อิตาลี vs ไทย : บทเรียนการเติบโตแบบ Old Economy ในยุค Digital Disruption

ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวล้ำไปอย่างรวดเร็ว หลายคนอาจสงสัยว่าประเทศไทยจำเป็นต้องเร่งพัฒนาด้านเทคโนโลยีเพื่อความอยู่รอดหรือไม่ เราต้องมี unicorn เยอะ ๆ จริงหรือ? แล้วประเทศพัฒนาแล้วประเทศอื่นล่ะ พวกเขาจำเป็นต้องมีบริษัททางด้านเทคโนโลยีเพื่อผลักดันประเทศให้กลายเป็นประเทศพัฒนาแล้วจริงหรือไม่

ในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม หลายคนอาจคิดว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจต้องพึ่งพาธุรกิจเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ความจริงแล้ว มีหลายประเทศที่ประสบความสำเร็จโดยไม่จำเป็นต้องมีบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ อิตาลีเป็นตัวอย่างที่ดีของประเทศที่เติบโตด้วยจุดแข็งดั้งเดิมของตน

ภูมิหลัง: อิตาลี – แบบอย่างของการเติบโตแบบ Old Economy

ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน จาก 8 Minute History มีการเทียบไทยกับอิตาลีในแง่วัฒนธรรมและลักษณะนิสัยของผู้คนได้อย่างน่าสนใจ ทั้งสองประเทศมีวิถีชีวิตที่มีความ “ชิลล์” คล้ายคลึงกัน แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้อิตาลีจะไม่มีบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก แต่กลับสามารถเติบโตจนมี GDP เป็นอันดับ 9 ของโลก และถือเป็นประเทศพัฒนาแล้วที่มีรายได้ต่อหัวสูง

เมื่อพิจารณาบริษัทที่มีมูลค่าตลาด (Market Cap) สูงสุดในอิตาลี เราจะเห็นภาพที่น่าสนใจ:

  1. Ferrari – ผู้ผลิตรถยนต์หรู
  2. Enel – บริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่
  3. Intesa Sanpaolo – สถาบันการเงินชั้นนำ
  4. UniCredit – ธนาคาร
  5. ENI – บริษัทน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ
  6. Generali – บริษัทประกันภัย

จะเห็นได้ว่า บริษัทชั้นนำของอิตาลีล้วนเป็นธุรกิจแบบดั้งเดิมหรือ Old Economy ทั้งสิ้น ไม่มีบริษัทเทคโนโลยีปรากฏในอันดับต้น ๆ เลย

เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศไทย เราจะเห็นภาพที่คล้ายคลึงกัน:

  1. Delta Electronics – ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และระบบจัดการพลังงาน
  2. PTT – บริษัทพลังงานแห่งชาติ
  3. AOT – ผู้บริหารสนามบินหลักของประเทศ
  4. AIS – ผู้ให้บริการโทรคมนาคมชั้นนำ
  5. PTTEP – บริษัทสำรวจและผลิตปิโตรเลียม
  6. Gulf – ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่
  7. CP All – ผู้นำด้านธุรกิจค้าปลีก

แม้ว่า Delta Electronics จะเป็นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี แต่ก็ไม่ได้เป็นบริษัทเทคโนโลยีล้วน ๆ เหมือนกับ Google หรือ Facebook แต่เป็นบริษัทที่ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และระบบจัดการพลังงาน ซึ่งก็ยังคงมีลักษณะของธุรกิจการผลิตแบบดั้งเดิมอยู่มาก

เมื่อเทียบจำนวนบริษัท Unicorn ข้อมูลจาก tracxn พบว่า Italy มี 4 บริษัท ส่วนไทยมี 5 บริษัท ซึ่งถือว่ามีจำนวนค่อนข้างสูสีกับเลยทีเดียว

บ่อยครั้งที่เรามักจะได้ยินเสียงเชียร์ให้ประเทศไทยพัฒนาไปสู่การเป็น “Silicon Valley แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” หรือผลักดันให้เกิด “Unicorn” (บริษัท Startup ที่มีมูลค่าเกิน 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เยอะ ๆ ซึ่งในมุมกลับกันเราก็ควรที่จะตั้งคำถามได้เช่นกันว่า เส้นทางเหล่านี้เป็นเส้นทางที่เหมาะสมกับประเทศไทยจริงหรือ?

การมุ่งเน้นพัฒนาธุรกิจเทคโนโลยีอย่างเดียวอาจทำให้เราละเลยศักยภาพที่แท้จริงของประเทศ เราควรพิจารณาว่าอะไรคือจุดแข็งของไทย และควรส่งเสริมอุตสาหกรรมใดที่สอดคล้องกับทรัพยากรและทักษะของคนไทย

บทสรุป: เส้นทางการพัฒนาที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทย

แทนที่จะพยายามเป็นสิ่งที่เราไม่ได้ถนัด ประเทศไทยควรมุ่งเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เรามีความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว เช่น:

  1. การท่องเที่ยวและการบริการ: ไทยมีชื่อเสียงด้านการต้อนรับและวัฒนธรรมที่เป็นมิตร
  2. อุตสาหกรรมอาหาร: เรามีความเชี่ยวชาญในการผลิตอาหารคุณภาพสูง
  3. การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ: ไทยมีความได้เปรียบด้านความหลากหลายทางชีวภาพ
  4. อุตสาหกรรมยานยนต์: เรามีฐานการผลิตที่แข็งแกร่งและเครือข่าย supply chain ที่ครบวงจร และพร้อมที่จะมุ่งไปสู่ยานยนต์แห่งอนาคตอย่างรถไฟฟ้า ที่เริ่มมีหลายแบรนด์เข้ามาลงทุนตั้งฐานการผลิตกันแล้ว

การผลักดันธุรกิจเหล่านี้ให้เติบโตและขยายไปสู่ตลาดต่างประเทศ เช่น การเข้าไปลงทุนในเวียดนามของบริษัทยักษ์ใหญ่หลาย ๆ บริษัทในประเทศไทย อาจเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพมากกว่า

ท้ายที่สุด เราควรตระหนักว่าประเทศไทยมีจุดแข็งและเอกลักษณ์เฉพาะตัว การพัฒนาประเทศไม่จำเป็นต้องเดินตามรอยใคร แต่ควรเป็นเส้นทางที่สอดคล้องกับศักยภาพและวัฒนธรรมของเรา การผสมผสานระหว่างการพัฒนาอุตสาหกรรมดั้งเดิมและการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้อย่างชาญฉลาดอาจเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในระยะยาวของประเทศไทย

การมองเห็นคุณค่าในสิ่งที่เรามีและพัฒนาต่อยอดจากจุดแข็งเหล่านั้น อาจเป็นเส้นทางที่ยั่งยืนกว่าการพยายามเปลี่ยนแปลงทั้งหมดเพื่อไล่ตามกระแสโลก เราควรภูมิใจในรากเหง้าและวัฒนธรรมของเรา พร้อมกับเปิดรับนวัตกรรมที่จะช่วยยกระดับสิ่งที่เรามีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น

ในท้ายที่สุด การพัฒนาประเทศไม่ใช่การแข่งขันว่าใครจะมีบริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุด แต่เป็นการสร้างความเจริญที่ยั่งยืนและคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน ประเทศไทยมีศักยภาพมากมายที่รอการพัฒนาและต่อยอด เราเพียงแต่ต้องมองเห็นคุณค่าในสิ่งที่เรามี และใช้มันให้เกิดประโยชน์สูงสุด

References :
https://tracxn.com/d/unicorns/unicorns-in-thailand/__hz_aW4kKQWJ9rbPLD4BlDvPWeoXqfX7pq_q9RhkgqCA
https://tracxn.com/d/unicorns/unicorns-in-italy/__KHa0o50NZX-ONw7JrgYYD6rLUmfZbg6TCWGX8eCemN0
https://companiesmarketcap.com/italy/largest-companies-in-italy-by-market-cap/
https://companiesmarketcap.com/thailand/largest-companies-in-thailand-by-market-cap/

ถ้า Temu บุกไทย : จุดจบของ Shopee-Lazada หรือจุดเริ่มต้นสงครามอีคอมเมิร์ซครั้งใหม่?

ในโลกของธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การมาถึงของผู้เล่นรายใหม่อย่าง Temu อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อผู้นำตลาดอย่าง Shopee และ Lazada ที่ครองใจผู้บริโภคชาวไทยมาอย่างยาวนาน

ย้อนรอยความสำเร็จของ Shopee และ Lazada

Shopee และ Lazada ถือเป็นผู้บุกเบิกตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย ทั้งสองแพลตฟอร์มได้สร้างรากฐานที่แข็งแกร่งและได้รับความนิยมอย่างสูงจากผู้บริโภคชาวไทย ด้วยกลยุทธ์ทางการตลาดที่แข็งแกร่ง การจัดโปรโมชั่นอย่างต่อเนื่อง และการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ทั้งสองแบรนด์กลายเป็นชื่อแรก ๆ ที่ผู้บริโภคนึกถึงเมื่อต้องการซื้อสินค้าออนไลน์

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จในอดีตไม่ได้เป็นหลักประกันถึงความสำเร็จในอนาคตเสมอไป โดยเฉพาะในโลกของเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การเข้ามาของผู้เล่นรายใหม่อย่าง Temu อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ท้าทายสถานะของ Shopee และ Lazada

Temu: ผู้ท้าชิงรายใหม่จากจีน

Temu เป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่เปิดตัวโดย Pinduoduo บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่จากประเทศจีน ที่มีชื่อเสียงในด้านการนำเสนอสินค้าราคาถูกและการใช้กลยุทธ์การตลาดแบบ “Social Shopping” ซึ่งเน้นการแชร์และการซื้อร่วมกันเพื่อรับส่วนลดพิเศษ

Temu ได้สร้างความสำเร็จอย่างรวดเร็วแบบติดจรวดในตลาดสหรัฐอเมริกา โดยใช้กลยุทธ์การนำเสนอสินค้าราคาถูกพร้อมกับการทำการตลาดเชิงรุก รวมถึงการโฆษณาในช่วง Super Bowl ซึ่งเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่มีผู้ชมมากที่สุดในอเมริกา ความสำเร็จนี้ทำให้หลายคนคาดการณ์ว่า Temu อาจจะขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทยในอนาคตอันใกล้

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นเมื่อ Temu เข้าสู่ตลาดไทย

  1. การแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงขึ้น Temu มีชื่อเสียงในการนำเสนอสินค้าราคาถูก ซึ่งอาจทำให้ Shopee และ Lazada ต้องปรับกลยุทธ์ด้านราคาเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาด การแข่งขันนี้อาจส่งผลดีต่อผู้บริโภคในระยะสั้น แต่อาจส่งผลเสียต่อคุณภาพสินค้าและบริการในระยะยาว
  2. การพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ การเข้ามาของ Temu อาจกระตุ้นให้ Shopee และ Lazada เร่งพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อสร้างความแตกต่างและรักษาความได้เปรียบในการแข่งขัน ซึ่งอาจรวมถึงการพัฒนาระบบ AI เพื่อการแนะนำสินค้า หรือการปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้บนแพลตฟอร์ม
  3. การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค Temu อาจนำเสนอรูปแบบการช้อปปิ้งแบบใหม่ที่เน้นความสนุกและการมีส่วนร่วมทางสังคม ซึ่งอาจดึงดูดผู้บริโภครุ่นใหม่และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์ในวงกว้าง
  4. ผลกระทบต่อผู้ขายรายย่อย การเข้ามาของ Temu อาจส่งผลกระทบต่อผู้ขายรายย่อยบน Shopee และ Lazada โดยเฉพาะหากมีการนำเข้าสินค้าราคาถูกจำนวนมากจากจีน ซึ่งอาจทำให้ผู้ขายท้องถิ่นแข่งขันได้ยากขึ้น
  5. การปรับตัวด้านโลจิสติกส์และการจัดส่ง Temu อาจนำเสนอบริการจัดส่งที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจกดดันให้ Shopee และ Lazada ต้องปรับปรุงระบบโลจิสติกส์ของตนเองเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน

บทเรียนจากจีน: กรณีศึกษา Alibaba และ Pinduoduo

เพื่อเข้าใจผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในตลาดไทย เราสามารถมองย้อนกลับไปที่ตลาดจีน ซึ่งเป็นบ้านเกิดของทั้ง Alibaba (บริษัทแม่ของ Lazada) และ Pinduoduo (บริษัทแม่ของ Temu)

Alibaba เคยเป็นผู้นำตลาดอีคอมเมิร์ซในจีนอย่างไม่มีคู่แข่ง แต่การเข้ามาของ Pinduoduo ในปี 2015 ได้เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของตลาดอย่างมาก Pinduoduo ใช้กลยุทธ์การนำเสนอสินค้าราคาถูกและการใช้เทคโนโลยี AI ในการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค ทำให้สามารถเติบโตอย่างรวดเร็วและแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดจาก Alibaba ได้สำเร็จ

การเติบโตอย่างรวดเร็วของ Pinduoduo ในจีนทำให้หลายคนเชื่อว่า Temu อาจจะประสบความสำเร็จในลักษณะเดียวกันในตลาดต่างประเทศ รวมถึงประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ต้องคำนึงถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรมและพฤติกรรมผู้บริโภคในแต่ละประเทศด้วย

กลยุทธ์การรับมือของ Shopee และ Lazada

หาก Temu เข้าสู่ตลาดไทย Shopee และ Lazada อาจต้องปรับกลยุทธ์เพื่อรักษาความได้เปรียบในการแข่งขัน ซึ่งอาจรวมถึง:

  1. การเน้นย้ำจุดแข็งด้านความคุ้นเคยและความไว้วางใจ Shopee และ Lazada มีความได้เปรียบในด้านการเป็นแบรนด์ที่ผู้บริโภคไทยคุ้นเคยและไว้วางใจ การเน้นย้ำจุดนี้ผ่านแคมเปญการตลาดและการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าอาจช่วยรักษาฐานลูกค้าเดิมไว้ได้
  2. การพัฒนาฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคไทยโดยเฉพาะ การพัฒนาฟีเจอร์ที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะของตลาดไทย เช่น ระบบการชำระเงินที่หลากหลาย หรือการร่วมมือกับแบรนด์ท้องถิ่น อาจช่วยสร้างความแตกต่างจาก Temu ได้
  3. การเพิ่มคุณค่าให้กับระบบนิเวศของแพลตฟอร์ม Shopee และ Lazada อาจพิจารณาการขยายบริการไปสู่ด้านอื่น ๆ นอกเหนือจากการซื้อขายสินค้า เช่น การให้บริการด้านการเงิน (FinTech) หรือการสตรีมมิ่ง เพื่อสร้างระบบนิเวศที่ครบวงจรและดึงดูดผู้ใช้ให้อยู่กับแพลตฟอร์มนานขึ้น
  4. การสร้างพันธมิตรกับผู้ผลิตและแบรนด์ท้องถิ่น การร่วมมือกับผู้ผลิตและแบรนด์ท้องถิ่นอาจช่วยสร้างความแตกต่างและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคไทยได้ดียิ่งขึ้น
  5. การลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรม การลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น AI, AR หรือ VR อาจช่วยยกระดับประสบการณ์การช้อปปิ้งและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน Shopee และ Lazada อาจพิจารณาการพัฒนาฟีเจอร์ที่ช่วยให้ผู้ซื้อสามารถ “ลองสินค้า” ผ่านเทคโนโลยี AR หรือการใช้ AI ในการแนะนำสินค้าที่เหมาะสมกับผู้ใช้แต่ละคน

ผลกระทบต่อผู้บริโภคไทย

การเข้ามาของ Temu อาจส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคไทยในหลายด้าน:

  1. ทางเลือกที่หลากหลายขึ้น ผู้บริโภคไทยจะมีทางเลือกในการช้อปปิ้งออนไลน์ที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การแข่งขันด้านราคาและบริการที่ดีขึ้น
  2. ราคาสินค้าที่อาจถูกลง การแข่งขันที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้ราคาสินค้าบางประเภทถูกลง ซึ่งเป็นผลดีต่อผู้บริโภคในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ต้องระวังปัญหาสินค้าคุณภาพต่ำที่อาจเข้ามาในตลาดมากขึ้น
  3. การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการช้อปปิ้ง รูปแบบการช้อปปิ้งแบบใหม่ที่ Temu อาจนำเสนอ เช่น การช้อปปิ้งแบบกลุ่มหรือการใช้เกมในการสร้างประสบการณ์การซื้อสินค้า อาจเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการช้อปปิ้งของผู้บริโภคไทย
  4. ความท้าทายด้านความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือ ผู้บริโภคไทยอาจต้องเผชิญกับความท้าทายในการแยกแยะระหว่างสินค้าคุณภาพดีกับสินค้าคุณภาพต่ำ รวมถึงการระวังภัยจากการฉ้อโกงออนไลน์ที่อาจเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของตลาด

มุมมองต่ออนาคตของอีคอมเมิร์ซไทย

การเข้ามาของ Temu อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับตลาดอีคอมเมิร์ซไทย โดยอาจนำไปสู่การปรับตัวครั้งใหญ่ของผู้เล่นรายเดิมและการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของตลาดโดยรวม

อย่างไรก็ตาม การที่ Shopee และ Lazada จะกลายเป็น “แบรนด์ยุคเก่า” หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับตัวและตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคไทยที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งสองแพลตฟอร์มมีข้อได้เปรียบในด้านความคุ้นเคยกับตลาดไทยและฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง ซึ่งหากสามารถใช้ประโยชน์จากจุดแข็งนี้และพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง ก็มีโอกาสที่จะรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดไว้ได้

ในขณะเดียวกัน Temu ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายในการปรับตัวให้เข้ากับตลาดไทย ซึ่งมีลักษณะเฉพาะทั้งในด้านวัฒนธรรม พฤติกรรมผู้บริโภค และระบบการชำระเงิน ความสำเร็จของ Temu ในตลาดไทยจึงไม่ใช่เรื่องที่การันตีได้ แม้จะมีความสำเร็จในตลาดอื่น ๆ มาแล้วก็ตาม

บทสรุป

การเข้ามาของ Temu ในตลาดอีคอมเมิร์ซไทยอาจนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทั้งในแง่ของการแข่งขัน พฤติกรรมผู้บริโภค และนวัตกรรมใหม่ ๆ ในวงการ อย่างไรก็ตาม การที่ Shopee และ Lazada จะกลายเป็น “แบรนด์ยุคเก่า” หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับตัวและพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง

ผู้บริโภคไทยอาจได้รับประโยชน์จากการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในรูปแบบของราคาที่ถูกลงและบริการที่ดีขึ้น แต่ก็ต้องระมัดระวังในเรื่องของคุณภาพสินค้าและความปลอดภัยในการทำธุรกรรมออนไลน์

ในท้ายที่สุด อนาคตของตลาดอีคอมเมิร์ซไทยจะขึ้นอยู่กับการปรับตัวของทุกฝ่าย ทั้งผู้ประกอบการ ผู้บริโภค และหน่วยงานกำกับดูแล เพื่อสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตอย่างยั่งยืนและเป็นธรรมสำหรับทุกฝ่าย

References :
https://www.bbc.com/news/business-68563339
https://www.linkedin.com/pulse/redefining-southeast-asias-logistics-capture-its-ecommerce-dsiac/
https://www.bangkokpost.com/business/general/2728624/thai-e-commerce-rivalry-set-to-surge