Geek Daily EP239 : เมื่อ TikTok Shop เตรียมล้ม Shopee-Lazada ใครจะครองบัลลังก์อีคอมเมิร์ซอาเซียน?

เราได้เห็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของธุรกิจอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นสำคัญของ TikTok แอปพลิเคชันวิดีโอสั้นยอดนิยมที่กำลังสั่นสะเทือนวงการค้าปลีกออนไลน์ในภูมิภาคนี้

จากรายงานการศึกษาประจำปีล่าสุดของบริษัทที่ปรึกษา Momentum Works ในสิงคโปร์ ได้เผยให้เห็นถึงการเติบโตอย่างน่าทึ่งของ TikTok Shop ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของ TikTok โดยในปี 2023 TikTok Shop สามารถเพิ่มยอดขายสินค้า online รวม (GMV) ได้ถึงเกือบสี่เท่า จาก 4.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2022 เป็น 16.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ นับเป็นอัตราการเติบโตที่เร็วที่สุดในบรรดาคู่แข่งในภูมิภาค

เมื่อรวมกับ Tokopedia ของอินโดนีเซีย ซึ่ง TikTok ได้เข้าถือหุ้นส่วนใหญ่เมื่อปีที่แล้ว แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของ TikTok ได้แซงหน้า Lazada ขึ้นมาเป็นผู้เล่นอันดับสองในภูมิภาคอาเซียน โดยมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 28.4% เมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/4ypyj5nu

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/exwus26n

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/tve6wmjm

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
http://bit.ly/2kxHtQ3

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/djOufuq1wSk

ชิปเดิมพันมหาอำนาจ เส้นทางสู่ฝันของจีนที่จะครองบัลลังก์โลกเทคโนโลยี

ในช่วงต้นปี 2020 เมื่อโลกกำลังเผชิญกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เมืองอู่ฮั่นของจีนกลายเป็นศูนย์กลางความสนใจของทั่วโลก ด้วยมาตรการปิดเมืองที่เข้มงวดที่สุดในประวัติศาสตร์ ประชาชนเกือบ 10 ล้านคนถูกสั่งห้ามออกจากบ้าน ถนนหนทางว่างเปล่า สถานที่สำคัญต่าง ๆ ปิดให้บริการ

แต่ท่ามกลางความเงียบสงัดนั้น มีหนึ่งโรงงานที่ยังคงเดินเครื่องผลิตอย่างต่อเนื่อง นั่นคือโรงงานของ Yangzte Memory Technologies Corporation (YMTC) ผู้ผลิตชิปหน่วยความจำ NAND รายใหญ่ของจีน

เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญอย่างยิ่งยวดของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ต่อรัฐบาลจีน แม้แต่ในภาวะวิกฤตด้านสาธารณสุข รัฐบาลก็ยังอนุญาตให้โรงงานผลิตชิปดำเนินการต่อไปได้ พร้อมทั้งจัดรถไฟขบวนพิเศษเพื่อขนส่งพนักงานเข้าออกเมืองที่ถูกปิด นี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวความพยายามอันยิ่งใหญ่ของจีนในการก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจด้านเทคโนโลยีชิป

ในอดีตที่ผ่านมา จีนต้องพึ่งพาการนำเข้าชิปและเทคโนโลยีการผลิตจากต่างประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะจากบริษัทในสหรัฐอเมริกาและพันธมิตร ซึ่งครองความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนี้มาอย่างยาวนาน

การพึ่งพาดังกล่าวทำให้จีนตกอยู่ในสถานะเสียเปรียบทางยุทธศาสตร์ เมื่อความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างจีนและสหรัฐฯ ทวีความรุนแรงขึ้น นำไปสู่การคว่ำบาตรทางเทคโนโลยีที่สหรัฐฯ มีต่อบริษัทจีน

ผู้นำจีนตระหนักดีว่า หากต้องการก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีอย่างแท้จริง จีนจำเป็นต้องพัฒนาขีดความสามารถในการผลิตชิปของตนเองให้ได้

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง จึงได้ประกาศให้การพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญของประเทศ พร้อมทั้งทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา รวมถึงการสร้างโรงงานผลิตชิปทั่วประเทศ

รัฐบาลจีนได้จัดตั้งกองทุนพิเศษมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปทั้งในส่วนของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ บริษัทอย่าง YMTC ได้รับเงินลงทุนกว่า 24,000 ล้านดอลลาร์จาก Tsinghua Unigroup และกองทุนชิปแห่งชาติ เพื่อพัฒนาความสามารถในการผลิตหน่วยความจำ NAND ให้ทัดเทียมกับบริษัทชั้นนำระดับโลก

นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนในการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปลอจิกขั้นสูง โดย Semiconductor Manufacturing International Corporation (SMIC) ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของจีน ได้ทุ่มเทความพยายามอย่างมากในการพัฒนากระบวนการผลิตชิปขนาด 7 นาโนเมตร แม้จะถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตรไม่ให้เข้าถึงเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูงสุดก็ตาม

ความสำเร็จของ SMIC ในการผลิตชิป 7 นาโนเมตรโดยใช้เครื่องจักรรุ่นเก่า สร้างความประหลาดใจให้กับวงการอุตสาหกรรมทั่วโลก และแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของวิศวกรจีนในการคิดค้นนวัตกรรมภายใต้ข้อจำกัด ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการพึ่งพาตนเองทางเทคโนโลยีของจีนในอนาคต

แม้จะมีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แต่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของจีนยังคงเผชิญกับความท้าทายมากมาย โดยเฉพาะในส่วนของเทคโนโลยีการผลิตชิปขั้นสูงสุด เช่น เครื่องจักร EUV ซึ่งผลิตโดยบริษัท ASML ของเนเธอร์แลนด์ เครื่องจักรนี้มีความซับซ้อนอย่างมาก ประกอบด้วยชิ้นส่วนนับแสนชิ้นที่ต้องทำงานประสานกันอย่างแม่นยำ การจำลองหรือลอกเลียนแบบเทคโนโลยีนี้จึงเป็นเรื่องยากลำบากแม้แต่สำหรับประเทศที่มีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์อย่างจีน

นอกจากนี้ การคว่ำบาตรทางเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ และพันธมิตรยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์จีน โดยบริษัทจีนถูกจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีและอุปกรณ์สำคัญหลายอย่าง รวมถึงซอฟต์แวร์ออกแบบชิปขั้นสูง ซึ่งส่วนใหญ่ควบคุมโดยบริษัทสหรัฐฯ

การขาดแคลนเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญในบางด้านอาจทำให้จีนต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายในการพึ่งพาตนเองทางเทคโนโลยีชิปได้อย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม ความมุ่งมั่นและการลงทุนอย่างต่อเนื่องของรัฐบาลจีนอาจช่วยลดช่องว่างนี้ได้เร็วกว่าที่หลายคนคาดการณ์

เพื่อเอาชนะข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี จีนได้ดำเนินการหลายแนวทาง หนึ่งในนั้นคือการสนับสนุนการพัฒนาสถาปัตยกรรมชิปแบบเปิด อย่าง RISC-V ซึ่งเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับบริษัทจีนที่ต้องการหลีกเลี่ยงการพึ่งพาเทคโนโลยีจากตะวันตก บริษัทยักษ์ใหญ่อย่างอาลีบาบาได้เริ่มออกแบบโปรเซสเซอร์โดยใช้สถาปัตยกรรม RISC-V แล้ว

นอกจากนี้ จีนยังมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปในกระบวนการที่ไม่ล้ำสมัยที่สุด แต่มีความต้องการสูงในตลาด เช่น ชิปสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วไป ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ก้าวหน้าที่สุด แต่ยังคงมีตลาดขนาดใหญ่และเติบโตอย่างรวดเร็ว

การมุ่งเน้นไปที่ตลาดเฉพาะทางเหล่านี้อาจช่วยให้จีนสามารถสร้างฐานการผลิตที่แข็งแกร่งและพัฒนาความเชี่ยวชาญ ก่อนที่จะก้าวไปสู่การผลิตชิปที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นในอนาคต

ในขณะเดียวกัน จีนยังส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา เพื่อเร่งการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ มหาวิทยาลัยชั้นนำหลายแห่งได้เปิดหลักสูตรเฉพาะทางด้านการออกแบบและผลิตชิป เพื่อผลิตบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรม

ความพยายามของจีนในการพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อประเทศจีนเท่านั้น แต่ยังมีผลต่อเศรษฐกิจโลกและการแข่งขันระหว่างประเทศอีกด้วย การลงทุนมหาศาลของจีนในอุตสาหกรรมนี้อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทานโลกอย่างมีนัยสำคัญ

ในปัจจุบัน ส่วนแบ่งการผลิตชิปของจีนคิดเป็นประมาณร้อยละ 15 ของกำลังการผลิตทั่วโลก แต่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 24 ภายในปี 2030 ซึ่งจะทำให้จีนแซงหน้าไต้หวันและเกาหลีใต้ในแง่ของปริมาณการผลิต การเติบโตนี้อาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในดุลอำนาจทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของโลก

การที่จีนมีบทบาทมากขึ้นในห่วงโซ่อุปทานชิปโลกอาจนำไปสู่การแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นในอุตสาหกรรม ซึ่งอาจส่งผลดีต่อผู้บริโภคในแง่ของราคาสินค้าที่ถูกลงและนวัตกรรมที่เพิ่มขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็อาจสร้างความกังวลด้านความมั่นคงทางเทคโนโลยีให้กับประเทศตะวันตก

นอกจากนี้ การที่จีนมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีชิปสำหรับอุตสาหกรรมเฉพาะทาง เช่น ยานยนต์ไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) อาจช่วยให้จีนก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเหล่านี้ได้ในอนาคต ซึ่งจะส่งผลต่อการแข่งขันในตลาดโลกอย่างมีนัยสำคัญ

แม้ว่าจีนจะมีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในการพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ แต่ยังคงมีความท้าทายหลายประการที่ต้องเผชิญในอนาคต:

  1. การพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง: จีนยังคงต้องพยายามอย่างหนักเพื่อปิดช่องว่างทางเทคโนโลยีกับผู้นำในอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในด้านการผลิตชิปขนาดเล็กที่สุดและมีประสิทธิภาพสูงสุด
  2. การรักษาบุคลากรที่มีความสามารถ: การแข่งขันเพื่อดึงดูดและรักษาวิศวกรและนักวิจัยที่มีความสามารถสูงจะเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรม
  3. การจัดการกับข้อจำกัดทางการค้าและการเมืองระหว่างประเทศ: ความตึงเครียดทางการเมืองและการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ และพันธมิตรอาจส่งผลกระทบต่อการเข้าถึงเทคโนโลยีและตลาดสำคัญ
  4. การสร้างระบบนิเวศที่สมบูรณ์: จีนจำเป็นต้องพัฒนาระบบนิเวศของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ที่ครบวงจร ตั้งแต่การวิจัยและพัฒนาไปจนถึงการผลิตและการตลาด

แม้จะมีความท้าทายเหล่านี้ แต่โอกาสสำหรับจีนในการก้าวขึ้นเป็นผู้เล่นสำคัญในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์โลกยังคงมีอยู่มาก ด้วยการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากรัฐบาล การลงทุนมหาศาล และความมุ่งมั่นของภาคเอกชน จีนมีโอกาสที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมนี้ในทศวรรษหน้า

บทสรุป: ความฝันที่กำลังเป็นจริง

ความพยายามของจีนในการสร้างอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ที่แข็งแกร่งเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความมุ่งมั่นของประเทศในการก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจทางเทคโนโลยี แม้จะเผชิญกับอุปสรรคและความท้าทายมากมาย แต่จีนก็แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าอย่างน่าประทับใจในช่วงเวลาอันสั้น

การพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของจีนไม่เพียงแต่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศเท่านั้น แต่ยังมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อห่วงโซ่อุปทานโลกและการแข่งขันระหว่างประเทศ ความสำเร็จของจีนในการบรรลุเป้าหมายนี้จะเป็นตัวกำหนดบทบาทของประเทศในเวทีโลกในอนาคต

ในขณะที่ความฝันของจีนในการเป็นมหาอำนาจด้านเทคโนโลยีชิปกำลังค่อย ๆ กลายเป็นความจริง โลกก็กำลังเฝ้าดูด้วยความสนใจและความกังวล การเปลี่ยนแปลงนี้อาจนำไปสู่การปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ในระเบียบโลกทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจ ซึ่งทุกประเทศจะต้องปรับตัวและหาวิธีรับมือกับความท้าทายและโอกาสใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้น

ไม่ว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นอย่างไร ความพยายามของจีนในการพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์จะเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับประเทศอื่น ๆ ในการวางแผนยุทธศาสตร์ด้านเทคโนโลยีและการพัฒนาอุตสาหกรรมในอนาคต ความสำเร็จหรือความล้มเหลวของจีนในการบรรลุเป้าหมายนี้จะส่งผลกระทบต่อทิศทางการพัฒนาเทคโนโลยีของโลกในทศวรรษหน้าอย่างแน่นอน

References :
เรียบเรียงจากหนังสือ Chip War: The Fight for the World’s Most Critical Technology โดย Chris Miller
https://www.reuters.com/technology/huaweis-new-chip-breakthrough-likely-trigger-closer-us-scrutiny-analysts-2023-09-05/

สิงห์ปาร์ค เชียงราย ร่วมกับ แม่ฟ้าหลวง เปิด “Department of Tea” พัฒนาชาท้องถิ่นสู่ชาไทยระดับพรีเมี่ยม

สิงห์ปาร์ค เชียงราย ร่วมกับ สถาบันชาและกาแฟ แห่งมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เปิดตัว “Department of Tea” คาเฟ่ชาเชียงรายสไตล์ Active Learning ศูนย์ถ่ายทอดองค์ความรู้เชิงนวัตกรรมผสานภูมิปัญญาให้แก่นักศึกษาและบุคคลที่สนใจ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาคุณภาพชาเชียงราย สู่ผลิตภัณฑ์ชาไทยพรีเมี่ยมระดับประเทศ

พร้อมสร้างประสบการณ์ดื่มชาที่แตกต่างผ่าน Authentic Slow Bar ส่งเสริมการรับรู้คุณภาพและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของชาไทยสู่นักท่องเที่ยว และเป็นสถานที่ให้นักศึกษามฟล.ได้ฝึกปฏิบัติงานแบบมีรายได้ เพื่อพัฒนา soft skill ด้านต่างๆ ทั้งด้านบริหารจัดการรวมไปถึงงาน

Department of Tea เกิดขึ้นจากความร่วมมือของภาคเอกชนอย่าง สิงห์ปาร์ค เชียงราย ในฐานะผู้ผลิตชารายใหญ่ของประเทศที่มีแหล่งปลูกชาคุณภาพทั้งในจ.เชียงรายและจ.น่าน ที่ต้องการถ่ายทอดองค์ความรู้เพื่อสร้างมาตรฐานให้แก่อุตสาหกรรมชาในประเทศไทย มุ่งเน้นการผลิตชาคุณภาพสูงโดยใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการวิจัยและพัฒนาเพื่อให้เกิดผลิตภัณฑ์ชาใหม่ๆ ที่ตอบสนองความนิยมของตลาดทั้งในและนอกประเทศ

โดยมีภาคการศึกษาอย่างมหาวิทยาแม่ฟ้าหลวง ที่ได้ก่อตั้งสถาบันชาและกาแฟขึ้นเพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้เชิงวิชาการผ่านหลักสูตรการเรียนการสอนที่มีการยกระดับเนื้อหาให้ทันสมัยและตอบโจทย์ผู้เรียน ให้เกิดคนรุ่นใหม่ที่มีขีดสามารถในการขับเคลื่อนชาเชียงรายให้เติบโตได้ในทุกมิติ 

คุณชัยภัฏ จาตุรงคกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท สิงห์ปาร์ค เชียงราย จำกัด เปิดเผยว่าที่ผ่านมา สิงห์ปาร์ค เชียงรายและสถาบันชาฯ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง  ได้มีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ แนวคิด แนวโน้มทางการตลาด ไปจนถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชาอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยกันผลักดันคุณภาพของชาไทยให้ก้าวสู่ระดับสากล

จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างห้องเรียนคาเฟ่ของคนยุคใหม่ในชื่อ Singha park cafe @ MFU (สิงห์ปาร์คคาเฟ่) ภายในมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ให้เป็นสถานที่แห่งการแลกเปลี่ยนความรู้ บ่มเพาะประสบการณ์ด้านธุรกิจและงานบริการให้นักศึกษาได้ค้นพบศักยภาพของตนเองตั้งแต่ก่อนจบการศึกษา

เพื่อให้เกิดความพร้อมและมั่นใจที่จะก้าวเข้าสู่โลกการทำงานจริง โดยในวันนี้สิงห์ปาร์คได้ทำการรีโนเวท Singha park cafe @ MFU ใหม่ทั้งหมด พลิกโฉมใหม่สู่การเป็น Department of Tea ศูนย์รวมความรู้เรื่องชาครบวงจร

โดยเพิ่มโซน Authentic slow bar มุมเสริฟชาพรีเมี่ยม Specialty tea ที่ลูกค้าจะได้สัมผัสวัฒนธรรมการดื่มชาไทยแท้ที่แตกต่างและเป็นอัตลักษณ์ ในขณะเดียวกันยังเป็นพื้นที่สำหรับจัด workshop โดยผู้เชี่ยวชาญจากสิงห์ปาร์คร่วมให้ความรู้แก่ผู้ที่สนใจเรื่องชาอีกด้วย 

  “Department of Tea จะเป็นจุด check-in แห่งใหม่ของจังหวัดเชียงราย ที่เป็นมากกว่าคาเฟ่จิบชา แต่จะเป็น Active learning ที่ช่วยเปิดมุมมองและสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้ทุกคนได้เข้าถึงชาและกาแฟที่มีคุณภาพ จากสิงห์ปาร์ค เชียงราย ตอกย้ำภาพลักษณ์ของจังหวัดในการเป็นแหล่งผลิตชาคุณภาพสูง สร้างความสนใจและดึงดูดนักท่องเที่ยวไปจนถึงนักลงทุนเข้ามาชมและซื้อผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่น ส่งเสริมให้ชาไทยมีโอกาสแข่งขันในตลาดสากล เพิ่มการส่งออกและสร้างรายได้ให้กับประเทศ เกษตรกรและผู้ประกอบการในท้องถิ่นได้รับประโยชน์จากการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ เพิ่มรายได้และเสริมสร้างความมั่นคงในอาชีพให้สูงขึ้น เรียกได้ว่า Department of Tea เป็นพื้นที่แห่งการสร้างโอกาสและพัฒนาคุณค่าในหลายด้าน ทั้งในมิติธุรกิจ การศึกษา การพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น ไปจนถึงระดับประเทศ โดยมีชาเชียงรายคุณภาพดีระดับพรีเมี่ยมเป็นจุดเชื่อมโยงทุกมิติให้ขับเคลื่อนไปพร้อมกัน”

ทางด้าน ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.วันชัย ศิริชนะ อดีตอธิการบดี ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง นายกสภามหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กล่าวว่า หนึ่งในองค์ความรู้ที่จะเป็นประโยชน์ในการสร้างรายได้ นำความกินดีอยู่ดีมาให้คนในท้องถิ่นคือองค์ความรู้เรื่องของการพัฒนาธุรกิจต่างๆ

Department of Tea จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางองค์ความรู้และถ่ายทอดนวัตกรรมเกี่ยวกับชาโดยเฉพาะ เปรียบเหมือนเป็นหนึ่งในคณะที่ให้ความรู้เกี่ยวกับศาสตร์และศิลป์ในเรื่องชาเชิงนันทนาการ ความร่วมมือกันในครั้งนี้จึงเป็นการนำความเชี่ยวชาญในพัฒนาผลิตภัณฑ์ชาของสิงห์ปาร์ค มาประสานกับความเชี่ยวชาญด้านวิชาการของมหาวิทยาลัยมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนจังหวัดเชียงรายให้เป็นแหล่งปลูกชาสำคัญไทยที่มีความก้าวหน้าทั้งทางวิชาการ การเป็นศูนย์กลางการศึกษาวิจัยตั้งแต่ระดับกระบวนการเพาะปลูก ไปจนถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชาไทยพรีเมี่ยมในระดับอุตสาหกรรม 

“Department of Tea จะเป็นศูนย์เรียนรู้ที่ส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่เห็นถึงความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติ พืชเศรษฐกิจสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดเชียงรายมีชาที่เป็นวัตถุดิบล้ำค่า มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ สามารถนำไปแปรรูปใช้ประโยชน์ได้มากกว่าการเป็นแค่เครื่องดื่มชั้นเลิศ การส่งเสริมพืชเศรษฐกิจที่สำคัญนี้ให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายอย่างเป็นรูปธรรม จะทำให้ธุรกิจชาของเชียงรายและของประเทศไทยเติบโตได้ นำมาซึ่งโอกาสที่ไทยจะได้สร้างความสัมพันธ์กับนานาประเทศต่างๆ ทั่วโลก เพื่อที่จะนำความรู้และนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาพัฒนาชาของประเทศไทยให้มีมาตรฐานเทียบเท่าสากล”

Department of Tea ตั้งอยู่ที่ M-Square มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เชียงราย เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่  9.00 – 17.00 น. มีจุดเด่นในการเป็นห้องเรียนคาเฟ่แบบ “สโลบาร์” (Slow Bar) ที่เน้นการชงชาด้วยความพิถีพิถันและการนำเสิร์ฟชาระดับพรีเมี่ยมจากสิงห์ปาร์ค

เพื่อตอบสนองความต้องการของคนรุ่น ใหม่ที่รักในการดื่มชา และยังเปิดให้ผู้ที่สนใจสามารถเข้ามาร่วม Workshop ในหัวข้อต่างๆ โดยทีมผู้เชี่ยวชาญจากสิงห์ปาร์ค เชียงราย และสถาบันชาและกาแฟแห่งมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงมาร่วมกันให้ความรู้

นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ Co-working space เปิดให้นักศึกษา ศิษย์เก่า หรือนักธุรกิจ เข้ามาใช้พื้นที่ระดมความคิด แลกเปลี่ยนประสบการณ์และแชร์ไอเดียสร้างสรรค์ต่างๆ ด้วย ที่นี่จึงถือเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจที่สิงห์ปาร์คเชียงราย ได้มีส่วนสร้างพื้นที่แห่งการแลกเปลี่ยนความรู้ที่ไร้ขีดจำกัด

รวมถึงช่วยเสริมความรู้และขีดความสามารถใหม่ๆ ให้กับเยาวชนลูกหลานชาวเชียงราย โดย Department of Tea จะเป็นพื้นที่แห่งมิตรภาพและความสุข ที่ทุกคนสามารถเติบโตไปพร้อมกันได้อย่างมีความสุขและยั่งยืน.