Geek Story EP201 : 70 ปีแห่งการปฏิวัติกับเส้นทางอันน่าทึ่งของเทคโนโลยี AI

ในช่วงฤดูร้อนปี 1956 ณ วิทยาลัยดาร์ทมัธในรัฐนิวแฮมป์เชียร์ สหรัฐอเมริกา เหล่านักวิชาการชั้นนำได้รวมตัวกันในการประชุมที่จะเปลี่ยนแปลงโลกเทคโนโลยีไปตลอดกาล นำโดย จอห์น แมคคาร์ธี นักวิจัยหนุ่มผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล พร้อมด้วยปรมาจารย์อย่าง คลอด แชนนอน ผู้ให้กำเนิด Information Theory และ เฮิร์บ ไซมอน ผู้ได้รับทั้งรางวัลโนเบลและรางวัลทัวริง

จุดประสงค์ของการประชุมครั้งนี้คือการหารือถึงความเป็นไปได้ในการสร้างเครื่องจักรที่มีความสามารถคล้ายมนุษย์ ทั้งการใช้ภาษา การคิดเชิงนามธรรม และการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อน แมคคาร์ธีได้บัญญัติศัพท์ “ปัญญาประดิษฐ์” หรือ AI ขึ้นเป็นครั้งแรกในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาและพัฒนาเทคโนโลยี AI อย่างจริงจังในอีกหลายทศวรรษต่อมา

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/bdcv34dz

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/y5h2u4w6

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/38wayf7u

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
http://bit.ly/2kxHtQ3

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/5nK-GfGeUo8

จากโต๊ะอาหารค่ำสู่สนามรบ AI เส้นทางการหักเหลี่ยมเฉือนคมของ Elon Musk และ Sam Altman ในสงคราม AI

ในโลกของเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เรื่องราวของ Sam Altman และ Elon Musk เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจของการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์จากมิตรสู่การเป็นศัตรู ทั้งสองเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในวงการปัญญาประดิษฐ์ (AI) และมีส่วนร่วมในการก่อตั้ง OpenAI ซึ่งเป็นองค์กรที่มีอิทธิพลอย่างมากในวงการนี้

จุดเริ่มต้นของความร่วมมือระหว่าง Altman และ Musk เกิดขึ้นในปี 2015 ท่ามกลางบรรยากาศของความกังวลเกี่ยวกับการครอบงำของ Google ในวงการ AI หลังจากที่บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีได้เข้าซื้อกิจการของ DeepMind ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพด้าน Neural Network จากลอนดอน

ในช่วงเวลานั้น ผู้เชี่ยวชาญในวงการต่างเห็นพ้องกันว่า Google มีความได้เปรียบอย่างมากในการพัฒนา AGI (Artificial General Intelligence) ซึ่งเป็นระบบ AI ที่มีความสามารถเทียบเท่ามนุษย์

ในงานเลี้ยงอาหารค่ำที่โรงแรมหรู Rosewood Sand Hill ใน Silicon Valley Altman และ Musk พร้อมด้วยนักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีคนอื่น ๆ ได้ริเริ่มแนวคิดในการสร้างห้องปฏิบัติการด้าน AI ที่มีความโปร่งใสและเปิดกว้าง โดยมีเป้าหมายที่จะทำให้เทคโนโลยี AI ขั้นสูงเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะอย่างทั่วถึง

แนวคิดนี้ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากกลุ่ม “PayPal Mafia” ซึ่งรวมถึง Peter Thiel และ Reid Hoffman ที่ได้ร่วมลงทุนหลายล้านดอลลาร์เพื่อให้โครงการนี้เป็นจริง

OpenAI จึงได้ถือกำเนิดขึ้นในปี 2015 ด้วยวิสัยทัศน์ที่จะเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่มุ่งมั่นในการพัฒนา AI เพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่าง Musk และ Altman เริ่มมีรอยร้าวในปี 2018 เมื่อ Musk พยายามที่จะเข้ามาควบคุมบริษัทแต่ไม่ประสบความสำเร็จ เหตุการณ์นี้นำไปสู่การแยกทางกันของทั้งสองและการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของ OpenAI

ภายใต้การนำของ Altman OpenAI ได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรโดยสร้างหน่วยธุรกิจที่แสวงหากำไรภายใต้องค์กรหลักที่ยังคงเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ OpenAI สามารถระดมทุนได้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก Microsoft ซึ่งได้ลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ในบริษัท อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้ก็นำมาซึ่งความขัดแย้งภายในองค์กรและการวิพากษ์วิจารณ์จากภายนอก รวมถึงจาก Musk เอง

ความสำเร็จของ OpenAI ภายใต้การนำของ Altman เป็นที่ประจักษ์ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการเปิดตัว DaLL-E ในปี 2021 และ ChatGPT ในปี 2022 ซึ่งสร้างความตื่นตะลึงให้กับวงการเทคโนโลยีและดึงดูดความสนใจจากทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จนี้ก็มาพร้อมกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ โดยเฉพาะจาก Musk ที่มองว่า OpenAI ได้ละทิ้งหลักการดั้งเดิมของการเป็นองค์กรโอเพ่นซอร์สและไม่แสวงหาผลกำไร

Musk ได้แสดงความไม่พอใจอย่างเปิดเผยผ่านทวิตเตอร์ โดยกล่าวว่า “OpenAI ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นโอเพ่นซอร์ส (ซึ่งนั่นคือเหตุผลที่ทำไมมันถึงถูกเรียกว่า ‘OpenAI’) บริษัทที่แต่เดิมตั้งขึ้นเพื่อไม่แสวงหาผลกำไรและคอยสร้างแรงกดดันให้กับบริษัทอย่าง Google แต่ตอนนี้ได้กลายสภาพเป็นบริษัทที่ปิดแหล่งที่มาและมุ่งเน้นผลกำไรสูงสุดที่ควบคุมโดย Microsoft ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มันไม่ใช่สิ่งที่ผมตั้งใจไว้เลย”

ความขัดแย้งระหว่าง Musk และ Altman ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่เรื่องของ OpenAI เท่านั้น แต่ยังขยายไปสู่การแข่งขันในตลาด AI ด้วย เมื่อเร็ว ๆ นี้ Musk ได้เปิดตัว Grok ซึ่งเป็นแชทบอท AI ที่พัฒนาโดยบริษัท xAI ของเขา เพื่อแข่งขันโดยตรงกับ ChatGPT ของ OpenAI Musk ได้วิจารณ์ GPT-4 ของ OpenAI อย่างรุนแรง โดยเรียกมันว่า “GPT-Snore” และกล่าวหาว่าขาดอารมณ์ขันและความเป็นมนุษย์

ในขณะเดียวกัน Altman ก็ไม่ได้นิ่งเฉยต่อการโจมตีของ Musk โดยได้ตอบโต้ในระหว่างการให้สัมภาษณ์พอดแคสต์ “On With Kara Swisher” ด้วยการเรียก Musk ว่า “ไอ้หน้าโง่” แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่เสื่อมถอยลงอย่างรุนแรงระหว่างทั้งสอง

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ก็ต้องยอมรับว่าทั้ง Musk และ Altman ต่างก็มีบทบาทสำคัญในการผลักดันการพัฒนา AI ให้ก้าวหน้า Musk เองก็เป็นผู้ที่มีส่วนสำคัญในการดึงตัว Ilya Sutskever วิศวกรด้าน AI ชั้นนำของ Google ให้มาร่วมงานกับ OpenAI ในช่วงเริ่มต้น ซึ่ง Sutskever นี้เองที่ภายหลังได้เข้าร่วมกับคณะกรรมการของ OpenAI ในการพยายามไล่ Altman ออกเมื่อเดือนที่แล้ว แม้ว่าท้ายที่สุดแล้ว Altman จะสามารถกลับมาดำรงตำแหน่งได้อีกครั้ง

ความขัดแย้งระหว่าง Musk และ Altman อาจสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างในวิสัยทัศน์และแนวทางในการพัฒนา AI แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าทั้งสองต่างมีความห่วงใยต่อผลกระทบของเทคโนโลยี AI ต่อมนุษยชาติ Musk มักจะเตือนถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจาก AI ขั้นสูง ในขณะที่ Altman ก็พยายามที่จะพัฒนา AI อย่างมีความรับผิดชอบและเป็นประโยชน์ต่อสังคม

ความขัดแย้งระหว่าง Musk และ Altman อาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งของภาพใหญ่ในการแข่งขันด้าน AI ที่กำลังทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ทั้งหลายต่างก็พยายามที่จะครอบครองและเป็นผู้นำในเทคโนโลยีนี้ ซึ่งมีศักยภาพที่จะเปลี่ยนแปลงโลกอย่างมหาศาล การควบคุมอำนาจทางด้าน AI อาจนำไปสู่การมีอิทธิพลอย่างมากในโลกอนาคต

ในท้ายที่สุด เส้นทางของ Musk และ Altman อาจแยกจากกัน แต่ทั้งสองก็ยังคงเป็นตัวละครสำคัญในการกำหนดอนาคตของ AI พวกเขาอาจมีวิธีการและมุมมองที่แตกต่างกัน แต่เป้าหมายสุดท้ายของทั้งคู่ก็คือการพัฒนาเทคโนโลยีที่จะเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ ความขัดแย้งระหว่างพวกเขาอาจเป็นแรงผลักดันให้เกิดการพัฒนาและการตรวจสอบที่จำเป็นในวงการ AI ซึ่งกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

ในขณะที่โลกกำลังเข้าสู่ยุคของ AI อย่างเต็มตัว การติดตามความเคลื่อนไหวของบุคคลสำคัญเหล่านี้จะช่วยให้เราเข้าใจทิศทางและความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้าได้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นอย่างไร เรื่องราวของ Musk และ Altman จะยังคงเป็นบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับการทำงานร่วมกัน การแข่งขัน และการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในโลกของเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

References :
https://www.businessinsider.com/history-of-elon-musk-and-sam-altman-relationship-feuds-2023-3#musk-was-reportedly-furious-about-chatgpts-success-semafor-reported-in-march-8
https://www.semafor.com/article/03/24/2023/the-secret-history-of-elon-musk-sam-altman-and-openai
https://cybernews.com/tech/chatgpt-war-musk-vs-altman/
https://fortune.com/2023/12/03/sam-altman-elon-musk-openai-ai-tech-feud/

บทเรียนชีวิตจาก Jack Ma ชายที่ Harvard ปฏิเสธถึง 10 ครั้ง แต่กลับสร้างอาณาจักรแสนล้านระดับโลก

ในโลกแห่งความสำเร็จ เรามักได้ยินเรื่องราวของผู้ที่เกิดมาพร้อมโอกาสทองคำ หรือเกิดมาบนกองเงินกองทอง วันนี้ผมอยากเล่าเรื่องราวที่แตกต่างออกไป เรื่องราวของ Jack Ma ที่เริ่มต้นจากจุดที่ต่ำต้อย แต่กลับสามารถสร้างอาณาจักรธุรกิจระดับโลกได้ด้วยความมุ่งมั่นและวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของเขา

Jack Ma เกิดในครอบครัวธรรมดา ไม่ได้ร่ำรวยหรือมีการศึกษาสูง การเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยชั้นนำดูเหมือนเป็นความฝันที่ไกลเกินเอื้อม เขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยถึงสามครั้งแต่ไม่สำเร็จ ในที่สุดเขาจึงเลือกเรียนที่วิทยาลัยครู ในสาขาภาษาอังกฤษ ซึ่งถือเป็นสถาบันอันดับรองในเมืองของเขา

แต่ด้วยทัศนคติเชิงบวก เขากลับมองว่านี่คือโอกาสทองของชีวิต เขาเชื่อว่าการศึกษาที่แท้จริงไม่ได้วัดกันที่ชื่อเสียงของสถาบัน แต่อยู่ที่ความตั้งใจและความมุ่งมั่นของผู้เรียน เขาจึงทุ่มเทให้กับการเรียนอย่างเต็มที่ จนกระทั่งจบการศึกษาและได้เป็นครูสอนภาษาอังกฤษในมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ Jack Ma เองก็ยังสมัครเรียนต่อที่ Harvard Business School ด้วย แต่ก็ถูกปฏิเสธกว่า 10 ครั้ง! 

แม้ว่าเงินเดือนจะน้อยนิด เพียงแค่สิบเหรียญต่อเดือน แต่เขาก็ไม่ท้อ เขาเชื่อมั่นว่าโอกาสกำลังรอเขาอยู่ข้างหน้า และเขาต้องพิสูจน์ตัวเองด้วยการทำงานหนัก

ในยุคนั้น ไม่มีใครเชื่อในตัวเขา ทุกคนมองว่าความคิดของเขาแปลกประหลาด เป็นไปไม่ได้ แต่เขาไม่สนใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์ เขายังคงเดินหน้าตามความฝันของตัวเอง

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 1994 เมื่อเขาได้มีโอกาสไปเยือนสหรัฐอเมริกาและได้เห็นคอมพิวเตอร์เป็นครั้งแรก เขารู้สึกตื่นเต้นและเชื่อมั่นว่านี่คือเทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนแปลงโลก แม้ว่าในตอนนั้นเขาจะยังไม่รู้ว่ามันจะส่งผลกระทบมหาศาลขนาดไหน

ด้วยวิสัยทัศน์อันกว้างไกล เขาเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองในยุคเริ่มต้นของอินเทอร์เน็ต โดยมองเห็นโอกาสในการเชื่อมโยงผู้คนและธุรกิจเข้าด้วยกันผ่านโลกออนไลน์ แม้จะเผชิญกับความท้าทายมากมาย แต่เขาก็ไม่เคยย่อท้อ เขาเชื่อมั่นในวิสัยทัศน์ของตัวเองและทำงานหนักเพื่อทำให้มันเป็นจริง

ความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน มันต้องใช้เวลาหลายปีกว่าธุรกิจของเขาจะเติบโตและประสบความสำเร็จ แต่ด้วยความมุ่งมั่นและการทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ในที่สุดเขาก็สามารถสร้างบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่มีผู้ใช้งานนับพันล้านคนทั่วโลก

ปัจจุบัน เขาได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก เขาได้มีโอกาสพบปะกับบุคคลสำคัญมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Bill Gates, Warren Buffet, Jack Welch, Larry Page หรือ Mark Zuckerberg

จากประสบการณ์ในการพบปะกับบุคคลเหล่านี้ เขาได้สังเกตเห็นคุณลักษณะร่วมกันที่ทำให้พวกเขาแตกต่างจากคนทั่วไป นั่นคือ การมองโลกในแง่ดีเสมอ ไม่ว่าจะเจอกับสถานการณ์ยากลำบากแค่ไหน พวกเขาก็ยังคงมองเห็นโอกาสและความเป็นไปได้ในอนาคต

นอกจากนี้ พวกเขายังไม่เคยบ่นหรือย่อท้อต่ออุปสรรค แต่กลับมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ เขาเชื่อว่านี่คือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ การมองเห็นโอกาสในทุกปัญหา และพยายามหาทางแก้ไขอย่างไม่ย่อท้อ

เขามักจะพูดเสมอว่า “โอกาสมักจะอยู่ในที่ที่คนบ่น” เมื่อคุณได้ยินเสียงบ่นจากผู้คนรอบข้าง นั่นอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข และนั่นคือโอกาสของคุณที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการเหล่านั้น

เขาเน้นย้ำว่า การที่คนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับไอเดียของคุณ ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นไอเดียที่ไม่ดี ในทางกลับกัน มันอาจเป็นเพราะคุณกำลังมองเห็นอะไรบางอย่างที่คนอื่นยังมองไม่เห็น ซึ่งนั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นของนวัตกรรมที่จะเปลี่ยนแปลงโลกก็ได้

สิ่งสำคัญคือ คุณต้องเชื่อมั่นในวิสัยทัศน์ของตัวเอง และหาทีมงานที่มีความฝันเดียวกัน ไม่ว่านักลงทุน เพื่อน หรือแม้แต่ครอบครัวจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ถ้าคุณและทีมของคุณเชื่อมั่น และทุ่มเททำงานอย่างหนักเพื่อทำให้มันเป็นจริง นั่นคือทั้งหมดที่คุณต้องการ

เขายังเน้นย้ำว่า ทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมกัน เพราะเราทุกคนเริ่มต้นจากจุดเดียวกัน สินทรัพย์ที่มีค่าที่สุดของคนหนุ่มสาวคือความเป็นหนุ่มสาวนั่นเอง คุณมีพลังงาน มีเวลา และมีโอกาสที่จะลองผิดลองถูกได้มากกว่าคนที่อายุมากกว่า

แทนที่จะเสียเวลาไปกับการบ่น ให้ใช้สมองของคุณคิดว่ามีอะไรที่คุณทำได้เพื่อสร้างความแตกต่าง คิดแล้วก็ลงมือทำ อย่าปล่อยให้ไอเดียดีๆ หายไปกับสายลม

เขาย้ำเตือนคนรุ่นใหม่ว่า ไม่ว่าคุณจะทำงานให้ใคร ไม่ว่าจะเป็นองค์กรใหญ่หรือธุรกิจของตัวเอง คุณต้องทำงานหนัก นั่นคือกุญแจสู่ความสำเร็จ แต่ถ้าคุณเลือกที่จะทำงานให้ตัวเอง ให้คิดถึงคนอื่นด้วย ทำให้แน่ใจว่าสิ่งที่คุณทำนั้นช่วยเหลือและสร้างคุณค่าให้กับผู้อื่น เพราะเมื่อคนอื่นประสบความสำเร็จ เมื่อคนอื่นมีความสุข คุณเองก็จะประสบความสำเร็จและมีความสุขไปด้วย

บทเรียนสำคัญที่เราได้เรียนรู้จากเรื่องราวของเขาคือ ความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับจุดเริ่มต้นของคุณ แต่อยู่ที่ความมุ่งมั่น ความเชื่อมั่น และความพยายามที่จะไขว่คว้าโอกาส แม้ว่าคุณจะเริ่มต้นจากจุดที่ต่ำต้อย แต่ถ้าคุณมีความฝันที่ยิ่งใหญ่และพร้อมที่จะทำงานหนักเพื่อทำให้มันเป็นจริง ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้

การเดินทางสู่ความสำเร็จอาจไม่ใช่เส้นทางที่ราบรื่น คุณอาจต้องเผชิญกับความล้มเหลวและอุปสรรคมากมาย แต่สิ่งสำคัญคือการไม่ยอมแพ้ ใช้ความล้มเหลวเป็นบทเรียน และก้าวต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง เพราะทุกๆ ก้าวที่คุณเดิน ไม่ว่าจะเล็กแค่ไหน ก็นำพาคุณเข้าใกล้ความฝันมากขึ้นทุกที

ในท้ายที่สุด ความสำเร็จไม่ได้วัดกันที่เงินทองหรือชื่อเสียง แต่วัดที่ผลกระทบที่คุณสร้างให้กับโลกใบนี้ ถ้าคุณสามารถใช้ความสามารถและความคิดสร้างสรรค์ของคุณในการแก้ปัญหาและสร้างคุณค่าให้กับผู้อื่น นั่นคือความสำเร็จที่แท้จริง

References :
https://youtu.be/D24Oo0B5AN8?si=m4pH4rqx2gkoxm80

จากโซเชียลมีเดียสู่สมองกล โลกในอีก 10 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไรจากปาก Mark Zuckerberg

ในโลกที่เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวิถีชีวิตของผู้คนทั่วโลก จากการค้นหาข้อมูลบน Google ไปจนถึงการเชื่อมต่อผู้คนผ่าน Facebook และการเรียกรถผ่าน Uber

ทุกๆ สองถึงสามปี เราจะได้พบเจอกับนวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงกรอบความคิดเดิมๆ ของเรา แล้วอะไรคือสิ่งที่จะมาเปลี่ยนโลกในอนาคตอันใกล้นี้?

มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Meta ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับวิสัยทัศน์ของเขาต่ออนาคตของเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) และอุปกรณ์สวมใส่ ซึ่งบทสัมภาษณ์นี้เผยให้เห็นถึงแนวคิดที่น่าสนใจหลายประการ

AI: จากหนึ่งสู่ความหลากหลาย

ซักเคอร์เบิร์กมองว่า อนาคตของ AI จะไม่ใช่ระบบเดียวที่ครอบคลุมทุกอย่าง แต่จะเป็นระบบที่หลากหลายและเฉพาะทางมากขึ้น เขากล่าวว่า “ผมไม่เชื่อว่าควรมี AI แค่ตัวเดียวเท่านั้น เราคิดว่าผู้คนต้องการที่จะโต้ตอบกับคนและธุรกิจที่หลากหลาย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมี AI หลายๆ ตัวที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองความสนใจที่แตกต่างกันของผู้คน”

แนวคิดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อของซักเคอร์เบิร์กที่ว่า ความหลากหลายคือกุญแจสำคัญในการสร้างประสบการณ์ที่มีคุณค่าสำหรับผู้ใช้ เขาเปรียบเทียบกับโลกของแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน ที่ไม่มีแอปเดียวที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ แต่เป็นระบบนิเวศที่หลากหลายที่ทำให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ครบถ้วนและน่าสนใจ

Meta กำลังพัฒนาแพลตฟอร์มที่เรียกว่า AI Studio ซึ่งจะช่วยให้ครีเอเตอร์และธุรกิจสามารถสร้าง AI ของตัวเองได้ ซักเคอร์เบิร์กเชื่อว่านี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการ AI โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการสื่อสารระหว่างแบรนด์หรือครีเอเตอร์กับกลุ่มเป้าหมายของพวกเขา

“ส่วนสำคัญของแนวทางของเราคือการเปิดโอกาสให้ครีเอเตอร์ทุกคน และในที่สุดก็จะรวมถึงธุรกิจขนาดเล็กบนแพลตฟอร์มของเราด้วย สามารถสร้าง AI ของตัวเองขึ้นมาเพื่อช่วยในการปฏิสัมพันธ์กับชุมชนและลูกค้าของพวกเขา” ซักเคอร์เบิร์กกล่าว

นอกจากนี้ Meta ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนา AI แบบโอเพนซอร์ส โดยโมเดล Llama ของบริษัทเป็นตัวอย่างที่ดีของแนวคิดนี้ ซักเคอร์เบิร์กเชื่อว่าการแบ่งปันเทคโนโลยีจะช่วยกระตุ้นนวัตกรรมและสร้างระบบนิเวศที่หลากหลายมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ซักเคอร์เบิร์กย้ำว่าความโปร่งใสและความรับผิดชอบเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนา AI “เราไม่ได้พยายามสร้าง AI เหล่านี้และทำให้ผู้คนคิดว่าพวกเขากำลังโต้ตอบกับตัวครีเอเตอร์เอง เราต้องการให้มันมีความใกล้เคียงกับครีเอเตอร์มากที่สุดเท่าที่ครีเอเตอร์ต้องการ แต่มันจะถูกระบุอย่างชัดเจนว่าเป็น AI เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน” เขากล่าว

อนาคตของอุปกรณ์สวมใส่ (Wearable Device) แว่นตาอัจฉริยะและ wristband อ่านคลื่นไฟฟ้าจากระบบประสาท

นอกเหนือจาก AI แล้ว ซักเคอร์เบิร์กยังมองว่าอุปกรณ์สวมใส่จะเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คนในอนาคตอันใกล้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแว่นตาอัจฉริยะและ wristband อ่านคลื่นไฟฟ้าจากระบบประสาท

Meta ได้เปิดตัวแว่นตา Ray-Ban Meta ซึ่งเป็นความร่วมมือกับแบรนด์แว่นตาชื่อดัง Ray-Ban แว่นตารุ่นนี้มาพร้อมกับกล้อง ไมโครโฟน และลำโพงในตัว ทำให้ผู้ใช้สามารถถ่ายภาพ วิดีโอ และมีปฏิสัมพันธ์กับ AI ได้โดยไม่ต้องใช้มือ

ซักเคอร์เบิร์กมองว่าแว่นตาอัจฉริยะมีศักยภาพที่จะเข้ามาแทนที่สมาร์ทโฟนในอนาคต แม้ว่าจะไม่ได้ทดแทนทั้งหมด แต่อาจทำให้เราใช้สมาร์ทโฟนน้อยลง เช่นเดียวกับที่สมาร์ทโฟนทำให้เราใช้คอมพิวเตอร์น้อยลงในปัจจุบัน

“ผมคิดว่าความสามารถในการแปลและพากย์เสียงโดยอัตโนมัติเป็นสิ่งที่ผมค่อนข้างตื่นเต้นสำหรับอนาคต” ซักเคอร์เบิร์กกล่าว “การที่สามารถแปลเนื้อหาของคุณเป็นภาษาต่างๆ โดยอัตโนมัติ และทำให้คนจำนวนมากเข้าถึงได้ จะมีพลังมาก ถ้ามันสามารถทำให้รู้สึกเป็นธรรมชาติและเหมือนคุณกำลังพูดภาษานั้นจริงๆ”

Ray-Ban Meta ซึ่งเป็นความร่วมมือกับแบรนด์แว่นตาชื่อดัง Ray-Ban (CR:Mashable)
Ray-Ban Meta ซึ่งเป็นความร่วมมือกับแบรนด์แว่นตาชื่อดัง Ray-Ban (CR:Mashable)

นอกจากนี้ Meta ยังกำลังพัฒนา wristband อ่านคลื่นไฟฟ้าจากระบบประสาท ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่สามารถรับสัญญาณจากระบบประสาทใต้ผิวหนังได้ ทำให้ผู้ใช้สามารถควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ได้โดยแทบไม่ต้องขยับมือ

“คุณสามารถมีสายรัดข้อมือที่ได้รับการฝึกให้รับสัญญาณที่แตกต่างกันและเส้นทางของสมองที่สื่อสารเพื่อเคลื่อนไหวมือของคุณในลักษณะที่แตกต่างจากที่คุณทำแบบปกติ” ซักเคอร์เบิร์กอธิบาย “ในที่สุดคุณก็จะถึงจุดที่คุณสามารถสื่อสารกับอินเตอร์เฟซระบบประสาทนี้ได้โดยแทบไม่ต้องขยับมือให้คนอื่นเห็นมากนัก”

ซักเคอร์เบิร์กเชื่อว่าการผสมผสานระหว่างแว่นตาอัจฉริยะแล wristband อ่านคลื่นไฟฟ้าจากระบบประสาทจะสร้างประสบการณ์การใช้งานที่เหนือกว่าสมาร์ทโฟนในปัจจุบัน โดยทำให้ผู้ใช้สามารถอยู่ในโลกความเป็นจริงได้อย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันก็ยังสามารถเข้าถึงข้อมูลและมีปฏิสัมพันธ์กับเทคโนโลยีได้อย่างราบรื่น

แม้ว่าวิสัยทัศน์ของซักเคอร์เบิร์กจะดูน่าตื่นเต้น แต่ก็มาพร้อมกับความท้าทายและคำถามมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของผลกระทบต่อการจ้างงานและความเป็นส่วนตัว

ซักเคอร์เบิร์กมองว่าการพัฒนาของ AI จะไม่ได้นำไปสู่การทดแทนงานของมนุษย์ทั้งหมด แต่จะเป็นการเปลี่ยนแปลงลักษณะของงาน เขาเปรียบเทียบกับวิวัฒนาการของมนุษยชาติที่ผ่านมา ซึ่งเทคโนโลยีได้ช่วยให้ผู้คนมีโอกาสทำงานที่สร้างสรรค์มากขึ้น

“เมื่อเทคโนโลยีพัฒนาไป เครื่องมือที่เราใช้ก็จะพัฒนาตามไปด้วย และส่วนหนึ่งของการเป็นคนที่มีความสามารถในยุคนี้ก็คือการก้าวทันเครื่องมือเหล่านั้น” ซักเคอร์เบิร์กกล่าว “ผมเชื่อว่าทุกคนมีความคิดสร้างสรรค์ในแบบของตัวเอง”

ซักเคอร์เบิร์กยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการสร้างเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้คนสามารถแสดงออกทางความคิดสร้างสรรค์ได้มากขึ้น เขาอ้างอิงคำพูดของปิกัสโซที่ว่า “เด็กทุกคนเป็นศิลปิน ความท้าทายคือการรักษาความเป็นศิลปินไว้เมื่อเติบโตขึ้น” และมองว่าเทคโนโลยีสามารถช่วยให้ผู้คนรักษาความคิดสร้างสรรค์นั้นไว้ได้

อย่างไรก็ตาม ความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวและการใช้ข้อมูลยังคงเป็นประเด็นสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพูดถึงอุปกรณ์สวมใส่ที่สามารถเก็บข้อมูลได้ตลอดเวลา ซักเคอร์เบิร์กยอมรับว่านี่เป็นความท้าทายที่สำคัญและต้องมีการพัฒนาแนวทางการปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้อย่างจริงจัง

นอกจากนี้ ซักเคอร์เบิร์กยังแสดงความเห็นเกี่ยวกับการสร้างแบรนด์ในยุคดิจิทัล โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีเรื่องราวและเอกลักษณ์เฉพาะตัว เขายกตัวอย่างโครงการส่วนตัวของเขาเอง โครงการผลิตเนื้อวัวคุณภาพดีที่สุดในโลกด้วยการให้อาหารวัวของเขาด้วยแมคคาเดเมียและเบียร์ที่ผลิตในท้องถิ่นในฮาวาย ที่มีการผสมผสานนวัตกรรมและความเป็นเอกลักษณ์เข้าด้วยกัน

โครงการผลิตเนื้อวัวคุณภาพดีที่ Mark Zuckerberg ริเริ่มขึ้นมา (CR:MoneyControl)
โครงการผลิตเนื้อวัวคุณภาพดีที่ Mark Zuckerberg ริเริ่มขึ้นมา (CR:MoneyControl)

“ทุกคนทำอะไรบางอย่างในแบบที่เป็นเอกลักษณ์ และผมคิดว่าการเฉลิมฉลองและการแสดงออกถึงเรื่องราวเกี่ยวกับความเป็นเอกลักษณ์ของสิ่งที่คุณกำลังทำ เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่เจ๋ง” ซักเคอร์เบิร์กกล่าว

มุมมองสู่อนาคต

ในช่วงท้ายของการสัมภาษณ์ ซักเคอร์เบิร์กได้แสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับอนาคตของเทคโนโลยีในอีก 5-10 ปีข้างหน้า โดยเขาเชื่อว่าแว่นตาอัจฉริยะจะมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด โดยอาจมีการแบ่งเป็นสามระดับ:

  1. แว่นตาพื้นฐานที่มีกล้อง ไมโครโฟน และลำโพงในตัว
  2. แว่นตาที่มีจอแสดงผลขนาดเล็กเพิ่มเติม
  3. แว่นตาที่มีระบบโฮโลแกรมเต็มรูปแบบ

ซักเคอร์เบิร์กยังกล่าวถึงการพัฒนา AI รุ่นต่อไปอย่าง Llama 4 ซึ่งจะมีความสามารถในการใช้เหตุผลและการทำงานแบบหลายโมดัล (Multimodal) ที่ดีขึ้น

“เมื่อมันเปลี่ยนจากการเป็นแชทบอทแบบผลัดกันพูดไปเป็นเอเจนต์ที่คุณสามารถให้มันทำในสิ่งที่คุณอยากทำ และมันสามารถทำสิ่งที่ซับซ้อนมากขึ้นให้คุณได้ นั่นจะเจ๋งมาก” ซักเคอร์เบิร์กกล่าว

ท้ายที่สุด ซักเคอร์เบิร์กเน้นย้ำว่าการพัฒนาเทคโนโลยีควรมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มขีดความสามารถของมนุษย์ ไม่ใช่การแทนที่มนุษย์ เขามองว่าอนาคตที่ดีที่สุดคือการที่มนุษย์และเทคโนโลยีทำงานร่วมกันอย่างกลมกลืน โดยเทคโนโลยีช่วยขยายขอบเขตของสิ่งที่มนุษย์สามารถทำได้

การสัมภาษณ์นี้ให้มุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับทิศทางของเทคโนโลยีในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้าน AI และอุปกรณ์สวมใส่ แม้ว่าวิสัยทัศน์ของซักเคอร์เบิร์กจะดูเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์ในบางแง่มุม แต่ก็เป็นภาพที่น่าตื่นเต้นและท้าทายสำหรับอนาคตที่กำลังจะมาถึง

อย่างไรก็ตาม เราต้องตระหนักว่าการพัฒนาเทคโนโลยีเหล่านี้จำเป็นต้องคำนึงถึงผลกระทบทางสังคม จริยธรรม และความเป็นส่วนตัวอย่างรอบด้าน การสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมและความรับผิดชอบจะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างอนาคตที่ดีกว่าสำหรับทุกคน

ในขณะที่เราก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของเทคโนโลยี เราทุกคนมีบทบาทสำคัญในการกำหนดว่าเทคโนโลยีเหล่านี้จะถูกใช้อย่างไรและจะส่งผลกระทบต่อสังคมของเราอย่างไร การเปิดใจรับฟังมุมมองที่หลากหลาย และการมีส่วนร่วมในการถกเถียงเกี่ยวกับอนาคตของเทคโนโลยี จะช่วยให้เราสามารถสร้างอนาคตที่ทุกคนได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง

References :
บทสัมภาษณ์ Mark Zuckerberg : Mark Zuckerberg on Creators, AI Studio, Neural Wristbands, Holographic Smart Glasses, Picasso & More จากช่อง Youtube Kallaway
https://youtu.be/m88OV10vRLA?si=XJs9UsBVsePDAswY