Alien Species Ecommerce บริษัทที่ชั่วร้ายที่สุดที่กำลังเข้ายึดครองสหรัฐอเมริกา

ในขณะที่ประเทศไทยเรากำลังต่อสู้กับปลาหมอสีคางดำ ปลาเอเลี่ยนสปีชีส์ (Alien Species) ที่กำลังบุกรุกทำลายล้างระบบนิเวศน์ทางทะเลของประเทศเราอย่างหนัก ในอีกฟากมุมหนึ่งของโลก สหรัฐอเมริกาก็กำลังถูก บริษัทอีคอมเมิร์ซสัญชาติจีนที่มองแล้วไม่น่าจะต่างจาก Alien Species สักเท่าไหร่

และอย่าเพิ่งตกใจกับชื่อพาดหัวของบทความนี้ เพราะผมให้เกียรติทางต้นฉบับที่ผมนำมาเรียบเรียง ซึ่งเขาก็ขึ้นพาดหัววีดีโอนี้ไว้อย่างน่าสนใจก็คือ The Most Evil Company That Took Over The USA

ในโลกของการช้อปปิ้งออนไลน์ที่เต็มไปด้วยตัวเลือกมากมาย ในขณะนี้มีชื่อหนึ่งที่กำลังสร้างความฮือฮาและเปลี่ยนแปลงวงการไปอย่างรวดเร็ว นั่นคือ Temu แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสัญชาติจีนที่กำลังเป็นที่พูดถึงทั่วโลก

แม้จะเพิ่งเปิดตัวในปี 2022 แต่ Temu ก็ได้ขยายธุรกิจไปแล้วกว่า 50 ประเทศ และกลายเป็นแอปพลิเคชันยอดนิยมอันดับหนึ่งในสหรัฐอเมริกาในปี 2023 ด้วยผู้ใช้งานรายเดือนมากกว่า 50 ล้านคน

ความสำเร็จของ Temu ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น พวกเขายังก้าวขึ้นเป็นเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซอันดับสองของโลกที่มีผู้เข้าชมมากที่สุด และในเดือนมกราคม 2024 ยอดขายของพวกเขาพุ่งทะยานขึ้นกว่า 800% เทียบกับปีก่อนหน้า ตัวเลขเหล่านี้ทำให้หลายคนต้องตั้งคำถามว่า อะไรคือกุญแจสำคัญที่ทำให้ Temu ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วเช่นนี้

จุดกำเนิดของ Temu: บทเรียนจาก Pinduoduo

Temu เป็นผลผลิตของบริษัท PDD Holdings (เดิมชื่อ Pinduoduo) ซึ่งเป็นบริษัทอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ของจีนที่เริ่มต้นธุรกิจด้วยความเชี่ยวชาญในการขายสินค้าเกษตรแบบขายส่งผ่านระบบการซื้อร่วมกันระหว่างเพื่อนและคนแปลกหน้า โมเดลธุรกิจนี้เติบโตอย่างมากในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะในเมืองเล็กๆ ของจีนที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน

การร่วมมือกันซื้อสินค้าของผู้บริโภคช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่นและยังเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรให้สามารถประกอบอาชีพต่อไปได้ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ความสำเร็จนี้ทำให้ PDD Holdings มองเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจไปยังตลาดต่างประเทศ จึงได้พัฒนา Temu ขึ้นมาเพื่อรองรับผู้ใช้ชาวตะวันตกโดยเฉพาะ

กลยุทธ์การตลาดที่แยบยล

หากเป็นผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตของสหรัฐอเมริกาในช่วงนี้ ก็ต้องเคยเห็นโฆษณาของ Temu ปรากฏขึ้นในหลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น Google, Facebook, Instagram หรือ TikTok ซึ่ง Temu ได้ลงทุนมหาศาลกับการโฆษณา โดยเฉพาะอย่างยิ่งโฆษณาอันโด่งดังในช่วง Super Bowl ซึ่งเป็นเป็นสุดยอดเกมการแข่งขันอเมริกันฟุตบอลที่มีผู้ชมนับร้อยล้านคนทั่วโลก

นอกจากการโฆษณาแล้ว Temu ยังได้รับการบอกต่อปากต่อปากอย่างรวดเร็ว เนื่องจากสินค้าบนแพลตฟอร์มมีราคาที่ถูกมาก ยกตัวอย่างเช่น รองเท้าราคาเพียง 20 ดอลลาร์ นาฬิกาอัจฉริยะคล้าย Apple Watch ในราคา 20 ดอลลาร์ และเสื้อเชิ้ตราคาต่ำกว่า 5 ดอลลาร์ ราคาที่ต่ำอย่างไม่น่าเชื่อนี้ทำให้ผู้บริโภคเกิดความสนใจและอยากลองใช้บริการ

โมเดลธุรกิจที่แตกต่าง

สิ่งที่ทำให้ Temu แตกต่างจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซทั่วไปคือ วิธีการจัดการห่วงโซ่อุปทาน แทนที่จะใช้รูปแบบดั้งเดิมที่มีหลายขั้นตอน เช่น โรงงาน – คลังสินค้า – หน้าร้าน – ผู้ซื้อ Temu เลือกที่จะตัดส่วนกลางออกและขายตรงจากโรงงานสู่ผู้บริโภค

วิธีการนี้มีข้อดีคือ ด้วยการร่วมมือกับซัพพลายเออร์มากกว่า 100,000 รายในประเทศจีน ซึ่งเป็นฐานการผลิตที่ใหญ่ที่สุดในโลก Temu สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายบนแพลตฟอร์มของตน ตั้งแต่ของเล่นแมวไปจนถึงเครื่องมือช่างและสินค้าอื่นๆ อีกมากมาย

นอกจากนี้ โมเดลธุรกิจของ Temu ยังช่วยแก้ปัญหาสำคัญของผู้ผลิต นั่นคือการคาดการณ์ความต้องการของตลาด แทนที่จะต้องพยายามทำนายว่าสินค้าชิ้นไหนจะขายดีและผลิตให้พอดีกับความต้องการ ซึ่งหากผลิตมากเกินไปก็จะเกิดต้นทุนในการเก็บรักษาสินค้า หรือหากผลิตน้อยเกินไปก็จะเสียโอกาสในการทำกำไร Temu เปิดโอกาสให้ผู้ผลิตนำสินค้าทุกรูปแบบขึ้นบนแพลตฟอร์มและดูว่าชิ้นไหนได้รับความนิยม

ลองนึกภาพว่าผู้ผลิตของเล่นมีสินค้า 8 แบบที่ต้องการจะขายในช่วงเทศกาลคริสต์มาส แทนที่จะต้องคาดเดาว่าของเล่นชิ้นไหนจะขายดีและผลิตล่วงหน้า พวกเขาสามารถนำสินค้าทั้งหมดขึ้นบน Temu และดูว่าชิ้นไหนได้รับความสนใจมากกว่ากัน วิธีนี้ช่วยลดต้นทุนในการเก็บรักษา การจัดการ และการทำตลาดของผู้ค้าปลีกแบบดั้งเดิมได้อย่างมาก

อย่างไรก็ตาม ข้อเสียของวิธีนี้คือ การจัดส่งสินค้าจะใช้เวลานานกว่าปกติ เนื่องจาก Temu ไม่ได้เก็บสต็อกสินค้าไว้ล่วงหน้า ทำให้ต้องใช้เวลาในการผลิตและจัดส่งจากต้นทาง

โดยทั่วไปแล้ว Temu ใช้เวลาประมาณ 15 วันทำการในการจัดส่งสินค้าถึงหน้าประตูบ้านลูกค้า ซึ่งนานกว่า Amazon ที่ใช้เวลาเพียง 2 วัน แต่ในมุมมองของ Temu การรอคอยที่นานขึ้นนี้แลกมาด้วยข้อมูลการตลาดที่มีค่า เพราะทุกการสั่งซื้อคือการสำรวจตลาดขนาดเล็กที่ช่วยให้พวกเขาเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น

การสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่น่าตื่นเต้น

Temu ไม่ได้เพียงแค่นำเสนอสินค้าราคาถูกเท่านั้น แต่ยังสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่น่าตื่นเต้นและสนุกสนานให้กับผู้ใช้งาน พวกเขาได้นำเอาองค์ประกอบของเกม (Gamification) มาผสมผสานเข้ากับการช้อปปิ้ง ทำให้การซื้อของบน Temu เหมือนกับการเล่นสล็อตแมชชีน

ผู้ใช้สามารถหมุนวงล้อเพื่อลุ้นรับส่วนลดพิเศษสำหรับตะกร้าสินค้าของตน มีการนับถอยหลังเพื่อสร้างความเร่งด่วนในการตัดสินใจซื้อ นอกจากนี้ Temu ยังเสนอทางเลือกในการแบ่งชำระเงินออกเป็น 4 งวด แม้ว่าสินค้านั้นจะมีราคาถูกมากก็ตาม และยังมีเกมให้อาหารปลาเสมือนจริงเพื่อรับเครดิตสำหรับการซื้อสินค้าเพิ่มเติม

การผสมผสานระหว่างการช้อปปิ้งและความบันเทิงนี้ทำให้ประสบการณ์การใช้งาน Temu คล้ายกับการเดินเล่นในร้านขายของมือสองที่ผสมผสานกับบรรยากาศของคาสิโน ซึ่งกลยุทธ์นี้ดูเหมือนจะได้ผลเป็นอย่างดี

ในปี 2023 ยอดขายของ Temu ในสหรัฐอเมริกาทะลุ 5 พันล้านดอลลาร์ ทราฟฟิกเพิ่มขึ้นเกือบ 85% ในวัน Black Friday และรายได้เพิ่มขึ้นเกือบสามเท่าในระยะเวลาเพียงหนึ่งปีเพียงเท่านั้น

แม้ว่า Temu จะประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว แต่ก็มีความท้าทายและข้อกังวลหลายประการที่ต้องเผชิญ PDD Holdings ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Temu ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าขาดความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจ บริษัทมีพนักงานเพียงประมาณ 13,000 คน ซึ่งถือว่าน้อยมากสำหรับบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงขนาดนี้

นอกจากนี้ยังมีการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการจ่ายเงินและงบการเงินที่ค่อนข้างคลุมเครือ ทำให้ยากที่จะแยกแยะระหว่างมูลค่าของ Temu และ Pinduoduo จากข้อมูลที่เปิดเผยออกมา

ปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่งของ Temu คือคุณภาพของสินค้าที่จำหน่ายบนแพลตฟอร์ม หลายครั้งที่ลูกค้าพบว่าสินค้าที่ได้รับไม่ตรงตามคำอธิบาย บางครั้งเป็นของปลอมราคาถูกของแบรนด์ที่มีชื่อเสียง หรือแย่กว่านั้นคือไม่ปลอดภัยเกินกว่าจะใช้งาน

ปัญหานี้ส่งผลให้อัตราการรักษาลูกค้า (customer retention rate) ของ Temu อยู่ที่เพียงประมาณ 30% เท่านั้น เทียบกับ Amazon Prime ที่มีอัตราการรักษาลูกค้าสูงถึง 90%

และยังมีข้อกล่าวหาว่า Temu อาจเกี่ยวข้องกับการใช้แรงงานทาสในห่วงโซ่อุปทานของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคซินเจียงของจีน ซึ่งมีรายงานว่ามีชาวอุยกูร์เกือบ 2 ล้านคนถูกกักขังในค่ายกักกันและถูกบังคับให้ทำงาน

แม้ว่า Temu จะปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านี้ แต่การตรวจสอบอิสระจาก Ultra Information Solutions พบว่ามีผลิตภัณฑ์อย่างน้อย 10 รายการบน Temu ที่อาจเชื่อมโยงกับการใช้แรงงานทาสนี้

นอกจากนี้ การผลิตสินค้าราคาถูกจำนวนมากยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของการใช้ปิโตรเคมีในการผลิตสินค้าพลาสติกและเสื้อผ้าราคาถูก ซึ่งทำให้ความต้องการน้ำมันยังคงสูงอยู่

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ

การเติบโตอย่างรวดเร็วของ Temu และแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซจากจีนอื่นๆ ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกา

หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Temu สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วคือการใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ทางกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพดานมูลค่า de minimis ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งกำหนดว่าสินค้านำเข้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 800 ดอลลาร์ไม่ต้องเสียภาษีศุลกากร ทำให้ Temu สามารถนำเข้าสินค้าจำนวนมากโดยไม่ต้องเสียภาษี ในขณะที่บริษัทอเมริกันต้องจ่ายภาษีศุลกากรมหาศาล

ช่องโหว่ทางกฎหมายนี้ทำให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมระหว่างบริษัทอเมริกันและผู้ขายจากจีน ในปี 2022 บริษัทเสื้อผ้ายักษ์ใหญ่อย่าง Gap ต้องจ่ายภาษีศุลกากรประมาณ 700 ล้านดอลลาร์ H&M จ่าย 200 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่ Temu และ Shein แทบไม่ต้องจ่ายภาษีเลย

การนำเข้าสินค้าราคาถูกจำนวนมากจากจีนส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการผลิตในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งต้องแข่งขันกับสินค้าที่มีราคาต่ำกว่าอย่างมาก

อนาคตของ Temu และอีคอมเมิร์ซจากจีน

แม้ว่า Temu จะประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วในช่วงแรก แต่อนาคตของบริษัทยังไม่แน่นอน มีหลายปัจจัยที่อาจส่งผลต่อการเติบโตในระยะยาวของ Temu และแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซจากจีนอื่นๆ

1. การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ

มีแนวโน้มที่สหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ อาจพิจารณาปรับเปลี่ยนกฎระเบียบเพื่อปิดช่องโหว่ทางกฎหมายที่ Temu และบริษัทอื่นๆ ใช้ประโยชน์อยู่ เช่น การลดเพดานมูลค่า de minimis หรือการเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบสินค้านำเข้า ซึ่งตัวอย่างในประเทศไทยเราก็เริ่มปรับกฎหมายรูปแบบคล้ายกันนี้แล้ว

2. การแข่งขันที่เพิ่มขึ้น

บริษัทอีคอมเมิร์ซรายใหญ่อย่าง Amazon หรือ eBay อาจปรับกลยุทธ์เพื่อแข่งขันกับ Temu มากขึ้น โดยอาจเน้นการนำเสนอสินค้าราคาประหยัดหรือปรับปรุงประสบการณ์การช้อปปิ้งให้น่าสนใจยิ่งขึ้น

3. การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค

ในระยะยาว ผู้บริโภคอาจให้ความสำคัญกับคุณภาพของสินค้าและความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความนิยมในสินค้าราคาถูกจาก Temu

4. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ความตึงเครียดทางการเมืองและการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทจีนในตลาดอเมริกัน รวมถึง Temu ด้วย

บทสรุป

Temu เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจของการปฏิวัติในวงการอีคอมเมิร์ซ ด้วยโมเดลธุรกิจที่ผสมผสานระหว่างการตัดคนกลาง การทดสอบตลาดแบบเรียลไทม์ และการสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่น่าตื่นเต้น Temu สามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดดในเวลาอันสั้น

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จนี้มาพร้อมกับความท้าทายและข้อกังวลมากมาย ทั้งในแง่ของคุณภาพสินค้า ความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม รวมถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ

ในอนาคต Temu และแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซจากจีนอื่นๆ จะต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของกฎระเบียบ การแข่งขันที่เพิ่มขึ้น และความคาดหวังของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ความสำเร็จในระยะยาวของพวกเขาจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการสร้างสมดุลระหว่างการนำเสนอสินค้าราคาประหยัดและการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ

สำหรับผู้บริโภคชาวไทย การเข้าใจถึงโมเดลธุรกิจและผลกระทบของแพลตฟอร์มอย่าง Temu ถือเป็นโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยได้เรียนรู้และปรับตัวเพื่อรับมือกับการแข่งขันในยุคดิจิทัลที่มีความท้าทายมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่า Temu ก็คงจะบุกมายังประเทศไทยในเร็ววันนี้

ในขณะเดียวกัน ภาครัฐของไทยควรพิจารณาถึงผลกระทบของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซต่างชาติต่อเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมภายในประเทศ เพื่อกำหนดนโยบายและมาตรการที่เหมาะสมในการส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรมและปกป้องผลประโยชน์ของผู้บริโภคและผู้ประกอบการไทย

ท้ายที่สุด การเติบโตของ Temu และแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอื่นๆ จากจีนเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการเปลี่ยนแปลงในภูมิทัศน์การค้าโลก ซึ่งทำให้เส้นแบ่งระหว่างตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศเลือนรางลง ความท้าทายสำหรับทุกฝ่ายคือการปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงนี้ โดยไม่ละเลยประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืนและความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อสร้างระบบการค้าที่เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่ายในระยะยาวได้นั่นเองครับผม

References :
แปลและเรียบเรียงจาก VDO : The Most Evil Company That Took Over The USA ช่อง Youtube : hoser
https://youtu.be/ZvC_QLrBfUM?si=Ym_GD6iOgOlPUndl

เสียงที่สั่นสะเทือนเศรษฐกิจโลก: เมื่อประธานาธิบดีอาร์เจนตินาเปิดโปงความจริงที่หลายคนไม่กล้าพูด!

ณ เวที World Economic Forum 2024 ประธานาธิบดี Javier Milei แห่งอาร์เจนตินาได้กล่าวสุนทรพจน์อันทรงพลังที่สุดครั้งหนึ่งในงานใหญ่นี้ ซึ่งได้เปิดเผยมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของโลกตะวันตก

เขาเริ่มต้นด้วยการเตือนถึงภัยคุกคามที่โลกตะวันตกกำลังเผชิญหน้า – ไม่ใช่ภัยจากภายนอก แต่เป็นภัยที่เกิดจากภายในสังคมของเราเอง

“โลกตะวันตกกำลังตกอยู่ในอันตราย” Milei กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อันตรายนี้เกิดขึ้นเพราะผู้ที่ควรจะปกป้องคุณค่าของโลกตะวันตกกลับถูกครอบงำด้วยวิสัยทัศน์ที่นำไปสู่ลัทธิสังคมนิยมและความยากจนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”

คำพูดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลอย่างลึกซึ้งของ Milei ต่อแนวโน้มที่เขามองว่ากำลังบ่อนทำลายรากฐานของความมั่งคั่งและเสรีภาพในโลกตะวันตก เขาชี้ให้เห็นว่าในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ผู้นำของโลกตะวันตกได้ค่อยๆ ละทิ้งหลักการของเสรีนิยม และหันเหไปสู่รูปแบบต่างๆ ของ “Collectivism (แนวความคิดคติรวมหมู่)” แทน

Milei อธิบายว่าการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากแรงผลักดันของคนสองกลุ่ม: กลุ่มแรกคือผู้ที่มีเจตนาดีต้องการช่วยเหลือผู้อื่น ส่วนกลุ่มที่สองคือผู้ที่ปรารถนาจะเป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นพิเศษ แม้เจตนาของทั้งสองกลุ่มจะแตกต่างกัน แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกลับคล้ายคลึงกัน นั่นคือการลดทอนเสรีภาพทางเศรษฐกิจและส่วนบุคคลลงไปเรื่อยๆ

“เราอยู่ที่นี่เพื่อบอกกับท่านว่า การทดลองใช้แนวความคิด Collectivism ไม่ใช่ทางออกสำหรับปัญหาที่ประชาชนทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่” Milei กล่าวด้วยความมั่นใจ “แต่มันกลับเป็นรากเหง้าของปัญหาเหล่านั้น”

เพื่อสนับสนุนแนวคิดนี้ Milei จึงได้พูดถึงประสบการณ์ของประเทศบ้านเกิดของเขาเป็นตัวอย่าง อาร์เจนตินาเคยเป็นหนึ่งในประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลกเมื่อร้อยปีก่อน แต่การเปลี่ยนแปลงนโยบายทางเศรษฐกิจได้นำพาประเทศไปสู่วงจรแห่งความยากจนและความถดถอย

“เมื่อเรานำแบบจำลองเสรีนิยมมาใช้ในปี 1860 ภายในเวลาเพียง 35 ปี เราก็กลายเป็นมหาอำนาจระดับโลก” Milei กล่าว “แต่เมื่อเราหันไปสู่แนวความคิด Collectivism ในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา เราก็ได้เห็นว่าประชาชนของเราเริ่มยากจนลงอย่างเป็นระบบ และเราตกลงไปอยู่ในอันดับที่ 140 ของโลก”

ประสบการณ์ของอาร์เจนตินาไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์จากการละทิ้งหลักการของเสรีนิยมทางเศรษฐกิจ Milei ชี้ให้เห็นว่าประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่าระบบทุนนิยมเสรีเป็นเครื่องมือเดียวที่สามารถยกระดับประชากรส่วนใหญ่ของโลกให้พ้นจากความยากจนได้

“หากเรามองย้อนไปในประวัติศาสตร์ของความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ” Milei อธิบาย “เราจะเห็นว่าระหว่างปี ค.ศ. 0 ถึงปี ค.ศ. 1800 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัวของโลกแทบไม่เปลี่ยนแปลงเลย” แต่หลังจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมและการนำระบบทุนนิยมเสรีมาใช้ โลกก็ได้เห็นการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดด

Milei ได้ยกตัวเลขมาสนับสนุนแนวคิดของเขา: “ในปี ค.ศ. 1800 ประชากรโลกประมาณ 95% อยู่ในความยากจนขั้นรุนแรง และตัวเลขนี้ลดลงเหลือ 5% ในปี ค.ศ. 2020 ก่อนที่จะเกิดการระบาดใหญ่” นี่คือความสำเร็จที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ และเป็นผลมาจากการใช้ระบบทุนนิยมเสรีนั่นเอง

แต่ทำไมระบบที่ประสบความสำเร็จเช่นนี้ถึงถูกโจมตีและถูกละทิ้งในหลายประเทศ? Milei ได้นำเสนอคำอธิบายที่น่าสนใจ เขาชี้ให้เห็นว่าปัญหาส่วนหนึ่งมาจากความเข้าใจผิดในทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย

“ปัญหาของนักเศรษฐศาสตร์นีโอคลาสสิก (neoclassical economic theory) คือ แบบจำลองที่พวกเขาเชิดชูนั้นไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง” Milei วิจารณ์ “ดังนั้นพวกเขาจึงโทษความผิดพลาดของตนให้กับสิ่งที่เรียกว่า ‘ความล้มเหลวของตลาด (market failures)’ แทนที่จะทบทวนข้อสันนิษฐานของแบบจำลอง”

การเชื่อในแนวคิดเรื่อง “ความล้มเหลวของตลาด” นำไปสู่การแทรกแซงของรัฐที่มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่ง Milei มองว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เขาเชื่อว่าการแทรกแซงเหล่านี้ไม่ได้แก้ไขปัญหา แต่กลับสร้างปัญหาใหม่และบิดเบือนกลไกตลาดที่ควรจะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

“ตลาดไม่ใช่เพียงแค่กราฟที่อธิบายเส้นโค้งของอุปสงค์และอุปทาน” Milei อธิบาย “ตลาดคือกลไกของความร่วมมือทางสังคม ที่คุณแลกเปลี่ยนสิทธิในการเป็นเจ้าของโดยสมัครใจ” ด้วยมุมมองนี้ Milei จึงเชื่อว่าไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “ความล้มเหลวของตลาด” อย่างแท้จริง หากการแลกเปลี่ยนนั้นเกิดขึ้นโดยสมัครใจ

นอกจากความเข้าใจผิดในทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แล้ว Milei ยังชี้ให้เห็นถึงอันตรายของแนวคิดแบบสังคมนิยมสมัยใหม่ที่แฝงตัวอยู่ในสังคม เขาวิพากษ์วิจารณ์ว่าแนวคิดเหล่านี้ได้ครอบงำสถาบันสำคัญๆ ในสังคม ไม่ว่าจะเป็นสื่อ วงการศึกษา และองค์กรระหว่างประเทศ

“พวกนีโอมาร์กซิสต์ได้ครอบงำสามัญสำนึกของโลกตะวันตก” Milei กล่าวอย่างเด็ดขาด “และพวกเขาประสบความสำเร็จในการทำเช่นนี้โดยการยึดครองสื่อ วัฒนธรรม มหาวิทยาลัย และองค์กรระหว่างประเทศ”

แม้จะวาดภาพที่น่าวิตกกังวล แต่ Milei ก็ไม่ได้สิ้นหวัง เขาเชื่อว่ายังมีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงทิศทางและนำพาโลกกลับสู่เส้นทางแห่งเสรีภาพและความรุ่งเรือง

“เรามาที่นี่วันนี้เพื่อเชิญชวนประเทศอื่นๆ ในโลกตะวันตกให้กลับสู่เส้นทางแห่งความรุ่งเรือง” Milei กล่าวด้วยความหวัง “เสรีภาพทางเศรษฐกิจ รัฐบาลที่จำกัด และการเคารพทรัพย์สินส่วนบุคคลอย่างไม่มีข้อจำกัดเป็นองค์ประกอบที่จำเป็นสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ”

Milei ปิดท้ายสุนทรพจน์ด้วยการส่งข้อความถึงนักธุรกิจและผู้ประกอบการทั่วโลก เขาเรียกร้องให้พวกเขากล้าที่จะยืนหยัดต่อสู้กับแนวคิดที่จะบั่นทอนเสรีภาพทางเศรษฐกิจ

“อย่าหวาดกลัวไม่ว่าจะเป็นชนชั้นนำทางการเมืองหรือปรสิตที่คอยแทรกซึมอยู่ภายในรัฐ” Milei กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “อย่ายอมจำนนต่อชนชั้นทางการเมืองที่ต้องการเพียงแค่รักษาอำนาจและรักษาสิทธิพิเศษของพวกเขา”

ในมุมมองของ Milei นักธุรกิจและผู้ประกอบการไม่ใช่ตัวร้ายในสังคม แต่เป็นวีรบุรุษผู้สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับโลก เขากล่าวย้ำว่า “พวกคุณคือผู้มีพระคุณต่อสังคม พวกคุณคือวีรบุรุษ พวกคุณคือผู้สร้างช่วงเวลาแห่งความรุ่งเรืองที่น่าทึ่งที่สุดที่เราเคยเห็น”

Milei พยายามปลุกจิตวิญญาณของการเป็นผู้ประกอบการ โดยเน้นย้ำว่าความทะเยอทะยานและความปรารถนาที่จะประสบความสำเร็จไม่ใช่สิ่งที่ผิดศีลธรรม แต่เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่นำมาซึ่งนวัตกรรมและการพัฒนา “ถ้าคุณทำเงินได้ นั่นเป็นเพราะคุณเสนอผลิตภัณฑ์ที่ดีกว่าในราคาที่ดีกว่า ซึ่งมีส่วนช่วยในการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีโดยรวม” เขากล่าว

ในช่วงท้ายของสุนทรพจน์ Milei ได้ส่งสารที่ทรงพลังและท้าทาย เขาเรียกร้องให้ทุกคนต่อต้านการขยายอำนาจของรัฐที่มากเกินไป “อย่ายอมแพ้ต่อการรุกคืบของรัฐ” เขากล่าวอย่างแข็งกร้าว “รัฐไม่ใช่ทางออก รัฐคือตัวปัญหาเอง”

Milei ปิดท้ายด้วยการประกาศจุดยืนของอาร์เจนตินาในเวทีโลก เขากล่าวว่า “เชื่อมั่นเถอะว่านับจากวันนี้ อาร์เจนตินาจะเป็นพันธมิตรที่ไม่มีเงื่อนไขของคุณ” นี่เป็นการส่งสัญญาณว่าภายใต้การนำของเขา อาร์เจนตินาจะเป็นประเทศที่เปิดกว้างสำหรับการลงทุนและการค้าเสรี

สุนทรพจน์ของ Milei จบลงด้วยประโยคอันทรงพลัง “ขอให้เสรีภาพจงเจริญ” ท่ามกลางเสียงปรบมือกึกก้องจากผู้ฟัง

การกล่าวสุนทรพจน์ครั้งนี้ของประธานาธิบดี Milei ไม่เพียงแต่เป็นการนำเสนอวิสัยทัศน์ทางเศรษฐกิจของเขาเท่านั้น แต่ยังเป็นการท้าทายกระแสความคิดหลักในโลกตะวันตกอีกด้วย เขาได้นำเสนอมุมมองที่แตกต่างและท้าทายต่อแนวคิดทางเศรษฐกิจและสังคมที่กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าแนวคิดของ Milei จะได้รับการตอบรับอย่างท่วมท้นจากบางส่วนของสังคม แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามันยังคงเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง หลายคนอาจไม่เห็นด้วยกับการวิเคราะห์ของเขาเกี่ยวกับสาเหตุของปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคม และอาจมองว่าวิธีการแก้ปัญหาที่เขาเสนอนั้นดูมันจะง่ายเกินไปสำหรับโลกที่มีความซับซ้อนสูงในยุคปัจจุบัน

นักวิชาการและนักเศรษฐศาสตร์บางคนอาจโต้แย้งว่าการมองว่าตลาดเสรีเป็นทางออกเดียวสำหรับทุกปัญหาเป็นมุมมองที่แคบเกินไป พวกเขาอาจชี้ให้เห็นว่าประเทศที่ประสบความสำเร็จทางเศรษฐกิจหลายแห่งใช้นโยบายผสมผสานระหว่างกลไกตลาดและการแทรกแซงของรัฐในระดับที่เหมาะสม

นอกจากนี้ ประเด็นเรื่องความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมที่เพิ่มขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก แม้ในช่วงที่เศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว ก็เป็นอีกหนึ่งข้อโต้แย้งที่ผู้วิจารณ์แนวคิดของ Milei อาจหยิบยกขึ้นมา พวกเขาอาจเสนอว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียวไม่ได้รับประกันว่าทุกคนในสังคมจะได้รับประโยชน์อย่างเท่าเทียมกัน

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับ Milei สุนทรพจน์ของเขาก็ได้จุดประกายการถกเถียงที่สำคัญเกี่ยวกับทิศทางทางเศรษฐกิจและสังคมของโลกตะวันตก มันท้าทายให้เราต้องพิจารณาอย่างจริงจังว่าเราควรจัดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ ตลาด และประชาชนอย่างไรเพื่อสร้างสังคมที่เจริญรุ่งเรืองและเป็นธรรมสำหรับทุกคน

ในท้ายที่สุด สุนทรพจน์ของ Milei เป็นการเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวิธีคิดและวิธีการจัดการเศรษฐกิจของโลกตะวันตก เขาเชื่อว่าการกลับไปสู่หลักการของเสรีนิยมทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริงคือหนทางเดียวที่จะนำพาโลกไปสู่ความรุ่งเรืองและเสรีภาพที่แท้จริง แม้ว่าวิสัยทัศน์ของเขาอาจจะดูเป็นเรื่องอุดมคติหรือท้าทายเกินไปสำหรับบางคน แต่มันก็เป็นเสียงเรียกร้องที่ทรงพลังให้เราทบทวนและตั้งคำถามกับสถานะปัจจุบันของสังคมและเศรษฐกิจโลก

ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร สุนทรพจน์ของ Milei จะถูกจดจำว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการถกเถียงเกี่ยวกับอนาคตของระบบเศรษฐกิจโลก และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในวิธีที่เรามองและจัดการกับความท้าทายทางเศรษฐกิจและสังคมในศตวรรษที่ 21

References :
อ้างอิง Collectivism แนวความคิดคติรวมหมู่ จาก https://www.psy.chula.ac.th/th/feature-articles/individualism-collectivism/

“แนวคิดคติรวมหมู่” หมายถึง แนวคิดที่บุคคลให้ความสำคัญกับเป้าหมายของกลุ่มมากกว่าเป้าหมายของตัวเอง บุคคลจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยกันและกัน ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ของสมาชิกในกลุ่ม และประพฤติตนสอดคล้องกับบรรทัดฐานที่กลุ่มกำหนดไว้
https://www.youtube.com/live/Pfcd0gWNIog?si=UpllfMq1ClRgWFbI
https://www.usatoday.com/story/news/world/2024/05/10/argentinas-economy-javier-milei-inflation/73624401007/

เปลี่ยน ‘เสียงคัดค้าน’ เป็น ‘แรงบันดาลใจ’ กับบทเรียนชีวิตจาก ‘Terminator’ สู่ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย

ในโลกแห่งความสำเร็จ มีกฎที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง นั่นคือการมีวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นที่จะผลักดันไปให้ถึงจุดหมาย Arnold Schwarzenegger ชายผู้ประสบความสำเร็จในหลากหลายด้าน ทั้งในฐานะนักเพาะกาย นักแสดง และนักการเมือง ได้แบ่งปันประสบการณ์และแนวคิดที่นำพาเขาสู่ความสำเร็จ ผ่านกฎสองข้อที่เขายึดถือมาตลอดชีวิต

กฎข้อแรก: มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน

Arnold เล่าย้อนไปถึงวัยเด็กของเขาในประเทศออสเตรีย หลังสงครามโลกครั้งที่สอง เขาเติบโตมาในครอบครัวธรรมดา แต่ภายในใจของเด็กชายคนหนึ่ง กลับมีความฝันที่ยิ่งใหญ่กว่าสิ่งแวดล้อมรอบตัว Arnold รู้สึกว่าตัวเองเกิดมาเพื่อทำสิ่งที่พิเศษ

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อ Arnold อายุ 11 ปี เมื่อเขาได้ชมสารคดีเกี่ยวกับประเทศสหรัฐอเมริกา ภาพของตึกระฟ้า สะพานขนาดมหึมา และทางด่วนหกเลนได้จุดประกายความฝันในใจของเด็กชายคนหนึ่ง เขาตั้งปณิธานว่าสักวันหนึ่งจะต้องไปให้ถึงดินแดนแห่งโอกาสนั้นให้ได้

ไม่นานหลังจากนั้น Arnold ได้พบกับแรงบันดาลใจอีกครั้งจากนิตยสารเพาะกาย ที่มีภาพของ Reg Park นักเพาะกายชื่อดังบนปก Park ไม่เพียงแต่เป็น Mr. Universe สามสมัย แต่ยังเป็นนักแสดงที่ประสบความสำเร็จอีกด้วย นี่คือจุดเริ่มต้นของวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนของ Arnold เขาตั้งเป้าหมายว่าจะต้องประสบความสำเร็จเช่นเดียวกับ Park ทั้งในด้านการเพาะกาย การแสดง และการมีชื่อเสียง

Arnold เน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน เขาเปรียบเทียบชีวิตของคนที่มีเป้าหมายกับคนที่ไม่มี คนที่มีวิสัยทัศน์จะมีแรงผลักดันในการทำสิ่งต่างๆ แม้จะเป็นงานที่ยากลำบาก แต่พวกเขาก็จะทำด้วยรอยยิ้มและความกระตือรือร้น เพราะรู้ว่าทุกย่างก้าวนำพวกเขาเข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้น

ในทางตรงกันข้าม คนที่ไม่มีวิสัยทัศน์มักจะรู้สึกเบื่อหน่ายกับงานที่ทำ Arnold ยกตัวอย่างสถิติที่น่าตกใจว่า 74% ของคนในอเมริกาเกลียดงานของตัวเอง และในยุโรปก็ไม่ต่างกันมาก เหตุผลสำคัญคือพวกเขาไม่ได้ทำงานเพื่อไล่ตามความฝันหรือเป้าหมายของตัวเอง แต่เป็นเพียงการทำงานเพื่อหาเลี้ยงชีพเท่านั้น

Arnold ยังเล่าถึงประสบการณ์ของเขาในวงการการเมือง แม้ว่าเขาจะไม่สามารถลงสมัครเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้เนื่องจากไม่ได้เกิดในอเมริกา แต่เขาก็มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนว่าจะเป็นผู้ว่าการรัฐ California ให้ได้ ซึ่งถือเป็นตำแหน่งสูงสุดที่เขาสามารถทำได้ในทางการเมือง และเขาก็ประสบความสำเร็จในการทำตามวิสัยทัศน์นั้น

กฎข้อที่สอง: อย่าฟังคนที่บอกว่าคุณทำไม่ได้

Arnold เล่าว่าตลอดเส้นทางสู่ความสำเร็จของเขา มักจะมีเสียงคัดค้านและความไม่เชื่อมั่นจากคนรอบข้างเสมอ ไม่ว่าจะเป็นในด้านการเพาะกาย การแสดง หรือการเมือง แต่เขาเลือกที่จะไม่ฟังเสียงเหล่านั้น

เขาให้คำแนะนำที่น่าสนใจว่า เมื่อมีคนบอกว่า “ทำไม่ได้” เขาจะได้ยินว่า “ทำได้” เมื่อคนพูดว่า “ไม่” เขาจะได้ยินว่า “ใช่” และเมื่อคนบอกว่า “เป็นไปไม่ได้” เขาจะได้ยินว่า “เป็นไปได้” นี่คือทัศนคติที่ช่วยให้เขาก้าวข้ามอุปสรรคต่างๆ ในชีวิต

Arnold ยกตัวอย่างจากประสบการณ์ในวงการภาพยนตร์ เมื่อเริ่มต้นอาชีพนักแสดง หลายคนบอกว่าเขาไม่มีทางประสบความสำเร็จได้เพราะรูปร่างที่ใหญ่โตเกินไปและสำเนียงที่แปลกประหลาด แต่เขาไม่ย่อท้อ ยังคงพัฒนาตัวเองอย่างหนัก ทั้งเรียนภาษาอังกฤษ ฝึกการแสดง และพยายามเปลี่ยนสำเนียง

ความพยายามของเขาส่งผลให้ได้รับบทนำในภาพยนตร์เรื่อง “Conan the Barbarian” ซึ่งกลายเป็นหนังฮิตอันดับหนึ่งในช่วงฤดูร้อนปี 1982 จนผู้กำกับถึงกับพูดว่า “ถ้าเราไม่มี Arnold เราคงต้องสร้างเขาขึ้นมาเอง” ทันใดนั้น สิ่งที่เคยถูกมองว่าเป็นจุดอ่อนของ Arnold ทั้งรูปร่างและสำเนียง กลับกลายเป็นจุดแข็งที่ทำให้เขาโดดเด่นในวงการภาพยนตร์

เรื่องราวคล้ายกันนี้เกิดขึ้นอีกครั้งกับภาพยนตร์เรื่อง “Terminator” ที่สำเนียงแปลกๆ ของ Arnold กลับกลายเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้ตัวละครน่าจดจำ จนผู้กำกับ James Cameron ถึงกับพูดว่า “ถ้า Arnold ไม่มีสำเนียงแบบนั้นและพูดเหมือนเครื่องจักร ผมคิดว่าหนังคงไม่ประสบความสำเร็จ”

Arnold สรุปว่า บทเรียนสำคัญที่เขาอยากฝากไว้คือ เมื่อมีคนพูดว่า “ไม่ นี่เป็นไอเดียที่โง่” คุณไม่จำเป็นต้องพูดอะไรออกมา แต่ในใจควรคิดว่า “คุณรู้อะไรบ้างล่ะ?” แล้วมุ่งมั่นทำตามความฝันของตัวเองต่อไป

กฎสองข้อนี้ของ Arnold Schwarzenegger ไม่เพียงแต่เป็นแนวทางสู่ความสำเร็จเท่านั้น แต่ยังเป็นปรัชญาในการใช้ชีวิตที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การทำงาน หรือการไล่ตามความฝันส่วนตัว การมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนจะช่วยให้เรามีเป้าหมายและแรงผลักดันในการก้าวไปข้างหน้า ในขณะที่การไม่ฟังเสียงคัดค้านจะช่วยให้เรามีความมั่นใจและกล้าที่จะทำในสิ่งที่แตกต่าง

ท้ายที่สุด กฎแห่งความสำเร็จของ Arnold Schwarzenegger ไม่เพียงแต่เป็นแนวทางสู่ความสำเร็จเท่านั้น แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนกล้าที่จะฝัน กล้าที่จะทำ และกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเอง แม้ว่าจะต้องเผชิญกับอุปสรรคและเสียงคัดค้านมากมายก็ตาม