ในช่วงต้นปี 2020 เมื่อโลกกำลังเผชิญกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เมืองอู่ฮั่นของจีนกลายเป็นศูนย์กลางความสนใจของทั่วโลก ด้วยมาตรการปิดเมืองที่เข้มงวดที่สุดในประวัติศาสตร์ ประชาชนเกือบ 10 ล้านคนถูกสั่งห้ามออกจากบ้าน ถนนหนทางว่างเปล่า สถานที่สำคัญต่าง ๆ ปิดให้บริการ
แต่ท่ามกลางความเงียบสงัดนั้น มีหนึ่งโรงงานที่ยังคงเดินเครื่องผลิตอย่างต่อเนื่อง นั่นคือโรงงานของ Yangzte Memory Technologies Corporation (YMTC) ผู้ผลิตชิปหน่วยความจำ NAND รายใหญ่ของจีน
เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญอย่างยิ่งยวดของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ต่อรัฐบาลจีน แม้แต่ในภาวะวิกฤตด้านสาธารณสุข รัฐบาลก็ยังอนุญาตให้โรงงานผลิตชิปดำเนินการต่อไปได้ พร้อมทั้งจัดรถไฟขบวนพิเศษเพื่อขนส่งพนักงานเข้าออกเมืองที่ถูกปิด นี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวความพยายามอันยิ่งใหญ่ของจีนในการก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจด้านเทคโนโลยีชิป
ในอดีตที่ผ่านมา จีนต้องพึ่งพาการนำเข้าชิปและเทคโนโลยีการผลิตจากต่างประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะจากบริษัทในสหรัฐอเมริกาและพันธมิตร ซึ่งครองความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนี้มาอย่างยาวนาน
การพึ่งพาดังกล่าวทำให้จีนตกอยู่ในสถานะเสียเปรียบทางยุทธศาสตร์ เมื่อความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างจีนและสหรัฐฯ ทวีความรุนแรงขึ้น นำไปสู่การคว่ำบาตรทางเทคโนโลยีที่สหรัฐฯ มีต่อบริษัทจีน
ผู้นำจีนตระหนักดีว่า หากต้องการก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีอย่างแท้จริง จีนจำเป็นต้องพัฒนาขีดความสามารถในการผลิตชิปของตนเองให้ได้
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง จึงได้ประกาศให้การพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญของประเทศ พร้อมทั้งทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา รวมถึงการสร้างโรงงานผลิตชิปทั่วประเทศ
รัฐบาลจีนได้จัดตั้งกองทุนพิเศษมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปทั้งในส่วนของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ บริษัทอย่าง YMTC ได้รับเงินลงทุนกว่า 24,000 ล้านดอลลาร์จาก Tsinghua Unigroup และกองทุนชิปแห่งชาติ เพื่อพัฒนาความสามารถในการผลิตหน่วยความจำ NAND ให้ทัดเทียมกับบริษัทชั้นนำระดับโลก
นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนในการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปลอจิกขั้นสูง โดย Semiconductor Manufacturing International Corporation (SMIC) ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของจีน ได้ทุ่มเทความพยายามอย่างมากในการพัฒนากระบวนการผลิตชิปขนาด 7 นาโนเมตร แม้จะถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตรไม่ให้เข้าถึงเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูงสุดก็ตาม
ความสำเร็จของ SMIC ในการผลิตชิป 7 นาโนเมตรโดยใช้เครื่องจักรรุ่นเก่า สร้างความประหลาดใจให้กับวงการอุตสาหกรรมทั่วโลก และแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของวิศวกรจีนในการคิดค้นนวัตกรรมภายใต้ข้อจำกัด ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการพึ่งพาตนเองทางเทคโนโลยีของจีนในอนาคต
แม้จะมีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แต่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของจีนยังคงเผชิญกับความท้าทายมากมาย โดยเฉพาะในส่วนของเทคโนโลยีการผลิตชิปขั้นสูงสุด เช่น เครื่องจักร EUV ซึ่งผลิตโดยบริษัท ASML ของเนเธอร์แลนด์ เครื่องจักรนี้มีความซับซ้อนอย่างมาก ประกอบด้วยชิ้นส่วนนับแสนชิ้นที่ต้องทำงานประสานกันอย่างแม่นยำ การจำลองหรือลอกเลียนแบบเทคโนโลยีนี้จึงเป็นเรื่องยากลำบากแม้แต่สำหรับประเทศที่มีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์อย่างจีน
นอกจากนี้ การคว่ำบาตรทางเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ และพันธมิตรยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์จีน โดยบริษัทจีนถูกจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีและอุปกรณ์สำคัญหลายอย่าง รวมถึงซอฟต์แวร์ออกแบบชิปขั้นสูง ซึ่งส่วนใหญ่ควบคุมโดยบริษัทสหรัฐฯ
การขาดแคลนเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญในบางด้านอาจทำให้จีนต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายในการพึ่งพาตนเองทางเทคโนโลยีชิปได้อย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม ความมุ่งมั่นและการลงทุนอย่างต่อเนื่องของรัฐบาลจีนอาจช่วยลดช่องว่างนี้ได้เร็วกว่าที่หลายคนคาดการณ์
เพื่อเอาชนะข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี จีนได้ดำเนินการหลายแนวทาง หนึ่งในนั้นคือการสนับสนุนการพัฒนาสถาปัตยกรรมชิปแบบเปิด อย่าง RISC-V ซึ่งเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับบริษัทจีนที่ต้องการหลีกเลี่ยงการพึ่งพาเทคโนโลยีจากตะวันตก บริษัทยักษ์ใหญ่อย่างอาลีบาบาได้เริ่มออกแบบโปรเซสเซอร์โดยใช้สถาปัตยกรรม RISC-V แล้ว
นอกจากนี้ จีนยังมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปในกระบวนการที่ไม่ล้ำสมัยที่สุด แต่มีความต้องการสูงในตลาด เช่น ชิปสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วไป ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ก้าวหน้าที่สุด แต่ยังคงมีตลาดขนาดใหญ่และเติบโตอย่างรวดเร็ว
การมุ่งเน้นไปที่ตลาดเฉพาะทางเหล่านี้อาจช่วยให้จีนสามารถสร้างฐานการผลิตที่แข็งแกร่งและพัฒนาความเชี่ยวชาญ ก่อนที่จะก้าวไปสู่การผลิตชิปที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นในอนาคต
ในขณะเดียวกัน จีนยังส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา เพื่อเร่งการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ มหาวิทยาลัยชั้นนำหลายแห่งได้เปิดหลักสูตรเฉพาะทางด้านการออกแบบและผลิตชิป เพื่อผลิตบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรม
ความพยายามของจีนในการพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อประเทศจีนเท่านั้น แต่ยังมีผลต่อเศรษฐกิจโลกและการแข่งขันระหว่างประเทศอีกด้วย การลงทุนมหาศาลของจีนในอุตสาหกรรมนี้อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทานโลกอย่างมีนัยสำคัญ
ในปัจจุบัน ส่วนแบ่งการผลิตชิปของจีนคิดเป็นประมาณร้อยละ 15 ของกำลังการผลิตทั่วโลก แต่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 24 ภายในปี 2030 ซึ่งจะทำให้จีนแซงหน้าไต้หวันและเกาหลีใต้ในแง่ของปริมาณการผลิต การเติบโตนี้อาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในดุลอำนาจทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของโลก
การที่จีนมีบทบาทมากขึ้นในห่วงโซ่อุปทานชิปโลกอาจนำไปสู่การแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นในอุตสาหกรรม ซึ่งอาจส่งผลดีต่อผู้บริโภคในแง่ของราคาสินค้าที่ถูกลงและนวัตกรรมที่เพิ่มขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็อาจสร้างความกังวลด้านความมั่นคงทางเทคโนโลยีให้กับประเทศตะวันตก
นอกจากนี้ การที่จีนมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีชิปสำหรับอุตสาหกรรมเฉพาะทาง เช่น ยานยนต์ไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) อาจช่วยให้จีนก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเหล่านี้ได้ในอนาคต ซึ่งจะส่งผลต่อการแข่งขันในตลาดโลกอย่างมีนัยสำคัญ
แม้ว่าจีนจะมีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในการพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ แต่ยังคงมีความท้าทายหลายประการที่ต้องเผชิญในอนาคต:
- การพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง: จีนยังคงต้องพยายามอย่างหนักเพื่อปิดช่องว่างทางเทคโนโลยีกับผู้นำในอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในด้านการผลิตชิปขนาดเล็กที่สุดและมีประสิทธิภาพสูงสุด
- การรักษาบุคลากรที่มีความสามารถ: การแข่งขันเพื่อดึงดูดและรักษาวิศวกรและนักวิจัยที่มีความสามารถสูงจะเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรม
- การจัดการกับข้อจำกัดทางการค้าและการเมืองระหว่างประเทศ: ความตึงเครียดทางการเมืองและการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ และพันธมิตรอาจส่งผลกระทบต่อการเข้าถึงเทคโนโลยีและตลาดสำคัญ
- การสร้างระบบนิเวศที่สมบูรณ์: จีนจำเป็นต้องพัฒนาระบบนิเวศของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ที่ครบวงจร ตั้งแต่การวิจัยและพัฒนาไปจนถึงการผลิตและการตลาด
แม้จะมีความท้าทายเหล่านี้ แต่โอกาสสำหรับจีนในการก้าวขึ้นเป็นผู้เล่นสำคัญในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์โลกยังคงมีอยู่มาก ด้วยการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากรัฐบาล การลงทุนมหาศาล และความมุ่งมั่นของภาคเอกชน จีนมีโอกาสที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมนี้ในทศวรรษหน้า
บทสรุป: ความฝันที่กำลังเป็นจริง
ความพยายามของจีนในการสร้างอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ที่แข็งแกร่งเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความมุ่งมั่นของประเทศในการก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจทางเทคโนโลยี แม้จะเผชิญกับอุปสรรคและความท้าทายมากมาย แต่จีนก็แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าอย่างน่าประทับใจในช่วงเวลาอันสั้น
การพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของจีนไม่เพียงแต่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศเท่านั้น แต่ยังมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อห่วงโซ่อุปทานโลกและการแข่งขันระหว่างประเทศ ความสำเร็จของจีนในการบรรลุเป้าหมายนี้จะเป็นตัวกำหนดบทบาทของประเทศในเวทีโลกในอนาคต
ในขณะที่ความฝันของจีนในการเป็นมหาอำนาจด้านเทคโนโลยีชิปกำลังค่อย ๆ กลายเป็นความจริง โลกก็กำลังเฝ้าดูด้วยความสนใจและความกังวล การเปลี่ยนแปลงนี้อาจนำไปสู่การปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ในระเบียบโลกทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจ ซึ่งทุกประเทศจะต้องปรับตัวและหาวิธีรับมือกับความท้าทายและโอกาสใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้น
ไม่ว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นอย่างไร ความพยายามของจีนในการพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์จะเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับประเทศอื่น ๆ ในการวางแผนยุทธศาสตร์ด้านเทคโนโลยีและการพัฒนาอุตสาหกรรมในอนาคต ความสำเร็จหรือความล้มเหลวของจีนในการบรรลุเป้าหมายนี้จะส่งผลกระทบต่อทิศทางการพัฒนาเทคโนโลยีของโลกในทศวรรษหน้าอย่างแน่นอน
References :
เรียบเรียงจากหนังสือ Chip War: The Fight for the World’s Most Critical Technology โดย Chris Miller
https://www.reuters.com/technology/huaweis-new-chip-breakthrough-likely-trigger-closer-us-scrutiny-analysts-2023-09-05/