประทานเข้าไป นี่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญอย่างยิ่งของสมองต่อการทำงานของร่างกายและจิตใจของเรา

Dr. Amen ได้ทำการศึกษาภาพสแกนสมองมากกว่า 63,000 ภาพในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา และพบว่าสมองเป็นอวัยวะที่ควบคุมการตัดสินใจ บุคลิกภาพ อุปนิสัย และความคิดสร้างสรรค์ของเรา เมื่อสมองทำงานได้ดี เราก็จะมีประสิทธิภาพในการทำงานและการใช้ชีวิตที่ดีตามไปด้วย ในทางกลับกัน หากสมองมีปัญหา เราก็มีแนวโน้มที่จะเผชิญกับความท้าทายในชีวิตมากขึ้น

แต่น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่มักละเลยการดูแลสุขภาพสมอง เราอาจไม่ทราบว่าพฤติกรรมหลายอย่างในชีวิตประจำวันส่งผลกระทบต่อสมองของเราอย่างไร ตัวอย่างเช่น การบาดเจ็บที่ศีรษะ การดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ ภาวะอ้วน ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน อาหารไม่มีประโยชน์ การขาดการออกกำลังกาย และความเครียดเรื้อรัง ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำร้ายสมองของเราทั้งสิ้น

Dr. Amen ได้เสนอแนวทางในการดูแลสุขภาพสมองที่น่าสนใจหลายประการ เช่น การใช้เวลากับคนที่มีนิสัยรักสุขภาพจะช่วยให้เรารับเอานิสัยเหล่านั้นมาปฏิบัติตามได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะทุกครั้งที่เราเรียนรู้สิ่งใหม่ สมองของเราจะสร้างการเชื่อมต่อใหม่ๆ ขึ้นมา แต่หากเราหยุดเรียนรู้ สมองก็จะเริ่มตัดการเชื่อมต่อเหล่านั้นทิ้งไป

อาหารการกินก็มีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพสมอง Dr. Amen เน้นย้ำว่าอาหารเป็นได้ทั้งยาและพิษ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์จะช่วยบำรุงสมอง ในขณะที่อาหารขยะหรืออาหารแปรรูปจะส่งผลเสียต่อการทำงานของสมอง นอกจากนี้ การนอนหลับที่เพียงพอก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน การนอนน้อยกว่า 7 ชั่วโมงต่อคืนจะทำให้การไหลเวียนของเลือดไปสู่สมองลดลง ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมองโดยตรง

อีกหนึ่งแนวคิดที่น่าสนใจคือการฝึกสมองให้มี “ระดับความวิตกกังวลที่เหมาะสม” Dr. Amen อธิบายว่าการมีความกังวลในระดับที่พอดีจะช่วยให้เราใส่ใจดูแลสุขภาพของตัวเองมากขึ้น แต่ไม่ควรมากเกินไปจนกลายเป็นความเครียดเรื้อรัง นอกจากนี้ การฝึกสมาธิก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองส่วนหน้า ซึ่งเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับความเป็นมนุษย์และความคิดสร้างสรรค์

Dr. Amen ยังแนะนำให้เราเขียนสิ่งที่อยากรู้สึกขอบคุณสามอย่างทุกวัน ซึ่งจะช่วยเพิ่มระดับความสุขได้อย่างมีนัยสำคัญภายในเวลาเพียงสามสัปดาห์ นอกจากนี้ การฝึกตั้งคำถามกับความคิดของตัวเองว่า “มันจริงหรือเปล่า?” ก็เป็นวิธีที่ช่วยให้เราอยู่ในโลกแห่งเหตุผลมากขึ้น และลดความคิดในแง่ลบที่ไม่จำเป็นลงได้

Dr. Amen ยังได้นำเสนอแนวคิดในการสร้าง “โลกที่ฉลาดด้วยสมอง” โดยเริ่มจากระดับบุคคล ครอบครัว ไปจนถึงระดับชุมชน องค์กร และสังคม ตัวอย่างที่น่าสนใจคือโครงการ The Daniel Plan ที่เขาได้ร่วมมือกับโบสถ์ Saddleback ในการสร้างโปรแกรมสุขภาพสำหรับสมาชิกโบสถ์กว่า 30,000 คน ผลลัพธ์ที่ได้นั้นน่าทึ่งมาก ทั้งในแง่ของการลดน้ำหนัก การเพิ่มพลังงาน การปรับปรุงสมาธิ ความคิดสร้างสรรค์ การนอนหลับ และอารมณ์ที่ดีขึ้น รวมถึงการลดลงของโรคต่างๆ และการใช้ยาที่น้อยลง

นอกจากนี้ Dr. Amen ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการปรับเปลี่ยนระบบอาหารในโรงเรียน โรงพยาบาล และสถานที่ทำงาน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีสุขภาพสมองที่ดี เขาเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวมของประชากร และนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของนวัตกรรมในสังคม

ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านสมอง Dr. Amen ยังได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการป้องกันโรคสมองเสื่อม หรือ Alzheimer’s ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นสามเท่าในอีก 25 ปีข้างหน้า เขาแนะนำว่าการป้องกันโรค Alzheimer’s นั้นเริ่มต้นจากการป้องกันโรคที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เช่น โรคหัวใจ มะเร็ง เบาหวาน ภาวะซึมเศร้า และความดันโลหิตสูง ซึ่งล้วนแต่มีความเชื่อมโยงกับสุขภาพสมองทั้งสิ้น

นอกจากนี้ Dr. Amen ยังได้กล่าวถึงความสำคัญของการดูแลสมองตั้งแต่วัยเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่สมองกำลังพัฒนา ซึ่งอาจยาวนานถึงอายุ 25 ปีหรือมากกว่านั้นในเพศชาย เขาแนะนำว่าการป้องกันการบาดเจ็บที่สมองในวัยเด็กเป็นสิ่งสำคัญมาก และควรหลีกเลี่ยงกีฬาที่มีความเสี่ยงสูงต่อการกระทบกระเทือนสมอง

สรุปแล้ว Dr. Amen ได้นำเสนอมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสุขภาพสมองและนวัตกรรม พร้อมทั้งให้แนวทางในการดูแลรักษาสมองที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริงในชีวิตประจำวัน การตระหนักถึงความสำคัญของสุขภาพสมองและการลงมือปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้ ไม่เพียงแต่จะช่วยปรับปรุงคุณภาพชีวิตของเราเท่านั้น แต่ยังมีส่วนช่วยในการสร้างสรรค์นวัตกรรมและพัฒนาสังคมโดยรวมอีกด้วย

การสร้าง “โลกที่ฉลาดด้วยสมอง” นั้นไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อม หากเราทุกคนเริ่มต้นจากการดูแลสุขภาพสมองของตัวเองและคนรอบข้าง แล้วขยายแนวคิดนี้ไปสู่ชุมชน องค์กร และสังคมในวงกว้าง เราก็จะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกที่ยิ่งใหญ่ได้ ไม่เพียงแต่จะช่วยลดปัญหาสุขภาพและโรคภัยต่างๆ เท่านั้น แต่ยังจะนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม และประสิทธิภาพในการทำงานของผู้คนในสังคมได้ในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

References :
TEDxOrangeCoast – Daniel Amen – Change Your Brain, Change Your Life
https://youtu.be/MLKj1puoWCg?si=amxOyT8VFkeGdfYw

Zuckaissance เมื่อเจ้าพ่อ Facebook เตรียมผงาดขึ้นอีกครั้งในยุคของเทคโนโลยี AI

“Zuckaissance” หรือ “ยุคการฟื้นฟูของ Zuck” เป็นคำศัพท์ที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ในแวดวงเทคโนโลยี แต่มันสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้ง Facebook และ CEO ของ Meta ที่กำลังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเรา

เป็นบทสัมภาษณ์ที่น่าสนใจมาก ๆ ที่เพิ่งมีการปล่อยออกมาทางรายการ The Circuit ช่อง Bloomberg Originals โดย Emily Chang ในหัวข้อ Inside Mark Zuckerberg’s AI Era ที่มาสัมภาษณ์เจาะลึกพี่ Mark Zuckerberg ในเวอร์ชั่นที่เติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

Zuckerberg ได้อยู่ภายใต้แสงสปอตไลท์มาตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ทั้งในด้านบวกจากความสำเร็จในการซื้อกิจการ Instagram, WhatsApp และ Oculus และในด้านลบจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายเกี่ยวกับผลกระทบทางสังคม การเมือง และธุรกิจของอาณาจักร Meta ที่กำลังขยายตัว แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ Zuckerberg ทั้งในแง่ของภาพลักษณ์และวิสัยทัศน์ทางธุรกิจ

การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน แต่เป็นผลมาจากการเรียนรู้และปรับตัวอย่างต่อเนื่อง Zuckerberg เองก็ยอมรับว่า “เมื่อผมอายุมากขึ้น ผมก็แค่คิดว่า ‘ช่างมันเถอะ มันไม่สำคัญหรอก’ ใช่ไหม มันก็แค่พยายามเป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่ผมรู้สึกสบายใจที่จะเป็น” คำพูดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจและความเป็นผู้ใหญ่ที่มากขึ้นของ Zuckerberg

โปรเจกต์ใหม่ล่าสุดของ Meta ที่น่าสนใจคือการเปิดเผยซอร์สโค้ด AI ครั้งใหญ่ ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากคู่แข่งอย่าง OpenAI และ Google ที่ยังคงปิดซอร์สโค้ดของตัวเอง

Zuckerberg มองว่าโมเดล AI ล่าสุดของบริษัทจะส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ธุรกิจ และอาจรวมถึงโลกใบนี้ด้วย

แนวคิดเรื่องโอเพนซอร์สนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับ Zuckerberg เลย ย้อนกลับไปเมื่อปี 2003 ตอนที่เขายังเป็นนักศึกษา เขาได้พูดถึงความสำคัญของโอเพนซอร์สไว้ในบทความของ “The Harvard Crimson” ว่า “มันเป็นส่วนสำคัญของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ผมหมายถึง คุณคงไม่สามารถสร้างเวอร์ชันแรกๆ ของ Facebook ได้โดยไม่มีมัน”

Zuckerberg อธิบายต่อว่า “ตอนนั้นผมเป็นนักศึกษา ผมไม่มีเงินทุนมากมาย มันเป็นแนวคิดแบบแฮกเกอร์ที่คุณแค่เอาโค้ดมาใช้สำหรับสิ่งที่คุณต้องการ มันมีประสิทธิภาพด้านต้นทุนมากกว่า และผมหมายถึง นั่นคือวิธีที่คุณสามารถเริ่มต้นอะไรแบบนี้ในหอพักได้”

แม้ว่าหลายคนอาจมองว่า Zuckerberg เป็นผู้สนับสนุนโอเพนซอร์สที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ในปัจจุบัน แต่เขากลับมองว่า Meta เป็นผู้สนับสนุนโอเพนซอร์สมานานแล้ว “มันเป็นสูตรที่ดีมากสำหรับเรา” เขากล่าว “ย้อนกลับไปถึงวิธีที่เราออกแบบเซิร์ฟเวอร์ วิธีที่เราออกแบบศูนย์ข้อมูลของเรา เรามีโครงการ Open Compute ทั้งหมดที่ทำให้โครงสร้างพื้นฐานส่วนใหญ่ของอุตสาหกรรมเป็นมาตรฐาน และสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นกับ AI ด้วย”

การเปิดเผยซอร์สโค้ด AI ของ Meta ไม่ได้เป็นเพียงกลยุทธ์ทางธุรกิจเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของ Zuckerberg ในการสร้างอนาคตของเทคโนโลยี AI เขาอธิบายว่า “เราเติบโตขึ้นมาในช่วง 10-15 ปีที่ผ่านมาด้วยการสร้างแอปของเราผ่านแพลตฟอร์มโทรศัพท์ที่คู่แข่งของเราควบคุมอยู่ ดังนั้นมันค่อนข้างทำลายจิตวิญญาณที่จะไปสร้างบางสิ่งที่คุณคิดว่าจะดี แล้วก็แค่ถูกบอกโดย Apple ว่าคุณไม่สามารถส่งมันออกไปได้เพราะพวกเขาต้องการจะจำกัดเราไว้เพราะพวกเขามองว่าเราเป็นคู่แข่ง”

Zuckerberg เชื่อว่าการควบคุมชะตากรรมของตัวเองในเรื่อง AI เป็นสิ่งสำคัญ “ตอนนี้เราเป็นบริษัทที่ใหญ่พอแล้ว” เขากล่าว “หนึ่งในสิ่งที่ผมตัดสินใจคือสำหรับเทคโนโลยีรุ่นถัดไป ผมต้องการให้เราสร้างและมีการควบคุมด้วยพวกเราเองมากขึ้น”

Meta กำลังพัฒนา Meta AI อย่างต่อเนื่องในผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของบริษัท นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะเปิดตัวความสามารถใหม่ๆ เช่น การสร้างภาพแบบเรียลไทม์ขณะที่ผู้ใช้พิมพ์

Zuckerberg มีเป้าหมายที่ท้าทายสำหรับ Meta AI โดยกล่าวว่า “เป้าหมายของผมสำหรับการเปิดตัว Meta AI ซึ่งผมหมายถึง มันเพิ่งเปิดตัวมาแค่ไม่กี่เดือน แต่แผนภายในสิ้นปีนี้ เขาอยากให้ Meta AI เป็นผู้ช่วย AI ที่มีการใช้งานมากที่สุดในโลก และผมคิดว่าเราอยู่ในเส้นทางนั้นแล้ว”

นอกจากนี้ Meta ยังกำลังเปิดตัว Llama 3.1 ซึ่งเป็นโมเดลโอเพนซอร์สที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา ด้วยขนาด 405 พันล้านพารามิเตอร์ Zuckerberg อธิบายว่าสิ่งนี้จะเปิดโอกาสให้ผู้คนสามารถใช้มันเพื่อฝึกโมเดลที่เล็กกว่าสำหรับแอปพลิเคชั่นต่างๆ

Zuckerberg มีวิสัยทัศน์ที่น่าสนใจเกี่ยวกับอนาคตของ AI เขาไม่เชื่อว่าจะมี AI หนึ่งเดียวที่ครอบงำทุกอย่าง แต่เขามองว่าจะมีโมเดลที่แตกต่างกันนับล้านหรือพันล้านโมเดล “ผมอยากทำให้ทุกคนสามารถฝึกเวอร์ชัน AI ของตัวเองได้อย่างง่ายดาย” เขากล่าว “พวกเขาสามารถทำให้มันเป็นแบบที่พวกเขาต้องการ ดังนั้นมันเกือบเหมือนเป็นผลงานศิลปะชิ้นหนึ่งที่พวกเขาสร้างขึ้นสำหรับชุมชนของตัวเอง”

แม้ว่า Zuckerberg จะมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับอนาคตของ AI แต่เขาก็ตระหนักดีถึงความท้าทายที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของความปลอดภัยและจริยธรรม เมื่อถูกถามว่าทำไมเราควรไว้วางใจเขากับ AI เขาตอบว่า “ผมให้ความสำคัญกับบทบาทของเราในเรื่องทั้งหมดนี้อย่างจริงจัง และผมคิดว่าเราพยายามจัดการกับทุกอย่างนี้ให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”

Zuckerberg ยังกล่าวถึงความสำคัญของการตรวจสอบและความโปร่งใสในการพัฒนา AI “สิ่งที่สำคัญของโอเพนซอร์สก็คือใครก็สามารถตรวจสอบมันได้ และผมคิดว่ามันสร้างแรงกดดันอย่างมากที่ต้องทำให้แน่ใจว่ามันจะช่วยให้คุณภาพของงานที่พวกคุณกำลังทำมันดีขึ้นอย่างรวดเร็ว”

ในขณะที่ Zuckerberg มุ่งมั่นที่จะพัฒนา AI และเทคโนโลยีอื่นๆ เขาก็ยังคงเห็นคุณค่าของโลกแห่งความเป็นจริงและความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ เมื่อถูกถามว่าเขากำลังต่อสู้กับความทะเยอทะยานในการสร้างโลกเสมือน

ในขณะที่ Zuckerberg มุ่งมั่นที่จะพัฒนา AI และเทคโนโลยีอื่นๆ เขาก็ยังคงเห็นคุณค่าของโลกแห่งความเป็นจริงและความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ เมื่อถูกถามว่าเขาต่อสู้กับความทะเยอทะยานในการสร้างโลกเสมือนและความรักที่เขามีต่อโลกแห่งความเป็นจริงอย่างไร Zuckerberg ตอบว่า “ผมไม่รู้ว่าสองสิ่งนี้มันขัดแย้งกัน”

เขาอธิบายต่อว่า “มีคนจำนวนมากในชุมชนเทคโนโลยีที่คิดว่า ‘โอ้ เราแค่จะแยกจิตสำนึกและสติปัญญาของเราออกมาและอัปโหลดมันขึ้นคลาวด์’ และผมก็คิดว่า ‘นั่นฟังดูไร้สาระสำหรับผม’ สำหรับผมแล้ว ผมคิดว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้คุณเป็นคนคือคุณมีชีวิตชีวาและมีพลัง ใช่ไหม เราไม่ได้เป็นแค่จิตใจ ผมคิดว่าพลังงานและความรักและสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดน่าจะเป็นรากฐานของสิ่งที่ทำให้คุณเป็นคนเช่นกัน”

แม้ว่า Zuckerberg จะเป็นที่รู้จักในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยี แต่เขาก็ยังคงเห็นคุณค่าของการใช้เวลาในโลกแห่งความเป็นจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับครอบครัวของเขา เขาเล่าถึงความสุขที่ได้ใช้เวลากับลูกๆ ในช่วงฤดูร้อน “มันดีที่ได้ใช้เวลาที่นี่ในช่วงฤดูร้อนและคุณรู้ไหม พาลูกๆ ออกไปที่ทะเลสาบและสอนพวกเขากีฬาต่างๆ และผมคิดว่าทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่ดี”

เมื่อถูกถามว่าเด็กๆ ควรเรียนรู้อะไรในทุกวันนี้ Zuckerberg ตอบว่า “ผมคิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือการเรียนรู้วิธีคิดอย่างมีวิจารณญาณและการเรียนรู้คุณค่าต่างๆ ตั้งแต่ยังเด็ก” เขายังเล่าถึงลูกสาวคนหนึ่งของเขาที่มีความคิดสร้างสรรค์มาก โดยเธอกำลังเขียนโครงร่างนิยายที่มีความยาวถึง 40 หน้า ซึ่งเขาใช้ Meta AI เพื่อช่วยสร้างภาพประกอบสำหรับเรื่องราวของเธอ

Zuckerberg ยังแบ่งปันปรัชญาในการจ้างงานของเขา โดยกล่าวว่า “ถ้ามีกลุ่มผู้คนที่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาสามารถลงลึกและทำหนึ่งสิ่งได้ดีมาก แสดงว่าพวกเขาน่าจะมีประสบการณ์ในการเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างและนำผลักดันมันไปสู่ระดับที่ยอดเยี่ยม ซึ่งโดยทั่วไปแล้วสามารถประยุกต์ใช้กับสิ่งอื่นๆ ได้ค่อนข้างดี”

การบริหารเวลาเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ Zuckerberg ให้ความสำคัญ เมื่อถูกถามว่าเขาจัดการเวลาสำหรับทุกอย่างได้อย่างไร ทั้งกีฬา งานอดิเรก การเป็น CEO และการเป็นพ่อ เขาตอบว่า “ผมคิดว่าการมีความสมดุลระหว่างสิ่งต่างๆ ที่คุณทำช่วยให้คุณทำทุกอย่างได้ดีขึ้น” เขายอมรับว่าตัวเองเป็นคนที่ค่อนข้างบ้างาน แต่ก็พยายามทำความเข้าใจคนที่เขาทำงานด้วยและไม่มุ่งความสนใจมากเกินไปกับโปรเจ็กต์ใดโปรเจ็กต์หนึ่ง

Zuckerberg ยังแสดงความสนใจในประเด็นระดับโลก เช่น การแข่งขันด้าน AI ระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน เขามองว่าการปิดกั้นทั้งหมดเป็นแนวทางที่ผิด และเชื่อว่าสหรัฐฯ เจริญรุ่งเรืองจากนวัตกรรมที่เปิดกว้างและกระจายอำนาจ อย่างไรก็ตาม เขาเสนอว่าบริษัทชั้นนำควรทำงานร่วมกับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อให้แน่ใจว่าประเทศมีความได้เปรียบในเทคโนโลยีชั้นนำของโลกอยู่เสมอ

เมื่อมองไปถึงอนาคต Zuckerberg มีมุมมองที่น่าสนใจ เขากล่าวว่า “ผมคิดถึงสิ่งที่ผมกำลังสร้าง ซึ่งผมคิดว่า AI จะใช้เวลา 10 หรือ 15 ปีในการเป็นรูปเป็นร่างอย่างเต็มที่ เช่นเดียวกับงานทั้งหมดในแพลตฟอร์มการคำนวณรุ่นต่อไปที่เรากำลังทำ และการคาดเดาของผมก็คือในช่วงเวลานั้น นวัตกรรมชิ้นต่อไปจะปรากฏขึ้น”

แม้ว่าหลายคนอาจมองว่าเทคโนโลยีกำลังนำเราไปสู่การทดลองครั้งใหญ่กับตัวเอง แต่ Zuckerberg กลับมองในแง่บวก เขาเชื่อว่า AI ไม่ได้ลดความคิดสร้างสรรค์ของพวกเรา แต่มันจะช่วยให้พวกเราสามารถแสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์ได้ง่ายขึ้น

Zuckerberg ยอมรับว่ามีความท้าทายมากมายที่เราจะต้องเผชิญในอนาคต แต่เขายังคงมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับโอกาสอีกมากมายของเทคโนโลยี เขาเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงจะนำมาซึ่งโอกาสใหม่ๆ และความก้าวหน้าที่น่าตื่นเต้น

ในท้ายที่สุด Zuckaissance ไม่ใช่แค่การฟื้นฟูของ Mark Zuckerberg เท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการเทคโนโลยีและสังคมของเรา การผสมผสานระหว่างความทะเยอทะยานทางเทคโนโลยีและการตระหนักถึงคุณค่าของความเป็นมนุษย์อาจเป็นกุญแจสำคัญในการนำพาเราไปสู่อนาคตที่สมดุลและยั่งยืนมากขึ้น

References :
แปลและเรียบเรียงจาก Inside Mark Zuckerberg’s AI Era | The Circuit ช่อง Bloomberg Originals
https://youtu.be/YuIc4mq7zMU?si=HY5HAm9HkSVq4cZW