จาก ‘ไม่รู้’ สู่ธุรกิจล้านล้าน กับบทเรียนธุรกิจจาก Jensen Huang ซีอีโอของ NVIDIA

ในห้องประชุมเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในซิลิคอน วัลเลย์ เมื่อปี 1993 ชายหนุ่มสามคนนั่งล้อมวงกันอยู่ พวกเขาคือ Jensen Huang, Chris Malachowsky และ Curtis Priem วิศวกรไฟฟ้าผู้มีความฝันอันยิ่งใหญ่ แต่ไร้ประสบการณ์ในการทำธุรกิจ

Jensen Huang เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น “พวกเรา…มาร่วมกันสร้างบริษัทที่จะเปลี่ยนโลกของคอมพิวเตอร์กราฟิกกันเถอะ”

Chris และ Curtis มองหน้ากันด้วยความตื่นเต้นปนประหม่า

“แต่…เราจะเริ่มต้นยังไงล่ะ?” Curtis ถามขึ้น

Jensen ยิ้มกว้าง “นั่นแหละคือความสวยงามของมัน เราไม่รู้! แต่เราจะค้นหามันไปด้วยกัน”

นี่คือจุดเริ่มต้นของ NVIDIA บริษัทที่จะกลายเป็นผู้นำด้านการผลิตชิปคอมพิวเตอร์ของโลกในอนาคต แต่ในตอนนั้น พวกเขาเป็นเพียงกลุ่มวิศวกรหนุ่มที่มีความฝันและความกล้าที่จะก้าวเข้าสู่โลกธุรกิจที่พวกเขาไม่คุ้นเคย

สามหนุ่มวิศวกรผู้มีฝันที่ยิ่งใหญ่ (CR:maginative)
สามหนุ่มวิศวกรผู้มีฝันที่ยิ่งใหญ่ (CR:maginative)

Jensen เล่าย้อนถึงวันนั้น “ผมไม่รู้ว่าต้องทำอะไร และพวกเราทั้งสามคนไม่มีใครรู้ นี่คือต้นกำเนิดของบริษัทเรา…เราทำมันด้วย ‘ความเชื่อ’ เราเชื่อว่าจะสามารถสร้าง GPU ที่จะปฏิวัติวงการเกมและกราฟิกได้”

ความไม่รู้ในครั้งนั้น แทนที่จะเป็นอุปสรรค กลับกลายเป็นแรงผลักดันให้พวกเขามุ่งมั่นค้นคว้าและเรียนรู้ พวกเขาใช้เวลาหลายเดือนในการศึกษาตลาด พัฒนาเทคโนโลยี และวางแผนธุรกิจ ทุกคืนพวกเขาทำงานจนดึก แลกเปลี่ยนไอเดีย และฝันถึงอนาคตที่สดใส

แม้จะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่บรรยากาศในออฟฟิศเล็ก ๆ ของพวกเขากลับเต็มไปด้วยพลังและความหวัง Jensen มักจะพูดกับทีมว่า “เราอาจจะไม่รู้ทุกอย่าง แต่เรามีโอกาสที่จะเรียนรู้และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ที่โลกยังไม่เคยเห็นมาก่อน”

ในช่วงเวลานั้น พวกเขาได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญ: ความไม่รู้ไม่ใช่จุดอ่อน แต่เป็นโอกาสในการเติบโตและค้นพบสิ่งใหม่ ๆ พวกเขาเริ่มมองว่าทุก ๆ ปัญหาคือโจทย์ที่ท้าทายให้แก้ไข และทุก ๆ อุปสรรคคือโอกาสในการพัฒนาตนเอง

Jensen เล่าต่อ “ผมจำได้ว่าตอนนั้นเราตื่นเต้นมาก ๆ กับทุกสิ่งที่เราได้เรียนรู้ ทุกวันเราจะมานั่งคุยกันว่าวันนี้เราได้ค้นพบอะไรใหม่บ้าง บางครั้งมันก็ทำให้เรารู้สึกท้อ แต่ส่วนใหญ่แล้ว มันกลับยิ่งทำให้เรากระตือรือร้นที่จะเรียนรู้มากขึ้น”

การเริ่มต้นธุรกิจด้วยความไม่รู้ อาจฟังดูเป็นเรื่องที่เสี่ยงและไม่น่าเชื่อถือ แต่สำหรับ Jensen และทีม มันกลับเป็นพลังขับเคลื่อนที่ทำให้พวกเขากล้าที่จะคิดนอกกรอบ และมองหาโอกาสที่คนอื่นอาจมองข้าม

“เราไม่มีประสบการณ์ในการทำธุรกิจ แต่เรามีความกระหายที่จะเรียนรู้ เรามองทุกปัญหาเป็นโอกาส และนั่นคือสิ่งที่ทำให้เราแตกต่าง” Jensen กล่าว

ในขณะที่บริษัทอื่น ๆ อาจจะลังเลที่จะก้าวเข้าสู่ตลาดที่พวกเขาไม่คุ้นเคย NVIDIA กลับมองว่านี่คือโอกาสที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ พวกเขาไม่กลัวที่จะผิดพลาด เพราะพวกเขารู้ว่าทุกความผิดพลาดคือบทเรียนที่มีค่า

บททดสอบแห่งความล้มเหลว

ปี 1995 เป็นปีแห่งความหวังและความตื่นเต้นสำหรับทีม NVIDIA พวกเขากำลังจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์แรกของบริษัท นั่นคือ NV1 ชิปกราฟิกที่พวกเขาหวังว่าจะปฏิวัติวงการเกมคอมพิวเตอร์

Jensen ยืนอยู่บนเวทีในงานเปิดตัว ดวงตาเปล่งประกายด้วยความภาคภูมิใจ เขากล่าวกับผู้ชมว่า “วันนี้ เราจะเปลี่ยนโลกของคอมพิวเตอร์กราฟิกไปตลอดกาล!”

แต่โชคชะตากลับไม่เป็นใจ NV1 ไม่ได้รับการตอบรับอย่างที่คาดหวัง ปัญหาด้านเทคนิคและการขาดการสนับสนุนจากผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ทำให้ผลิตภัณฑ์ล้มเหลวในตลาด

Jensen นั่งอยู่ในห้องประชุม มองดูตัวเลขยอดขายที่น่าผิดหวัง เขารู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังถล่มทลายลงมาตรงหน้า

“ผมรู้สึกอับอายมาก” Jensen เล่าย้อนถึงช่วงเวลานั้น “มันเป็นความล้มเหลวที่ใหญ่มาก จนผมแทบไม่กล้าเผชิญหน้ากับทีมและนักลงทุน”

NVIDIA ต้องเผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่ พวกเขาต้องลดจำนวนพนักงานลงกว่าครึ่ง บรรยากาศในออฟฟิศเต็มไปด้วยความเครียดและความไม่แน่นอน

แต่ท่ามกลางความมืดมิดนั้น Jensen ก็ยังมองเห็นแสงสว่าง เขาตระหนักว่านี่คือโอกาสที่จะเรียนรู้และเติบโต

“ผมบอกกับทีมว่า ‘เราล้มเหลว แต่เราไม่แพ้’ เราต้องใช้ความล้มเหลวนี้เป็นบทเรียน และกลับมาแข็งแกร่งกว่าเดิม” Jensen เล่า

พวกเขาเริ่มวิเคราะห์ข้อผิดพลาดทุกจุด ตั้งแต่การออกแบบผลิตภัณฑ์ไปจนถึงกลยุทธ์การตลาด ทุกคนในทีมต้องทำงานหนักกว่าที่เคย แต่พวกเขาก็ทำด้วยความมุ่งมั่นและความหวัง

Jensen เล่าต่อ “ความล้มเหลวครั้งนั้นทำให้เราเข้าใจว่า การไม่รู้ไม่ใช่ข้อแก้ตัว แต่เป็นแรงผลักดันให้เราต้องเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ”

ในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ NVIDIA ได้รับความช่วยเหลือจาก Sega บริษัทผลิตวิดีโอเกมที่เป็นพันธมิตร Sega ตกลงที่จะจ่ายเงินชดเชยให้กับ NVIDIA แม้ว่าสินค้าที่ส่งไปจะด้อยคุณภาพก็ตาม

“มันเป็นเหมือนเชือกเส้นสุดท้ายที่ช่วยดึงเราขึ้นมาจากเหวลึก” Jensen กล่าว “เราซาบซึ้งในน้ำใจของ Sega มาก และมันทำให้เราตั้งปณิธานว่าจะต้องทำให้ดีกว่าเดิม เพื่อตอบแทนความไว้วางใจนี้”

เงินชดเชยจาก Sega ไม่เพียงแต่ช่วยให้ NVIDIA อยู่รอดเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสครั้งที่สองที่พวกเขาจะได้พิสูจน์ตัวเอง

Jensen และทีมใช้เวลาหลายเดือนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ พวกเขาทำงานทั้งวันทั้งคืน ศึกษาข้อผิดพลาดจากอดีต และพยายามคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ

“เราใช้ความพยายามมากกว่าเดิมเป็นสองเท่า” Jensen เล่า “ทุกคนในทีมรู้ว่านี่อาจเป็นโอกาสสุดท้ายของเรา เราจึงทุ่มเทอย่างเต็มที่”

ในที่สุด ความพยายามของพวกเขาก็ออกดอกออกผล RIVA 128 ผลิตภัณฑ์ใหม่ของ NVIDIA ได้รับการตอบรับอย่างท่วมท้น ภายในเวลาเพียง 4 เดือน ยอดขายพุ่งทะลุ 1 ล้านหน่วย

“มันเป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นมาก” Jensen เล่าด้วยรอยยิ้ม “เราไม่เพียงแต่ประสบความสำเร็จในเชิงธุรกิจเท่านั้น แต่เรายังได้พิสูจน์ให้โลกเห็นว่าเราสามารถลุกขึ้นมาจากความล้มเหลวได้”

ความสำเร็จของ RIVA 128 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่ทำให้ NVIDIA ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในตลาดการ์ดจอ และเป็นจุดเริ่มต้นของการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของบริษัท

Nvidia RIVA 128 กับจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของบริษัท (CR: hortgmunden)
Nvidia RIVA 128 กับจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของบริษัท (CR: hortgmunden)

บทเรียนแห่งความไม่รู้

หลังจากประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นกับ RIVA 128 Jensen Huang ได้นั่งลงและย้อนคิดถึงเส้นทางที่ผ่านมาของ NVIDIA ทั้งความสำเร็จและความล้มเหลว เขาตระหนักว่า “ความไม่รู้” ที่เคยมองว่าเป็นจุดอ่อน กลับกลายเป็นพลังที่ขับเคลื่อนให้บริษัทเติบโต

“ผมยังจำความผิดหวังและความเจ็บปวดในการขับเคลื่อนธุรกิจให้ผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายได้อยู่เลย” Jensen เล่า “ถ้าย้อนเวลาไป แล้วรู้ล่วงหน้าว่าเราจะต้องเจอกับอุปสรรคมากมายขนาดนั้น ผมคิดว่าตัวเองคงล้มเลิกความพยายามไปตั้งนานแล้ว แต่เพราะผมไม่รู้ ผมจึงทำต่อ จน NVIDIA มีวันนี้”

Jensen เริ่มมองเห็นคุณค่าของ “ความไม่รู้” ในฐานะเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสำหรับผู้ประกอบการ

“ความไม่รู้เป็นเหมือนพลังพิเศษของผู้ประกอบการ” เขากล่าว “มันไม่ใช่แค่ความสุข แต่มันยังเป็นสิ่งจำเป็นอีกด้วย เพราะมันทำให้เรากล้าที่จะเสี่ยง กล้าที่จะลองสิ่งใหม่ ๆ โดยไม่กลัวความล้มเหลว”

Jensen เริ่มปลูกฝังแนวคิดนี้ให้กับทีมงานของเขา เขาสนับสนุนให้พนักงานกล้าที่จะยอมรับว่าตนเองไม่รู้ และใช้มันเป็นแรงผลักดันในการเรียนรู้และพัฒนา

“หากคุณยอมรับว่าคุณไม่รู้ คุณจะพัฒนาได้อีกไกล” Jensen มักจะพูดกับทีมของเขา “ความไม่รู้เปิดโอกาสให้เราเรียนรู้และพัฒนาต่อไป ผลักดันให้เราพยายามมากขึ้น เปิดรับมุมมองใหม่ ๆ และยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบ”

นอกจากนี้ Jensen ยังพบว่า การยอมรับความไม่รู้ยังช่วยลดความเครียดในการทำงานอีกด้วย

“คำนี้อาจดูเหมือนเรื่องตลก แต่ในสถานการณ์จริง เมื่อคุณยอมรับว่าคุณไม่รู้ ความกดดันในอนาคตจะหายไป และคุณจะทำมันต่อจนเห็นผล” เขาอธิบาย

NVIDIA เริ่มสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมการเรียนรู้และการทดลอง พวกเขาจัดตั้งโครงการ “ห้องทดลองนวัตกรรม” ที่ให้พนักงานได้ทดลองไอเดียใหม่ ๆ โดยไม่ต้องกลัวความล้มเหลว

“เราต้องการให้พนักงานของเรากล้าที่จะผิดพลาด” Jensen กล่าว “เพราะเราเชื่อว่า จากความผิดพลาดนั้น เราจะได้เรียนรู้และสร้างสรรค์สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม”

แนวคิดนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลดีต่อวัฒนธรรมองค์กรเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อผลิตภัณฑ์ของ NVIDIA ด้วย บริษัทเริ่มสร้างนวัตกรรมที่ก้าวล้ำไปไกลกว่าเดิม พวกเขาไม่เพียงแต่ผลิตการ์ดจอสำหรับเกมเท่านั้น แต่ยังขยายไปสู่ตลาดใหม่ ๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และรถยนต์ไร้คนขับ

“เราไม่รู้ว่าเทคโนโลยี AI จะพัฒนาไปถึงไหน แต่เรารู้ว่าเราต้องอยู่ในตำแหน่งที่พร้อมจะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนั้น” Jensen กล่าว “ความไม่รู้ทำให้เราต้องเตรียมพร้อมอยู่เสมอ”

การยอมรับความไม่รู้ยังช่วยให้ NVIDIA ปรับตัวได้เร็วในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้ความต้องการชิปคอมพิวเตอร์เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

“เราไม่รู้ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร แต่เรารู้ว่าเราต้องปรับตัวให้เร็วที่สุด” Jensen เล่า “เราใช้ความไม่รู้นี้เป็นแรงผลักดันให้เราคิดนอกกรอบและหาวิธีใหม่ ๆ ในการผลิตและจัดส่งสินค้า”

ทัศนคติแห่งความสำเร็จ

แม้ว่า Jensen จะประสบความสำเร็จอย่างมากมาย แต่เขายังคงรักษาทัศนคติที่เปิดกว้างและกระตือรือร้นเหมือนกับตอนที่เริ่มก่อตั้งบริษัทในปี 1993

“ผมยังคงมองโลกในแง่ดีแบบเดียวกับที่เคยเป็นในปี 1993” Jensen กล่าว “ทัศนคติสร้างความสำเร็จให้คุณได้ มันช่วยให้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้น และสร้างความคิดเชิงบวกให้ตนเอง”

Jensen เชื่อว่าทัศนคติเชิงบวกเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราผ่านพ้นอุปสรรคต่าง ๆ ได้ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ยากลำบาก

“เมื่อเจออะไรยาก ๆ ผมมักถามตัวเองว่า ‘มันจะยากขนาดไหน?'” เขาเล่า “ผมหลอกสมองให้คิดแบบนั้นเสมอ และผมก็ผ่านทุกอย่างมาได้”

Jensen ยังแบ่งปันเทคนิคการสร้างทัศนคติเชิงบวกให้กับทีมงานของเขา:

  1. มองปัญหาเป็นโอกาส: “ทุกครั้งที่เราเจอปัญหา แทนที่จะท้อแท้ เรามองมันเป็นโอกาสที่จะเรียนรู้และพัฒนา”
  2. ฉลองความสำเร็จเล็ก ๆ: “เราไม่รอให้ถึงเป้าหมายใหญ่ถึงจะฉลอง แต่เราฉลองทุกความก้าวหน้า ไม่ว่าจะเล็กแค่ไหน”
  3. เรียนรู้จากความผิดพลาด: “เราไม่มองความผิดพลาดเป็นความล้มเหลว แต่เป็นบทเรียนที่มีค่า”
  4. สร้างวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน: “เรามีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าเราต้องการไปที่ไหน ซึ่งช่วยให้เรามีแรงผลักดันในการทำงาน”
  5. ส่งเสริมการทำงานเป็นทีม: “เราเชื่อว่าพลังของทีมสามารถเอาชนะทุกอุปสรรคได้”

Jensen ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการรักษาสมดุลระหว่างความเชื่อมั่นและความถ่อมตัว

“ความเชื่อมั่นทำให้เรากล้าที่จะทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่ แต่ความถ่อมตัวทำให้เราเปิดใจรับฟังและเรียนรู้จากผู้อื่น” เขากล่าว “การรักษาสมดุลระหว่างสองสิ่งนี้เป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน”

นอกจากนี้ Jensen ยังเชื่อในพลังของการตั้งคำถาม โดยเฉพาะคำถามที่ท้าทายสมมติฐานเดิม ๆ

“การถามคำถามว่า ‘ทำไม?’ และ ‘ทำไมไม่?’ เป็นสิ่งที่ผมส่งเสริมในทีมของเรา” เขากล่าว “มันช่วยให้เราคิดนอกกรอบและค้นพบโอกาสใหม่ ๆ ที่เราอาจมองข้ามไป”

Jensen ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

“เราต้องเป็นนักเรียนตลอดชีวิต” เขากล่าว “ไม่ว่าคุณจะประสบความสำเร็จแค่ไหน คุณต้องไม่หยุดเรียนรู้ เพราะโลกไม่เคยหยุดเปลี่ยนแปลง”

มองไปข้างหน้า – อนาคตของ NVIDIA

ในขณะที่ NVIDIA ก้าวเข้าสู่ทศวรรษใหม่ Jensen Huang ยังคงมองว่า “ความไม่รู้” จะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและการเติบโตของบริษัท

“เราอยู่ในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็วมาก” Jensen กล่าว “เราไม่รู้ว่าอีก 5 ปี 10 ปีข้างหน้า โลกจะเป็นอย่างไร แต่นั่นแหละคือสิ่งที่น่าตื่นเต้น มันทำให้เราต้องคิดและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ”

NVIDIA กำลังมุ่งหน้าสู่การพัฒนาเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการประมวลผลควอนตัม ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง

“เราไม่รู้ว่า AI จะพัฒนาไปถึงไหน หรือการประมวลผลควอนตัมจะเปลี่ยนโลกอย่างไร” Jensen กล่าว “แต่เรารู้ว่าเราต้องอยู่แถวหน้าของการพัฒนาเหล่านี้ เราใช้ความไม่รู้เป็นแรงผลักดันให้เราค้นคว้าและทดลองอยู่เสมอ”

Jensen Huang กับการเห็นศักยภาพในแวดวง AI ที่ต้องใช้ชิปการประมวลสูง (CR: GettyImage)
Jensen Huang กับการเห็นศักยภาพในแวดวง AI ที่ต้องใช้ชิปการประมวลสูง (CR: GettyImage)

Jensen เชื่อว่าการยอมรับความไม่รู้จะช่วยให้ NVIDIA ปรับตัวได้เร็วในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

“เราไม่รู้ว่าคู่แข่งคนต่อไปของเราจะมาจากไหน” เขากล่าว “แต่เราเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับทุกสถานการณ์ เราไม่ยึดติดกับความสำเร็จในอดีต แต่มองไปข้างหน้าและพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนตลอดเวลา”

นอกจากนี้ Jensen ยังมองว่าความไม่รู้จะเป็นกุญแจสำคัญในการดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีความสามารถ

“คนเก่ง ๆ ชอบความท้าทาย” เขากล่าว “พวกเขาไม่ต้องการทำงานที่ซ้ำซาก แต่ต้องการโอกาสที่จะเรียนรู้และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ เราใช้ความไม่รู้เป็นแรงดึงดูดให้พวกเขาอยากมาร่วมงานกับเรา”

NVIDIA วางแผนที่จะขยายการลงทุนในการวิจัยและพัฒนา โดยเฉพาะในด้านที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง

“เราจัดสรรงบประมาณจำนวนมากสำหรับโครงการที่เราเรียกว่า ‘การสำรวจอนาคต'” Jensen เล่า “เป็นโครงการที่เราไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือไม่ แต่เรารู้ว่ามันมีศักยภาพที่จะเปลี่ยนโลก”

Jensen ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการสร้างวัฒนธรรมที่เปิดกว้างต่อความไม่รู้ในองค์กร

“เราส่งเสริมให้พนักงานกล้าที่จะพูดว่า ‘ผมไม่รู้’ และใช้มันเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้” เขากล่าว “เราไม่ต้องการคนที่แกล้งทำเป็นรู้ทุกอย่าง แต่เราต้องการคนที่กระตือรือร้นที่จะเรียนรู้”

ในด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ NVIDIA วางแผนที่จะใช้แนวคิด “ความไม่รู้เชิงสร้างสรรค์” มากขึ้น

“เราจะไม่จำกัดตัวเองอยู่แค่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เรารู้ว่าตลาดต้องการ” Jensen อธิบาย “แต่เราจะสร้างผลิตภัณฑ์ที่ตลาดยังไม่รู้ว่าต้องการ เราจะใช้ความไม่รู้เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ”

Jensen ยังมองว่าความไม่รู้จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจในอนาคต

“เราไม่รู้ว่าอุตสาหกรรมไหนจะเป็นผู้นำในอนาคต” เขากล่าว “ดังนั้นเราจึงเปิดกว้างที่จะร่วมมือกับทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นบริษัทเทคโนโลยี บริษัทยานยนต์ หรือแม้แต่บริษัทในอุตสาหกรรมที่เราไม่เคยคิดมาก่อน”

ในท้ายที่สุด Jensen มองว่าความไม่รู้จะเป็นพลังขับเคลื่อนที่สำคัญในการสร้างโลกที่ดีกว่า

“เราไม่รู้ว่าปัญหาใหญ่ ๆ ของโลก เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือความไม่เท่าเทียมทางสังคม จะถูกแก้ไขอย่างไร” เขากล่าว “แต่เราเชื่อว่าเทคโนโลยีจะมีบทบาทสำคัญ และเราจะใช้ความไม่รู้นี้เป็นแรงผลักดันให้เราคิดค้นนวัตกรรมที่จะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้”

บทสรุป : พลังแห่งความไม่รู้

เมื่อมองย้อนกลับไปที่เส้นทางของ NVIDIA ตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน เราจะเห็นว่า “ความไม่รู้” ไม่ใช่อุปสรรค แต่เป็นพลังขับเคลื่อนที่สำคัญสู่ความสำเร็จ

Jensen Huang สรุปแนวคิดนี้ไว้อย่างชัดเจน:

“ความไม่รู้ไม่ใช่จุดอ่อน แต่เป็นโอกาส มันทำให้เรากล้าที่จะฝัน กล้าที่จะลอง และกล้าที่จะล้มเหลว แล้วลุกขึ้นมาใหม่ด้วยบทเรียนที่มีค่า”

“ในโลกที่เปลี่ยนแปลงเร็วเช่นนี้ ไม่มีใครที่รู้ทุกอย่าง แต่คนที่จะประสบความสำเร็จคือคนที่ยอมรับความไม่รู้ของตนเอง และใช้มันเป็นแรงผลักดันในการเรียนรู้และพัฒนาอยู่เสมอ”

“NVIDIA ไม่ได้ประสบความสำเร็จเพราะเรารู้ทุกอย่าง แต่เพราะเรากล้าที่จะก้าวเข้าสู่ความไม่รู้ และค้นหาคำตอบไปพร้อมกัน”

แนวคิดเรื่อง “พลังแห่งความไม่รู้” ของ Jensen Huang ไม่เพียงแต่เป็นบทเรียนสำหรับผู้ประกอบการเท่านั้น แต่ยังเป็นแนวทางสำหรับทุกคนในการเผชิญกับโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน

การยอมรับว่าเราไม่รู้ทุกอย่าง แทนที่จะทำให้เราอ่อนแอ กลับเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้และการพัฒนา มันทำให้เราเปิดใจกว้าง พร้อมรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง และกล้าที่จะลองสิ่งใหม่ ๆ

ในท้ายที่สุด ความสำเร็จไม่ได้มาจากการรู้ทุกอย่าง แต่มาจากความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งที่เราไม่รู้ และใช้มันเป็นแรงผลักดันในการค้นหาคำตอบและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ

เรื่องราวของ Jensen Huang และ NVIDIA เป็นแรงบันดาลใจให้เราทุกคนกล้าที่จะก้าวออกจาก Comfort Zone ยอมรับความไม่รู้ของตนเอง และใช้มันเป็นพลังในการสร้างอนาคตที่ดีกว่าได้นั่นเองครับผม

References :
https://www.cnbc.com/2024/05/11/jensen-huang-i-didnt-know-how-to-start-a-business-when-launching-nvidia.html
https://www.forbes.com/sites/julianteicke/2023/10/28/jensen-huang-wouldnt-start-nvidia-if-i-had-to-do-it-over-again/
https://en.wikipedia.org/wiki/Nvidia
https://en.wikipedia.org/wiki/Jensen_Huang
https://www.linkedin.com/pulse/nvidias-ceo-has-60-reports-doesnt-do-11s-hes-crazy-heres-derek-steer-sxeqc/
https://finance.yahoo.com/news/nvidia-ceo-jensen-huang-staff-103334854.html
https://www.businessinsider.com/nvidia-jensen-huang-chipmaker-cofounder-ceo-wealth-net-worth-ai-2023-5#he-moved-to-the-us-as-a-child-2

เลเซอร์จากฟ้า เจาะลึกถึงแก่นโลก! เมื่อสหรัฐอเมริกา เตรียมเปิดความลับใจกลางดาวเคราะห์ของเรา

ในปี 2025 ที่จะถึงนี้ กองทัพอวกาศสหรัฐฯ มีแผนการยิ่งใหญ่ที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าการสำรวจโลกของเรา พวกเขากำลังจะส่งเทคโนโลยีล้ำสมัยขึ้นไปบนอวกาศ เพื่อค้นหาความลับที่ซ่อนอยู่ใจกลางโลก นั่นคือการระบุตำแหน่งศูนย์กลางที่แท้จริงของโลกด้วยความแม่นยำระดับเซนติเมตร!

เครื่องมือสำคัญในภารกิจนี้คือ อุปกรณ์อาร์เรย์สะท้อนแสงเลเซอร์ หรือ LRA ซึ่งจะถูกติดตั้งบนดาวเทียม GPS III สองดวงชื่อ SV9 และ SV10 โดยอุปกรณ์นี้จะทำหน้าที่สะท้อนลำแสงเลเซอร์ที่ยิงขึ้นมาจากสถานีภาคพื้นดิน กลับลงมายังโลกอีกครั้ง

วิธีการนี้เรียกว่า Satellite Laser Ranging (SLR) ซึ่งจะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถคำนวณระยะห่างระหว่างดาวเทียมและพื้นโลกได้อย่างแม่นยำ รวมถึงหาตำแหน่งที่แน่นอนของแก่นโลกด้วย

ภารกิจนี้เป็นความร่วมมือระหว่างหลายหน่วยงานสำคัญของสหรัฐฯ ทั้งกองทัพอวกาศ หน่วยงานข่าวกรองภูมิสารสนเทศแห่งชาติ (NGA) และองค์การนาซา โดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Space Geodesy ที่มุ่งพัฒนาเทคโนโลยีการวัดระดับและระบุตำแหน่งบนโลกให้แม่นยำยิ่งขึ้น

ความสำเร็จของภารกิจนี้จะนำมาซึ่งประโยชน์มหาศาล ทั้งในด้านการสำรวจที่มีความละเอียดสูง การแจ้งเตือนภัยธรรมชาติที่แม่นยำขึ้น และการใช้งานทางการทหาร นอกจากนี้ ยังช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงของโลกได้อย่างละเอียด แม้กระทั่งหลังเหตุการณ์รุนแรงอย่างสึนามิหรือแผ่นดินไหว

ด้วยเทคโนโลยีนี้ เราจะได้เห็นโลกของเราในมุมมองใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน และอาจนำไปสู่การค้นพบที่น่าตื่นเต้นเกี่ยวกับดาวเคราะห์ที่เราเรียกว่าบ้านในอนาคตอันใกล้นี้

References : https://www.space.com/space-force-lasers-pinpoint-earth-center