จุดเริ่มต้นของความร่วมมือระหว่าง Altman และ Musk เกิดขึ้นในปี 2015 ท่ามกลางบรรยากาศของความกังวลเกี่ยวกับการครอบงำของ Google ในวงการ AI หลังจากที่บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีได้เข้าซื้อกิจการของ DeepMind ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพด้าน Neural Network จากลอนดอน
ในช่วงเวลานั้น ผู้เชี่ยวชาญในวงการต่างเห็นพ้องกันว่า Google มีความได้เปรียบอย่างมากในการพัฒนา AGI (Artificial General Intelligence) ซึ่งเป็นระบบ AI ที่มีความสามารถเทียบเท่ามนุษย์
ในงานเลี้ยงอาหารค่ำที่โรงแรมหรู Rosewood Sand Hill ใน Silicon Valley Altman และ Musk พร้อมด้วยนักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีคนอื่น ๆ ได้ริเริ่มแนวคิดในการสร้างห้องปฏิบัติการด้าน AI ที่มีความโปร่งใสและเปิดกว้าง โดยมีเป้าหมายที่จะทำให้เทคโนโลยี AI ขั้นสูงเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะอย่างทั่วถึง
แนวคิดนี้ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากกลุ่ม “PayPal Mafia” ซึ่งรวมถึง Peter Thiel และ Reid Hoffman ที่ได้ร่วมลงทุนหลายล้านดอลลาร์เพื่อให้โครงการนี้เป็นจริง
ในขณะเดียวกัน Altman ก็ไม่ได้นิ่งเฉยต่อการโจมตีของ Musk โดยได้ตอบโต้ในระหว่างการให้สัมภาษณ์พอดแคสต์ “On With Kara Swisher” ด้วยการเรียก Musk ว่า “ไอ้หน้าโง่” แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่เสื่อมถอยลงอย่างรุนแรงระหว่างทั้งสอง
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ก็ต้องยอมรับว่าทั้ง Musk และ Altman ต่างก็มีบทบาทสำคัญในการผลักดันการพัฒนา AI ให้ก้าวหน้า Musk เองก็เป็นผู้ที่มีส่วนสำคัญในการดึงตัว Ilya Sutskever วิศวกรด้าน AI ชั้นนำของ Google ให้มาร่วมงานกับ OpenAI ในช่วงเริ่มต้น ซึ่ง Sutskever นี้เองที่ภายหลังได้เข้าร่วมกับคณะกรรมการของ OpenAI ในการพยายามไล่ Altman ออกเมื่อเดือนที่แล้ว แม้ว่าท้ายที่สุดแล้ว Altman จะสามารถกลับมาดำรงตำแหน่งได้อีกครั้ง
ความขัดแย้งระหว่าง Musk และ Altman อาจสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างในวิสัยทัศน์และแนวทางในการพัฒนา AI แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าทั้งสองต่างมีความห่วงใยต่อผลกระทบของเทคโนโลยี AI ต่อมนุษยชาติ Musk มักจะเตือนถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจาก AI ขั้นสูง ในขณะที่ Altman ก็พยายามที่จะพัฒนา AI อย่างมีความรับผิดชอบและเป็นประโยชน์ต่อสังคม
ความขัดแย้งระหว่าง Musk และ Altman อาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งของภาพใหญ่ในการแข่งขันด้าน AI ที่กำลังทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ทั้งหลายต่างก็พยายามที่จะครอบครองและเป็นผู้นำในเทคโนโลยีนี้ ซึ่งมีศักยภาพที่จะเปลี่ยนแปลงโลกอย่างมหาศาล การควบคุมอำนาจทางด้าน AI อาจนำไปสู่การมีอิทธิพลอย่างมากในโลกอนาคต
ในท้ายที่สุด เส้นทางของ Musk และ Altman อาจแยกจากกัน แต่ทั้งสองก็ยังคงเป็นตัวละครสำคัญในการกำหนดอนาคตของ AI พวกเขาอาจมีวิธีการและมุมมองที่แตกต่างกัน แต่เป้าหมายสุดท้ายของทั้งคู่ก็คือการพัฒนาเทคโนโลยีที่จะเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ ความขัดแย้งระหว่างพวกเขาอาจเป็นแรงผลักดันให้เกิดการพัฒนาและการตรวจสอบที่จำเป็นในวงการ AI ซึ่งกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
ในโลกแห่งความสำเร็จ เรามักได้ยินเรื่องราวของผู้ที่เกิดมาพร้อมโอกาสทองคำ หรือเกิดมาบนกองเงินกองทอง วันนี้ผมอยากเล่าเรื่องราวที่แตกต่างออกไป เรื่องราวของ Jack Ma ที่เริ่มต้นจากจุดที่ต่ำต้อย แต่กลับสามารถสร้างอาณาจักรธุรกิจระดับโลกได้ด้วยความมุ่งมั่นและวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของเขา
Jack Ma เกิดในครอบครัวธรรมดา ไม่ได้ร่ำรวยหรือมีการศึกษาสูง การเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยชั้นนำดูเหมือนเป็นความฝันที่ไกลเกินเอื้อม เขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยถึงสามครั้งแต่ไม่สำเร็จ ในที่สุดเขาจึงเลือกเรียนที่วิทยาลัยครู ในสาขาภาษาอังกฤษ ซึ่งถือเป็นสถาบันอันดับรองในเมืองของเขา
แต่ด้วยทัศนคติเชิงบวก เขากลับมองว่านี่คือโอกาสทองของชีวิต เขาเชื่อว่าการศึกษาที่แท้จริงไม่ได้วัดกันที่ชื่อเสียงของสถาบัน แต่อยู่ที่ความตั้งใจและความมุ่งมั่นของผู้เรียน เขาจึงทุ่มเทให้กับการเรียนอย่างเต็มที่ จนกระทั่งจบการศึกษาและได้เป็นครูสอนภาษาอังกฤษในมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ Jack Ma เองก็ยังสมัครเรียนต่อที่ Harvard Business School ด้วย แต่ก็ถูกปฏิเสธกว่า 10 ครั้ง!
ปัจจุบัน เขาได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก เขาได้มีโอกาสพบปะกับบุคคลสำคัญมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Bill Gates, Warren Buffet, Jack Welch, Larry Page หรือ Mark Zuckerberg
มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Meta ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับวิสัยทัศน์ของเขาต่ออนาคตของเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) และอุปกรณ์สวมใส่ ซึ่งบทสัมภาษณ์นี้เผยให้เห็นถึงแนวคิดที่น่าสนใจหลายประการ
AI: จากหนึ่งสู่ความหลากหลาย
ซักเคอร์เบิร์กมองว่า อนาคตของ AI จะไม่ใช่ระบบเดียวที่ครอบคลุมทุกอย่าง แต่จะเป็นระบบที่หลากหลายและเฉพาะทางมากขึ้น เขากล่าวว่า “ผมไม่เชื่อว่าควรมี AI แค่ตัวเดียวเท่านั้น เราคิดว่าผู้คนต้องการที่จะโต้ตอบกับคนและธุรกิจที่หลากหลาย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมี AI หลายๆ ตัวที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองความสนใจที่แตกต่างกันของผู้คน”
Meta กำลังพัฒนาแพลตฟอร์มที่เรียกว่า AI Studio ซึ่งจะช่วยให้ครีเอเตอร์และธุรกิจสามารถสร้าง AI ของตัวเองได้ ซักเคอร์เบิร์กเชื่อว่านี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการ AI โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการสื่อสารระหว่างแบรนด์หรือครีเอเตอร์กับกลุ่มเป้าหมายของพวกเขา
“ส่วนสำคัญของแนวทางของเราคือการเปิดโอกาสให้ครีเอเตอร์ทุกคน และในที่สุดก็จะรวมถึงธุรกิจขนาดเล็กบนแพลตฟอร์มของเราด้วย สามารถสร้าง AI ของตัวเองขึ้นมาเพื่อช่วยในการปฏิสัมพันธ์กับชุมชนและลูกค้าของพวกเขา” ซักเคอร์เบิร์กกล่าว
นอกจากนี้ Meta ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนา AI แบบโอเพนซอร์ส โดยโมเดล Llama ของบริษัทเป็นตัวอย่างที่ดีของแนวคิดนี้ ซักเคอร์เบิร์กเชื่อว่าการแบ่งปันเทคโนโลยีจะช่วยกระตุ้นนวัตกรรมและสร้างระบบนิเวศที่หลากหลายมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ซักเคอร์เบิร์กย้ำว่าความโปร่งใสและความรับผิดชอบเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนา AI “เราไม่ได้พยายามสร้าง AI เหล่านี้และทำให้ผู้คนคิดว่าพวกเขากำลังโต้ตอบกับตัวครีเอเตอร์เอง เราต้องการให้มันมีความใกล้เคียงกับครีเอเตอร์มากที่สุดเท่าที่ครีเอเตอร์ต้องการ แต่มันจะถูกระบุอย่างชัดเจนว่าเป็น AI เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน” เขากล่าว
นอกเหนือจาก AI แล้ว ซักเคอร์เบิร์กยังมองว่าอุปกรณ์สวมใส่จะเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คนในอนาคตอันใกล้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแว่นตาอัจฉริยะและ wristband อ่านคลื่นไฟฟ้าจากระบบประสาท
Meta ได้เปิดตัวแว่นตา Ray-Ban Meta ซึ่งเป็นความร่วมมือกับแบรนด์แว่นตาชื่อดัง Ray-Ban แว่นตารุ่นนี้มาพร้อมกับกล้อง ไมโครโฟน และลำโพงในตัว ทำให้ผู้ใช้สามารถถ่ายภาพ วิดีโอ และมีปฏิสัมพันธ์กับ AI ได้โดยไม่ต้องใช้มือ
References : บทสัมภาษณ์ Mark Zuckerberg : Mark Zuckerberg on Creators, AI Studio, Neural Wristbands, Holographic Smart Glasses, Picasso & More จากช่อง Youtube Kallaway https://youtu.be/m88OV10vRLA?si=XJs9UsBVsePDAswY